Sunday, 11 May 2025
World

แอมเนสตี้ฯ จี้ ‘เฟซบุ๊ก’ จ่ายชดเชยชาวโรฮิงญา ฐานไม่ควบคุมเนื้อหา ‘ปลุกปั่นความเกลียดชัง’

องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ออกมาเรียกร้องให้ ‘เฟซบุ๊ก’ จ่ายค่าชดเชยให้แก่ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนที่ต้องพลัดถิ่นฐานจากเมียนมา กรณีปล่อยให้มีการเผยแพร่เนื้อหาปลุกปั่นความเกลียดชัง (hate speech) จนมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนกลุ่มนี้

ชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นมุสลิมกลุ่มน้อยตกเป็นเหยื่อปฏิบัติการกวาดล้างของรัฐบาลทหารพม่าเมื่อช่วงปี 2017 ซึ่งทำให้พวกเขาต้องละทิ้งบ้านเรือนหนีตายไปยังบังกลาเทศ และยังคงต้องอาศัยอยู่ตามแคมป์ผู้ลี้ภัยมาจนถึงทุกวันนี้

สมาคมเหยื่อชาวโรฮิงญาและนักสิทธิมนุษยชน ชี้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาส่วนหนึ่งมาจาก ‘ระบบอัลกอริทึม’ ของเฟซบุ๊กที่แสดงเนื้อหาความรุนแรง ข้อมูลบิดเบือน และถ้อยคำที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อคนกลุ่มน้อยเหล่านี้

“ชาวโรฮิงญาหลายคนพยายามแจ้งรายงานเนื้อหาที่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังผ่านช่องทาง report ของเฟซบุ๊ก แต่ก็ไม่เป็นผล เฟซบุ๊กยังคงปล่อยให้ถ้อยคำรุนแรงเหล่านี้แพร่กระจายออกไปจนถึงกลุ่มผู้ฟังในพม่าที่ไม่เคยรับรู้มันมาก่อน” แอมเนสตี้ฯ ระบุในรายงานที่เผยแพร่วันนี้ (29 ก.ย.)

องค์กรสิทธิมนุษยชนดังกล่าวยังอ้างถึงชุดเอกสาร ‘Facebook Papers’ ซึ่งมีผู้นำมาเปิดโปงเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2021 โดยเอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า ผู้บริหารของเฟซบุ๊ก ‘ทราบดี’ ว่าแพลตฟอร์มกำลังถูกใช้เป็นช่องทางเผยแพร่เนื้อหาโจมตีชาติพันธุ์กลุ่มน้อยและกลุ่มคนชายขอบอื่น ๆ

‘นิการากัว’ ฮึก!! สั่งเนรเทศ ‘ทูตสภาพยุโรป’ หลังสำนักงานใหญ่อียูจุ้นการเมืองในประเทศ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมานากัว ประเทศนิการากัว เมื่อวันที่ (29 ก.ย. 65) ว่า กระทรวงการต่างประเทศของนิการากัวออกแถลงการณ์ เมื่อวันพุธ ว่านางเบตตินา มูไชดต์ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ( อียู ) มีสถานะเป็น “บุคคลไม่พึงปรารถนา” และต้องเดินทางออกนอกประเทศ แต่ยังไม่มีการระบุอย่างชัดเจน ว่าเธอต้องเดินทางออกไปภายในเมื่อใด

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของรัฐบาลนิการากัวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังสำนักงานใหญ่ของอียูที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ยื่นหนังสือต่อสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) เรียกร้องประธานาธิบดีดาเนียล ออร์เตกา ผู้นำนิการากัว “ฟื้นฟูประชาธิปไตย” ที่รวมถึงการปล่อยตัวนักโทษการเมือง และเคารพหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน ด้านกระทรวงการต่างประเทศนิการากัวเรียกร้อง ให้ตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร

ทั้งนี้ นิการากัวจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว และออร์เตกา ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคสังคมนิยม ที่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย “ชนะอย่างง่ายดาย” รักษาตำแหน่งผู้นำนิการากัวได้เป็นสมัยที่ 4 ต่อเนื่องกัน หรือนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2550 และถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานที่สุดในกลุ่มประเทศภูมิภาคอเมริกาทั้งหมด

ทำไมอำนาจการเมืองจีนอยู่ในกำมือสีจิ้นผิงแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกยึดอำนาจ !!

‘ทำไมรัฐประหาร ‘สีจิ้นผิง’ เป็นไปไม่ได้!!’ โครงสร้างการเมืองจีนซับซ้อนซ่อนเงื่อน ประชุมลับ #เป่ยไต้เหอ หากมีความเห็นต่างก็เคลียร์ใจ #สลายขัดแย้ง แล้วก็จบ !! ไม่มีการดิสเครดิตกันทางการเมืองหรือหวังยึดอำนาจ #จบคือจบ 

>> ที่มาข่าวลือรัฐประหาร ‘สีจิ้นผิง’ และความซับซ้อนโครงสร้างอำนาจในจีน
ตอนนี้ถือเป็นช่วงใกล้การประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 (จัดประชุมทุก 5 ปี) ซึ่งการประชุมครั้งนี้ ผู้นำระดับ“คีย์แมน”ของจีน ซึ่งมีอยู่ 7 คน บางคนอาจจะถูกปรับเปลี่ยนออกไปตามกลไก แต่ที่จะไม่เปลี่ยนแปลง คือเบอร์ 1 ของพรรคฯ ‘สีจิ้นผิง’ และเป็นการครองตำแหน่งในวาระที่ 3 ของสีจิ้นผิงด้วย ดังนั้น ข่าวลือ ข่าวปล่อยในช่วงนี้ของจีน โดยเฉพาะประเด็นรัฐประหารในจีน จึงกลายเป็นที่จับตาทั้งของไทยและชาวโลก 

‘จีนมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน’ ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้านการเมืองของจีนมีความแตกต่างจากประเทศไทย และหลาย ประเทศทั่วโลก บางเรื่องเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ และจีนเองไม่เปิดเผยข้อมูลออกสื่อ จึงทำให้เกิดข้อสงสัยกลายเป็นปริศนา ด้วยเหตุนี้ จึงควรที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองในแบบของจีน...

>> หมวก 3 ใบ กุมอำนาจการเมือง การปกครอง และการทหารในจีน
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน อาจารย์จะขออธิบายกลไกการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนี้…

‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ เปรียบเสมือนเป็น ‘สถาบันการเมืองสูงสุดของจีน’ เป็นพรรคการเมืองเดียวที่กุมอนาคตประเทศจีน ในขณะนี้ มีสมาชิก 90 กว่าล้านคน และมีกลไกโครงสร้างซับซ้อน ที่สำคัญ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ในการเข้าไปแทรกซึมในทุกภาคส่วนของจีน ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ทางการเผยสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ‘ควีนเอลิซาเบธ’ แจ้งเพียงพระชราภาพเท่านั้น - ไร้ข้อมูลเพิ่มเติม

เรื่อง : อนุดี เซียสกุล

เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ สิ้นพระชนม์ลงในวันที่ ๘ กันยายนที่ผ่านมาไม่มีการเปิดเผยสาเหตุของการสิ้นพระชนม์แต่อย่างใดแม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าสองวันก่อนที่จะสิ้นพระชนม์นั้น สมเด็จพระราชินีนาถฯยังเสด็จออกให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้าเฝ้า

หรือแม้แต่ในวันที่จะสวรรคตแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังที่ออกมาเมื่อตอนเที่ยง : ๑๒.๓๒ น. บอกเพียงแต่ว่าคณะแพทย์มีความกังวลกับพระอาการประชวรแต่ก็บอกว่าสมเด็จพระราชินีนาถฯยังคงสบายดีอยู่ หากแต่หลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมงกว่าก็สิ้นพระชนม์

ในที่สุดสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ก็เป็นที่เปิดเผยออกมาในเวลาบ่ายห้าโมงเย็นตามเวลาท้องถิ่นในกรุงลอนดอน ของวันที่ ๒๙ กันยายนโดยผู้สื่อข่าวสายพระราชวังของบีบีซีก็อ้างถึงข้อมูลของ National Records of Scotland ที่เผยแพร่ในมรณะบัตรของสมเด็จพระราชินีนาถฯว่าสิ้นพระชนม์ด้วยอายุขัย cause of death: old age, ในเวลา ๑๕.๑๐ น. ณ ปราสาทบัลมอรัลและผู้ที่แจ้งการสิ้นพระชนม์คือเจ้าหญิงแอนพระราชธิดา

ฝ่ายทะเบียนท้องถิ่นของเขตอาเบอดีนเชียร์ ในสก็อตแลนด์ ที่ปราสาทบัลมอรัลตั้งอยู่รับแจ้งและลงบันทึกในวันที่ ๑๖ กันยายน โดยในบันทึกของใบมรณะบัตรนี้ทำให้รู้ว่า สมเด็จฯเสด็จสวรรคตในตอนบ่าย ๓ โมง ๑๐ นาที และนายกรัฐมนตรี เอลิซาเบธ ทรัสส์ได้รับแจ้งให้ทราบเป็นการส่วนตัวตอนบ่าย ๔ โมงครึ่ง ต่อจากนั้นสำนักพระราชวังบัคกิ้งแฮมได้ออกประกาศการสิ้นพระชนม์อย่างเป็นทางการเมื่อ ๖ โมงครึ่ง

แสดงให้เห็นว่ามีเพียงเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแอนเท่านั้นที่ประทับอยู่ในบัลมอรัล ส่วนเจ้าชายแอนดรู,เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและเจ้าชายวิลเลี่ยมเสด็จไปถึงหลังจากที่สิ้นพระชนม์แล้วคือเวลาบ่ายห้าโมงเย็น

อยากจะกล่าว่าในใบมรณะบัตรที่เผยแพร่ออกมานี้เป็นการบันทึกข้อมูลเหมือนเฉกเช่นคนทั่วไป เช่นพระนาม, นามสกุล, อาชีพมีการลงบันทึกว่า Her Majesty The Queen, วันประสูติ, สถานภาพ หม้าย สิ้นพระชนม์ วันเวลา สถานที่ บ้านหรือสถานที่ประทับถาวรบันทึกว่า พระราชวังวินด์เซอร์ สาเหตุของการสิ้นพระชนม์ คืออายุขัย และมีชื่อแพทย์ยืนยันการสิ้นพระชนม์โดยสำนักพระราชวังระบุชื่อนายแพทย์ ดักราส กร้าส ซึ่งเป็นเภสัชกร

อินโดนีเซีย ไฟเขียวใช้วัคซีน mRNA ของ ‘จีน’ นับเป็นชาติแรกในโลก ทั้งที่จีนเองยังไม่อนุมัติใช้ในปท.

วัคซีนโควิด-19 ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยี mRNA ของจีนผ่านการอนุมัติใช้งานฉุกเฉินใน 'อินโดนีเซีย' เป็นประเทศแรกในโลก นำหน้าแม้กระทั่ง 'จีน' เองที่ยังไม่ได้ให้ไฟเขียวกับวัคซีนตัวนี้

องค์การอาหารและยาแห่งอินโดนีเซียได้ประกาศอนุมัติฉุกเฉินใช้งานวัคซีน AWCorna ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่บริษัท วอลแวกซ์ ไบโอเทคโนโลยี (Walvax Biotechnology) ของจีนใช้เวลาในการคิดค้นพัฒนานานกว่า 2 ปี และมุ่งจัดการกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม

อย่างไรก็ดี วอลแวกซ์ยังไม่เคยเปิดเผยประสิทธิภาพของวัคซีน AWCorna ในกลุ่มอาสาสมัครทดลองขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าวัคซีนชนิดนี้สามารถลดโอกาสในการป่วยและเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้มากน้อยเพียงใด

จีนมีวัคซีน mRNA หลายตัวที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ทว่าวัคซีนของวอลแวกซ์ถือเป็นชนิดแรกที่เข้าสู่กระบวนการทดลองทางคลินิกในคนกลุ่มใหญ่

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าวัคซีนดังกล่าวจะถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายแค่ไหนในอินโดนีเซีย ซึ่งประชากรราว 63% ฉีดวัคซีนครบแล้ว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลกแนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ที่เน้นรับมือสายพันธุ์ 'โอมิครอน' จะดีกว่า

บ๊ายบายบางกอก!! ย้อนอดีต 30 ปี เมื่อครั้งจากเมืองไทยสู่อเมริกา ประสบการณ์สุดล้ำค่า กับภาพจำที่ยังชัดเจน

หลังจากที่เขียนบทความทางการเมืองเป็นชิ้นแรก ก็มานั่งคิดดูว่าคอลัมน์ที่เราเขียนนั้นชื่อว่า “เรื่องเล่าจากนิวแฮมเชียร์” แล้วไฉนเราถึงดันไปเล่าเรื่องชาวบ้าน จึงขออนุญาตตั้งต้นใหม่ คราวนี้เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง เล่าจากมุมมองของตัวเอง ต้องขออภัยแต่เนิ่น ๆ ว่าข้อเท็จจริงอาจจะบิดเบือนไปบ้าง เนื่องจากกาลเวลาผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้วที่ขึ้นเครื่องบินมาเพื่อศึกษาต่อ ขอเปลี่ยนชื่อบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในเรื่องเล่า เพื่อปกป้องสิทธิส่วนบุคคลของพวกเขา ไม่อยากให้มีการขุ่นข้องหมองใจเหมือนบล็อกเล่าเรื่องรักหลายเศร้าที่เป็นละครซีรีย์ดังทะลุฟ้าเมื่อหลายปีมาแล้ว ก็อย่างที่เอ่ยมาแล้วข้างต้น มุขปาฐะนั้นมาจากความทรงจำของตนเองล้วน ๆ ไม่ได้อิงอนุทิน เพราะเป็นคนที่เสียนิสัยไม่ชอบจด หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับความบันเทิงและสาระจากงานเขียนไม่มากก็น้อย

ภาพยนตร์ยอดมนุษย์ที่ดังๆของมาร์เวล เช่น แบตแมน ซุปเปอร์แมน หรือ ชางซี เปิดเรื่องโดยอ้างถึงปูมหลังของแต่ละตัวละคร เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาและเหตุการณ์ในอดีตที่หล่อหลอมความคิด จุดประสงค์ และความสามารถของตัวละครนั้นๆ แต่ก็มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่เริ่มต้นจากฉากที่เร้าใจที่สร้างปมในโครงเรื่อง ซึ่งเทคนิคในการดำเนินเรื่องแบบนี้เรียกว่า In medias res เทคนิคนี้จะใช้ในภาพยนตร์สืบสวนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อสร้างความระทึกใจให้แก่ผู้ชม ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนขึ้น สมมุติว่า ถ้าสโนวไวท์ เปิดเรื่องตอนที่นางกัดแอปเปิลแล้วสลบไป แทนที่จะเริ่มจากตอนที่พ่อนางแต่งงานกับแม่มดจำแลงตอนนางเด็กๆ ก็จะทำให้ผู้อ่านสนใจอยากรู้ว่าทำไมตัวเอกถึงมีคนปองร้ายอยากกำจัดนาง เนื่องจากเราไม่ใช่สโนวไวท์ และไม่ได้อยากให้ท่านผู้อ่านหัวใจเต้นตูมตาม จึงตั้งใจเริ่มเรื่องจากวันที่ออกเดินทางจากประเทศไทยไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา

ทุกวันนี้ยังจำวันที่ออกเดินทางมาเรียนเป็นครั้งแรกได้อย่างกับเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ วันนั้นคือวันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2534 ออกเดินทางแต่เช้าตรู่โดยสายการบิน Northwest ทั้งครอบครัวมาส่งที่สนามบินดอนเมือง สมัยนั้นเวลาออกเดินทางไปต่างประเทศ ผู้ใหญ่มักจะให้พรและคล้องพวงมาลัยให้เป็นสิริมงคล ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่ๆคล้องพวงมาลัยให้ ตัวเราเหมือนกับนักร้องลูกทุ่งดังบนเวที เมื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอย่างหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาอำลาอาลัย น้ำตาหยดแหมะๆไปตามกันทั้งคณะ ผู้เขียนเดินจากครอบครัวอย่างใจหาย ไม่แน่ใจว่าเราจะเผชิญอะไรบ้างในอนาคตอันใกล้นี้ 

เมื่ออยู่ในเครื่องบินน้ำตายังไหลพราก ตัวเราก็ต้องควานหาเพลงมากล่อมอารมณ์ ตอนนั้นพกชาวเบาท์ เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทขนาดพึ่งพาและหูฟัง จริงๆแล้วชื่อเต็มๆของเครื่องเล่นเทปนี้คือ ชาวอเบาท์ (Sound about) ตามที่โซนี่ได้เริ่มผลิตในปีค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) คนไทยก็ติดเรียกกันมาว่าซาวอเบาท์ทั้ง ๆ ที่โซนี่เปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์เป็น Walkman ในปีถัดมา 

นอกจากนั้นคนไทยยังใช้คำว่าซาวเบาท์กับเครื่องเล่นเทปขนาดพกพาของยี่ห้ออื่นๆที่ไม่ใช่โซนี่อีกด้วย ในแนวเดียวกับเรียกผงซักฟอกว่าแฟบ เนื่องจากเวลาการเดินทางรวมทั้งเปลี่ยนเครื่องบินที่ชิคาโกประมาณ 27 ชั่วโมง ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องจึงหนักอึ้งไปด้วยเทปเพลงทั้งไทยและเทศและถ่านไฟฉายเพื่อไว้ใช้ฟังเพลงฆ่าเวลา

ขณะที่ฟังเพลงเพลิน พนักงานต้อนรับก็มาถามว่าจะรับเครื่องดื่มหรืออาหารอะไร พอเงยหน้าขึ้นไปจะตอบถึงกับผงะเล็กน้อยเพราะเคยชินกับพนักงานต้อนรับของสายการบินไทยสมัยก่อนนั้นอายุไม่เกินสามสิบปี รูปร่างสันทัด และสวยงามเหมือนนางงาม พนักงานต้อนรับของสายการบินต่างประเทศนั้นมีหลากหลายอายุและสัดส่วน สุภาพสตรีที่บริการอาหารและเครื่องดื่มในเที่ยวบินนั้นอายุประมาณเกือบหกสิบ แต่งหน้าเข้ม และท้วม เวลาเธอเข็นรถอาหารเครื่องดื่ม เธอต้องเอียงเข็น ขณะนั้นตัวเราไม่เข้าใจว่าทำไมสายการบินต่างชาติถึงจ้างหญิงสูงอายุและรูปร่างอวบ เมื่อได้มาอยู่ที่อเมริกาถึงเข้าใจว่าเขามีกฎหมายพิทักษ์การจ้างงาน ถ้าหากผู้สมัครสามารถทำงานที่ทางบริษัทกำหนดได้อย่างมาประสิทธิผล ผู้จ้างไม่สามารถเกี่ยงรูปลักษณ์ของผู้สมัครได้

เกิดเหตุการณ์สุดสลดในประเทศอินโดนีเซีย ในเกมฟุตบอลลีกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา คู่ระหว่าง อาเรมา เอฟซี พบ เปอร์ซิบายา สุราบายา ที่คันจูรูฮัน สเตเดียม เมื่อแฟนบอลของทั้งสองทีมปะทะกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 127 ราย

เกมดังกล่าวจบลงที่ชัยชนะของทีมเยือนที่บุกไปเก็บชัยเหนือเจ้าถิ่น 3-2 แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อแฟนบอลทั้งสองทีมก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันอย่างดุเดือด มีการวิ่งลงมาในสนาม จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 127 ราย โดย 2 ใน 127 คนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย

ตามการรายงานจากสื่อในประเทศอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า การก่อเหตุดังกล่าวเริ่มต้นจากแฟนบอลเจ้าถิ่นที่ไม่พอใจผลการแข่งขันในเกมนี้ โดยเริ่มจากแฟนบอลฝั่งอัฒจันทร์ด้านตะวันออกของสนามที่วิ่งไปหาเรื่องแฟนทีมเยือน ก่อนที่แฟนบอลจากฝั่งใต้จะเข้ามาร่วมด้วย ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะมีการยิงแก๊สน้ำตา แต่ยิ่งทำให้แฟนบอลตื่นตกใจหนักกว่าเดิม

จากเหตุชุลมุนดังกล่าวทำให้แฟนบอลต้องหนีเอาตัวรอด บางคนถึงขั้นถูกเหยียบ และถูกเบียดจนหายใจไม่ออก โดยมีการเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 34 ราย ส่วนที่เหลือไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 

ฮ่องกงจัดหนัก!! เตรียมแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ หวังดึงดูดนักท่องเที่ยว รับเปิดประเทศ

สื่อฮ่องกงรายงานว่า ฮ่องกงจะแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ เพื่อดึงดูดนักเดินทางให้กลับมาท่องเที่ยวในฮ่องกงอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลฮ่องกงประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งหมดในกลุ่มนักเดินทางจากต่างประเทศ

หนังสือพิมพ์ ซิง เตา (Sing Tao) ของฮ่องกง รายงานอ้างแหล่งข่าวไม่เผยนามที่ใกล้ชิดแวดวงการเมืองและภาคธุรกิจฮ่องกงว่า ฮ่องกงจะแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ เพื่อดึงดูดนักเดินทางให้กลับมาท่องเที่ยวฮ่องกงอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลฮ่องกงประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งหมดในกลุ่มนักเดินทางจากต่างประเทศ 

ทั้งยังระบุว่า นายจอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง อาจจะประกาศแผนการให้ประชาชนกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติในเดือนตุลาคม ยกเว้นในกรณีที่การระบาดของโรคโควิดในฮ่องกงย่ำแย่ลงจากสถานการณ์ระบาดในปัจจุบัน

คนอังกฤษ ทนวิกฤตค่าครองชีพไม่ไหว นัดรวมตัวประท้วงกดดันลดค่าก๊าซ-ไฟฟ้า

ชาวอังกฤษหลายพันคน ทนไม่ไหว ลุกฮือเดินขบวนประท้วงในหลายสิบเมืองทั่วประเทศ แสดงความไม่พอใจในการปรับขึ้นค่าก๊าซและค่าไฟฟ้า 

ประชาชนหลายพันคนรวมตัวตามเมืองต่าง ๆ หลายสิบแห่งทั่วราชอาณาจักรเมื่อวันเสาร์ (1 ต.ค.) ที่ผ่านมา เพื่อแสดงความขุ่นแค้นต่อวิฤตค่าครองชีพ ในสิ่งที่แกนนำระบุว่าเป็นการประท้วงอย่างพร้อมเพรียงกันครั้งใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรในรอบหลายปี พร้อมกับเปิดแคมเปญไม่จ่ายค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าจนกว่าจะลดราคาในระดับที่สามารถจ่ายได้

ไล่ตั้งแต่อีสบอร์นไปจนถึงเอดินบะระ นิวคาสเซิล ไปจนถึงนอริช มีผู้คนจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วงทั่วสหราชอาณาจักร สอดคล้องกับช่วงเวลาที่จะมีการปรับขึ้นค่าก๊าซและค่าไฟ ซึ่งจะทำให้ค่าครองชีพของประชาชนพุ่งสูงตามไปด้วย

ในกรุงลอนดอน ผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่จัตุรัสคิงส์ครอส และชูป้ายที่มีข้อความว่า “ไม่จ่ายให้สหราชอาณาจักร” และ “พอแล้ว” รวมถึง “แช่แข็งราคา ไม่ใช่ประชาชน” เพื่อระบายความไม่พอใจต่อความทุกข์ยาก และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาค่าครองชีพแพง

ฟาร์ซานา คานอม ผู้ช่วยครูวัย 23 ปีรายหนึ่ง เผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เธอจำเป็นต้องเลือกระหว่างจ่ายค่าพลังงานที่พุ่งสูงกับการลงทุนในอาชีพการงานของเธอ "แต่ถ้าเราออกมาพร้อมกัน ส่งเสียงของเราให้ได้ยินไปทั่ว เมื่อนั้นบางทีเราอาจสร้างความแตกต่าง"

บรรดาผู้ชุมนุมยังได้ร่วมลงนามในหนังสืออุทธรณ์ฉบับหนึ่ง เรียกร้องให้ยุบสภาจัดการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อยุติความยุ่งเหยิงจากรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเบื้องต้นมีผู้ร่วมลงนามแล้วกว่า 300,000 คน

นอกจากนี้ แกนนำการประท้วงยังได้ทำการรณรงค์ให้ประชาชนไม่จ่ายค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าจนกว่าจะลดราคาในระดับที่สามารถจ่ายได้

มีรายงานว่าหลายครัวเรือนทั่วสหราชอาณาจักรพากันเผาบิลค่าสาธารณูปโภค ในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์สนับสนุนการรณรงค์ไม่จ่ายค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าของกลุ่ม Don’t Pay UK ในขณะที่ล่าสุดขบวนการเคลื่อนไหวรากหญ้าแห่งนี้ได้รับเสียงตอบรับจากครัวเรือนต่างๆ เกือบ 200,000 ครัวเรือน ที่เตรียมยกเลิกบริการหักบัญชีอัตโนมัติ หากว่าชาวสหราชอาณาจักร 1 ล้านคนสัญญาว่าจะไม่จ่ายบิลค่าสาธารณูปโภค

งานวิจัย ชี้ ดื่มกาแฟทุกวันช่วยให้อายุยาวขึ้น ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ

ดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยเรื่องสุขภาพ และทำให้อายุยาวขึ้นได้จริงหรือ? 

จากผลการวิจัยล่าสุดโดย ศาตราจารย์ ปีเตอร์ คิสเลอร์ แห่งสถาบัน Baker Heart and Diabetes Research Institute ในประเทศออสเตรเลีย ได้สำรวจข้อมูลเปรียบเทียบกันระหว่าง กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ และกลุ่มที่ไม่ดื่ม กับความสัมพันธ์ของจังหวะการเต้นของหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด และอัตราการเสียชีวิต โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมโดย UK Biobank ของกลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 40 - 69 ปี จำนวนเกือบ 5 แสนคน

ซึ่งพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟ 2-3 แก้วต่อวันมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่ม และนั่นก็มีผลกับช่วงชีวิตที่ยาวขึ้นของกลุ่มคนที่ดื่มกาแฟ 

กาแฟที่ว่านี้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นกาแฟคั่วบด กาแฟสด กาแฟสำเร็จรูป หรือกาแฟปลอดคาเฟอีน  เนื่องจากงานวิจัยชี้ว่า กาแฟทุกประเภทที่ว่านี้ ให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน คือช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจได้ดี และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ อาการหัวใจทำงานบกพร่อง หรือ หลอดเลือดหัวใจตีบได้ 

ดังนั้น คาเฟอีน จึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อคุณประโยชน์ของการดื่มกาแฟ ศาตราจารย์ คิสเลอร์ เจ้าของผลงานวิจัยชี้ว่า นอกเหนือจากคาเฟอีน ที่คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเวลาดื่มกาแฟ แต่ในเมล็ดกาแฟนั้นมีสารประกอบที่สำคัญมากกว่า 100 ชนิด ที่มีผลต่อสุขภาพที่ดีของผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้ดื่่ม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top