Thursday, 9 May 2024
World

เมื่อ ‘ราคาน้ำมันโลก’ พุ่ง!! แต่ ‘ค่าเงินบาท’ อ่อน ‘ระบบน้ำมันสำรอง 90 วัน’ คือหนึ่งทางเลือกของไทย

ปัจจุบันพี่น้องชาวไทยต่างได้รับผลกระทบจาก ‘ราคาน้ำมันดิบโลก’ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบพุ่งถึง 84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณน้ำมันที่เก็บสะสมไว้ในสหรัฐ มีการบริโภคน้ำมันเพิ่มมากขึ้น หรือแรงกดดันจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่าง OPEC ซึ่งนำโดยซาอุดีอาระเบีย ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก และการบอยคอตผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่างอิหร่านและรัสเซีย รวมถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ด้วยปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก และมีแนวโน้มว่า อาจทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในอนาคตไม่ไกล ตลอดจนมีส่วนกดดันให้เงินบาทไทยอ่อนค่าลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยค่าเงินบาทไทยวันนี้ (26 เม.ย.67) อัตราขายถัวเฉลี่ยอยู่ที่ 37.2588 บาทต่อดอลลาร์ ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย

ฉะนั้นเหตุผลเมื่อน้ำมันปรับตัวขึ้น เงินบาทจึงอ่อนค่าลง จึงพอสรุปได้ว่า…

1.  เมื่อราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้นจึงส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูง ดังนั้นธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อเป็นการสกัดการเกิดเงินเฟ้อ จนนักลงทุนพากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยง จนกระทั่งทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง กลายเป็นผลกระทบต่อเนื่องไปทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยต้องปิดรับความเสี่ยงจากตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน จึงเกิดเป็นแรงกดดันทำให้เงินบาทอ่อนต้องค่าลงตามไปด้วย

2.  ไทยต้องนำเข้าน้ำมัน ดังนั้นหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หมายความว่า คนไทยก็ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อน้ำมันน้ำเข้าในราคาที่แพงขึ้น

ปัจจัยจากราคาน้ำมันจึงส่งผลทำให้มูลค่าการนำเข้าของประเทศไทยขยายตัว โดยที่การส่งออกอาจจะยังอยู่ในระดับเดิม จึงทำให้เกิดการขาดดุลทางการค้า (Trade Deficit) จากการที่มูลค่าของการนำเข้าสูงกว่ามูลค่าการส่งออก และหากตัวแปรทั้งหมดเหมือนเดิมแต่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น คนไทยจึงต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์เพื่อซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ จำนวนเงินที่ใช้จ่ายเพื่อการนำเข้าสูงกว่าจำนวนเงินที่ได้รับจากการส่งออก และส่งผลต่อเนื่องจนทำให้เกิดการขาดดุลทางการค้า

แน่นอนปัจจัยที่เกิดจากราคาน้ำมันโดยตรงเป็นสิ่งที่รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากการหาแหล่งผู้ขายรายใหม่ ๆ การเพิ่มกลไกเพื่อทำให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันในราคาที่สะท้อนต้นทุนตามความเป็นจริง ณ เวลาที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับขึ้นหรือลง ดังเช่นที่รองฯ พีระพันธุ์ ได้ให้กระทรวงพลังงานออกประกาศและได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา และการจัดทำระบบการสำรองน้ำมัน 90 วัน เป็นต้น

แต่ปัจจัยในส่วนของค่าเงินบาทเป็นปัจจัยที่รัฐบาลสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง ด้วยค่าเงินตราของประเทศต่าง ๆ นั้นจะมีเสถียรภาพคงที่ อ่อนค่า หรือ แข็งค่า เกิดจาก…

1. อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ
2. การค้าและการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
3. นโยบายการเงินของธนาคารกลาง
4. สถานการณ์ในประเทศและปัจจัยระหว่างประเทศ

โดยข้อ 1 และ 3 เป็นบทบาทหน้าของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง รัฐบาลอาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้ในกรณีฉุกเฉินและจำเป็น สำหรับข้อ 2 และ 4 เป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล

แต่สิ่งที่สังคมไทยไม่ได้คำนึงถึงคือ เรื่องของ Digital wallet ซึ่งต้องใช้เงินกว่าหกแสนล้านบาท อันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงต่อความเชื่อถือในระดับนานาชาติต่อเรื่องของวินัยทางการเงินและการคลังของประเทศ แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งย่อมส่งผลกระทบทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะเมื่อประเทศมีปัญหาเรื่องวินัยทางการเงินและการคลังเกิดขึ้นจะทำให้ระดับความน่าเชื่อถือของประเทศที่ถูกประเมินโดยสถาบันการประเมินระดับโลกต่าง ๆ ลดลงอย่างแน่นอน แล้วส่งผลทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงตามไปด้วย แม้รัฐบาลปัจจุบันจะอ้างว่า การใช้ Application ‘ทางรัฐ’ ที่ในอนาคตคนไทยทุกคนจะต้องใช้ เพื่อให้สังคมสามารถก้าวย่างสู่ Digital Economy หรือ Digital World ในอนาคต จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องใช้งบประมาณกว่าหกแสนล้านบาทเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น ทั้ง ๆ มี Application ‘เป๋าตัง’ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันใช้อยู่แล้ว การพัฒนา Application ที่มีอยู่น่าจะประหยัดกว่าและรวดเร็วกว่าการออกแบบและพัฒนา Application ใหม่ขึ้นมา แม้จะมีการอ้างว่า Application ‘เป๋าตัง’ เป็นของธนาคารกรุงไทย แต่ต้องไม่ลืมว่า ธนาคารกรุงไทยเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง ย่อมสามารถดำเนินการทุกอย่างที่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายอยู่แล้ว หากมีปัญหาข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นจากกรณีนี้ย่อมกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างแน่นอน และจะกลายเป็นผลกระทบในวงกว้างซึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยมีนักการเมืองและพรรคการเมืองใดที่แสดงความรับผิดชอบเลย

เที่ยวบิน ‘เดลต้า แอร์’ ต้องบินกลับฉุกเฉิน จากเหตุ สไลด์กางออก หลัง ‘เทกออฟ’

(27 เม.ย. 67) เที่ยวบินของสายการบิน เดลต้า แอร์ไลน์ ต้องบินกลับไปนิวยอร์ก เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจาก สไลด์ฉุกเฉินด้านขวาได้กางออก หลังจากเครื่องขึ้น

เครื่องบินโบอิ้งลำดังกล่าว มุ่งหน้าไปยังลอสแอนเจลิส ได้บินกลับมาลงจอดอย่างปลอดภัย ที่สนามบินจอห์น เอฟ เคนเนดี เมื่อเวลาประมาณ 8.35 น.

เดลต้า บอกกับอินดิเพนเดนท์ว่า เที่ยวบิน 520 ประกาศเหตุฉุกเฉิน หลังจากลูกเรือสังเกตเห็นสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับทางออกฉุกเฉินทางปีกขวา รวมถึงเสียงที่ไม่คุ้นเคยจากปีกขวา

สายการบินระบุว่า มีผู้โดยสาร 176 คน นักบิน 2 คน และลูกเรือ 5 คน บนเครื่องบินลำนี้ ทั้งนี้ สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ ระบุว่า หน่วยงานของรัฐบาลกลางกำลังสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

เดลต้า ยืนยันกับ ดิอินดิเพนเดนท์ว่า เครื่องบินโบอิ้ง 767 -300อีอาร์ ได้ถูกถอดออกจากการให้บริการแล้ว

“เนื่องจากไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของลูกค้า และบุคลากรของเรา ลูกเรือของเดลต้า ได้จัดการตามขั้นตอนเพื่อเดินทางกลับไปยังเจเอฟเค ขอบคุณในความเป็นมืออาชีพและความอดทนของลูกค้า ต่อความล่าช้าในการเดินทาง”

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าว นับได้ว่าเป็นประเด็นล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินของโบอิ้ง และ การตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ขณะนี้ FAA กำลังตรวจสอบปัญหาของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ ยาง แรงดันในห้องโดยสาร และ ปัญหาเกี่ยวกับเครื่องยนต์

จีน เผยภารกิจ ‘ฉางเอ๋อ-7’ จับมือ 6 ประเทศ ร่วมพัฒนา สำรวจวิจัย โครงสร้างของดวงจันทร์

(27 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีนประกาศว่าภารกิจสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-7 (Chang’e-7) ของจีนจะบรรทุกเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ 6 รายการ ซึ่งพัฒนาโดย 6 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ 1 แห่ง ได้แก่ อียิปต์ บาห์เรน อิตาลี รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ ไทย และสมาคมหอสังเกตการณ์ดวงจันทร์นานาชาติ

รายงานระบุว่าภารกิจฉางเอ๋อ-7 มีกำหนดเดินทางสู่อวกาศช่วงปี 2026 โดยเป้าหมายคือการสำรวจสภาพแวดล้อมพื้นผิวดวงจันทร์ น้ำ น้ำแข็ง และองค์ประกอบที่ระเหยง่ายของดินบนขั้วใต้ของดวงจันทร์ รวมถึงทำการวิจัยภูมิศาสตร์ องค์ประกอบ และโครงสร้างของดวงจันทร์

ยานลงจอดฉางเอ๋อ-7 จะบรรทุกตัวสะท้อนแสงแบบเลเซอร์ที่พัฒนาโดยอิตาลีสำหรับทำการวัดแบบแม่นยำสูงบนพื้นผิวดวงจันทร์และการบริการระบุตำแหน่งของยานโคจร รวมถึงบรรทุกเครื่องมือวัดฝุ่นและสนามไฟฟ้าบนดวงจันทร์ที่พัฒนาโดยรัสเซียสำหรับตรวจสอบสภาพแวดล้อมพลาสมาบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่เต็มไปด้วยฝุ่น

ขณะเดียวกันยานลงจอดฉางเอ๋อ-7 ยังจะบรรทุกกล้องโทรทรรศน์บนดวงจันทร์ที่พัฒนาโดยสมาคมฯ สำหรับการสังเกตการณ์ดาราจักร โลก และท้องฟ้าทั้งหมด

ด้านยานโคจรจะบรรทุกกล้องไฮเปอร์สเปคตรัมที่พัฒนาโดยอียิปต์และบาห์เรนสำหรับจำแนกวัตถุบนพื้นผิวและสภาพแวดล้อมของดวงจันทร์ รวมถึงบรรทุกเครื่องสเปกโตรมิเตอร์แบบสองช่องสัญญาณสำหรับการวัดรังสีโลกที่พัฒนาโดยสวิตเซอร์แลนด์และจีนสำหรับเฝ้าติดตามปริมาณรังสีที่เข้าและออกจากระบบภูมิอากาศของโลกจากมุมมองดวงจันทร์เป็นครั้งแรก

นอกจากนั้นยานโคจรยังจะบรรทุกชุดเซ็นเซอร์ตรวจจับสำหรับการเฝ้าติดตามสภาพอวกาศทั่วโลก เพื่อแจ้งเตือนการรบกวนทางแม่เหล็กและการแผ่รังสีจากพายุสุริยะด้วย

'บุเรงนองโมเดล' กลศึกแห่งกองทัพเมียนมา เอาคืนฝ่ายต่อต้านแบบ 'บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น'

แทบจะเรียกได้ว่า 'มันจบแล้ว' ระหว่างศึกกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมา เมื่อนายพลชิตตูเคลื่อนพลมาช่วยเหลือกองทัพเมียนมา จนสามารถนำทัพเข้ามายึดเมียวดีคืนได้สำเร็จ ไม่เพียงแค่นั้นฝั่งกองทัพเมียนมายังไล่ตะเพิดกลุ่ม PDF ที่ซ่อมตัวในหุบเขาแล็ตคัดต่อง จนราบคาบ และนำมาสู่การเปิดด่านพรมแดนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

หากเทียบกลศึกของพม่าในปัจจุบันมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ในพงศาวดารระบุไว้เรื่องกลศึกของบุเรงนอง จะเห็นว่ามีหลายส่วนมีความเหมือนกันอยู่ไม่น้อย ... วันนี้ 'เอย่า' จะมาถอดกลศึกของกองทัพเมียนมาว่าเหมือนกลศึกสมัยบุเรงนองเรื่องใดบ้าง?

1. นำศัตรูมาเป็นพวกตน : กลศึกนี้จะเห็นได้ว่าในพงศาวดารระบุชัดเจนว่า มีการนำฝ่ายที่เป็นศัตรูของตนมาจัดการฝ่ายเดียวกัน ซึ่งในกรณีชิตตูก็เป็นโมเดลนี้

2. กลยุทธ์องค์ประกัน : ในอดีตพระนเรศถูกนำตัวไปเป็นองค์ประกันเพื่อบังคับพระธรรมราชาอยู่ใต้อำนาจหงสาวดี แต่ในปัจจุบันทางกองทัพนำเมืองฉ่วยก๊กโก มาเป็นตัวประกันในการดึงนายพลชิตตูเข้าสู่เกมส์ศึกครั้งนี้

3. สิ่งที่เห็นได้ชัดคือกองทัพเมียนมาจัดการกลศึกในการรับใช้ที่มุ่งเน้นให้เกิดการเจรจามากกว่าต้องการที่จะใช้กองกำลังเข้ายึด โดยสังเกตจากการส่งกำลังพลและการใช้ยุทโธปกรณ์ในการรบนั้น ส่วนใหญ่ใช้กองทหารราบและยานเกราะเคลื่อนพลยึดพื้นที่เป็นหลักและยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการใช้ขีปณาวุธพื้นสู่พื้นเลย อนึ่งเพื่อจำกัดวงรบให้อยู่วงจำกัดเท่านั้น เช่นเดียวกับที่บุเรงนองพยายามรบแบบมุ่งเน้นการเจรจา

และนี่เป็นจุดใหญ่ๆ ในกลยุทธ์ของกองทัพเมียนมาที่เหมือนกับกลยุทธ์ของบุเรงนองในอดีต

เมืองผู้ดี เปิดประมูลนาฬิกาทองคำ ที่จมไปพร้อมกับ ‘ไททานิก’ เผย ‘เจ้าของนาฬิกา’ ส่งภรรยาที่กำลังท้องลงเรือชูชีพ ก่อนตัวเองจะไม่รอด

(28 เม.ย. 67) Henry Aldridge & Son ประมูลสิ่งของที่เหลือรอดจากเรือไททานิก โดยในครั้งนี้มีนาฬิกาพกทองคำของผู้โดยสารที่ร่ำรวยที่สุด ประมูลจบที่ 41.6 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (วันที่ 27 เม.ย.) บริษัท Henry Aldridge & Son ได้จัดการประมูล ‘สิ่งของที่เหลือรอดจากเรือไททานิก’ อีกครั้ง โดยรอบนี้มีไฮไลต์เด็ดที่นักสะสมรอคอย นั่นคือ ‘นาฬิกาพกทองคำ’ ของ จอห์น จาคอบ แอสเตอร์ ผู้โดยสารที่ร่ำรวยที่สุดบนเรือไททานิก

บริษัทตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 150,000 ปอนด์ (ราว 7 ล้านบาท) แต่ท้ายที่สุดราคาพุ่งขึ้นไปถึง 6 เท่า จบที่ 900,000 ปอนด์ (เกือบ 41.6 ล้านบาท) และเมื่อรวมภาษีและค่าธรรมเนียมแล้ว มีมูลค่ารวมสูงถึง 1.175 ล้านปอนด์ (ราว 54.9 ล้านล้านบาท) 

มูลค่าดังกล่าวทำให้ แอนดรูว์ อัลดริดจ์ เจ้าของบริษัทประมูล ระบุว่า นี่เป็นราคาประมูลสิ่งของจากเรือไททานิกที่ ทำลายสถิติโลก

สำหรับ จอห์น จาคอบ แอสเตอร์ เป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวยวัย 47 ปี เขาเสียชีวิตหลังจากที่ส่งภรรยา แมดเดอลีน ขึ้นเรือชูชีพสำเร็จ ส่วนตัวเองจมไปพร้อมกับเรือ และนาฬิกาดังกล่าวถูกพบพร้อมกับร่างของเขา

เดวิด เบดดาร์ด ประธานสมาคมไททานิคแห่งอังกฤษ กล่าวว่า “ไม่เหมือนกับนาฬิกาหลายเรือนจากเรือไททานิกซึ่งหยุดเดินไปในค่ำคืนแห่งโชคชะตา นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการบูรณะและสวมโดยวินเซนต์ ลูกชายของแอสเตอร์”

เขาเสริมว่า “นาฬิกาเรือนนี้อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขา ขณะที่เขาส่งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ลงเรือชูชีพ ส่วนตัวเองก้าวถอยหลังโดยรู้ตัวว่าจะไม่รอด มันถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง”

ก่อนหน้านี้เคยมีของจากไททานิกที่ถูกประมูลไปในราคา 900,000 ปอนด์เช่นกัน นั่นคือไวโอลินที่นักดนตรีคนหนึ่งบนเรือเล่นขณะที่เรือกำลังจม โดยถูกประมูลไปเมื่อปี 2013 บวกภาษีและค่าธรรมเนียมจะอยู๋ที่ 1.1 ล้านปอนด์ ทำให้มูลค่ารวมของการปะมูลครั้งล่าสุดแซงหน้าไป

ในการประมูลครั้งนี้ยังมีกล่องใส่ไวโอลินของไวโอลินตัวข้างต้น ถูกประมูลไปด้วยราคา 290,000 ปอนด์ (366,000 ปอนด์เมื่อบวกภาษีและค่าธรรมเนียม)

ไวโอลินและกล่องใส่เป็นของ วอลเลซ ฮาร์ตลีย์ มีเรื่องเล่าว่า ขณะที่เรือกำลังจม เขาและวงยังคงเล่นดนตรีเพื่อทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสงบในขณะที่ภัยพิบัติกำลังคืบคลานรอบตัวพวกเขา

ฮาร์ตลีย์จมไปพร้อมกับเรือเช่นเดียวกับผู้โดยสารส่วนใหญ่ โดยไม่ได้นำไวโอลินใส่ลงไปในกล่อง

เบดดาร์ดบอกว่า “กระเป๋าใบนี้รอดมาได้ในสภาพค่อนข้างดี แม้ว่าจะมีความเสียหายจากน้ำก็ตาม”

‘อิรัก’ ออกกฎหมายต่อต้าน LGBTQ  โทษจำคุกสูงสุด 15 ปี แค่ส่งเสริมก็ถือว่าผิด 

(28 เม.ย. 67) รัฐสภาอิรักผ่านกฎหมายลงโทษผู้ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันโดยมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี ในความเคลื่อนไหวที่รัฐสภาอิรักระบุว่า มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาคุณค่าทางศาสนา

เอกสารสำเนากฎหมายระบุว่า กฎหมายนี้มีเป้าหมาย เพื่อปกป้องสังคมอิรักจากความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและกระแสการเรียกร้องให้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศที่กำลังครอบงำโลก

กฏหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคมุสลิมนิกายชีอะห์หัวอนุรักษ์ ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภาอิรัก

กฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการค้าประเวณีและการรักร่วมเพศ” กำหนดให้บุคคลใดที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน จะต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 10 ปีและสูงสุด 15 ปี และต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 7 ปีสำหรับใครก็ตามที่ส่งเสริมการรักร่วมเพศหรือการค้าประเวณี

กฎหมายยังกำหนดให้การเปลี่ยนแปลงเพศทางชีวภาพถือเป็นอาชญากรรม และลงโทษคนข้ามเพศและแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี

เดิมร่างกฎหมายดังกล่าวเสนอให้มีโทษประหารชีวิตด้วย แต่ได้รับการแก้ไขก่อนที่จะผ่านการพิจารณา ภายหลังการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสหรัฐฯ และชาติยุโรป

ก่อนหน้านี้ อิรักไม่ได้กำหนดความผิดทางอาญาต่อกิจกรรมทางเพศของคนเพศเดียวกันอย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีการใช้มาตราศีลธรรมที่กำหนดไว้อย่างหลวม ๆ ในประมวลกฎหมายอาญาเพื่อกำหนดเป้าหมายกลุ่ม LGBTQ และเคยเกิดกรณีที่ชาว LGBTQ ถูกกลุ่มสังหารเช่นกัน

ราชา ยูเนส รองผู้อำนวยการฝ่ายสิทธิ LGBTQ ขององค์กรฮิวแมนไรต์สวอตช์ กล่าวว่า “การที่รัฐสภาอิรักผ่านกฎหมายต่อต้าน LGBT ถือเป็นการตอกย้ำประวัติการละเมิดสิทธิของกลุ่ม LGBTQ ที่น่าตกใจของอิรัก และส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”

ด้าน ราซอว์ ซาลิฮี จากแอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล บอกว่า “การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของ LGBTI ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และทำให้ชาวอิรักตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งชีวิตของพวกเขาถูกไล่ล่าทุกวัน”

ในปีที่ผ่านมา พรรคการเมืองใหญ่ ๆ ของอิรักได้วิพากษ์วิจารณ์สิทธิของ LGBTQ มากขึ้น โดยธงสีรุ้งมักถูกเผาในการประท้วงโดยกลุ่มมุสลิมนิกายชีอะห์อนุรักษ์นิยม

ปัจจุบัน มีมากกว่า 60 ประเทศที่กำหนดความผิดทางอาญาสำหรับพฤติกรรมของคนรักเพศเดียวกัน ขณะที่มีกว่า 130 ประเทศรับรองหรือเปิดกว้างต่อความรักทุกรูปแบบ

‘จีน’ เปิดตัวโมเดล ‘AI แปลงข้อความเป็นวิดีโอ’ เผยความล้ำหน้า สามารถเข้าใจภาษาจีน-ผลิตเนื้อหาได้ 

(28 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า การประชุมจงกวนชุน (ZGC Forum) ปี 2024 ได้มีการเปิดตัววิดู (Vidu) โมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่แปลงข้อความเป็นวิดีโอที่สามารถสร้างสรรค์คลิปวิดีโอความละเอียดสูง 1080p ความยาว 16 วินาที ภายในคลิกเดียว เมื่อวันเสาร์ (27 เม.ย.) ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่าวิดูพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยชิงหัว และเซิงซู่ เทคโนโลยี (ShengShu Technology) บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของจีน ถือเป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่แปลงข้อความเป็นวิดีโอตัวแรกของจีนที่มีระยะเวลายาวขึ้น ความตรงกันยอดเยี่ยม และสมรรถนะเชิงพลวัต

จูจวิน รองผู้อำนวยการสถาบันปัญญาประดิษฐ์แห่งมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่าวิดูในฐานะโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ที่พัฒนาในจีน สามารถทำความเข้าใจและผลิตเนื้อหาภาษาจีน เช่น แพนด้ายักษ์และมังกรจีน

ด้านเซิงซู่ เทคโนโลยี เผยว่ามีการนำเสนอสถาปัตยกรรมหลักของวิดูตั้งแต่ปี 2022

สาวไทย แข่งรายการทำอาหารระดับโลก ‘มาสเตอร์เชฟออสเตรเลีย’ โชว์ เสน่ห์ปลายจวัก รังสรรค์อาหารฟิวชัน อร่อยแซ่บนัว จนกรรมการอึ้ง

(28 เม.ย. 67) ผู้เข้าแข่งขันหน้าใหม่ 22 คนต่างแย่งชิงโอกาสที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นมาสเตอร์เชฟออสเตรเลียประจำปี 2024

หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ชื่อว่า แนท หญิงสาวชาวไทยได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับรายการด้วยการเผยวัฒนธรรมไทยผ่านการสร้างสรรค์อาหารอีสานสุดขึ้นชื่ออย่าง ลาบ แต่ไม่ใช่ลาบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นลาบเนื้อจิงโจ้ที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองประจำประเทศออสเตรเลีย

อาหารเลิศรสจานเด็ดมัดใจกรรมการของสาวแนท มาพร้อมลาบเนื้อจิงโจ้รสแซ่บ ท็อปด้านบนด้วยไข่แดงดองยางมะตูมสุดฉ่ำ ทานคู่กับแผ่นข้าวปิ้ง งานนี้ อร่อยจนกรรมการอึ้ง โดยโซเฟีย เลวิน กรรมการคนหนึ่งกล่าวว่า “นี่ก็ดีไม่แพ้อาหารจานใดๆ ที่ฉันเคยกินในร้านอาหารในออสเตรเลียในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา”

แถมเมื่อลาบจิงโจ้รสจัดจ้านได้ออนแอร์สู่สายตาชาวออสซี่ ชาวเน็ตจำนวนมากต่างพากันชมสาว เช่น “ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับแนทสำหรับชัยชนะที่สมควรจะได้รับ เป็นเมนูที่สร้างสรรค์ สวยงาม และน่าอร่อยจริง ๆ การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างมรดกไทยและออสเตรเลียของเธอ”

“ว้าว เยี่ยมมากแนท!ฉันจะจ่ายเงินกินข้าวของแนทให้คุ้มเลย!” แต่บางคนก็มีความกังวลว่า เนื้อจิงโจ้ดิบ เช่น “มันดูสวยแต่จานนี้ก็ดูดิบ ๆ นะ จะปลอดภัยไหมที่จะกินจิงโจ้ป่าปรุงด้วยวิธีนี้”

ตามรายงาน แนท ไทยพัน เติบโตมาในครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คนในเขตชานเมืองเมลเบิร์น โดยมีพ่อแม่ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารไทยและมีน้องชาย 2 คน ซึ่งเธอมีคุณแม่เป็นไอดอลและแรงบันดาลใจในการทำอาหาร เพราะแม่ของเธอเป็นกุ๊กใหญ่

แนทเติบโตมาตามประเพณีไทย พูดภาษา และเรียนรู้วิถีชีวิตของคนไทย ทั้งนี้ คุณยายผู้ล่วงลับของเธอ เป็นหนึ่งคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับความรักในการทำอาหารของแนท ดังนั้น เพื่อตามหาตัวตนของตนเอง แนทได้ออกเดินทางไปอาศัยและทำงานในสวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

ยิ่งอยู่ห่างจากบ้านทำให้ความหลงใหลในการทำอาหารของแนทเพิ่มมากขึ้น โดยตระหนักถึงอาหารสามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับมรดก เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมของพวกเขา ในขณะที่เธอพบว่าตัวเองเข้าถึงรากเหง้าความเป็นไทยของเธอโดยไม่รู้ตัวผ่านอาหารในขณะที่ไม่อยู่บ้าน

แนทหวังว่าครัวมาสเตอร์เชฟ ออสเตรเลียจะช่วยให้เธอเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ และมอบโอกาสในการนำเสนอวัฒนธรรมของเธอผ่านทางอาหาร บุคลิกภาพ และสไตล์ของเธอ พร้อมเผยการผสมผสานระหว่างความดั้งเดิมเข้ากับความทันสมัยในอาหาร

'Boosie BadAzz' ออกโรงเตือนชาวอเมริกัน สหรัฐฯ กำลังแย่-จนที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิต

ไม่นานมานี้ เพจ 'Rhythm&Poetry' ได้โพสต์เนื้อหาโดยอ้างคำพูดของ Torence Ivy Hatch Jr. หรือที่รู้จักกันดีในชื่อบนเวทีของเขา Boosie BadAzz หรือเรียกง่ายๆว่า Boosie ซึ่งเป็นแร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน ระบุว่า...

Boosie BadAzz ออกมาโพสต์เตือนสติชาวอเมริกันว่าในขณะนี้ประเทศของพวกเขาแย่แล้ว และเขาเองก็ไม่เคยเห็นอเมริกาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน

"มันบ้าตรงที่ทุกบริษัทไม่มีสภาพคล่องทางการเงินเลย แถมยังล้มละลายกันอีก ตอนนี้โลกไม่มีเงินแล้ว, ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเจ็บปวด ประชาชนไม่มีเงิน นอกจากต้องจ่ายบิลค่าใช้จ่ายกันแล้วก็ไม่มีแผนพิเศษสำรองอะไร คุณไม่มีเงินที่จะเอาไปให้บริษัทที่เลิกจ้างพนักงานหลักหมื่นๆ คน คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง นี่มันคืออเมริกาที่จนที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตเลย"

40% ของ ‘เบบี้บูมเมอร์’ ทั่วโลก กำลังขาดเงินออมวัยเกษียณ ต้องวางแผนทำงานไปจนตกงาน เพื่อหารายได้พอประทังชีพ

(29 เม.ย.67) Business Tomorrow เผยรายงานล่าสุดของ TCDC ชี้ว่ากลุ่มคน 'เบบี้บูมเมอร์' หรือคนเกิดในช่วงปี 2489-2507 ทั่วโลกกว่า 40% วางแผนทำงานไปจนกว่าจะตกงาน ด้วยปัญหาด้านการเงินและรายได้ที่ไม่เพียงพอหลังเกษียณอายุ

แนวโน้มนี้สอดคล้องกับข้อมูลจากสหรัฐอเมริกา ที่พบว่ากลุ่ม 'Peak Boomer' หรือเบบี้บูมเมอร์รุ่นสุดท้ายกำลังเข้าสู่วัยเกษียณในปีนี้กว่า 30 ล้านคน แต่มีเงินออมน้อยกว่า 250,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 9.2 ล้านบาท ถึงเกือบ 2 ใน 3 

ตัวเลขนี้แสดงว่าคนกลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพิงเงินออมได้ จำเป็นต้องพึ่งพาประกันสังคมเพื่อเลี้ยงชีพ จึงต้องทำงานต่อไปจนแก่เฒ่า หรือแม้แต่จนตาย เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงชีพ

ปัญหาเงินออมน้อยของเบบี้บูมเมอร์ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบบำนาญจากที่เคยได้รับเงินอุดหนุนจากนายจ้าง มาเป็นแผนการลงทุนแบบ 401k ที่พนักงานต้องหักเงินเดือนเข้ากองทุนเอง แต่มีเพียง 24% ของคนอเมริกันเท่านั้นที่ถือหุ้นกองทุนนี้

นอกจากนี้ยังพบว่ามากกว่า 50% ของกลุ่มวัยเกษียณอเมริกันมีรายได้ต่ำกว่า 300,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 11 ล้านบาทเท่านั้น โดยมีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่รายได้ระหว่าง 10,000-19,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือราว 3.7-7 แสนบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบันที่สูงขึ้นแล้ว นับว่าเป็นรายได้น้อยมาก

สำหรับประเทศไทยแม้ยังไม่มีสถิติชัดเจนว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์มีสถานะทางการเงินอย่างไร แต่หากสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น มีราคาสินค้าแพงและค่าครองชีพสูงเช่นนี้ คนวัยทำงานรุ่นปัจจุบันที่กำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณในอนาคตอันใกล้ ก็อาจต้องประสบปัญหาเดียวกับเบบี้บูมเมอร์ในต่างประเทศ ต้องทำงานต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top