Monday, 20 May 2024
World

‘ทุเรียนไทย’ เสี่ยงไม่ได้ 'ยืนหนึ่ง' ตลาดจีน หลังหลายชาติทยอยรุกส่งออกกันไม่แผ่ว

(3 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ด่านโหย่วอี้กวนหรือด่านมิตรภาพบนพรมแดนจีน - เวียดนาม ณ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ได้รับรองการนำเข้าทุเรียนสดในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปีนี้รวม 48,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.85 พันล้านหยวน (ราว 9.25 พันล้านบาท)

ปริมาณการนำเข้าทุเรียนสดข้างต้นแบ่งเป็นนำเข้าจากเวียดนาม 35,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.1 เมื่อเทียบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 1.28 พันล้านหยวน (ราว 6.4 พันล้านบาท) และนำเข้าจากไทย 13,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 570 ล้านหยวน (ราว 2.85 พันล้านบาท) ซึ่งลดลงร้อยละ 59.5 และร้อยละ 63.5 เมื่อเทียบปีต่อปี

อนึ่ง ด่านโหย่วอี้กวนของกว่างซีจัดเป็นด่านบกขนาดใหญ่ที่สุดในการนำเข้าทุเรียนและจุดสังเกตกระแสการบริโภคทุเรียนของตลาดจีน โดยศุลกากรนครหนานหนิงระบุว่า มูลค่าการนำเข้าทุเรียนสดผ่านด่านแห่งนี้ในปี 2023 รวมอยู่ที่ 2.25 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.12 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 353 เมื่อเทียบปีต่อปี

ด้านสำนักงานศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่า จีนนำเข้าทุเรียนสดในปี 2023 ราว 1.42 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 6.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.47 แสนล้านบาท) โดยปริมาณทุเรียนที่นำเข้าผ่านด่านโหย่วอี้กวนคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณทุเรียนนำเข้าทั้งหมดของจีน

บรรดาคนวงในอุตสาหกรรมมองว่าปริมาณทุเรียนสดนำเข้าจากไทยผ่านด่านโหย่วอี้กวนที่ลดลงในไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากทุเรียนไทยเข้าสู่ตลาดจีนล่าช้ากว่าปกติ กอปรกับสภาพภูมิอากาศในท้องถิ่นไทยส่งผลกระทบต่อผลผลิตทุเรียน

ทั้งนี้ ข้อมูลการบริโภคทุเรียนของตลาดจีนชี้ว่าสถานะ ‘ผู้นำ’ ของทุเรียนไทยในตลาดจีนกำลังสั่นคลอน เนื่องด้วยผลกระทบจากการส่งออกทุเรียนสู่จีนของแหล่งผลิตทุเรียนที่พัฒนามาทีหลังอย่างเวียดนามและฟิลิปปินส์ ทำให้ทุเรียนไทยในตลาดจีนต้องเผชิญกับการแข่งขันอันดุเดือดยิ่งขึ้น

ช่ายเจิ้นอวี่ ผู้จัดการของบริษัท กว่างซี โอวเหิง อินเตอร์เนชันแนล โลจิสติกส์ จำกัด เผยว่า ช่วงก่อนปี 2023 บริษัทฯ นำเข้าทุเรียนจากไทยเท่านั้น แต่พอปี 2023 ทุเรียนที่นำเข้ามากกว่า 2,000 ตู้คอนเทนเนอร์ แบ่งเป็นทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามอย่างละครึ่ง โดยบริษัทฯ เลือกแหล่งผลิตตามความต้องการของผู้บริโภคทั่วจีน

ช่ายกล่าวว่า การปลูกทุเรียนในไทยมักปลูกโดยครัวเรือนทั่วไปหรือกลุ่มหมู่บ้าน แต่การปลูกทุเรียนของเวียดนามมุ่งเน้นการเพาะปลูกขนานใหญ่ รวมถึงใช้ข้อได้เปรียบจากระยะทางขนส่งสั้น ความเป็นอุตสาหกรรมระดับสูง และต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ทุเรียนเวียดนามมีโอกาสรุกเข้าท้าชิงส่วนแบ่งตลาดจีน

คนวงในอุตสาหกรรมเผยว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลายประเทศอาเซียนได้รับอนุญาตส่งออกทุเรียนสดสู่จีน ทำให้โครงสร้างตลาดทุเรียนของจีนเปลี่ยนแปลงไป โดยก่อนหน้านี้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนมากที่สุดเสมอจนกระทั่งเวียดนามสามารถส่งออกทุเรียนสดสู่จีนในเดือนกันยายน 2022 ทำให้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนลดลง

สำนักงานศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่าปี 2022 จีนนำเข้าทุเรียน 825,000 ตัน ซึ่งเป็นทุเรียนไทยมากกว่า 780,000 ตัน หรือคิดเป็นเกือบร้อยละ 95 ต่อมาปี 2023 จีนนำเข้าทุเรียน 1.42 ล้านตัน ซึ่งเป็นทุเรียนไทย 929,000 ตัน และทุเรียนเวียดนาม 493,000 ตัน ทำให้ทุเรียนเวียดนามครองส่วนแบ่งตลาดจีนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 ภายในหนึ่งปีและยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันแม้ปริมาณทุเรียนสดส่งออกจากฟิลิปปินส์สู่จีนไม่ได้สูงมากแต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยศุลกากรนครหนานหนิงระบุว่าปริมาณการขนส่งทุเรียนด่วนผ่านท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง อู๋ซวี ในไตรมาสแรกของปีนี้รวมอยู่ที่ 1,201 ตัน ซึ่งมาจากไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยการนำเข้าทุเรียนฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี

สวี่เฉียง รองผู้จัดการบริษัทที่ให้บริการขนส่งทุเรียนทางอากาศ เผยว่า มีการนำเข้าทุเรียนจากฟิลิปปินส์ทางอากาศทุกวัน คิดเฉลี่ยราว 4 ตันต่อเที่ยวบิน โดยต้นทุนการขนส่งไม่สูงเพราะเป็นเที่ยวบินขากลับ และการขนส่งทางอากาศช่วยการันตีรสชาติสดใหม่ด้วย

นอกจากเวียดนามและฟิลิปปินส์แล้ว ทุเรียนมาเลเซียกำลังบุกตลาดจีนเช่นกัน โดยมาเลเซียส่งออกผลิตภัณฑ์ทุเรียนแช่แข็งสู่จีนตั้งแต่ปี 2011 และส่งออกทุเรียนแช่แข็งทั้งลูกสู่จีนในปี 2019

ข้อมูลจากหอการค้าแห่งประเทศจีนเพื่อการนำเข้าและส่งออกอาหาร ผลผลิตพื้นเมือง ผลผลิตพลอยได้จากสัตว์ ระบุว่าปริมาณการส่งออกทุเรียนมาเลเซียแช่แข็งสู่จีนในปี 2023 อยู่ที่ 25,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.96 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบปีต่อปี

ฟาทิล อิสมาอิล กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำนครหนานหนิง กล่าวว่าจีนกลายเป็นตลาดแห่งสำคัญของทุเรียนมาเลเซียหลังจากพัฒนามานานหลายปี โดยปัจจุบันมาเลเซียและจีนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อการส่งออกทุเรียนสดจากมาเลเซียสู่จีน

คนวงในอุตสาหกรรมทิ้งท้ายว่าตลาดผู้บริโภคทุเรียนของจีนมีขนาดใหญ่และความต้องการทุเรียนไทยจะยังคงเพิ่มขึ้น แต่ทุเรียนไทยกำลังเผชิญการแข่งขันกับอีกหลายประเทศ ทำให้ไทยต้องเร่งรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยนอกจากควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ต้องเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกันเพื่อลดผลกระทบต่อสถานะ ‘ผู้นำ’ ในตลาดจีน

‘รัฐบาลเมียนมา’ ห้ามผู้ชายออกไปทำงานต่างแดนชั่วคราว คาด!! รักษาจำนวนเพื่อเกณฑ์ทหาร ท่ามกลางสงครามระอุ

(3 พ.ค.67) รัฐบาลทหารเมียนมา สั่งห้ามผู้ชายเดินทางไปทำงานนอกประเทศ ในขณะที่สาธารณชนวิตกกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหาร ท่ามกลางการต่อสู้ยืดเยื้อระหว่างฝ่ายกองทัพเมียนมาและฝ่ายต่อต้าน

นายญุน วิน ปลัดกระทรวงแรงงานเมียนมา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเรดิโอ ฟรี เอเชีย เมียนมา (RFA Burmese) เมื่อวานนี้ (2 พ.ค.) ว่า คำสั่งห้ามประชากรชายเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว และจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปตามความจำเป็น

อย่างไรก็ดี นายญุน วิน ระบุว่า ผู้ชายที่ลงทะเบียนขอไปทำงานต่างประเทศภายในช่วงสิ้นเดือนเม.ย. จะได้รับการยกเว้นจากคำสั่งห้ามดังกล่าว เนื่องจากมีแรงงานจำนวนเล็กน้อยที่ได้เตรียมการผ่านกรมจัดหางานระหว่างรัฐ

โดม นายญุน วิน ไม่ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับการออกคำสั่งห้ามประชากรชายออกไปทำงานในต่างประเทศ หรือเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับกรอบเวลาในการบังคับใช้คำสั่งดังกล่าว

ด้านตัวแทนกรมจัดหางานในอำเภอทินกังยุน (Thingangyun) ของย่างกุ้ง เปิดเผยกับ เรดิโอ ฟรี เอเชีย เมื่อวานนี้ (2 พ.ค.) ว่า คำสั่งห้ามผู้ชายเดินทางไปทำงานต่างประเทศ อาจเป็นไปเพื่อป้องกันไม่ให้ประชากรชายเดินทางออกนอกประเทศในช่วงที่มีการเกณฑ์ทหาร

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประมาณการว่า มีประชากรสัญชาติเมียนมากว่า 4 ล้านคนที่ทำงานในต่างประเทศ โดยชายเมียนมาประมาณ 2 ล้านคน ทำงานอยู่ในประเทศไทยมากที่สุด แต่ไม่ชัดเจนว่ามีประชากรชายทำงานในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์

ขณะที่กลุ่มศึกษากิจการและความขัดแย้งเมียนมา (Burmese Affairs and Conflict Study) ตรวจพบในเดือนเม.ย.ว่า การกำหนดให้ผู้ชายและผู้หญิงอายุระหว่าง 18-35 ปีเข้ารับใช้กองทัพเมียนมาเป็นเวลา 2 ปี ส่งผลให้ประชาชนกว่า 100,000 รายหลบหนีออกจากบ้านเรือนเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร

‘รัสเซีย’ มีรายได้จากการขาย ‘น้ำมัน-ก๊าซ’ พุ่งขึ้นเท่าตัว หลังใช้กลยุทธ์ ‘ลดราคา’ ขายให้ชาติพันธมิตร แม้จะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร

(4 พ.ค. 67) รัสเซียมีรายได้จากการขายน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้นเท่าตัวในเดือนเมษายน 2024 แม้ว่าถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ  โดยรัสเซียหาทางแก้ไขปัญหานี้ด้วยการขายน้ำมันให้กับชาติพันธมิตรในราคาที่ถูกลง นับตั้งแต่ปี 2022  แม้กระทั่งซาอุดีอาระเบียยังรับน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย  แล้วนำมาขายต่อให้กับยุโรปอีกทีเมื่อปี 2023  สิ่งนี้จึงช่วยให้รัสเซียยังมีเศรษฐกิจที่สมดุลอยู่ได้ และลอยตัวแม้ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร

ด้านอินเดียก็เคยซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ช่วยประหยัดงบไปถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 259,000 ล้านบาท ในอัตราแลกเปลี่ยน เช่นเดียวกับจีนที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซียในราคาที่ถูกกว่าที่อื่น และซื้อขายกันในรูปเงินหยวน  ทั้งหมดนี้บ่งชี้ให้เห็นว่ามาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ มีผลแค่เล็กน้อย หรือแทบไม่มีผลเลยกับเศรษฐกิจรัสเซีย

รายงานล่าสุดจากรอยเตอร์ ประเมินว่า รัสเซียจะมีรายได้จากการขายน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้นเท่าตัวในเดือนเมษายนนี้(2024 ) รายได้น้ำมันของรัสเซียเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว(2023 )อยู่ที่ 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 259,000 ล้านบาท  แต่ในปีนี้(2024 )น่าจะแตะ 14,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 518,000 ล้านบาท  เท่ากับว่าเพิ่มขึ้นมาร้อยเปอร์เซ็นต์ 

กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ยังได้ประโยชน์จากการซื้อน้ำมันรัสเซีย เพราะนอกจากจะมีราคาถูกกว่าที่อื่นแล้ว ยังใช้เงินสกุลท้องถิ่นซื้อได้ด้วย ไม่ต้องพึ่งดอลลาร์สหรัฐเลย  การทำเช่นนี้ ยังทำให้เศรษฐกิจของประเทศตัวเองแข็งแกร่งขึ้นด้วย กลายเป็นว่ามาตรการคว่ำบาตรนี้ กลับส่งผลดีต่อกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเป็นส่วนใหญ่

ชาวอเมริกันกว่า 50% เห็นด้วยให้แบน Tiktok ออกจากสหรัฐฯ หวั่น!! จีนใช้ 'จูงใจ-สร้างอิทธิพล-สอดแนมชีวิต' คนอเมริกัน

(4 พ.ค.67) Business Tomorrow เผยว่า ไม่นานมานี้ ทาง Reuters ร่วมกับบริษัทวิจัยผู้บริโภค Ipsos ได้สอบถามชาวอเมริกัน 1,022 คน ว่าคิดอย่างไรกับกรณีการแบน TikTok ของรัฐบาล?

- 58% เห็นด้วยว่า รัฐบาลจีนใช้ TikTok มาสร้างอิทธิพลต่อชาวอเมริกัน โดยกลุ่มตัวอย่างไม่เห็นด้วยกับข้อความนี้ 13%
- 50% เห็นด้วยกับการแบน TikTok, 32% ไม่เห็นด้วย และที่เหลือ 18% ตอบว่าไม่แน่ใจ
- 46% เห็นด้วยว่า รัฐบาลจีนใช้ TikTok สอดแนมชีวิตของคนอเมริกันทั่วไป
- 60% เห็นด้วยว่า การที่นักการเมืองอเมริกันใช้ TikTok ชักจูงคนไปเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

ทั้งนี้ Reuters ได้ออกตัวก่อนว่า โพลดังกล่าวสอบถามเฉพาะวัยผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งอาจไม่สะท้อนมุมมองของวัยรุ่นต่ำกว่า 18 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ TikTok

ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริการาว 170 ล้านคน บริษัทมีเวลา 270 วันในการหาผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งบริษัทระบุว่าจะต่อสู้กับกฎหมายนี้ในชั้นศาล

'ม.วอชิงตัน' ทดลองพ่นเกลือให้เมฆ เพื่อหักเหแสงอาทิตย์ หวังลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ รอลุ้นผลอีก 3 ปี

แม้แสงจากดวงอาทิตย์ คือ แหล่งพลังงานความร้อนและแสงสว่างของโลก แต่ในขณะเดียวกันภาวะโลกเดือด (หรือภาวะโลกร้อน) ก็ทำให้ความร้อนที่ได้จากแสงอาทิตย์ยังถูกกักเก็บเอาไว้ในโลกและทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น 

(4 พ.ค.67) TNN Tech รายงานว่า จากปัญหาดังกล่าว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) จึงริเริ่มทดลองแก้ปัญหา ด้วยการลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ โดยการสร้างเมฆเทียมเพื่อหักเหแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรกของโลก 

การทดลองดังกล่าวอิงจากพื้นฐานว่าเมฆสามารถหักเหแสงอาทิตย์ได้ แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวในธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ทีมนักวิจัยจึงเริ่มโครงการสร้างกระบวนการที่เรียกว่า การเพิ่มความสว่างของเมฆเหนือมหาสมุทร (Marine Cloud Brightening: MCB) เพื่อให้ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้โดยการสร้างและออกแบบของมนุษย์

ทั้งนี้ MCB เป็นการใช้ประโยชน์จากเมฆเหนือมหาสมุทรที่มักลอยตัวต่ำ เป็นวัตถุดิบในการสร้างเมฆที่ช่วยสะท้อนและหักเหแสง โดยการพ่นละอองเกลือเพื่อให้ไปถึงเมฆ ละอองเกลือจะทำให้เมฆเพิ่มความสามารถในการสะท้อนแสง และลดปริมาณความเข้มแสงที่ผ่านเมฆเข้ามาสู่โลก พร้อมทำให้เมฆมีความขาวชัดมากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของชื่อกระบวนการด้วยเช่นกัน

โดยสิ่งที่ทีมนักวิจัยทำก็คือการสร้างเครื่องพ่น (Spraying) น้ำทะเลไปยังระดับความสูงที่เมฆเลยตัวอยู่ พร้อมติดตั้งตัวเครื่องพ่นบน ยูเอสเอส ฮอร์เน็ต (USS Hornet CV-12) เรือบรรทุกเครื่องบินซึ่งปลดประจำการในปี 1970 ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก (San Francisco Bay Area) ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา 

แม้ผลลัพธ์การทดลองเบื้องต้นจะยังไม่สามารถได้ข้อสรุปที่ชัดเจน แต่นักวิจัยในทีม ตลอดจนนักบรรยากาศศาสตร์ (Atmospheric scientist) เชื่อว่า การรบกวนธรรมชาติของเมฆด้วยเทคนิค MCB มีความเป็นไปได้ในการทดลอง โดยมีปัจจัยที่สำคัญคือการสร้างละอองในอากาศ (Aerosoid) ที่มีความเหมาะสมในแง่ของขนาดและความเข้มข้น รวมถึงเครื่องพ่นที่มีกำลังการปล่อยที่เหมาะสมด้วย

อย่างไรก็ตาม การทดลองดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี นับตั้งแต่เดือนเมษายน เพื่อบันทึกข้อมูลการทดลอง โดยติดตั้งเครื่องมือวัดสภาพอากาศเหนือ USS Hornet รวมถึงปรับปรุงแบบเครื่องพ่นให้เหมาะสม โดยตั้งงบประมาณตลอดระยะเวลาโครงการไว้ที่ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 370 ล้านบาท ซึ่งประมาณร้อยละ 10 ของงบ หรือประมาณ 37 ล้านบาท จะเป็นค่าใช้จ่ายในการใช้ USS Hornet เป็นสถานที่ทดลองด้วย

'จีน' ส่ง ‘ฉางเอ๋อ 6’ ทะยานสู่ด้านมืด’ ของดวงจันทร์  'ลงจอดศึกษา-เก็บตัวอย่างดิน' เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

(5 พ.ค.67) หลังจากความสำเร็จของภารกิจยานฉางเอ๋อ 5 ของจีน ที่ได้ลงจอดบนดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 พร้อมกับการเก็บตัวอย่างดินในพื้นที่ด้านใกล้และส่งกลับมายังโลกเพื่อทำการศึกษา อีกทั้งยังได้เผยภาพด้านไกลของดวงจันทร์ให้ได้เห็นลายละเอียดของดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวของโลก ในส่วนที่ไม่สามารถมองเห็นได้เมื่อมองจากมุมมองบนพื้นโลก

ปัจจุบันจีนได้ทำการส่ง “ยานฉางเอ๋อ 6” เพื่อเดินทางไปสำรวจดวงจันทร์อีกครั้ง โดยทาง องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติของจีน (CNSA) ได้ปล่อยจรวด ลองมาร์ช 5 นำยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ 6 ขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 จากศูนย์อวกาศเหวินชาง มณฑลไห่หนาน ทางภาคใต้ของจีน เพื่อเดินทางไปลงจอดยังด้านไกล หรือด้านมืดของดวงจันทร์ที่หลายคนรู้จัก

ภารกิจของยานฉางเอ๋อ 6 ถือได้ว่าเป็นภารกิจแรกในประวัติศาสตร์การสำรวจดวงจันทร์ ที่จะมีการนำยานสำรวจลงจอดศึกษาและเก็บตัวอย่างดินกลับมายังโลก ในบริเวณพื้นที่ด้านไกลของดาวบริวารของโลก โดยพื้นที่ที่ยานฉางเอ๋อ 6 จะลงจอดนั้น คือ แอ่งขั้วใต้ดวงจันทร์ -เอตเคน (South Pole-Aitken basin - "SPA") ซึ่งเป็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ ความกว้างประมาณ 2,500 กม. และลึก 8.2 ที่เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตขนาดใหญ่นานกว่า 4 พันล้านปี

ก่อนหน้านี้ จีนได้ส่งดาวเทียมส่งต่อสัญญาณชื่อ “เชวี่ยเฉียว-2” ไปล่วงหน้าเพื่อสนับสนุนภารกิจฉางเอ๋อ 6 เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ด้วการลงจอดบริเวณพื้นที่ด้านไกลของดวงจันทร์ ทำให้มีการประเมินระยะเวลาภารกิจในครั้งนี้ อาจใช้เวลา 53 วัน ซึ่งมากกว่าภารกิจก่อนหน้านี้ คือยานฉางเอ๋อ 5 ที่ใช้เวลาทั้งหมด 22 วัน ในการทำภารกิจ

CNSA ได้มีการเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างดินบริเวณด้านไกลของดวงจันทร์ที่เก็บกลับมายังโลกจากภารกิจฉางเอ๋อ 6 นั้น จะมีการแจกจ่ายไปตามสถาบันวิจัยต่างๆ ของจีนและประเทศที่มีความร่วมมือกับจีน จากนั้นจึงจะเปิดให้ประเทศอื่นๆ ส่งร่างโครงการเพื่อขอนำตัวอย่างดินจากดวงจันทร์ไปวิจัยต่อไป เหมือนดังเช่นตัวอย่างดินดวงจันทร์จากภารกิจฉางเอ๋อ 5

‘สภาส่งเสริมการค้าจีนฯ’ เผย บริษัทเงินทุนต่างชาติ ปลื้มตลาดจีน คาด!! อีก 5 ปีข้างหน้า จะทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกมาก 

(5 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลสำรวจบริษัทที่ใช้เงินทุนจากต่างชาติมากกว่า 600 แห่ง ซึ่งจัดทำโดยสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีน พบว่าบริษัทเหล่านี้มีความเชื่อมั่นในตลาดจีนเพิ่มขึ้น โดยมากกว่าร้อยละ 70 ของบริษัทกลุ่มสำรวจมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการพัฒนาของตลาดจีนในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 3.8 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

รายงานระบุว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ประกอบการกลุ่มสำรวจมองว่าตลาดจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.9 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทกลุ่มสำรวจคาดหวังว่าการลงทุนในจีนจะสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยร้อยละ 60 ของบริษัทเหล่านี้มาจากยุโรป

‘จ้าวผิง’ โฆษกสภาฯ กล่าวว่า ตลาดจีนยังคงมีข้อได้เปรียบรอบด้านอันโดดเด่นในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ หากพิจารณาจากการดำเนินนโยบายสิทธิประโยชน์และสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนการลงทุน รวมถึงความพยายามเปิดกว้างอันมีมาตรฐานสูงของจีน

โรงแรมฮ่องกงชาร์จเพิ่มทุกเม็ด 'สบู่-แปรง-ยาสีฟัน'  ตามกฎหมายใหม่ฮ่องกง 'แบนพลาสติกใช้แล้วทิ้ง'

นักท่องเที่ยวจีนโวยหนัก เมื่อโรงแรมในฮ่องกงยกเลิกนโยบายแจกอุปกรณ์ ของใช้ในห้องน้ำฟรีให้กับแขกที่เข้าพัก ไม่เว้นแม้แต่โรงแรมระดับ 5 ดาว หากลูกค้าจำเป็นต้องใช้ 'แปรงสีฟัน - ยาสีฟัน - สบู่ - แชมพู' และอื่นๆ ที่โรงแรมเคยเตรียมไว้ให้เป็นชุดเซตเล็กๆ อย่างที่เราคุ้นเคยกัน ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว ต้องจ่ายเพิ่มเท่านั้น 

โดยทางโรงแรมในฮ่องกงให้เหตุผลว่า จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ Product Eco-responsibility Bill กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องระเบียบข้อบังคับการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ที่เพิ่งผ่านสภาฮ่องกงเมื่อ 18 ตุลาคม 2566 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา

ซึ่งในกฎหมายฉบับล่าสุดนี้ระบุว่า ไม่อนุญาตให้โรงแรมและเกสต์เฮาส์จัดหาอุปกรณ์อาบน้ำแบบใช้แล้วทิ้ง และน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกในห้องพักแบบฟรีๆ อีกต่อไป 

นอกจากนี้ ยังห้ามผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบ Oxo (กลุ่มพลาสติกที่ย่อยสลายเร็ว) ยกตัวอย่างเช่น แปรงสีฟัน, ยาสีฟันแบบหลอด, หมวกอาบน้ำ, มีดโกนหนวด, หวี, สำลีปั่นหู, กระดาษชำระที่มาในห่อพลาสติก, แชมพู-ยาสระผม แบบขวดเล็ก, หรือแม้แต่น้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก ก็จำเป็นต้องงดให้บริการ 

บางโรงแรมเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่น เช่น น้ำบรรจุขวดแก้ว หรือ แปรงสีฟันที่ทำจากเตรียมไว้ให้แขก แต่นอกเหนือจากนี้ ลูกค้าที่ไม่ได้เตรียมของใช้ส่วนตัวมา ต้องซื้อเพิ่มเท่านั้น ซึ่งแต่ละโรงแรมก็มีเรทราคาของใช้ที่แตกต่างกันไป 

อาทิ โรงแรมหรูระดับ 5 ดาวอย่าง Hyatt กำหนดราคา หมวกอาบน้ำ 3 ชิ้น HK$15, ยาสีฟัน 1 หลอด HK$15, ชุดโกนหนวด HK$15 หรือหวีที่มาในราคา HK$30 (1 เหรียญฮ่องกง = 4.70 บาท) 

แต่สำหรับโรงแรมราคาประหยัดทั่วไปที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมกันนั้น ลูกค้าต้องซื้อเพิ่มทุกไอเทมไม่เว้นแม้แต่น้ำดื่มในห้อง ที่มาในราคาต่อชิ้น ชิ้นละ HK$ 5 - 10 ที่ทำให้นักเที่ยวจีนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่ไม่ใช่เรื่องของการรักษ์โลกแล้ว แต่เป็นธุรกิจชัดๆ 

นักท่องเที่ยวจีนรายหนึ่งบ่นผ่านสื่อโซเชียลจีนว่า นโยบายเพื่อสิ่งแวดล้อมแบบใด มาชาร์จราคาของใช้กับลูกค้าที่เมื่อก่อนเป็นบริการฟรีของทางโรงแรมอยู่แล้ว และมีหลายคนที่มองว่า เป็นการอ้างเรื่องสิ่งแวดล้อมบังหน้าเพื่อหากำไร เพราะราคาห้องพักก็ไม่ได้ถูกลง แต่ลูกค้าต้องมาเสียค่าใช้จ่ายยุบยับเพิ่มอีกแม้แต่ค่ายาสีฟัน

ด้านโฆษกกรมพิทักษ์สิ่งแวดล้อม แสดงความเห็นผ่านสื่อว่า ทางฮ่องกงจำเป็นต้องออกกฎหมายฉบับนี้เพื่อลดปริมาณพาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง แล้วเข้าใจว่าข้อบังคับฉบับใหม่อาจไม่ถูกใจทุกคน ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาเลยถ้านักท่องเที่ยวเตรียมของใช้ส่วนตัวมาเอง  

ส่วนคำร้องเรียนเกี่ยวกับการชาร์ตราคาของใช้ในห้องน้ำของทางโรงแรมนั้น ทางโฆษกของกรมพิทักษ์สิ่งแวดล้อมกล่าวว่า กฎหมายระบุเพียงว่า ห้ามโรงแรมแจกผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้แล้วทิ้งแก่ลูกค้าเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุเรื่องการชาร์ตราคาของใช้เพิ่มของทางโรงแรม ดังนั้นทางโรงแรมจะตั้งราคาเท่าไหร่ หรือชาร์ตสิ่งของใดเพิ่ม ก็เป็นดุลยพินิจของผู้บริหารแต่ละโรงแรมเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกฎหมายใหม่ฉบับนี้ 

และย้ำว่า นโยบายเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเริ่มมีมาแล้วทั่วโลก และการแบนผลิตภัณฑ์พลาสติกในอุตสาหกรรมโรงแรมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโรงแรมในฮ่องกงควรให้ข้อมูลกับแขกผู้มาพักล่วงหน้า เพื่อให้เข้าใจถึงข้อห้ามการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกของทางฮ่องกง 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง 'แคสเปอร์ จุย อิง-เว่ย' ผู้อำนวยการสมาพันธ์ผู้ประกอบการโรงแรมฮ่องกง กล่าวว่า ทางโรงแรมจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายฮ่องกงก็จริง แต่ก็อยากให้รัฐบาลฮ่องกงช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องกฎหมายใหม่ แก่นักเดินทางด้วย แทนที่จะฝากหน้าที่ไว้กับผู้ประกอบการโรงแรมเพียงฝ่ายเดียว

ด้าน เพอร์รี อิว พัค-หลง ผู้แลกฎหมายด้านการท่องเที่ยว กล่าวว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการโรงแรมปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายแล้ว และเชื่อว่าหลายโรงแรมกำลังมองหาสิ่งของ และ บรรจุภัณฑ์ทางเลือก ที่ไม่ใช่พลาสติก ที่มีราคาเทียบเท่ากับสินค้าเดิม อย่างยาสีฟันหลอด หรือ มีดโกนหนวด ที่ตอนนี้ยังหาค่อนข้างยาก 

แต่เชื่อว่าสามารถหาผลิตภัณฑ์อื่นที่ทดแทนพลาสติกได้ในอีกไม่นาน เพื่อบริการลูกค้าได้ฟรีเหมือนเดิม เพราะต้องยอมรับว่ากฎหมายใหม่มีผล กระทบกับการท่องเที่ยวฮ่องกงจริง จากกระแสความไม่พอใจของนักท่องเที่ยว ที่กระจายเต็มโซเชียลจีนอยู่ในขณะนี้ 

เพราะการรักษ์โลก ต้องแลกกับความไม่สะดวกสบายบ้าง แต่ถ้าจะให้ดี ควรมีโปรโมชันให้ลูกค้าหน่อยก็น่าจะดี เพราะไหนๆ โรงแรมก็ประหยัดต้นทุนค่า สบู่ แชมพู ยาสีฟัน และของใช้จุกจิก ที่เคยแจกให้ฟรีไปแล้ว ก็น่าจะคืนกำไรให้ลูกค้าหน่อย เสียงบ่นก็จะน้อยลงได้เอง 

"ทริปยุโรปครั้งแรกในรอบ 5 ปี 'สี จิ้นผิง' เลือกไปเยือน 'ฮังการี' จอมหัวแข็งใน NATO + 'เซอร์เบีย' สุดซี้จีนพร้อมชนในย่านนั้นด้วย"

(6 พ.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ทริปยุโรปครั้งแรกในรอบ 5 ปี 🇨🇳 #สีจิ้นผิง เลือกไปเยือน 🇭🇺 #ฮังการี จอมหัวแข็งใน NATO + 🇷🇸 #เซอร์เบีย สุดซี้จีนพร้อมชนในย่านนั้นด้วยค่า

ไปเยือนยุโรปครั้งแรกในรอบ 5 ปี  แม้จะแวะปารีส 🇫🇷เป็นจุดแรก ผู้นำจีนไม่ได้ไปช้อปปิ้งหรือไปโชว์แฟชั่นอะไรนะคะ 🤭 หากแต่ทริปนี้  เพื่อ Strategic Opportunities !! 

นอกจากฝรั่งเศส #สีจิ้นผิง เลือกที่จะไปคุย/เตรียมการอะไรกับผู้นำ #ฮังการี และผู้นำ #เซอร์เบีย  ตัวพ่อจอมหัวแข็งพร้อมชนทั้งสองชาติในยุโรปเลยค่า 😅 #ปีมังกรดุ 

คงเดาได้นะคะ งานนี้ใครจะหนาววววว 🤭 

https://www.atlanticcouncil.org/blogs/new-atlanticist/what-to-look-for-as-xi-jinping-visits-france-serbia-and-hungary/

คงจำได้นะคะ #ฮังการี เคยหัวแข็งยืนกรานไม่ยอมให้ #สวีเดน เข้า NATO  ในที่สุด  กว่าจะเคลียร์จบ สวีเดนลุ้นด้วยใจระทึกกว่าจะเข้าเป็นสมาชิก #NATO ได้ค่าาา

จอมซ่าส์พร้อมชนแบบฮังการี 🤭 จีนชอบจ้า 
https://www.reuters.com/world/europe/hungary-set-ratify-swedens-nato-accession-clearing-last-hurdle-2024-02-26/

รัฐบาลทหารเมียนมา เปิดเกมถลกหน้าปรปักษ์รัฐ จัดกลยุทธ์แยก 'น้ำดี-น้ำเสีย' ที่ไทยควรรู้เท่าทัน

หากใครติดตามสถานการณ์ของเมียนมาจะเห็นว่า เมียนมาเริ่มทยอยประกาศอะไรต่างๆ นานา ที่สร้างความหวาดหวั่นให้แก่ประชาชนของเขา โดยเริ่มจาก...

1. การประกาศเกณฑ์ทหารทั่วประเทศโดยเกณฑ์ทหารทั้งชายและหญิงที่อายุ ระหว่าง 18-35 ปี

ประกาศนี้สร้างความตระหนกให้คนพม่าจำนวนมากถึงกับหลายครอบครัวในพม่าส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศเพื่อเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร ในขณะเดียวกันคนที่ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะส่งลูกไปเรียนต่างประเทศก็จ่ายเงินให้กับสัสดีเขตเพื่อขอเลื่อนการเรียกตัวบุตรหลานเขาเข้าประจำการและสุดท้ายคือ กลุ่มที่มีแนวคิดต่อต้านกองทัพหลายครอบครัวเลือกที่จะหนีไปประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางธรรมชาติ

2. ประกาศระงับการเดินทางของผู้ชายออกไปทำงานต่างประเทศ แม้ประกาศนี้ไม่มีการประกาศออกมาชัดเจน แต่ก็สร้างความตระหนกให้กับคนพม่าในระดับคนทำงานอยู่พอสมควร

3. การทำบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดแบบ UID หรือ Unique Identifier ซึ่งนำมาใช้แทนบัตรเดิมและบัตรนี้ ในอนาคตจะผูกพันกับการทำทุกอย่าง เช่น การทำพาสปอร์ต ซื้อตั๋วรถโดยสารระหว่างเมือง ฯลฯ และอาจจะรวมถึงนำมาใช้ในการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นด้วย เพื่อป้องกันการโกงตามต่างเมืองในหมู่บ้านที่ห่างไกลในชนบทของเมียนมาที่เคยผ่านมา

แน่นอนเรื่องบัตรสมาร์ทการ์ดนี้จะเป็นอีก 1 กลยุทธ์ในการแยก 'น้ำดี-น้ำเสีย' ของฝั่งรัฐบาลพม่า เพราะนอกจากจะใชังานด้านต่างๆ แล้วบัตร UID สามารถเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติอาชญากรรมได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการตรวจสออบว่าใครคือ ปรปักษ์ของกลุ่มรัฐบาลทหารเมียนมา

กลุ่มเรียกร้องกำลังถูกบีบมาให้ถึงทางตันที่จะต้องเลือกให้เข้าร่วมและเคลียร์ตัวเองให้บริสุทธิ์หรือจะอยู่อย่างคนไร้สัญชาติคอยซ่อนตัวอยู่ในไทยและประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมา

ไทยเราควรจะเริ่มกระตือรือร้นได้แล้ว เพราะตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากจากฝั่งเมียนมาหลั่งไหลเข้ามาไทย ซึ่งตอนนี้ฝั่งเมียนมาก็เปิดธุรกิจเข้าไทยโดยวิธี Fast Track แบบไม่ต้องแสดงใบจองที่พัก เงิน หรือตั๋วเดินทางกลับพร้อมเจ้าหน้าที่ไปรับตั้งแต่ Gate จนพาออกมาพ้นจุดตรวจผ่านคนเข้าเมืองประดุจผู้ถือบัตร Elite Card ในราคาเพียงหลักพัน

สุดท้ายนี้คงต้องฝากความหวังไว้กับรัฐบาลไทยที่จะกวดขันเรื่องคอร์รัปชันในประเทศ อันจะส่งผลต่อไทยในระยะยาว แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ เมื่อนายทุนของพรรคท่านนายกรัฐมนตรียังเข้ามาไทยท่ามกลางความกังขาของคนไทยส่วนใหญ่ในแผ่นดิน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top