Wednesday, 8 May 2024
World

กลุ่มติดอาวุธ KNU ถอนกำลังออกจากเมียวดีชั่วคราว  หลังทหารฝ่ายรัฐกลับเข้าพื้นที่ และมีกองหนุนอาสาช่วย

(24 เม.ย.67) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ได้ถอนกำลังออกจากเมืองเมียวดีชั่วคราว โฆษกของกลุ่มระบุ หลังจากทหารฝ่ายรัฐบาลได้กลับเข้าไปยังพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นช่องทางการค้าต่างประเทศมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

“กองกำลังทหารของ KNLA จะทำลายทหารฝ่ายรัฐและกองหนุนของพวกเขาที่เคลื่อนพลไปยังเมืองเมียวดี” ซอ ตอ นี โฆษกของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงกล่าว โดยอ้างถึงกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยงที่เป็นฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของพวกเขา

แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ระบุว่าความเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของกลุ่มคืออะไร

ทั้งนี้ การต่อสู้ปะทุขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในเมืองเมียวดี ที่ส่งผลให้พลเรือนมากถึง 3,000 คน ต้องอพยพหลบหนีภายในวันเดียว ในขณะที่กลุ่มติดอาวุธต่อสู้เพื่อขับไล่ทหารฝ่ายรัฐที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณเชิงสะพานมิตรภาพ

อย่างไรก็ตาม ในวันพุธ (24 เม.ย.) ไทยกล่าวว่า การต่อสู้คลี่คลายลงแล้ว และหวังว่าจะสามารถเปิดจุดผ่านแดนได้อีกครั้ง หลังจากการค้าได้รับผลกระทบจากการสู้รบ โดยระบุว่า พลเรือนส่วนใหญ่เดินทางกลับประเทศแล้ว และยังเหลืออยู่เพียง 650 คน

“สถานการณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตาม เรากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงและสามารถเปลี่ยนแปลงได้” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุ

ไทยได้รับรายงานว่าการเจรจาอาจกำลังเริ่มต้นขึ้นระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในฝั่งพม่า และไทยได้เสนอให้ลาว ประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จัดการประชุมเพื่อหาข้อยุติวิกฤตพม่า

กองทัพพม่าเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เข้าควบคุมพม่าเป็นครั้งแรกในปี 2505 โดยติดอยู่กับความขัดแย้งในหลายแนวรบ และพยายามที่จะต่อสู้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่พังลงนับตั้งแต่รัฐประหารในปี 2564 ที่ยุติการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการปฏิรูปที่ดำเนินมาได้เพียงไม่นาน

ประเทศติดอยู่กับสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพฝ่ายหนึ่งและอีกฝ่ายหนึ่งคือพันธมิตรที่จับมือกันอย่างหลวม ๆ ของกองทัพชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์และขบวนการต่อต้านที่เกิดขึ้นจากการปราบปรามนองเลือดของรัฐบาลทหารต่อผู้เห็นต่างต่อต้านการรัฐประหาร

รัฐบาลทหารสูญเสียการควบคุมพื้นที่ชายแดนสำคัญให้กลุ่มติดอาวุธ และภาพถ่ายที่โพสต์ในกลุ่มโซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลทหารบางกลุ่มเผยให้เห็นทหารจำนวนหนึ่งกำลังชูธงที่ฐานทหารแห่งหนึ่งซึ่ง KNU ควบคุมไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนและได้ชูธงของตนเอง

ด้าน โฆษกของ KNU ระบุว่า รัฐบาลทหารที่ดำเนินการตอบโต้เพื่อยึดคืนเมืองเมียวดี ได้กลับเข้ามาในพื้นที่ด้วยความช่วยเหลือจากกองกำลังทหารอาสาในพื้นที่ ที่เคยเคียงข้าง KNU เมื่อครั้งเข้าปิดล้อมเมืองเมื่อต้นเดือน เม.ย.

รัฐบาลทหารและกองกำลังกะเหรี่ยงแห่งชาติ (KNA) ที่เคยเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนรัฐกะเหรี่ยง (หรือกะเหรี่ยงบีจีเอฟ- Karen BGF) ไม่ตอบรับโทรศัพท์ที่รอยเตอร์ติดต่อเพื่อขอความคิดเห็น

KNA ที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาลทหาร ได้ยืนยันที่จะแยกตัวออกจากกองทัพพม่าที่อ่อนแอลงในปีนี้ แต่ไม่ได้ให้คำมั่นต่อสาธารณะว่าจะเข้าพวกกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร

อดีตกองกำลังพิทักษ์ชายแดนรัฐกะเหรี่ยงกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.อ.ซอ ชิด ตู่ และมีผลประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างมากในเมืองเมียวดีและพื้นที่โดยรอบ ที่รวมทั้งกาสิโน บ่อนการพนันออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เอกอัครราชทูต (Ambassador) ศักดิ์ศรีของประเทศ ผู้แทนของพระราชา

โลกใบนี้มีประเทศต่าง ๆ อยู่เกือบ 200 ประเทศ ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลากหลายมิติไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ 

การที่จะทำให้พลโลกอยู่รวมกันอย่างมีสันติสุข โดยให้เกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด และเพื่อป้องกันไม่ให้ขยายตัวจนกลายเป็นความรุนแรง จนกลายเป็นสงครามระหว่างกันนั้น ทุก ๆ ประเทศจึงต้องมีไมตรีจิตและมิตรภาพอันดีต่อกัน

แน่นอนว่า การสร้างและรักษาไมตรีจิต-มิตรภาพอันดีระหว่างประเทศ 2 ประเทศนั้น จะดำเนินไปได้ด้วยดีถ้าทั้งสองประเทศมีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทน, ผู้รับเจรจาแทน หรือตัวเชื่อมระหว่างกัน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของนักการทูตของประเทศนั้น ๆ โดยมี ‘เอกอัครราชทูต’ (Ambassador) เป็นหัวหน้าคณะ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทางการทูตระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของประเทศนั้น เพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศตนในประเทศที่ตนประจำการอยู่ 

บทบาทหลักของ ’เอกอัครราชทูต’ คือการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ อำนวยความสะดวกด้านการค้าและการพาณิชย์ และส่งเสริมโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการศึกษา ทั้งยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการสร้างสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศตนและประเทศที่ประจำการ, รายงานข้อมูลข่าวสารของประเทศที่ไปประจำการให้รัฐบาลทราบเพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายการทูตให้ถูกต้องเหมาะสมกับประเทศนั้น ๆ, ดำเนินนโยบายทางการทูต เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ, แนะนำโน้มน้าวให้ประเทศที่ไปประจำการดำเนินนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และแนะนำมาตรการรับมือกรณีมีเหตุจำเป็นให้แก่รัฐบาล ฯลฯ

สำหรับบ้านเรา ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรด้วยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ (หัวหน้าทูตของพระราชา) เป็นตำแหน่งที่ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ต้องเข้าเฝ้าเพื่อกราบถวายบังคมลาไปปฏิบัติหน้าที่ รับพระราชทานเจิม และรับพระราชทานพระราชสาส์นตราตั้ง เพื่อนำไปยื่นต่อประมุขของประเทศที่ตนเองไปประจำการ เรียกได้ว่านอกจากจะเป็นทั้งตัวแทนและภาพลักษณ์ของประเทศแล้ว ตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นยังถือเป็นผู้แทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย 

เนื่องจากตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ เป็นตำแหน่งสำคัญด้วยเพราะเป็นทั้งตัวแทนและภาพลักษณ์ของประเทศ จึงมีการพิจารณาคัดกรองบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วผู้ที่จะได้ดำรงตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นจะได้ถูกการคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่มีทักษะทางการทูต ความรู้ภาษาต่างประเทศ และความเชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยเพราะแม้ว่าเกือบ 200 ประเทศบนโลกนี้ แต่ไทยเรามีสถานทูตเพียง 67 แห่ง นั่นหมายถึงว่า นักการทูตที่จะก้าวสู่ตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นจะต้องมีทั้งความสามารถและประสบการณ์ในการทำงานอย่างยอดเยี่ยม มีวัตรปฏิบัติอันเป็นที่ยอมรับ นับถือ และชื่นชมของบรรดาผู้คนในสังคมโดยรวม 

นอกจากนี้แล้วตำแหน่งนี้มิใช่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเฉพาะประเทศนั้น ๆ แต่กระทรวงต่างประเทศยังต้องส่งข้อมูลประวัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนี้ไปให้ประเทศที่จะไปประจำการพิจารณาตรวจสอบด้วย 

นักการทูตไม่ว่าระดับ ‘เอกอัครราชทูต’ หรือคณะเจ้าหน้าที่ทางการทูต ฯลฯ ของไทยนั้น ถือเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติด้วยวัตรปฏิบัติในต่างแดนนั้น สุภาพ อ่อนโยน สมกับเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ โดยปัจจุบันนอกจากกระทรวงการต่างประเทศที่ส่งคณะทูตไปประจำยังมิตรประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว แทบทุกกระทรวงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานในประเทศที่มีความสำคัญต่อภารกิจของกระทรวงนั้น ๆ อีกด้วย

โดยสรุปแล้ว นักการทูตไทยนั้น ปฏิบัติตนตามแบบแผนพิธีการทางการทูต (Diplomatic protocol) ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เป็นอย่างดี จึงได้รับการยอมรับและชื่นชมยินดีจากทุก ๆ ประเทศที่มีนักการทูตไทยไปประจำการ แตกต่างจากหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่มักจะให้นักการทูตของตนเข้าไปวุ่นวายแทรกแซงประเทศต่าง ๆ เพียงเพื่อผลประโยชน์และความต้องการของประเทศตน โดยไม่คำนึงถึง มารยาท ความถูกต้องเหมาะสม ตามแบบแผนพิธีการทางการทูต ทำให้ประชาชนของประเทศที่ไปประจำการเกิดความเกลียดชังจนกระทบไปถึงภาพลักษณ์ของประเทศของตนโดยรวมอีกด้วย

‘คุณแม่เกาหลี’ อุ้มลูกวัย 4 เดือน ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต พร้อมแจก ‘ที่อุดหู-ลูกอม-แนบโน๊ตขอโทษ’ หากมีเสียงรบกวน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘สุขภาพดี’ ได้โพสต์เรื่องราวของคุณแม่เกาหลีท่านหนึ่ง ที่ทำการแจกชุด ‘ป้องกันเสียงเด็ก’ แก่ผู้โดยสารบนเครื่องบินในเที่ยวเดียวกัน เพราะกลัวลูกน้อยร้องไห้เสียงดังรบกวน โดยระบุว่า…

“ดูเหมือนว่าคุณแม่ชาวเกาหลีรายนี้ก็รู้ดีถึงเหตุผลข้างต้น แต่เธอมีเหตุจำเป็นให้ต้องเดินทางกว่า 10 ชั่วโมง เพื่อไปที่ซานฟรานซิสโกกับลูกน้อยวัย 4 เดือน

โดยเหตุการณ์นี้ถูกโพสต์ผ่านเฟสบุ๊กของนาย Dave Corona เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2019 กล่าวถึงความประทับใจต่อคุณแม่ชาวเกาหลีรายนี้ ที่เลือกแจกชุด ‘ป้องกันเสียงเด็ก’ กว่า 200 ชุดให้กับผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน

โดยในถุงที่แจกประกอบไปด้วยที่อุดหู ลูกอมหลายชนิด และข้อความเขียนในนามของเด็กชายระบุว่า ‘สวัสดีครับ ผมชื่อ Junwoo (จุนวู) อายุ 4 เดือน วันนี้ผมกำลังเดินทางไปที่สหรัฐฯ กับคุณแม่และคุณยาย เพื่อไปหาคุณป้าของผม’

‘ผมรู้สึกกังวลและกลัวนิดหน่อย เพราะนี่คือไฟลท์แรกในชีวิตของผม นั่นหมายถึงผมอาจจะร้องไห้หรือส่งเสียงดังเกินไป’

‘คุณแม่ของผมจึงเตรียมถุงเล็ก ๆ นี้ไว้สำหรับคุณ จะมีทั้งลูกอมและที่อุดหู ขอความกรุณาใช้มัน เมื่อผมส่งเสียงดัง ขอให้เดินทางอย่างมีความสุขนะครับ ขอบคุณฮะ’

บอกเลยว่าใครเห็นข้อความนี้เป็นอันต้องโกรธไม่ลงแน่นอน แถมยังยิ้มออกอีกด้วย”

‘จีน’ เตือน!! ‘สหภาพยุโรป’ ไม่ควรเลือกปฏิบัติกับ บ.ต่างชาติ หลังผู้ประกอบการจีนในยุโรป โดนบุกรุกสำนักงาน-ยึดอุปกรณ์

(25 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ของจีนกระตุ้นเตือนสหภาพยุโรป (EU) สร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ยุติธรรม เที่ยงตรง และไม่เลือกปฏิบัติ สำหรับบริษัทต่างชาติในยุโรป

โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เรียกร้องฝ่ายยุโรปหยุดและแก้ไขการกระทำที่ไม่ถูกต้อง หลังจากฝ่ายยุโรปบุกรุกเข้าสำนักงานของกลุ่มผู้ประกอบการจีนในยุโรปและยึดอุปกรณ์เมื่อวันอังคาร (23 เม.ย.) ที่ผ่านมา

ซึ่งจีนเป็นกังวลและคัดค้านการดำเนินการของสหภาพยุโรปอย่างจริงจัง เนื่องจากละเมิดขั้นตอนอันชอบธรรมตามกฎหมาย ขัดขวางการแข่งขันตามปกติ บั่นทอนความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติทั้งหมดที่ดำเนินงานในยุโรปอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ จีนจะเฝ้าติดตามการดำเนินการของฝ่ายยุโรปในอนาคตอย่างใกล้ชิด และดำเนินทุกมาตรการอันจำเป็นต่อการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของบริษัทจีน

‘สิงคโปร์’ ทำพิธีปล่อย ‘เรือดำน้ำ’ ลำที่ 4 สุดทันสมัย พร้อมปฏิบัติการในพื้นที่น้ำตื้นของทะเลเขตร้อน

(25 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Thaifighterclub’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ เรือดำน้ำ Type 218SG ลำล่าสุดของ ทร.สิงคโปร์ โดยระบุว่า…

“พิธีปล่อยเรือดำน้ำลำล่าสุดของ ทร.สิงคโปร์ ซึ่งเป็นลำสุดท้ายจากจำนวนทั้งหมด 4 ลำของเรือดำน้ำชั้น Invincible ที่ทางสิงคโปร์สั่งต่อจากเยอรมนี

ป.ล.มองประเทศเขาแล้วก็ถอนหายใจ เฮ้อเบา ๆ”

โดยมีชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก อาทิ

- ประเทศเรากำลังเป็นกองทัพเรือประมงครับ
- ที่ 1 ในใจเลยของเยอรมนี ตั้งแต่เป็นช่างซ่อมเครื่องจักรมาเกือบ 20 ปี ทุก ๆ อย่าง ของค่ายนี้สุด ๆ ทุก ๆ ด้านจริง ๆ
- ผู้นำเขายอดเยี่ยมจริง ๆ
- แสดงว่าเรือดำน้ำสำคัญ ที่ทุกประเทศอยากมี

ทั้งนี้ เรือดำน้ำชั้น Invincible ลำนี้ ได้รับการปรับปรุงพิเศษด้วยความร่วมมือระหว่าง เรือดำน้ำ Inimitable ของสิงคโปร์ อีกทั้งยังได้รับการออกแบบร่วมกันโดยกองทัพเรือสาธารณรัฐสิงคโปร์, สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (DSTA) และ Thyssenkrupp Marine Systems ของเยอรมนี

ทำให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการในพื้นที่น้ำตื้น ที่มีการสัญจรทางทะเลเขตร้อนที่แออัดของสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นเรือที่มีความทันสมัยระดับต้น ๆ ของโลก และนับเป็นเรือดำน้ำลำใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในเยอรมนีอีกด้วย

‘ม็อบหนุนปาเลสไตน์’ ผุดขึ้นตามมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ ‘เจ้าหน้าที่’ ปราบดุ!! ใช้สารเคมี-ช็อตไฟฟ้า สลายการชุมนุม

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการแข็งกร้าวกับผู้ชุมนุมประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ที่ปักหลักชุมนุมกันตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หลังการชุมนุมลักษณะนี้แผ่ลามไปตามสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ทั่วอเมริกามากขึ้น

รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ปราบจลาจลใช้สารระคายเคืองและอุปกรณ์ช็อตไฟฟ้าเข้าควบคุมการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในขณะที่บรรดาผู้บริหารของสถาบันการศึกษาที่ทรงเกียรติที่สุดของประเทศบางแห่งกำลังดิ้นรนขัดขวางการปักหลักชุมนุมยึดสถานที่ของผู้ประท้วง

การปักหลักชุมนุมและประท้วงอันครึกโครม ผุดขึ้นมาตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ด้วยที่พวกนักเคลื่อนไหวเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในสงครามระหว่างอิสราเอลกับนักรบฮามาส เช่นเดียวกับเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทั้งหลายตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอลและบริษัทต่าง ๆ ที่พวกเขาบอกว่าโกยกำไรจากความขัดแย้งดังกล่าว

"สำหรับ 201 วัน ที่โลกเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้อิสราเอลฆาตกรรมชาวปาเลสไตน์ไปกว่า 30,000 คน" ข้อความหนึ่งที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์โดยแกนนำการประท้วงจุดใหม่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส 

"วันนี้ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเข้าร่วมกับนักศึกษาทั่วประเทศ เรียกร้องมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของเราตัดขาดกับบริษัทต่าง ๆ ที่แสวงหาผลกำไรจากการรุกราน การแบ่งแยก และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์"

มีผู้ประท้วงมากกว่า 200 คน ถูกจับกุมในวันพุธ (24 เม.ย.) และวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในลอสแอนเจลิส บอสตัน และในเมืองออสติน รัฐเทกซัส บริเวณที่มีผู้คนกว่า 2,000 ราย มารวมตัวกันอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.)

ที่มหาวิทยาลัยเอโมรี ในแอตแลนตา ปรากฏภาพถ่ายกำลังใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าระหว่างเข้าจัดการกับพวกผู้ประท้วงที่อยู่บริเวณลานหญ้า ขณะที่เว็บไซต์ข่าวของทางมหาวิทยาลัย เผยว่า พวกเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากป้องกันแก๊สและใช้สายรัดข้อมือควบคุมตัวผู้ชุมนุม

กรมตำรวจแอตแลนตา อ้างว่าทางมหาวิทยาลัยร้องขอให้ช่วยคุ้มกันมหาวิทยาลัย "พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเจอกับการใช้ความรุนแรง เราทราบมาว่าเจ้าหน้าที่กรมตำรวจแอตแลนตาใช้สารระคายเคืองระหว่างเหตุการณ์นี้ แต่กรมตำรวจแอตแลนตาไม่ได้ใช้กระสุนยาง"

สถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายของการประท้วง เริ่มต้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก หลังจากผ่านพ้นเส้นตายที่พวกนักศึกษาได้รับคำสั่งให้รื้อถอนค่ายชั่วคราวที่พวกเขาใช้ปักหลักชุมนุมและกลายมาเป็นศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว

การประท้วงที่ลุกลามกลายมาเป็นความท้าทายใหญ่หลวงสำหรับบรรดาผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่พยายามรักษาสมดุลในพันธสัญญาของมหาวิทยาลัย ในเรื่องของสิทธิเสรีภาพการแสดงออกกับเสียงโวยวายต่าง ๆ เกี่ยวกับการล้ำเส้นของพวกผู้ประท้วง

พวกผู้ประท้วงสนับสนุนอิสราเอลและอื่น ๆ แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย โดยชี้ถึงเหตุการณ์ต่อต้านยิวต่าง ๆ และกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยทั้งหลายกำลังสนับสนุนการข่มขู่คุกคามและประทุษวาจา (hate speech)

อย่างไรก็ตาม นักศึกษาผู้ประท้วงบอกว่าพวกเขาต้องการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ในกาซา ดินแดนที่มีผู้ถูกสังหารไปแล้วแตะระดับ 34,305 คน โดยผู้ชุมนุมบางส่วน ในนั้นรวมถึงนักศึกษายิวเองจำนวนหนึ่ง ปฏิเสธคำกล่าวหาต่อต้านยิว และวิพากษ์วิจารณ์พวกเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติกับพวกเขาสวนทางกับฝ่ายสนับสนุนอิสราเอล

อิสราเอล พันธมิตรของสหรัฐฯ เปิดสงครามในกาซา แก้แค้นกรณีที่พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไปราว 1,170 ราย และจับตัวประกันไปประมาณ 250 คน คาดหมายว่าเวลานี้ยังเหลือตัวประกันอยู่ในกาซาอีก 129 คน แต่ในนั้น 34 คน สันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว

ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส ซึ่งมีผู้ประท้วงถูกจับกุมฐานบุกรุก 93 รายในวันพุธ (24 เม.ย.) พวกเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าได้ยกเลิกกิจกรรมพิธีสำเร็จการศึกษาในวันที่ 10 พฤษภาคม

ส่วนที่มหาวิทยาลัยเอเมอร์สัน ในบอสตัน สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าได้มีการยกเลิกการเรียนการสอนในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) หลังจากตำรวจปะทะกับผู้ประท้วงเมื่อคืนที่ผ่านมา รวมถึงเข้ารื้อถอนค่ายของผู้ชุมนุมฝักใฝ่ปาเลสไตน์และจับกุมผู้ประท้วงไปราว 108 คน

ในวอชิงตัน พวกนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน จัดตั้งแคมป์ปักหลักชุมนุมเพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) โดยที่บรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ยังมีแผนประท้วงไม่เข้าเรียนอีกด้วย

การประท้วงและการปักหลักชุมนุมยังผุดขึ้นที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และมหาวิทยาลัยเยล แม้พบเห็นนักศึกษาหลายสิบคนถูกจับกุมไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ เช่นเดียวกับที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยบราวน์ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน และที่อื่น ๆ

เมื่อวันอาทิตย์ (21 เม.ย.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ประณามความเคลื่อนไหวต่อต้านยิวอย่างโจ่งแจ้ง โดยบอกสิ่งแบบนี้ไม่ควรมีที่ว่างตามมหาวิทยาลัยทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวบอกเช่นกันว่าท่านประธานาธิบดีสนับสนุนเสรีภาพการแสดงออก ณ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐฯ

‘บังกลาเทศ’ ร้อนจัด!! อุณหภูมิสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส ตัดสินใจปิดโรงเรียนทั่วประเทศ เด็ก 33 ล้านคนต้องหยุดเรียน

(26 เม.ย. 67) บีบีซี รายงานว่า นักเรียนในบังกลาเทศ กว่า 33 ล้านคน ต้องหยุดอยู่บ้าน หลังทางการสั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเป็นการชั่วคราวอย่างน้อยจนถึงวันที่ 27 เม.ย. ภายหลังสภาพอากาศร้อนจัด หลายพื้นที่มีอุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้ ถือเป็นการปิดโรงเรียนระดับประเทศต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยก่อนหน้านี้อินเดียและฟิลิปปินส์สั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเช่นกันหลังจากคลื่นความร้อนแผ่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชีย และตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. หน่วยงานด้านสภาพอากาศของบังกลาเทศออกแถลงการณ์เตือนภัยร้อนเป็นครั้งที่ 4

ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าจะเผชิญกับอากาศแปรปรวนสาหัส เนื่องจากบังกลาเทศมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบต่ำและเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

ขณะที่ข้อมูลจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอซีพีพี) ระบุว่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น 30-45 เซนติเมตร อาจส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 35 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ ที่อาศัยอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลต้องพลัดถิ่น

‘หวังอี้’ วอน ‘บลิงเคน’ ช่วยแก้ปัญหาขัดแย้ง ‘จีน-สหรัฐฯ’ หวั่น!! ความสัมพันธ์ทั้งสองชาติ จะย่ำแย่เกินการควบคุม

(26 เม.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ได้หารือกับนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 เมษายน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เรียกร้องให้บลิงเคนแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐ มิเช่นนั้นก็อาจมีความเสี่ยงที่ความสัมพันธ์จะย่ำแย่อย่างไร้การควบคุม

นี่ถือเป็นการเดินทางเยือนจีนครั้งที่สองในรอบไม่ถึง 1 ปีของบลิงเคน ขณะที่จีนกำลังไม่พอใจกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ รวมถึงการแบนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และพยายามที่จะบีบให้บริษัท Bytedance ของจีนขายกิจการ Tiktok แอปพลิเคชันแชร์วิดีโอสั้นยอดนิยมในสหรัฐ

ทั้งนี้ นายหวัง อี้ ให้การต้อนรับนายบลิงเคน ที่เรือนรับรองเตียวหยูไถ่ ในกรุงปักกิ่ง โดยกล่าวกับบลิงเคนว่า ความสัมพันธ์ของ 2 ชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐเริ่มที่จะมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้พบกันที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

นายหวังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ปัจจัยลบต่าง ๆ ในความสัมพันธ์ของสองประเทศยังคงเพิ่มมากขึ้น และจีนสนับสนุนการเคารพในผลประโยชน์หลักของแต่ละฝ่าย พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐไม่เหยียบย่ำขีดจำกัดของจีนในด้านอธิปไตย ความมั่นคง และการพัฒนา

ด้านผู้ช่วยของบลิงเคนระบุก่อนหน้านี้ว่า บลิงเคนจะยกประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นข้อกังวล อาทิ การที่จีนสนับสนุนรัสเซีย นายบลิงเคนได้กล่าวกับนายหวังในช่วงต้นของการหารือว่า ทั้งสหรัฐและจีนควรที่จะแสดงให้เห็นว่าสามารถบริหารความสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบ และทั้งสองประเทศควรที่จะมีความชัดเจนที่สุดในประเด็นที่มีความต่างอย่างน้อยที่สุดก็เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและการคำนวนผิดพลาด ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่เพื่อประชาชนของสองประเทศ แต่เพื่อผู้คนทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่มีการยืนยันว่าบลิงเคนจะได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนหรือไม่

‘เซี่ยงไฮ้’ เตรียมเปิดสวนสนุก ‘เปปปาพิก’ ใหญ่สุดในโลก ปี 2027 หวังขับเคลื่อน ศก. - ยกระดับให้เป็นจุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก

(25 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฮาสโบร (Hasbro) บริษัทของเล่นและเกมชั้นนำ และบริษัท แมกซ์-แมทชิง เอนเตอร์เทนเมนท์ส จำกัด (Max-Matching Entertainments) เปิดเผยว่าสวนสนุกกลางแจ้งเปปปาพิก (Peppa Pig) แห่งแรกในเอเชียที่จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะเปิดตัวที่มหานครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีนในปี 2027

สวนสนุกแห่งนี้ใช้เงินลงทุนกว่า 2.4 พันล้านหยวน (ราว 1.2 หมื่นล้านบาท) จะครอบคลุมพื้นที่ราว 290 หมู่ (ราว 121 ไร่) บนเกาะฉางซิง เขตฉงหมิงของเซี่ยงไฮ้ โดยอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ไปทางเหนือ 90 กิโลเมตร หรือราวหนึ่งชั่วโมงครึ่งหากขับรถจากกลางเมือง

ด้าน จ้าวหยาง ประธานบริษัทแมกซ์-แมทชิง เอนเตอร์เทนเมนท์ส ระบุว่า สวนสนุกเปปปาพิกจะโดดเด่นด้วยองค์ประกอบที่เป็นนวัตกรรม โดยมีพื้นที่ เครื่องเล่น การแสดงแสงสีน่าตื่นตาตื่นใจ และมีโรงแรมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 3 ช่วงวัยในหนึ่งครอบครัว

ไช่เสี่ยวเฟย รองผู้อำนวยการคณะกรรมการบริหารเกาะฉางซิง เปิดเผยว่า สวนสนุกเปปปาพิกจะยกระดับเซี่ยงไฮ้ให้กลายเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้ ทั้งทำให้เกาะฉางซิง เขตฉงหมิง และเซี่ยงไฮ้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อโดยรวมอีกด้วย

ด้านแมตต์ พรูลซ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายประสบการณ์ระดับโลก ความร่วมมือ และดนตรีของฮาสโบร ระบุว่า บริษัทฯ จะทำงานต่อไปเพื่อนำสวนสนุกกลางแจ้งเปปปาพิกและประสบการณ์ความสนุกสนานที่น่าจดจำไปยังเมืองต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อสร้างความสุขให้กับเด็ก ๆ และครอบครัวชาวจีน

‘ญี่ปุ่น’ เตรียมขึ้นฉากกั้น ปิดจุดถ่ายภาพหน้าร้าน LAWSON ใกล้ ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ เพื่อตัดปัญหานักท่องเที่ยวไร้ระเบียบ ‘ทิ้งขยะเรี่ยราด-ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร’

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย. 67) เมืองฟูจิคาวากุจิโกะ มีจุดถ่ายภาพมุมมหาชนของนักท่องเที่ยว บริเวณเชิงเขาโยชิดะสู่ภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งแต่ละวันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่พยายามจะถ่ายภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่ยืนอยู่หน้าร้าน Lawson's เพื่อต้องการถ่ายภาพความแตกต่างระหว่างร้านที่สว่างไสวด้วยแสงไฟนีออนกับภูเขาอันงดงามอลังการด้านหลัง

แต่หลังจากนี้ จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ของ เมืองฟูจิคาวากุจิโกะ เปิดเผยว่า หลังจากประสบปัญหานักท่องเที่ยวทิ้งขยะและไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างต่อเนื่อง เช่น การข้ามถนน ไปจนถึงการปีนป่ายอาคารรอบ ๆ แม้จะมีป้ายและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเตือนแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์เดิม ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไป

เหตุผลดังกล่าว ทำให้ทางการญี่ปุ่นตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เตรียมสร้างฉากกั้นมีความสูง 2.5 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร ที่จะถูกติดตั้งขึ้นในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อบดบังไม่ให้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิแบบเดิมอีก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top