Monday, 20 May 2024
World

‘ตำรวจจีน’ ออกจับเหล้า ที่ถูกสวมฉลากเป็น ‘สินค้าจัดสรรพิเศษ’ ย้ำ!! ทำเพื่อ ‘ผลประโยชน์อันชอบธรรม’ ตามกฎหมายของผู้บริโภค

(20 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเริ่มต้นดำเนินการรณรงค์เพื่อปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปลอม ซึ่งถูกสวมฉลากเป็น 'สินค้าจัดสรรพิเศษ' แก่หน่วยงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐบาล หรือกองทัพ

รายงานระบุว่าปฏิบัติการนี้มีเป้าหมายปราบปรามการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบอย่างผิดกฎหมาย ปกป้องคุ้มครองชื่อเสียงของพรรคฯ รัฐบาล และกองทัพ พร้อมกับรับประกันสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของผู้บริโภค

หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วจีนจะปราบปรามการค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปลอมทุกขั้นตอน ตั้งแต่ผลิต จำหน่าย ขนส่ง และจัดเก็บ รวมถึงการกระทำผิดเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายวัสดุบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปลอม และการทำผิดกฎหมายอันเกี่ยวกับการพิมพ์เครื่องหมายการค้าและสัญลักษณ์ของหน่วยงานพรรคฯ รัฐบาล และกองทัพโดยไม่ได้รับอนุญาต

นอกจากนั้นกระทรวงฯ เน้นย้ำความจำเป็นในการตรวจตราโลกออนไลน์อย่างเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ช่องทางไลฟ์สตรีมมิงหรือไลฟ์สด และแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อรวบรวมเบาะแสอันนำสู่การกระทำผิดดังกล่าว

ทั้งนี้ สำนักสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมอาหารและยาของกระทรวงฯ จะเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย

‘รัสเซีย’ ใช้โดรนราคาถูก $500 ทำลายรถถังสหรัฐฯ $10 ล้านในยูเครน ย้ำ!! มีความแม่นยำมากกว่า 90% โจมตียานเกราะ ในจุดที่อ่อนแอที่สุด

(21 เม.ย.67) สื่อมวลชนอเมริการายงานว่า มีรถถังเอบรามส์อย่างน้อย 5 คัน จากทั้งหมด 31 คันที่สหรัฐฯ จัดหาให้แก่ยูเครน ถูกรัสเซียทำลายไปแล้ว พร้อมบอกว่ามีอีก 3 คันที่ได้รับความเสียหายพอประมาณ

รายงานข่าวระบุว่า กรณีส่วนใหญ่รถถังเอบรามส์เหล่านี้ถูกทำลายโดยโดรนกามิกาเซ แบบ first-person view หรือที่รู้จักกันในฐานะกระสุนแบบดักรออยู่กับที่ (loitering munition) จากลักษณะการทำงานของมันคือ การดักรออยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเพื่อระบุเป้าหมายก่อนที่จะโจมตี

ตามรายงานของนิวยอร์กไทม์ส ระบุว่า เวลานี้รถถังถูกกำจัดด้วยโดรนระเบิดได้ง่ายกว่าที่พวกเจ้าหน้าที่และพวกผู้เชี่ยวชาญบางส่วนสันนิษฐานไว้ในตอนแรก พร้อมกับอ้างความเห็นของ มาร์คุส รีสเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารชาวออสเตรีย ที่ให้คำจำกัดความสถานการณ์ดังกล่าว "เหลือเชื่อมาก" ในขณะที่นิวยอร์กไทม์สให้คำนิยามอากาศยานไร้คนขับของรัสเซีย "เป็นมือสังหารรถถังแม่นยำสูง และมีราคาถูก"

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า โดรนมีความแม่นยำมากกว่า 90% พร้อมระบุพวกมันมีศักยภาพเล่นงานยานเกราะหนักในจุดที่อ่อนแอที่สุด ทั้งนี้ อากาศยานไร้คนขับมีราคาแค่ 500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 18,000 บาท) แต่มีศักยภาพกำกจัดรถถังเอบรามส์ ที่มีราคาคันละ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 368 ล้านบาท) และยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปกป้องรถถังจากการโจมตีด้วยโดรน

รถถังเอบรามส์ ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ปรากฏตัวในแนวหน้าในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากถูกคาดหมายมาช้านาน ท่ามกลางความพยายามของยูเครนในการสกัดการรุกคืบของทหารรัสเซีย หลังจากกำลังพลของมอสโกยึดเมืองอัฟดิอิฟกา ในภูมิภาคดอนบาสได้สำเร็จ

บรรดาชาติผู้สนับสนุนรับปากส่งมอบเอบรามส์ M1 จำนวน 31 คันแก่เคียฟ เมื่อปีที่แล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้าที่ยูเครนจะเปิดปฏิบัติการโจมตีตอบโต้แต่ประสบความล้มเหลวในช่วงฤดูร้อน อย่างไรก็ตาม การส่งมอบเพิ่งเริ่มเดินเครื่องอย่างเต็มกำลังในช่วงกลางเดือนตุลาคม ครั้งที่ปฏิบัติการโจมตีตอบโต้อ่อนแรงลงไปแล้ว

‘จีน’ ออกมาตรการหนุน ‘ต่างชาติ’  ดันให้ลงทุนด้าน ‘วิทย์-เทคโนฯ’ 

(21 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กลุ่มหน่วยงานทางการจีนออกเอกสารแจกแจงมาตรการชุดใหม่ ซึ่งส่งเสริมบรรดาสถาบันในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในกลุ่มผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในประเทศจีน

เอกสารข้างต้นร่วมออกโดยกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานรัฐบาลอีก 9 แห่ง ประกอบด้วย 16 มาตรการที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัดการ การสนับสนุนทางการเงิน การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือ รวมถึงยกระดับกลไกการถอนตัว

จีนจะอนุมัติคำขอของนักลงทุนต่างชาติประเภทสถาบันที่ใช้สกุลเงินดอลลาร์และมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (QFII) รวมถึงนักลงทุนต่างชาติประเภทสถาบันที่ใช้สกุลเงินหยวนและมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (RQFII) ตามกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้นจีนจะสนับสนุนสถาบันในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในกลุ่มผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในประเทศผ่านโครงการหุ้นส่วนจำกัดต่างชาติที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (QFLP)

กองทุนร่วมลงทุนภายในประเทศที่จัดตั้งโดยสถาบันจากต่างประเทศจะได้รับการกำกับดูแลอย่างเท่าเทียมกับกองทุนร่วมลงทุนภายในประเทศที่จัดตั้งโดยนักลงทุนภายในประเทศ

จีนจะส่งเสริมสถาบันจากต่างประเทศที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ออกตราสารหนี้สกุลเงินหยวนในจีนและลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงขยับขยายโครงการนำร่องทั่วประเทศที่เกื้อหนุนการเงินข้ามพรมแดน

ขณะเดียวกันจีนจะสนับสนุนธนาคารภายในประเทศเพิ่มความร่วมมือกับสถาบันจากต่างประเทศด้วย

ฮือฮา!! 'ฮอนด้า' ผนึกพันธมิตร คลอด 3 รุ่น EV โชว์ 'ออโต้ไชน่า' พร้อมปรับโฉมโลโก้ H ใหม่โดยเฉพาะ หวังเจาะตลาด EV จีน

(21 เม.ย.67) งานออโต้ ไชน่า ที่จะเริ่มปลายเดือนเมษายนนี้ ที่เมืองปักกิ่ง ฮอนด้า ประกาศออกมาแล้วว่าจะเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้าใหม่ 3 รุ่นที่มาจากการทำงานร่วมกับพันธมิตรเหล่านี้ในฐานะที่เป็น Local Content นั่นคือ Ye Series ซึ่งจะประกอบด้วย S7 และ P7 Series ส่วนอีกรุ่นคือ GT Series และแน่นอนว่ารถยนต์เหล่านี้ไม่ได้ใช้โลโก้ดั้งเดิมของ H ที่เราคุ้นเคย แต่จะเป็นตัว H ที่ถูกดัดแปลงเพื่อใช้เป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับทำตลาดในจีนโดยเฉพาะ

รุ่นแรกที่จะถูกเปิดตัวขายก่อนคือ S7 และ P7 ซึ่งมีคิวลงขายในจีนช่วงปลายปี 2024 โดยทั้งคู่จะมีตัวถังเดียวกัน ต่างกันที่การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์เดี่ยวแบบล้อหลัง หรือว่าการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ในแบบทวินมอเตอร์ ส่วน GT Series ซึ่งมาในแบบรถยนต์ฟาสแบ็คขนาด D-Segment จะเริ่มลงตลาดในปลายปี 2025

นอกจากนั้น ฮอนด้า ยังวางแผนเปิดตัวรถยนต์ที่มาจาก Ye Series รวมทั้งสิ้นอีก 6 รุ่นภายในปี 2027 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากหากเริ่มต้นด้วยตัวคนเดียว

สภาสหรัฐฯ โหวตท่วมท้น 'แบนติ๊กต็อก' ไม่สนเสียงคัดค้าน-ปิดกั้นเสรีภาพผู้ใช้

เมื่อวานนี้ (21 เม.ย. 67) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โหวตรับรองร่างกฎหมายบังคับให้ไบต์แดนซ์ขายติ๊กต็อก หรือปล่อยให้แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยมนี้ถูกแบนจากตลาดอเมริกา ด้านติ๊กต็อกออกแถลงการณ์ร้องเรียนทันควันชี้เป็นการเหยียบย่ำสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ทำลายธุรกิจ 7 ล้านแห่ง และปิดแพลตฟอร์มที่สร้างรายได้ปีละ 24,000 ล้านดอลลาร์ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ

เจ้าหน้าที่อเมริกาและตะวันตกกังวลว่า ความนิยมในติ๊กต็อกในหมู่หนุ่มสาวจะเปิดโอกาสให้จีนสอดแนมข้อมูลผู้ใช้ เฉพาะอเมริกามีผู้ใช้แอปนี้ถึง 170 ล้านราย

เจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังกล่าวหาว่า ติ๊กต็อกอยู่ใต้อำนาจของปักกิ่ง และเป็นช่องทางเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของจีน ซึ่งทั้งรัฐบาลจีนและติ๊กต็อกต่างปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้

ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ให้ความเห็นชอบด้วยคะแนนท่วมท้น 360 ต่อ 58 เสียงเมื่อวันเสาร์ (20 เม.ย.) ซึ่งอาจนำไปสู่ขั้นตอนที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในการกีดกันไม่ให้บริษัทเอกชนทำธุรกิจในอเมริกานั้น จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในสัปดาห์นี้

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุว่า จะลงนามรับรองร่างกฎหมายนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ย้ำความกังวลเกี่ยวกับติ๊กต็อกระหว่างหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเมื่อต้นเดือน

การยื่นคำขาดต่อติ๊กต็อกครั้งนี้รวมอยู่ในร่างกฎหมายการให้ความช่วยเหลือยูเครน อิสราเอล และไต้หวัน

ทางด้านติ๊กต็อกร้องเรียนทันควันโดยออกแถลงการณ์ ระบุว่า น่าเสียดายที่สภาล่างสหรัฐฯ อาศัยร่างกฎหมายความช่วยเหลือต่างประเทศและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อเร่งรัดร่างกฎหมายแบนติ๊กต็อก ซึ่งจะเป็นการเหยียบย่ำสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ทำลายธุรกิจ 7 ล้านแห่ง และปิดแพลตฟอร์มที่สร้างรายได้ปีละ 24,000 ล้านดอลลาร์ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ

ภายใต้ร่างกฎหมายนี้ ไบต์แดนซ์ บริษัทไฮเทคสัญชาติจีน ต้องเลือกระหว่างขายกิจการติ๊กต็อกในอเมริกาภายใน 1 ปี หรือติ๊กต็อกถูกถอดออกจากแอปสโตร์ของแอปเปิลและกูเกิลในอเมริกา

เดือนที่แล้ว สภาล่างสหรัฐฯ อนุมัติร่างกฎหมายแบนติ๊กต็อกที่กำหนดให้ไบต์แดนซ์ต้องขายหุ้นติ๊กต็อกให้บริษัทสัญชาติอเมริกันภายใน 6 เดือน หรือถูกแบนในอเมริกา ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายนี้อยู่ในการพิจารณาของสภาสูง

สตีเวน มนูชิน อดีตรัฐมนตรีคลังในคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความสนใจซื้อกิจการติ๊กต็อก และขณะนี้กำลังรวบรวมกลุ่มนักลงทุน

ติ๊กต็อกตกเป็นเป้าหมายการเพ่งเล็งของทางการสหรัฐฯ มานานหลายปี ภายใต้ข้อกล่าวหาว่า แพลตฟอร์มยอดฮิตนี้ช่วยให้ปักกิ่งสอดแนมผู้ใช้ในอเมริกา

อย่างไรก็ตาม กฎหมายแบนติ๊กต็อกอาจนำไปสู่การฟ้องร้อง โดยกฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุแอปพลิเคชันที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ หากแอปดังกล่าวควบคุมโดยประเทศที่ถือเป็นศัตรูของอเมริกา

วันศุกร์ที่ผ่านมา (19 เม.ย.) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มเอ็กซ์ หรือทวิตเตอร์ในอดีต ออกมาต่อต้านการแบนติ๊กต็อกโดยระบุว่า แม้การดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลดีต่อเอ็กซ์ แต่เป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผู้คน

‘จีน’ นำตัวผู้ต้องสงสัยเอี่ยว ‘การพนัน-ฉ้อโกง’ จากกัมพูชากลับประเทศ ชี้ ครบหมด!! 680 คน หลังเดินหน้าภารกิจปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้

(22 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเปิดเผยว่าตำรวจจีนนำตัวผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันและการฉ้อโกง จากกัมพูชาจำนวนกว่า 680 ราย กลับจีนครบทั้งหมดแล้ว หลังมีการเริ่มส่งตัวผู้ต้องสงสัยช่วงก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายนโดยแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ

เที่ยวบินเช่าเหมาลำสองเที่ยวนำผู้ต้องสงสัยกลุ่มสุดท้าย จำนวน 135 คน กลับถึงนครอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีนในวันอาทิตย์ (21 เม.ย.) ถือเป็นการเสร็จสิ้นการส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลับจีนในปีนี้ หลังจากตำรวจจีนและกัมพูชาออกปฏิบัติการร่วมเพื่อปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการพนันและการฉ้อโกง

ซึ่งตำรวจจีนได้กระชับความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับอาชญากรรมต่าง ๆ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาทิ การพนันข้ามพรมแดน และการหลอกลวงทางโทรคมนาคม โดยกระทรวงฯ ให้คำมั่นว่าจะจัดการอาชญากรรมประเภทนี้อย่างเข้มงวดต่อไป พร้อมเตือนประชาชนให้ระมัดระวังตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนได้นำตัวผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้างต้นจำนวนหลายหมื่นคนจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลับไปยังจีนในปีนี้

ใหญ่คับฟ้า!! ‘เรือปืน’ นโยบายการทูตร้อยปีของสหรัฐฯ 'ขจัด-กีดกัน-กดดัน' ทุกชาติที่มีพฤติการณ์แข็งขืนมะกัน

จากการที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันศุกร์ (19 เม.ย.67) ว่าได้สั่งปรับบริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ (SCG Plastics Co) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลาสติกสัญชาติไทย เป็นเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 736 ล้านบาท ฐานละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ มากกว่า 400 ครั้งนั้น

เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นตอกย้ำทำให้ทั้งโลกได้เห็นว่า สหรัฐฯ ยังใช้นโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ (Gun Boat Diplomacy) มาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 1853 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งพลเรือจัตวา Matthew C. Perry พร้อมกับหมู่เรือรบอเมริกันเข้าไปยังอ่าวโตเกียว โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นที่ปิดประเทศมานานกว่า 200 ปี 

Perry ได้ตั้งใจที่จะใช้กำลังทหารกดดันหากญี่ปุ่นปฏิเสธการเปิดความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แต่ญี่ปุ่นเองก็ได้ตั้งใจที่จะเจรจาเพื่อเปิดความสัมพันธ์และทำสนธิสัญญาต่าง ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เกิดการปะทะระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นแต่อย่างใด 

ปฏิบัติการของ Perry ในครั้งนั้นได้วางรากฐานสำหรับข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และการใช้หรือการข่มขู่กำลังทหารเพื่อผลด้านนโยบายต่างประเทศจึงกลายเป็นที่รู้จักในชื่อนโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ (Gun Boat Diplomacy) 

นโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ ถูก Theodore Roosevelt ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นำมาใช้อีกครั้ง ซึ่งถูกเรียกว่า ‘ไม้ตะบองใหญ่ของ Teddy Roosevelt’ (Teddy Roosevelt's 'Big Stick') ด้วยการส่งกองเรือรบ Great White (The Great White Fleet) ออกเดินทางไปเยือนเมืองท่าต่าง ๆ ทั่วโลกระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 1907 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1909 โดยชื่อกองเรือดังกล่าวมาจากการที่เรือรบในกองเรือดังกล่าวทุกลำทาสีขาวล้วน 

***หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ขึ้น...

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นไม่เคยมีการรบเกิดขึ้นในดินแดนของสหรัฐฯ เลย แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ฐานทัพเรือของสหรัฐฯ ที่อ่าว Pearl มลรัฐฮาวายถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกโจมตีจนเสียหายอย่างหนัก ดินแดนอาณานิคมของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียทั้งหมดถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าโจมตีและยึดครอง 

หลังจากเป็นแกนนำกองกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตร และเอาชนะฝ่ายอักษะแล้ว ได้มีการนำนโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ มาปิดท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ จนทำให้ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตไปกว่าสองแสนคน (ทั้ง ๆ ที่มีชัยชนะเหนือฝ่ายอักษะในยุโรปแล้ว) จนญี่ปุ่นเองก็คงต้านทานกองกำลังสัมพันธมิตรต่อได้อีกไม่นาน และผลของการทิ้งระเบิดปรมาณู ก็ทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในทันที

มาถึง ยุคสงครามเย็น (Cold War) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่โลกแบ่งออกเป็นสองขั้วค่ายคือ ฝ่ายประชาธิปไตยนำโดยสหรัฐฯ และฝ่ายคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต นโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ ก็เข้มข้นขึ้นตามลำดับ มีการก่อตั้ง NATO ‘องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ’ (North Atlantic Treaty Organization) องค์กรความร่วมมือทางการเมืองและการทหารของประเทศค่ายเสรีประชาธิปไตย และองค์การ SEATO ที่เปรียบเสมือนองค์การ NATO แห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเป็นไปตามลัทธิทรูแมน (Truman Doctrine) ในการสร้างแนวร่วมเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในระดับทวิภาคีและส่วนร่วมในสนธิสัญญาป้องกันระดับภูมิภาค โดยสหรัฐฯ ได้อาศัยความเป็นผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรสร้างฐานทัพบก-เรือ-อากาศ ไว้ทั่วโลกมากมายหลายร้อยแห่ง ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกองทัพสหรัฐฯ ในการขับเคลื่อนนโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ ไปในตัวอีกด้วย

กระทั่งสงครามเย็นจบลงด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต บริบทในการทำสงครามของสหรัฐฯ ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบันทุกวันนี้จึงเปลี่ยนไปจากการรบด้วยกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์มาเป็นการรบด้วยเศรษฐกิจ, การค้า, การเงิน, การลงทุน แต่ในขณะเดียวกันยังคงนโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ ด้วยการวางกำลังทหารทั้งบก-เรือ-อากาศ อยู่ทั่วโลกซึ่งพร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง โดยมุ่งเน้นในการป้องความมั่นคงของชาติ ตลอดจนผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ เองในทุก ๆ มิติ...

....และที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามจนอาจกลายเป็นสงครามบนดินแดนของสหรัฐฯ เอง และมีการใช้วิธีการต่าง ๆ นานาในการปกป้องพิทักษ์ผลประโยชน์และนโยบายทางเมืองของสหรัฐฯ ดังเช่น รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และจีน ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน สหรัฐฯ จึงพยายามออกมาตรการต่าง ๆ มากมายเพื่อ กดดัน ปิดล้อม สกัดกั้น หรือคว่ำบาตร ประเทศเหล่านี้ 

อย่างเช่น กรณีที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ สั่งปรับบริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ ของไทยเป็นเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 736 ล้านบาท) ฐานละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ มากกว่า 400 ครั้ง แม้ เอสซีจี พลาสติกส์ จะสามารถทำการอุทธรณ์ได้ แต่โอกาสที่จะชนะนั้นยากมาก ด้วยเพราะต้องต่อสู้เป็นคดีความกับรัฐบาลที่ออกกฎหมายเอง หาก เอสซีจี พลาสติกส์ ไม่ยอมจ่ายค่าปรับดังกล่าวก็อาจจะส่งผลทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ (Black List) บริษัทในเครือเอสซีจีทั้งหมด ซึ่งย่อมสร้างผลกระทบทางลบต่อธุรกิจของเครือเอสซีจีทั้งหมดในการปฏิสัมพันธ์ทางการค้ากับลูกค้าที่เป็นบริษัทอเมริกันทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

แน่นอนว่า ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่อันดับต้น ๆ ของไทย ซึ่งรวมถึงทั้งเครือเอสซีจีด้วย เมื่อโดนมาตรการแบบนี้ เราที่เป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ จึงไม่สามารถทำอะไรก็ตามที่มีลักษณะเป็นการฝ่าฝืน ต่อต้าน ขัดขืน ฯลฯ ประเทศอภิมหาอำนาจเช่นสหรัฐฯ ได้ 

แม้แต่ประเทศอภิมหาอำนาจอันดับหนึ่งของเอเชียอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนเองก็ยังโดนมาตรการต่าง ๆ ของสหรัฐฯ มากมายหลายครั้ง อาทิ กรณี Meng Wanzhou ลูกสาวของผู้ก่อตั้ง Huawei และมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสายการเงิน (CFO) ถูกจับกุมที่แคนาดาตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2018 ตามหมายจับของสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า Huawei ทำธุรกิจในอิหร่าน ทั้ง ๆ ที่อิหร่านยังอยู่ภายใต้การคว่ำบาตรทางการค้าโดยสหรัฐฯ โดยระหว่างปี 2009-2014 Huawei ได้ตั้ง Skycom บริษัทย่อยเพื่อทำธุรกิจในอิหร่าน อันเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ 

นอกจากนั้น Huawei และ Wanzhou ยังถูกกล่าวหาว่ามีความผิดในฐานปลอมแปลงข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องระหว่าง Huawei และ Skycom ที่ได้ส่งให้กับธนาคาร HSBC รวมถึงมีความพยายามในการจารกรรมข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ฯลฯ ทำให้บริษัท Huawei ถูกจัดเข้าบัญชีดำ (Black List) โดยสหรัฐฯ ในปี 2019 แต่ Wanzhou ก็ต่อสู้คดีจนกระทั่งวันที่ 24 กันยายน 2021 เกือบ 3 ปี เธอจึงได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศจีน ภายใต้ข้อตกลงที่มีร่วมกันระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีน, แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เป็นอย่างมาก

เมื่อบริษัท Huawei ถูกจัดเข้าบัญชีดำ (Black List) ของสหรัฐฯ ด้วยมาตรการจำกัดการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจีนจากเหตุผลความมั่นคง ส่งผลให้ Huawei บริษัทที่ผลิตมือถือเป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ ของโลกต้องร่วงลงมาหลายอันดับ และการปิดกั้นสินค้าเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึง Chip หรือ Semiconductor สมรรถนะสูง แต่ Huawei ก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการทำการพัฒนา Chip หรือ Semiconductor สมรรถนะสูงจนประสบความสำเร็จ และมีแนวโน้มว่าจะสามารถพัฒนาให้สมรรถนะดีกว่าของสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย 

หรือกรณีชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองอุยกูร์ซินเกียงซึ่งถูกสื่อตะวันตกประโคมข่าวไปทั่วโลกว่า มีการกักขัง กดขี่ ทรมาน ชาวอุยกูร์ และมีการออกมาตรการห้ามบริษัทอเมริกันซื้อฝ้ายที่ผลิตจากพื้นที่ดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์กับชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza และเขต West Bank ดินแดนของตนเองซึ่งถูกอิสราเอลปิดล้อมแล้วมีความแตกต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหวเลยทีเดียว เพราะเมืองต่าง ๆ ในเขตปกครองตนเองอุยกูร์ซินเกียงมีความเจริญรุดหน้าเช่นเดียวกับเมืองต่าง ๆ ในประเทศจีนเองหรือแม้กระทั่งเมืองต่าง ๆ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ในขณะที่สภาพความเป็นอยู่ของชาวปาเลสไตน์นั้นไม่ได้แตกต่างไปจากการติดคุกที่มีขนาดใหญ่ ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้วยอิสราเอลได้ทำการปิดกั้นจำกัดในทุก ๆ เรื่องแม้กระทั่งสิ่งที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันเช่นน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค แต่สหรัฐฯ ก็ไม่เคยประณามอิสราเอลว่า ได้ทำการ กดขี่ ข่มเห่ง รังแก ชาวปาเลสไตน์อย่างไร้คุณธรรมแต่อย่างใดเลย

ด้าน อิหร่านซึ่งถูกมาตรการของสหรัฐฯ ต่าง ๆ นานานับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามเมื่อกว่า 40 ปีก่อน อิหร่านมีเครื่องบินรบและเครื่องบินพาณิชย์ที่ผลิตจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากแต่ไม่มีอะไหล่ ที่สุดแล้วอิหร่านก็สามารถพึ่งพาตนเองด้วยการผลิตอะไหล่เครื่องบินเหล่านั้นได้เอง จนปัจจุบันกว่า 40 ปีแล้วที่อิหร่านไม่ได้สามารถซื้อหาอะไหล่จากสหรัฐฯ แต่เครื่องบินเหล่านั้นยังคงใช้งานได้ 

อย่างไรก็ตาม นโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ กำหนดขึ้น เพื่อกดดันประเทศต่าง ๆ ที่ถูกมองว่า มีพฤติการณ์และพฤติกรรมที่สหรัฐฯ ไม่พึ่งประสงค์นั้นกำลังจะย้อนกลับมาสร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ในอนาคต อาทิ การที่ประเทศขั้วตรงข้ามของสหรัฐฯ รวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS : BRASIL-RUSSIA-IRAN-CHINA-SOUTHAFRICA) ด้วยคาดหวังว่า จะกลายเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจของโลกเพิ่มมากขึ้น และจะเป็นการลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตก ปัจจุบันมีสมาชิก 9 ประเทศ อยู่ระหว่างการสมัครอีก 15 ประเทศ (รวมทั้งประเทศไทย) 

ด้วยความที่ไทยเราเป็นประเทศเล็กแต่มีที่ตั้งอยู่ในจุดภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความสำคัญที่สุดในภูมิภาคนี้ จึงจำเป็นต้องรักษาความเป็นกลางอย่างสมดุลให้มีความเหมาะสมพอดีที่สุด จากประสบการณ์ที่เคยเลือกข้างเลือกฝั่งในอดีต จนทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรุนแรงมาแล้ว

ดังนั้น คนไทยทั้งหมดทั้งมวลควรจะช่วยกันจดจำเรื่องราวตลอดจนสิ่งต่าง ๆ ที่ประเทศต่าง ๆ ได้เคยทำไว้กับไทยเรา ทั้งในเชิงบวกและลบ เพื่อสรุปเป็นบทเรียนในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ กับประเทศนั้น ๆ ในเวทีโลกอย่างเหมาะสม ไม่เอาเปรียบประเทศใด ๆ แต่ก็ต้องไม่ยอมให้ประเทศใด ๆ ก็ตามที่มาเอาเปรียบได้ ด้วยการยึดถือเอาประโยชน์สูงสุดของชาติบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นที่ตั้ง โดยถือเป็นความสำคัญและจำเป็นสูงสุด

'มหารัฐกอทูเล' ความฝันอันสูงสุดของชาวกะเหรี่ยง หรือจุดเริ่มต้นความวินาศจากหมากกลรัฐบาลพม่า

ตั้งแต่เริ่มสงครามระหว่างกะเหรี่ยง คราวนี้ถือเป็นกะเหรี่ยงที่เป็นฝ่ายมีชัย จนเกิดคำว่า 'มหารัฐกอทูเล' ขึ้น  

คำนี้ไม่ได้เป็นคำใหม่ แต่หากเป็นคำปลุกใจถึงแผ่นดินทองของกะเหรี่ยงมาตลอด 70 กว่าปีที่จับปืนรบกับทหารเมียนมา

จนวันนี้ที่ฝ่ายกองทัพเมียนมาขนทัพมา 3 กองพลเข้ายึดเมียวดีคืน ถือเป็นปฏิบัติการที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มีการสู้รบกับฝ่ายต่อต้านกองทัพที่ผ่าน ๆ มา

แต่หากดูกำลังพลและยุทโธปกรณ์ที่ทางเมียนมาใช้แล้วจะเห็นว่าฝ่ายกองทัพเมียนมา ยังไม่ได้ขนอาวุธหนักในคลังแสงออกมาใช้เลย โดยเฉพาะอาวุธประเภทพื้นสู่พื้นพิสัยใกล้และพิสัยกลางที่สามารถทำลายเป้าหมายได้คราวละมาก ๆ

มีหลายฝ่ายวิเคราะห์ถึงการไม่เลือกใช้อาวุธดังกล่าวของฝ่ายกองทัพเมียนมาว่า น่าจะไม่อยากให้กระทบถึงสิ่งก่อสร้างของพลเรือนและที่สำคัญคือ ป้องกันความผิดพลาดที่อาวุธดังกล่าวตกข้ามมายังฝั่งไทย

อย่างไรก็ดีเหตุการณ์ความตึงเครียด ณ วันนี้ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตรงชายแดนเมียวดีตัดสินใจปิดด่าน เป็นผลให้ประชาชนตกค้างที่ด่านเป็นจำนวนมาก

>> Myanwaddy D-Day

Monday Impact คือ วันเผาจริงของชาวเมียวดี เมื่อทั้งเมืองถูก Lock down ด่านข้ามแดนปิด สินค้านำเข้าและส่งออกไม่ได้ ธนาคารปิด รวมถึงสาธารณูปโภคในเมียวดีอาจจะถูกตัดขาดเป็นผลจากการสู้รบ ในขณะที่กองทัพพม่าระดมประเคนลูกระเบิดนับ 200-300 ลูกต่อวันเข้าภายในเมือง จากนี้คงต้องดูว่าฝ่ายกะเหรี่ยงยังจะยืนกรานที่จะสู้อยู่หรือจะเข้าสู่โต๊ะเจรจา

'กอทูเล' อาจจะเป็นความฝันของชาวกะเหรี่ยง แต่ชาวกะเหรี่ยงคงลืมไปอย่างว่าที่ผ่านมา รัฐบาลเมียนมาก็ให้สิทธิ์ชาวกะเหรี่ยงปกครองกันเองและยกระดับกองกำลังของกะเหรี่ยงเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน ซึ่งมีอำนาจมากมายในรัฐกะเหรี่ยง รวมถึงพัวพันกับธุรกิจทั้ง สีขาว, สีเทา และสีดำในรัฐกะเหรี่ยง 

คำถาม คือ หากสุดท้ายหากฝ่ายกองทัพเมียนมาปราชัย แล้วทางกะเหรี่ยงจะปกครองอย่างไร?

เพราะ กะเหรี่ยง ไม่ใช่รัฐหรือประเทศ ที่ถูกยอมรับในระดับสากล หากตั้งสกุลเงินใหม่ขึ้นมาทางกะเหรี่ยงจะต้องมีทองคำมาค้ำประกันค่าเงินตนเองซึ่งทองคำนั้นต้องได้รับการยอมรับจากทางประเทศต่าง ๆ ด้วย มิฉะนั้นสกุลเงินของกะเหรี่ยงก็ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษ

ที่ผ่านมาเราได้พบเห็นการขอแยกการปกครองของกลุ่มตนเองออกเป็นประเทศมาแล้ว อาทิเช่น ประเทศติมอร์ เลสเต ที่แยกออกจากอินโดนีเซีย จวบจนปัจจุบันก็ยังมีปัญหาด้านงบประมาณในการใช้พัฒนาประเทศ ฉะนั้นหากกะเหรี่ยงแยกตัวออกจากเมียนมาโดยสมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างในสาธารณรัฐกอทูเล ก็ต้องนำเข้าทั้งจากฝั่งไทยและเมียนมาทั้งสิ้นอยู่ดี

ก็คงต้องถามคนที่นี่แล้วว่า สุดท้ายจะยอมรับค่าสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้นจากการที่มีภาษีนำเข้าได้หรือไม่? ทั้งในส่วนของไฟฟ้าก็ดี เพราะหากแยกตัวจริงเชื่อได้ว่าทางเมียนมาน่าจะหยุดส่งก๊าซเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ทำให้ต้องนำเข้าไฟฟ้าเกือบ 100% จากไทย และไทยจะยอมขายให้ไหม? เพราะหากไทยยอมขายไฟฟ้าให้ ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่ายอมรับการมีตัวตนของประเทศนี้ ซึ่งน่าจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยเมียนมาแน่นอน

ทั้งหมดที่ 'เอย่า' เล่ามานี้ เอย่ายังไม่เห็นแสงทองผ่องอำไพบนแผ่นดินกอทูเลเลย มีแต่ความวินาศของชาวกะเหรี่ยงที่เหมือนถูกซ่อนกลอีกชั้นหนึ่งในหมากที่ฝ่ายพม่าวางไว้ และสุดท้ายคือ คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยแต่ต้องมารับผลกระทบด้วย นั่นคือประเทศไทยนั่นเอง

'นักพี้เยอรมัน' เฮสนั่น!! รัฐบาลผ่านกฎหมายกัญชาเสรี 'ปลูก-เสพ' ได้ ไม่ผิดกฎหมาย ชี้!! ปลอดภัยกว่าก๊งเหล้า

นักพี้ชาวเยอรมันหลายพันคนเฮสนั่น เมื่อรัฐบาลผ่านร่างกฎหมายกัญชาถูกกฎหมายอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา และได้มารวมตัวสูบกัญชาฉลองชัยกันอย่างเอร็ดอร่อยที่หน้าประตูบรันเดินบวร์ค สถานที่ไอคอนที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบอร์ลิน

ตำรวจเบอร์ลินประเมินว่า มีผู้มาร่วมงานบริเวณหน้าประตูบรันเดินบวร์ก ราว 4,000 คน เพื่อมาสูบกัญชา ณ ใจกลางเมืองหลวงร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม 'Smoke-In' เพื่อฉลองชัยที่สามารถผลักดันให้กัญชาถูกกฎหมายในเยอรมัน ซึ่งนอกจากจะนัดมาสูบกัญชาร่วมกันแล้ว ยังมีงานแสดงคอนเสิร์ต และการกล่าวปราศรัยของนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งด้วย

ในความเห็นของผู้ที่สนับสนุนร่างกฎหมายนี้มองว่า การเสพกัญชา เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการดื่มสุราหลายเท่า โดยอ้างอิงจากข้อมูลทางสถิติของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราเกินขนาด หรือ คดีอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการดื่มสุรา ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับจำนวนคนที่สูบกัญชา จึงมีผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อยชูป้ายว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการดื่ม’ หากมีกัญชาเป็นตัวเลือกในวงปาร์ตี้ สันทนาการ ที่ดีกว่า

จากร่างกฎหมายใหม่นี้ ชาวเยอรมันมีสิทธิ์ครอบครองกัญชาสดได้ไม่เกิน 25 กรัม หรือในรูปกัญชาตากแห้งไม่เกิน 50 กรัมต่อคน และสามารถปลูกเองที่บ้านได้ไม่เกิน 3 ต้น แต่ต้องอยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะในเยอรมัน หรือ 18 ปีขึ้นไป  

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการเสพคือ ห้ามสูบบนทางเท้า และบริเวณใกล้โรงเรียน หรือ สนามเด็กเล่นในช่วงกลางวัน และยังห้ามสูบกัญชาในบริเวณสถานีรถไฟทั่วประเทศ เพื่อปกป้องผู้โดยสารคนอื่น โดยเฉพาะ เด็ก และเยาวชน ที่สัญจรโดยรถไฟ 

แต่ถึงแม้จะมีชาติตะวันตกอย่างเยอรมัน แคนาดา สวิสเซอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส และ หลายรัฐในสหรัฐอเมริกา ที่รับรองการสูบกัญชาอย่างถูกกฎหมาย แต่การใช้กัญชายังเป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่า อาจนำไปสู่การเสพสารเสพติดที่มีฤทธิ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น อาทิ โคเคน หรือ เฮโรอีน หรือไม่ 

ด้าน ดร.สเตฟาน ทอนเนส หัวหน้าแผนกพิษวิทยาทางนิติเวชที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต กล่าวว่า จากข้อมูลของผู้ติดยาในเยอรมันพบว่า ผู้ที่ติดเฮโรอีน มักใช้เสพสารเสพติดชนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่ในทางกลับกัน กลุ่มผู้ที่เสพกัญชาจำนวนน้อยมากที่จะขยับขึ้นในเสพเฮโรอีน แม้จะมีความเชื่อมโยงระหว่างการเสพกัญชา ที่จะกระตุ้นความต้องการในการเสพยาเสพติดชนิดอื่นๆได้ในอนาคต แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่สามารถระบุว่าเป็นสาเหตุโดยตรงของการติดสารเสพติด อย่างโคเคน หรือ เฮโรอีนได้

เช่นเดียวกันกับการสำรวจข้อมูผลกระทบของกัญชาต่อสุขภาพ และการทำลายสมอง หรือคำกล่าวอ้างที่ว่าการเลือกเสพกัญชา มีอันตรายน้อยกว่าการดื่มเหล้า ก็ยังไม่มีผลงานวิจัยมายืนยันได้อย่างชัดเจนถึงข้อสรุปเหล่านี้ เพราะทั้งสุรา และกัญชา ต่างมีสารที่เป็นอันตรายในตัวเอง และมีฤทธิ์ถึงตายได้เหมือนกันขึ้นอยู่กับปริมาณการเสพ  

ดังนั้น รัฐบาลเยอรมันจึงยกให้เป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนบุคคล หากเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลือกที่จะเสพกัญชา ก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย หากสูบในพื้นที่ ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด แต่ถ้าเสพหนักจนไปก่ออาชญากรรม หรือ กลายเป็นผลเสียต่อร่างกายก็เป็นเรื่องของกรรมต่างวาระ ที่ผู้เสพต้องรับผิดชอบในทุกๆการกระทำของตนเอง 

เพราะฉะนั้น นักพี้ก็ต้องเสพอย่างมีสติ แต่เกรงว่าจะมีสติได้แค่มวนแรก มวนต่อ ๆ ไป สติสตังชักไม่รู้ว่าทิ้งไว้ตรงไหนแล้วนะซี 

‘เนเธอร์แลนด์’ พบ ‘ชายชราวัย 72 ปี’ ติดเชื้อ ‘โควิด’ จนตาย หลังติดยาวนาน 613 วัน หวั่น!! เป็นตัวกลายพันธุ์อันตรายชนิดใหม่

(22 เม.ย.67) ทีมวิจัยชุดหนึ่งจากเนเธอร์แลนด์ พบการติดเชื้อโควิด-19 ยาวนานเป็นพิเศษในคนชรารายหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตจากไวรัสมรณะชนิดนี้เมื่อปีที่แล้ว ด้วยวัย 72 ปี ก่อความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวขึ้นมาของตัวกลายพันธุ์โคโรนาไวรัสที่อันตรายกว่าเดิม

ถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยพวกนักวิจัย ระบุว่า ชายชรารายนี้ ซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอยู่ก่อนแล้ว สืบเนื่องจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ก่อนหน้า เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในอัมสเตอร์ดัม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หลังมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก และไม่น่าเชื่อ ที่ผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของเขาออกมาเป็นบวกอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในเดือนตุลาคม 2023 เท่ากับเป็นการติดเชื้อยาวนาน 613 วัน

ตัวอย่างการติดเชื้อโควิด-19 เป็นเวลานานของบุคคลหนึ่งที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เคยมีรายงานมากมายก่อนหน้านี้ แต่ในการค้นพบครั้งนี้ที่นำโดย แมกดา เวอร์กัวเว จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม เตรียมมีการนำเสนอต่อที่ประชุมด้านจุลชีววิทยาคลินิกและโรคติดเชื้อแห่งยุโรป ในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 27 ถึง 30 เมษายนนี้

พวกนักวิจัยชี้ว่าเคสนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมันเน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่โคโรนาไวรัสจะมีการกลายพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญบ่อยครั้งระหว่างการติดเชื้อที่ยาวนาน เพราะฉะนั้นมันจึงก่อความเสี่ยงระดับสูงของการถือกำเนิดตัวกลายพันธุ์ที่มีศักยภาพหลบหลีกการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง

ผลวิคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากคนไข้รายนี้ พบว่ามีการกลายพันธุ์กว่า 50 ครั้งเมื่อเทียบกับตัวกลายพันธุ์ BA.1 โอมิครอน ที่กำลังแพร่ระบาดในวงกว้าง ณ ขณะนั้น บางส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน และสิ่งที่น่ากังวลคือ แค่ 21 วันหลังจากชายรายนี้ได้รับยาต่อต้านโคโรนาไวรัสพิเศษชนิดหนึ่ง ไวรัสได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการพัฒนาการต่อต้านยาดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ไวรัสมีพัฒนาการอย่างกว้างขวางในคนไข้รายนี้ แต่ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาแพร่กระจายไวรัสตัวกลายพันธุ์ไปสู่คนอื่น ๆ

ทั้งนี้ ในถ้อยแถลง พวกนักวิจัยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดต่อวิวัฒนาการของโควิด-19 ในบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง พวกเขาเตือนถึงความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวและการแพร่ระบาดตัวกลายพันธุ์ที่อาจก่อความท้าทายแก่ระบบภูมิคุ้มกันของบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top