Thursday, 26 June 2025
Politics

‘ทนายอั๋น’ ร้อง กกต. ปม ‘หมอวรงค์’ อยากเปลี่ยนระบอบ จี้!! ตรวจสอบแบบที่ทำกับ ‘พิธา’ เพื่อยืนยันความเป็นกลาง

(28 ส.ค. 66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ‘ทนายอั๋น บุรีรัมย์’ พร้อม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และนายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ ‘ลุงศักดิ์’ คนเสื้อแดง เข้ายื่นต่อ กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบและพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคพรรคไทยภักดี แถลงถึงจุดยืนของพรรคอยากเห็นประเทศเป็นระบอบการปกครองแบบใหม่ ที่อาจจะไปขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92

นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า ตนเมื่อเห็นการแถลงข่าวของ นพ.วรงค์ ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยภักดี เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ในการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดย นพ.วรงค์ ได้แถลงในทำนองที่ว่าอยากเห็นประเทศไทยเป็นระบอบใหม่ ไม่เอาแล้วกว่า 91 ปีที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญฉบับแรกคณะราษฎรจนถึงปัจจุบันพูดว่ามันคือ ‘ตราบาป-มรดกบาป’ ที่คณะราษฎรทิ้งไว้ และบอกว่าประเทศไทยควรเป็นระบอบราชาธิปไตย

ซึ่งตนเองในฐานะนักประชาธิปไตยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเป็นคนรุ่นใหม่ประชาธิปไตยบริสุทธิ์ เห็นว่าถ้อยที่แถลงเป็นจุดยืนจองพรรคไทยภักดีนั้น ไปขัดกฎหมาย พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจจะเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยอาจจะเป็นปฏิปักษ์กับการปกครองดังกล่าวได้ และขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 ที่ระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นายภัทรพงศ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น มายื่นเพื่อให้ กกต.ทำตามมาตรา 92 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหรือไม่ ก็ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้ เอาบรรทัดฐานที่ทำกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคไทยภักดี พร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการผู้บริหารพรรค

ทำให้เห็นเลยว่า กกต.ไม่ได้เลือกปฏิบัติ และทำให้เห็นว่า กกต.ยังเป็นคนกลาง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เราที่มายื่นก็อยากเห็นประชาธิปไตยที่มั่งคง ก้าวหน้าเท่าเทียมอารยนานาประเทศ กกต.ควรแสดงให้ประชาชนเห็นว่าไม่ได้เลือกข้าง ไม่ใช่ว่าฝ่ายประชาธิปไตยมายื่นเรื่องอะไรก็ตีตกไปหมด แล้วไปรับเรื่องแต่ฝ่ายที่เข้างข้างเผด็จการ เรามายื่นเรื้องวันนี้หวังว่าประธาน กกต.จะสั่งการโดยด่วนและนำเรื่องนี้ไปปรากฎกับศาลรัฐธรรมนูญภายในสัปดาห์หน้า

'โย-พงศธร' ผู้สมัคร สส.ระยอง ก้าวไกล แจงเหตุไม่เสียภาษี  อ้าง!! ตอนนี้เริ่มถูกโจมตี เพราะหาเสียงได้สร้างสรรค์

(28 ส.ค. 66) นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ หรือโย ผู้สมัคร สส. เขต 3 จังหวัดระยอง กล่าวถึงประกาศ ของ กกต. ระยอง ที่ตนเองไม่ได้เสียภาษี 3 ปีย้อนหลัง ว่า ตามที่ได้มีประกาศจากทาง กกต. ว่าตนไม่เสียภาษีนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเวลารับสมัครมีการให้กรอกอาชีพของผู้สมัคร สส. จะมีให้แนบ 2 แบบ คือแบบที่เป็นของบุคคลที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษี ต้องแสดงเอกสารเสียภาษี 3 ปีย้อนหลัง กับแบบที่สอง บุคคลที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี จะเป็นแบบ สส. 4/7 คือเป็นใบรับรองตัวเองว่ามีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี ซึ่งตนใช้แบบที่สองในการยื่น คือมีรายได้ไม่ถึง 220,000 บาทต่อปี ซึ่ง กกต. ก็มีการประกาศรับรองปกติ

เมื่อถามย้ำว่าเป็นเพราะรายได้ไม่ถึงใช่หรือไม่ นายพงศธร กล่าวว่า ใช่ ตนไม่ได้กังวล ถือเป็นกระบวนการตามปกติและมีเอกสารรับรองผู้สมัครเรียบร้อยแล้ว ไม่กังวลว่าคนจะเข้าใจผิดว่าไม่เสียภาษี หากเรียกไปชี้แจงก็สามารถชี้แจงได้

เมื่อถามว่ามีอะไรอยากจะบอกชาวระยองที่หาเสียงอยู่ขณะนี้หรือไม่ นายพงศธร กล่าวว่า นอกจากเรื่องหาเสียงก็มีข่าวเรื่องของการโจมตีตน ตนเข้าใจว่าเป็นเพราะการเมืองที่พรรคก้าวไกลพยายามทำในเรื่องการหาเสียงเชิงสร้างสรรค์และพูดถึงว่าเราจะทำนโยบายอะไร ดังนั้น ฝ่ายที่โจมตี ตนขอให้พ่อแม่พี่น้องเข้มแข็ง รับฟังข่าวสารอย่างมีวุฒิภาวะ

‘เศรษฐา’ เรียก 8 สายการบิน ร่วมถกรับมือไฮซีซันไตรมาส 4 ปลื้ม!! สายการบินตอบรับฟรีวีซ่า เพิ่ม นทท.-กระตุ้นเศรษฐกิจ

(28 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เป็นประธานการประชุมร่วมกับ 8 สายการบิน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และหาแนวทางแก้ไขด้านการบิน เพื่อยกระดับการท่องเที่ยว โดยมีตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ได้แก่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบาย, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สส.บัญชีรายชื่อ, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สส.บัญชีรายชื่อ และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่

ด้านตัวแทนของสายการบิน ได้แก่ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผอ.ใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน), นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผอ.สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน), นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยเวียตเจ็ท, นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย, นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์, นายชัยยง รัตนาไพศาลสุข รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จํากัด, นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน), นายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และนายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท สายการบินนกแอร์ จํากัด (มหาชน)

สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการสะท้อนมายังนายกฯ และพรรคเพื่อไทย เช่น
1.) การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างน้อย 20%
2. การเพิ่มศักยภาพเครื่องบินให้ทันกับการปรับเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น
3.) การเพิ่มโอกาสผลักดันนักท่องเที่ยวในตลาดขนาดใหญ่ เช่น จีน อินเดียให้มากขึ้น
4.) การเพิ่มจำนวนเครื่องบินให้มีความเหมาะสมกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล

นายเศรษฐา กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอบคุณที่ทุกคนสละเวลามาพบกัน ซึ่งเรื่องของการท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล วันนี้พรรค พท. เรามาพร้อมกับว่าที่รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ว่าที่ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ว่าที่เลขานายกฯ ว่าที่ รมว.คมนาคม และว่าที่ รมช.คลัง วันนี้เราพร้อมมาฟังความคิดเห็นจากสายการบินทั้งหมดว่ามีอะไรให้เราช่วยเหลือบ้าง เมื่อถวายสัตย์ฯแล้วจะดำเนินการทันที ซึ่งรัฐบาลพรรค พท.มีความร้อนใจว่าไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว ถ้าเราเริ่มทำงานได้ก่อนจะเป็นการแสดงความได้เปรียบ เพื่อให้ภาคเอกชนมีความพร้อมที่จะรองรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยว

นายเศรษฐา กล่าวว่า และขอขอบคุณ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยกันส่งเสริมการทำงานกับรัฐบาล พท.ในการเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน ซึ่งเป็นการส่งเสริมรายได้เข้าประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น ทั้งในเรื่องของการบริหารจัดการภายในสนามบิน การเพิ่มเที่ยวบิน การเพิ่มหรือขยายรันเวย์ เป็นต้น

ส่วนข้อเสนอของสายการบินต่างๆ ถือว่าเป็นความร่วมมือที่ดีในการร่วมกันส่งเสริม และสร้างรายได้เข้าประเทศ เป็นเรื่องดีที่ทุกสายการบินให้การตอบรับนโยบาย Free visa ในบางประเทศที่มีศักยภาพ เช่น จีน ซึ่งคาดว่าทุกสายการบินมีความต้องการขยายจำนวนเที่ยวบินรับนักท่องเที่ยว ทั้งเที่ยวบินภายในประเทศและต่างประเทศ รัฐบาลที่นำโดยพรรค พท.มีแผนที่จะไปโปรโมทการท่องเที่ยวไทยในต่างประเทศในปีหน้าในเที่ยวบินที่มีความพร้อม ซึ่งแต่ละสายการบินมีสัญญาณที่ดีว่า หากรัฐบาลสามารถเพิ่มความต้องการนักท่องเที่ยวไทยได้ สายการบินจะมีการแข่งขันกันโปรโมทการท่องเที่ยวร่วมกัน ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงตั๋วโดยสารได้ในราคาที่เหมาะสม

‘ฟองสนาน’ โหรดัง น้ำตาซึม!! เล่าถึงนายกฯ ในดวงใจ เผย นายกฯ ท่านนี้เคยปฏิเสธคอมมิชชัน ‘พันล้าน’ มาแล้ว

(28 ส.ค. 66) ฟองสนาน จามรจันทร์ นักพยากรณ์ชื่อดัง อดีตนักข่าวสายการเมือง และนักจัดรายการวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Fongsanan Chamornchan’ ในหัวข้อ ‘นายกฯ ในดวงใจท่านนี้เคยปฏิเสธคอมมิชชั่นประมาณพันล้านขึ้นมาแล้ว’ มีรายละเอียดดังนี้

‘อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน’ ผู้ดีรัตนโกสิทร์ เคยพูดไว้ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์นานมาแล้วว่า นักการเมืองและข้าราชการต้องไม่รับทั้งคอร์รัปชันและคอมมิชชัน

และแล้ววันหนึ่งที่ห้องโหรเล็กๆ ของแม่หมอที่ตลาดบองมาเช่ ห้องบี 263 ห้องนี้ วันๆ เจอข่าวเต็มไปหมด ทั้งดี-ร้าย… เพราะเป็นศูนย์รวมข่าวซุบซิบจากลูกค้าเพียบ

แต่รู้อะไรมามักจะเงียบ อย่างน้อยก็แค่คุยกันในครอบครัวสามคน พ่อคุณหนุ่ย-ลูกพราวฟอง-แม่หมอ

แต่คราวนี้-ถึงวันลา… คนแม่ขอเป็นลำโพงปากแตกหน่อยว่า…

มีเหตุการณ์หนึ่ง เจ้าของโปรเจกต์ที่ค่อนข้างจะเข้าท่า ทะลุไปพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้

แต่ท่านปฏิเสธ… ไม่สนคอมมิสชันมหึมาหรือตามน้ำ… เป็นมูลค่าพันล้านขึ้น แล้วโครงการนี้ก็ไปลงประเทศอื่น

คนเล่าแม้จะเสียผลประโยชน์ ก็ยังบอกว่า จะเลือกท่าน

แล้วอย่ามาถามว่าคนเล่าเป็นใคร เพราะจำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป.ป.ช.คณะนี้ อย่าแหยม… ยิ่งหมั่นไส้อยู่

ขอจำแต่คุณงามความดีของคนชื่อ ‘บิ๊กตู่’ … (คนอื่นแม่หมอไม่เรียกบิ๊กหรอกจ้า เพราะโหลมาก)

แม่หมอน้ำตาซึมมาเล่าให้คุณหนุ่ยฟัง เล่าให้พราวฟองฟังเพื่อบอกว่า ทหารเสือท่านนี้ ร้องโฮก ไม่ใช่เอ๋ง

ทหารเสือท่านนี้ขึ้นไปกราบพระบาทในหลวง ร.9 บนสวรรค์ได้เต็มภาคภูมิ

ด้วยรักจากพี่ ที่อกหักเพราะรัก ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’

พี่ฟองสนาน จามรจันทร์ อดีตนักข่าวการเมือง ที่พอจะอวดท่านนายกฯ ของพี่ได้บ้างนิดหน่อยว่า ทำข่าวมาตลอดชีพ เริ่มจากสยามรัฐ ไม่เคยรับซองขาวค่ะ เพราะคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ+รุ่นพี่สยามรัฐสอนมาดี

ที่เล่าก็เพื่อจะบอกว่า คอมมิชชันที่หากท่านรับกับซองขาว หากพี่จะรับจำนวนต่างกันฟ้ากับเหวเลยเชียวค่ะ

‘เศรษฐา’ เผย จัดคณะรัฐมนตรีใกล้สำเร็จ หวังแถลงกรอบนโยบาย 8 ก.ย.นี้

(29 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีชื่อนายพิชิต ชื่นบาน จะมานั่งตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกฯ และก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อสงสัยว่าจะมีชื่อนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นั่งตำแหน่งรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายว่า ตนเข้าใจว่าคงได้รับมอบหมายให้ไปทำอย่างอื่น สำหรับนายพิชิตก็อยู่มานานแล้ว และเข้าใจว่าเสร็จ 100% แล้ว จริง ๆ ไม่อยากเปิดเผยชื่อเท่าไหร่ เพราะขณะนี้ตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบคุณสมบัติ 2 วัน

เมื่อถามว่าจะสามารถนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่อาจไปก้าวล่วง

เมื่อถามว่านายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา วางกรอบแถลงนโยบายไว้ประมาณวันที่ 8 ก.ย.นี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ถ้าได้ก็ดี ซึ่งมีการนัดคุยเรื่องนโยบายกับพรรคร่วมรัฐบาลตลอด โดยในวันที่ 30 ส.ค. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็จะเข้ามา วันนี้จะมีการคุยนโยบายกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ด้วย และเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมาคุยนโยบายบางส่วนกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งคิดว่าไม่น่ามีประเด็นอะไร อย่างไรก็ตาม เราได้ร่างนโยบายไว้เรียบร้อยแล้ว โดยมีการนำของพรรคร่วมรัฐบาลมาเสริม หรือใครก็ตามที่มีนโยบายของพรรคก็สามารถนำมาหล่อหลอมเป็นนโยบายได้

เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยังหวังว่าพรรคเพื่อไทย จะนำบางนโยบายของพรรคก้าวไกลมาใช้บ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า อะไรเป็นประโยชน์กับประเทศชาติเราก็จะพิจารณาหมด

เมื่อถามว่ามีเสียงสะท้อนจาก สส.ในพรรคเพื่อไทย ถึงความไม่พอใจเรื่องการแบ่งกระทรวงนายเศรษฐา กล่าวว่า ใจเย็น ๆ นิดหนึ่ง อาจจะมีเซอร์ไพรส์อะไรบ้างนิดหน่อย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ขอให้ดูรายชื่อทั้งหมดและโครงสร้างในการแบ่งงานก่อน พยายามเต็มที่ให้ทุกคนไม่ผิดหวัง

เมื่อถามว่าการประชุม สส.พรรคช่วงเย็นวันนี้ต้องทำความเข้าใจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ตนจะเข้าประชุมด้วย และถ้ามีโอกาสต้องชี้แจง หากมีปัญหาหรือความไม่เข้าใจภายในพรรคกันเอง เราคุยกันในบ้าน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ในพรรคต้องชี้แจง ประนีประนอมกัน

เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าโผ ครม.ชุดนี้เทียบไม่ได้กับครม.ชุดเก่า นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้ใจเย็นนิดหนึ่ง และต้องให้เกียรติว่าที่รัฐมนตรีทุกท่านด้วย ขอโอกาสและขอให้ดูที่ผลงานเป็นหลัก

ล้มหล่น ‘ประชาธิปัตย์’ อาจได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน แต่ความขัดแย้งในพรรค ส่อทำให้ชวดโอกาสทอง 

‘ก้าวไกล’ ยืนยันว่า ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ไม่รับตำแหน่ง ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ และ ‘ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ ก็จะอยู่ต่อ ไม่ยอมลาออก โดยขั้นตอนคือ ก้าวไกลจะต้องทำเรื่องแจ้งเพื่อสละสิทธิ์ให้กับพรรคฝ่ายค้านลำดับรองลงมา

พรรคลำดับรองลงมา คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีอยู่ 25 เสียง แต่พรรคประชาธิปัตย์ยังมีปัญหาเรื่องการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ เวลานี้มี ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ รักษาการหัวหน้าพรรค ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่า จะเลือกหัวหน้าพรรคได้เมื่อไหร่ ซึ่งไม่น่าจะทูลเกล้าชื่อของรักษาการหัวหน้าพรรค เผื่อมีการเลือกหัวหน้าพรรคตัวจริงเร็วๆ นี้ เรื่องก็จะยุ่งยากไปอีก

ส่วนถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่รับ หรือติดขัดปัญหาทางเทคนิค ก็จะหลุดไปถึงพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งพรรคไทยสร้างไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็ลาออกจากหัวหน้าพรรคเช่นกัน มีแต่รักษาการหัวหน้าพรรค ยังไม่มีการประชุมเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่

ตามรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมี ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ ในการปฏิบัติหน้าที่สำคัญ เพราะเป็นหนึ่งในกรรมการสรรหาองค์กรอิสระ อาทิ สรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สรรหากรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งคณะกรรมการจริยธรรมของสภา และอีกหลายอย่าง

โดยหลักการเมื่อพรรคก้าวไกลปฏิเสธตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ตำแหน่งนี้ก็จะตกเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ทันที ซึ่งประชาธิปัตย์ก็ต้องไปแก้ไขปัญหาของตัวเอง ด้วยการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคให้แล้วเสร็จ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อยังมีปัญหาความแตกแยก-ขัดแย้ง เป็นสองขั้วชัดเจน และยังมีปัญหา สส.ของพรรคลงมติในสภาฯ ขัดมติพรรคอีก และมีสมาชิกยื่นให้ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อลงโทษ สส.กลุ่ม 16 ออกจากพรรค ฐานทำให้พรรคเสียหาย เสื่อมเสียศรัทธาต่อประชาชน

แต่จนถึงขณะนี้ พรรคยังไม่มีมติว่าจะตั้งกรรมการสอบสวนหรือไม่ การเลือกหัวหน้าพรรคจึงยังคาราคาซังต่อไป ต้องดูการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ในวันอังคารว่าจะออกมาอย่างไร

1.) จะตั้งกรรมการสอบ สส.ที่โหวตสวนมติพรรคหรือไม่
2.) จะกำหนดวันเลือกหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคใหม่หรือไม่

การไม่ลงตัวของประชาธิปัตย์ อาจจะทำให้ชวดโอกาสในการเป็นผู้นำฝ่ายค้านไปด้วย ทั้งๆ ที่โอกาสมาถึงแล้ว

‘เพื่อไทย’ เล็งแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ช่วงสงกรานต์ปีหน้า หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ-กระจายเงินหมุนเวียนสู่ชุมชนทั่วประเทศ

(29 ส.ค. 66) นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านนโยบาย พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์รายการข่าวค่ำ TNN Online เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566 กล่าวถึงนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ต้องรีบเข้ามาดำเนินการ เช่น นโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต นโยบายด้านการท่องเที่ยว และนโยบายพักหนี้เกษตรกร

1.) นโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต มีความมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายความเจริญไปทั่วประเทศ ทุกชุมชน ดังนั้น การใช้จ่ายภายในรัศมี 4 กม. จึงเป็นหลักพิจารณาให้เงินนั้นกระจายไปในชุมชนที่ผู้รับเงินอยู่อาศัย ซึ่งสามารถยืดหยุ่นได้ตามข้อจำกัดพื้นที่ห่างไกล แต่ประเด็นน่าสนใจคือ หลายหมู่บ้าน ประชาชนคิดรวมตัว สร้างร้านหาสินค้ามาลง เพื่อให้คนได้ใช้จ่าย และสร้างรายได้กับชุมชนตนเอง ประมาณการณ์ประชาชนได้ใช้เงินดิจิทัล ช่วงเมษายน-เทศกาลสงกรานต์ ให้ประชาชนเดินทางกลับบ้าน ใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

2.) นโยบายพักหนี้เกษตรกร 3 ปี และนโยบายช่วยเหลือเรื่องกลุ่มลูกหนี้ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด พร้อมๆ กับการจัดการค่าพลังงาน น้ำมัน-ไฟฟ้า ทั้งหมดเพื่อลดภาระและบรรเทาทุกข์ เปิดโอกาสให้ประชาชนทำมาหากินและใช้เงินได้ประจำส่วนต่าง ลงทุนประกอบอาชีพหรือเพื่อใช้จ่ายสิ่งจำเป็นอื่นๆ

3.) นโยบายด้านการท่องเที่ยว เปิดประตูรับเงินนอกสร้างเศรษฐกิจไทย เป็นนโยบายที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและลงพื้นที่ดูปมจริงที่จังหวัดภูเก็ตและพังงา เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้หารือกับท่าอากาศยานรับทราบข้อติดขัดด้านการปฎิบัติรวมทั้งกฎระเบียบ ซึ่งมีหลายส่วนที่สามารถขยับคอคอดนั้นออก อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว และให้บริการประชาชนได้สะดวกยิ่งขึ้น

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำที่ภูเก็ตและพังงาว่า รายได้จากการท่องเที่ยวเป็นรายได้ในระยะสั้นที่หาได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงมาเพื่อเตรียมความพร้อมภาคส่วนต่างๆ ก่อนถึงไฮซีซันช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

‘อี้​ แทนคุณ​’ จี้สรรพากรสอบภาษีย้อนหลัง ‘โย พงศธร’ หลังโซเชียล​ขุดคุ้ย ‘โชว์ถือหุ้น-​ขายเบียร์​เต็มรถ’

(29 ส.ค. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​ พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์ ​กล่าว​ถึง​กรณี​มีการขุดคุ้ยและแชร์ประวัติ​ของผู้สมัคร​ สส.พรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้ง​ซ่อม ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกลว่าไม่เสียภาษี​เงินได้​บุคคลธรรมดา​ทั้งที่มีภาพถ่ายเป็นผู้ถือหุ้นและขายเบียร์เป็น​จำนวนมาก

โดยปรากฏ​ข้อความ​ในเฟซบุ๊ก​ผู้ใช้นามว่า ‘Yo Pongsathon Sonpechnarintr’ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม​ 2022 “พร้อมแล้วใครรออยู่เราจะทยอยไปส่งให้นะครับ” และข้อความวันที่​ 11 ตุลาคม 2022 “วันนี้ส่ง 25 ลังเล่นเอารถกลายเป็นรถโหลดเตี้ยเลย” ซึ่งเป​็นการกระทำ ความผิดฐานการโฆษณา​เครื่อง​ดื่ม​แอลกอฮอล์ตาม​มาตรา 32 เช่นเดียวกับ​ ‘รองอ๋อง’ ด้วยหรือไม่

และเมื่อวันที่ 16 มกราคมอยู่ที่ Khaoyai Pool Villa Khaoyal “ส้มมนาผู้ถือหุ้น #บูรพ์ ผู้​ถือหุ้นมา 5 ใน 7 ปีนี้มาเขาใหญ่เป้าปีหน้าเราจะไปด่างประเทศพร้อมคืนทุน 100% สุราก้าวหน้า ประชาก้าวไกล พวกราจะเต็บโตไปด้วยกัน” โดยแสดงให้เห็นว่ามีการประกอบ​กิจการและเป็​นผู้ถือหุ้นในการขายเบียร์​ซึ่งเป็นกิจการที่ทำกำไรดีมากและมียอดจำหน่าย​เยอะขนาดนั้นถึงกับจะไปต่างประเทศ​ได้ เหตุใดจึงไม่มีการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ตนจึงอยากให้ ‘กรมสรรพากร’ เร่งตรวจสอบ​รายได้และภาษีย้อนหลังอย่างละเอียด​โดยเฉพาะ​ยอดขายเบียร์​ที่ต้องเสียภาษีในปีภาษี 2563-2565 หากพบว่าจงใจไม่ยื่นเสียภาษีจะด้วยเหตุใดก็ตามต้องถูก ‘ตัดสิทธิการสมัคร’ รวมทั้งต้องตรวจสอบ​บริษัทและผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ด้วยว่า​มีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ โดยหากได้รับเลือกตั้งไปแล้วขาดคุณสมบัติ​อาจ​เข้าข่ายผิดตาม ม.151 ซ้ำรอยเดิม

นอกจากนี้​ยังมีเอกสาร​คดียักยอกทรัพย์​ปี 61 ของสถานีตำรวจ​นครบาล​บางนาที่สั่งไม่ฟ้องเนื่องจากมีการเจรจาชดใช้ค่าเสียหาย​ที่เกิดจากการนำของไปขายแล้วไม่จ่ายเงิน แม้คดีจะสั่งไม่ฟ้องแต่ก็เป็​นสิ่งที่ประชาชน​ควรตระหนักถึงพฤติกรรมและต้องคิดทบทวนรอบด้านถึงคุณ​สมบัติของคนจะ​มาเป็น​ตัวแทนคนไทยทั้งประเทศ​ โดยตนจะตรวจสอบ​ว่ามีคดีอื่นใดอีกหรือไม่ หากบุคคลดังกล่าว​รู้ตัวว่าเคยทำอะไรผิดไว้​ควรชิงลาออกก่อนเพราะหากมีการสืบค้นและตรวจพบจนประวัติศาสตร์​ซ้ำรอยอีกต้องชดใช้ค่าเสียหาย​หนักมากแน่นอน

‘ลุงตู่’ ขอบคุณ ครม. - ข้าราชการที่ร่วมมือทำงาน จากนี้ขอพักผ่อน ใช้ชีวิตกับครอบครัวให้มากขึ้น

(29 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เห็นสื่อมวลชนได้กล่าวว่า “สื่อเยอะจริง ๆ เลยวันนี้” พร้อมเดินมาที่โพเดียมและกล่าวอีกว่า “ถ่ายรูปอย่างเดียวดีกว่า เพราะพูดมาเยอะแล้ว”

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าวันนี้เป็นการประชุม ครม. นัดสุดท้ายแล้ว มีอะไรจะพูดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “สุดท้ายอะไร ฉันยังอยู่ตรงนี้อีกตั้งหลายวัน จะรีบเร่งให้ฉันไปไหน แต่วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของ ครม. โดยประเมินจากสถานการณ์กำหนดการ ขั้นตอน และวิธีการในการดำเนินการ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการทั้งสิ้น โดยถือเป็นไปตามกระบวนการปกติ ขอเรียนว่าวันนี้ยังคงต้องดูแลตามหน้าที่ตามหน้าที่ของของรัฐบาลรักษาการ และนายกฯ รักษาการ ในส่วนที่ทำได้ตามกฎหมาย ต้องขอบคุณทุกคน สื่อมวลชนที่รักทุกคนเราไม่ได้มีอะไรเราไม่ได้มีอะไรกันอยู่แล้ว เรารักกันหลายปีที่ผ่านมา อยู่ด้วยกันมาก็เข้าใจ เป็นการทำงานของสื่อ ตนก็พยายามไม่ไปก้าวล่วงอยู่แล้ว และต้องขออภัยหากดุไปสักนิด นิดเดียวเนอะ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า “การประชุม ครม. วันนี้ไม่มีอะไร เป็นการเสนอมาตามกระบวนการปกติในการพิจารณา เรื่องก็ค่อนข้างจะน้อยลง เพราะต้องระวังในการใช้อำนาจของ ครม. ตามมาตรา 169 ซึ่งทุกคนทราบดี สื่อมีอะไรจะถามหรือไม่”

เมื่อถามว่าก่อนจะเปลี่ยนไปรัฐบาลใหม่อยากจะฝากอะไรไว้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “คงไม่ต้องฝาก ต้องปล่อยให้รัฐบาลใหม่เขาดำเนินการ นายกฯ ก็มี ครม.ใหม่ก็มี เป็นเรื่องของคนต่อไป และเป็นเรื่องของมารยาท ตนไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น ในเมื่อท่านเข้ามาแล้วก็อยู่ในกระบวนการ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการในระยะต่อไป ทั้งนี้ ขอฝากพวกเราทุกคนด้วยต้องช่วยกันดูแลด้วย”

เมื่อถามต่อว่าห่วงอะไรมากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่มี”

เมื่อถามย้ำว่าหลังจากนี้จะทำอะไร พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็พักผ่อน ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น”

เมื่อถามอีกว่านายกฯ ได้อะไรจากการเมืองบ้างในช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ตนไม่ได้อะไร แต่ต้องถามว่าประเทศชาติได้อะไร ตนทำมาทุกวันก็เพื่อตรงนั้นแหละ เพื่อประเทศชาติและประชาชน พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และวันหน้าก็เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อไปที่จะดำเนินการ”

เมื่อถามต่อว่าทราบว่าในอนาคตนายกฯ จะมีงานที่ใหญ่กว่านี้ทำต่อ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “ยังไม่รู้เลย ไม่ทราบทั้งสิ้น เพราะตนก็เป็นประชาชนพลเมืองไทยธรรมดา ไม่ได้มียศอย่าง หรือเจ้ายศ เจ้าอย่าง หรือเกียรติยศอะไรต่าง ๆ ตนก็กลายเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกท่านนั่นแหละ ตนตั้งใจมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา เมื่อถึงเวลาที่ตนต้องพักผ่อนหรือหยุด ตนก็เป็นประชาชนพลเมืองไทยคนหนึ่งธรรมดา ไม่มีสิทธิพิเศษอะไร ที่จะต้องมาเคารพยกย่องไม่ต้องหรอก”

เมื่อถามว่า นายกฯ คิดว่าถ้ามองย้อนกลับไปมีอะไรที่อยากจะทำใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ ถ้าคิดอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่ ไม่ต้องย้อนกลับไปแล้ว เดินหน้าอย่างเดียวอย่างระมัดระวังในการเดินหน้าว่าจะต้องไม่มีอันตราย เพราะไม่ใช่ตนคนเดียว แต่จะต้องรักษาในส่วนของทุกคนด้วย ที่ร่วมงานกันมาให้พวกเขาปลอดภัย ไม่มีอันตรายต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันมา และวันนี้ต้องขอบคุณ ครม. ทั้งหมดทุกคนและข้าราชการทุกคนที่ช่วยตนทำงานมาโดยตลอด ด้วยความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เพราะเราทำตามกฎหมายและระเบียบทุกประการที่มีอยู่”

เมื่อถามต่อว่า 9 ปีที่ผ่านมารู้สึกประทับใจอะไรมากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “คงต้องพูดในภาพรวมมากกว่า เราก็อยู่กันมาในรัฐบาล 4 ปีเต็ม ทุกคนให้ความร่วมมือพูดจากัน ทักท้วงกัน ให้เหตุผลซึ่งกันและกัน ซึ่งตนก็รับได้ นั่นคือความผูกพันในสิ่งที่ทำร่วมกันมา ไม่ได้มุ่งหมายผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น และตนก็มีนโยบายอย่างนั้นมาตลอด และสามารถทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้มากพอสมควร นั่นคือความประทับใจของตนทั้ง ครม. และสิ่งที่ตนวาดหวังจะเห็น อนาคตต่อไปตนก็พยายามเดินหน้ามาอย่างนั้น ทั้งนี้การเดินหน้าเพื่ออนาคตไม่ได้อยู่ที่ตนเพียงคนเดียว ก็ต้องถ่ายทอดกันต่อไปเรื่อย ๆ ไปสู่อนาคตคนรุ่นใหม่ ซึ่งวันนี้ก็ต้องสร้างความเข้าใจกันให้มากยิ่งขึ้น”

เมื่อถามย้ำว่า 9 ปีถ้าย้อนกลับไปได้ อยากทำอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ย้อน ไม่มีเวลาไหนเขาย้อน มันย้อนไม่ได้อยู่แล้ว”

เมื่อถามอีกว่าใจหายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่หาย เราต้องพร้อมรับสถานการณ์เหล่านี้ ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะตนบอกแล้วเข้ามาด้วยอะไร และไปด้วยอะไร ก็แค่นั้นเอง”

เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมเป็นห่วงอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ห่วงเป็นเรื่องของขั้นตอน ที่ดำเนินการตามกฎหมาย”

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ตนไม่มีคำตอบเรื่องนี้ บอกแล้วเป็นกระบวนการทางการเมือง การตั้ง ครม. เป็นเรื่องของกระบวนการ ตนพูดอะไรไม่ได้และคงไม่มีคำแนะนำอะไรทั้งสิ้น เพราะยังไม่เห็นโผ เห็นแต่ในหน้าสื่อ”

เมื่อถามอีกว่าดูจากการที่มายื่นให้ตรวจสอบคุณสมบัติ มองว่าหน้าตา ครม. เป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เท่าที่ดูเห็นว่าเขามาเป็นการส่วนตัว บางคนก็มาเอง บางคนก็ไม่มา ไปดูอีกทีตอนโน้นที่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมาดีกว่า ซึ่งเราอย่าไปก้าวล่วงพระราชอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางเราต้องทำขึ้นไปไม่ได้เกี่ยว เป็นขั้นตอนทางกฎหมาย”

เมื่อถามย้ำว่าเท่าที่ดูรายชื่อ ครม.ใหม่หน้าตาดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็ดูหล่อดีทุกคน”

เมื่อถามอีกว่าถ้าจะร้องเพลงหลังจากนี้สักเพลงจะร้องเพลงอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ขอนึกดูก่อน มีหลายเพลง โอเค ขอบคุณ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว สื่อมวลชนได้ขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับนายกฯ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นนายกฯ ได้เดินถ่ายภาพในหลายจุด และหลายมุม รวมทั้งร่วมถ่ายเซลฟี่กับผู้สื่อข่าวด้วย พร้อมทั้งส่งสัญลักษณ์มือมินิฮาร์ท ไอเลิฟยู และโบกมือให้กับผู้สื่อข่าวก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

‘กลุ่มแคร์’ วิเคราะห์นโยบาย OFOS-THACCA ของ ‘เพื่อไทย’ ชี้!! ช่วยดัน Soft Power-กระตุ้น ศก.-สร้างอาชีพ 20 ล้านตำแหน่ง

(29 ส.ค. 66) รัฐบาลใหม่ ภายใต้การบริหารโดย นายกรัฐมนตรีชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ถูกจับตามองและติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การตั้ง ครม. เพื่อหาคนมาบริหารงานด้านต่าง ๆ

ล่าสุด เพจ ‘CARE คิด เคลื่อน ไทย’ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก อธิบายที่มานโยบาย ‘OFOS – THACCA’ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้านโยบายนี้ปรากฏขึ้นจริง จะสร้างงานและรายได้ให้แก่คนไทยกว่า 20 ล้านตำแหน่ง โดยระบุรายละเอียดว่า ‘OFOS – THACCA นโยบายที่คิดโคตรใหญ่ จะได้กี่โมง’

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย คือ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ และหลังจากนี้ รัฐบาลใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจะเริ่มเข้าทำงาน เพื่อผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียงไว้กับประชาชนให้เกิดขึ้นจริง แน่นอนว่ามีหลายนโยบายของเพื่อไทยที่ผู้คนต่างจับตามอง ไม่ว่าจะเป็น เงินดิจิทัล 10,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และอื่นๆ

1 ในนโยบายที่หลายคนไม่ค่อยสนใจ แต่เป็นนโยบายที่เรียกได้ว่า “คิดโคตรใหญ่” และสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกบ้านทุกครอบครัว คือ นโยบาย 1 ครอบครัว 1 Soft Power หรือ OFOS

นโยบาย OFOS คืออะไร? แล้ว THACCA คืออะไร? พวกเรากลุ่ม CARE ในฐานะที่สนใจ และมีเป้าหมายในปีที่ 3 นี้ คือ การผลักดันประเด็น Soft Power จะขอหยิบมาอธิบายให้ฟัง

[Soft Power คืออะไร?]
‘Soft Power’ เป็นทฤษฎีด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ ‘โจเซฟ ไนย์’ (Joseph S. Nye) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้นิยามคำว่า ‘Soft Power’ หมายถึง การสร้างอิทธิพลครอบงำหรือมีอำนาจเหนือประเทศอื่น โดยไม่ใช้กำลังบังคับ เช่นการใช้กองทัพรุกราน แต่ใช้ความนุ่มนวลในการโน้มน้าว เช่น การใช้วัฒนธรรม เพื่อให้ประเทศอื่นทำตามในสิ่งที่เราต้องการ เช่น สหรัฐฯ เผยแพร่ค่านิยมแบบอเมริกันผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด หรือแฟชั่นกางเกงยีนส์ เพื่อให้คนซึมซับค่านิยมอเมริกันและอยากเป็นแบบอเมริกันในที่สุด

ดังนั้น Soft Power ในมุมแรก คือมุมของการเมืองระหว่างประเทศในยุคสงครามเย็น เพื่อเผยแพร่ค่านิยมประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ต่อสู้กับการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป Soft Power ได้ถูกตีความและให้ความหมายในมุมมองใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ

จากเป้าหมายที่หวังให้ประเทศอื่นมีความคิดทางการเมืองแบบที่ต้องการ ไปสู่เป้าหมายใหม่ คือการแสวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จากคนที่มีความคิดความเชื่อตามแบบที่เราต้องการ เช่น เกาหลีใต้ใช้อุตสาหกรรมบันเทิงเผยแพร่ภาพลักษณ์ ‘เกาหลีใต้ใหม่’ จูงใจให้คนอยากเป็นแบบเกาหลีใต้ ทำให้การส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเกาหลีใต้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

[แล้ว Soft Power ของเพื่อไทย คืออะไร?]
เมื่อเพื่อไทยประกาศนโยบาย Soft Power ออกมา หลายคนต่างค่อนแคะ สบประมาทกันว่า “รู้เหรอ ว่า Soft Power คืออะไร?” แน่นอนว่าพวกเราก็สงสัยเช่นกัน ว่าในสายตาเพื่อไทยแล้ว Soft Power คืออะไร?

เราได้พูดคุยกับคนที่อยู่เบื้องหลังนโยบาย Soft Power ของเพื่อไทย จึงพอสรุปได้ว่า เพื่อไทยไม่ได้ยึดตามตำราที่มอง Soft Power เพียงมิติการเมืองระหว่างประเทศ แต่เน้นประยุกต์ใช้ในมิติทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ สิ่งที่จะโน้มน้าวให้คนประเทศอื่นอยากได้ อยากมี อยากเป็น แบบไทยมากที่สุด คือ ‘คนไทย’

ในสายตาของเพื่อไทยแล้ว ‘คนไทย’ คือ คนที่จะทำให้ต่างชาติประทับใจในประเทศไทยได้ดีที่สุด เพราะนอกจากอัธยาศัย ไมตรี รอยยิ้มและอารมณ์ขันที่จะมัดใจคนทั้งโลกแล้ว ‘ฝีมือคนไทย’ ก็เป็นอีกสิ่งที่จะสร้างความประทับใจจนทำให้คนทั่วโลกหลงใหล ทั้งฝีมือการทำอาหาร การต่อสู้ การร้องเพลง การแสดงภาพยนตร์ การวาดรูป และอื่นๆ

ดังนั้น การจะพัฒนา Soft Power ของประเทศไทยให้ไปไกลสู่ระดับโลกได้ ต้องเริ่มที่จุดตั้งต้นของเสน่ห์ที่จะครองใจคนทั้งโลก นั่นก็คือ คนไทย และนี่จึงเป็นที่มาของนโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 Soft power’ หรือ ‘OFOS’ นั่นเอง

[แล้วนโยบาย OFOS คืออะไร?]
เมื่อเพื่อไทยตีโจทย์ว่า Soft Power คือ ‘คนไทย’ จึงอยากมุ่งพัฒนาทักษะฝีมือคนไทยขนานใหญ่ ผ่านนโยบาย OFOS โดยจะเปิดโอกาสให้ ‘ทุกครัวเรือน’ สามารถเข้ามาฝึกอบรมผ่าน ‘ศูนย์บ่มเพาะสร้างสรรค์’ เพื่อยกระดับศักยภาพสร้างสรรค์ของตัวเองให้สูงขึ้น ทั้งการร้องเพลง การทำอาหาร การทำหนัง การเขียนนิยาย และอื่นๆ

ซึ่งการฝึกอบรมจะแบ่งเป็นระดับตามขั้นบันได จากระดับพื้นฐานสู่ความเป็นเลิศ และจะมีใบรับรองศักยภาพสร้างสรรค์ผ่านการร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ โดยศูนย์บ่มเพาะฯ จะกระจายตัวไปทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงได้ตั้งแต่ระดับตำบล จังหวัด จนถึงระดับประเทศ และหากตั้งใจจะพัฒนาศักยภาพตัวเองต่อ ก็จะมีทุนให้ไปเรียนในต่างประเทศต่อไป ซึ่งการอบรมเรียนรู้ทักษะจากศูนย์บ่มเพาะฯ นี้จะ ‘ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ’

ดังนั้น OFOS จึงเป็นนโยบายที่ ‘Upskill-Reskill คนไทยทั้งประเทศ!!’ โดยเชื่อว่าหากคนไทยทุกครัวเรือนผ่านการยกระดับศักยภาพของตัวเองแล้ว ประเทศไทยจะมี ‘แรงงานสร้างสรรค์ทักษะสูง’ กว่า 20 ล้านคนจาก 20 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ และนี่คือ ‘นโยบายสร้างคน’ ของเพื่อไทย

[อะไรคือ THACCA?]
เมื่อสร้างคน สร้างแรงงานทักษะสูงมากถึง 20 ล้านคนแล้ว เราจะปล่อยให้เขาตกงานก็คงไม่ได้ เพื่อไทยจึงต้อง ‘สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง’ ควบคู่ไปด้วย ผ่านการ ‘สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์’ เพื่อรองรับแรงงานเหล่านี้ ซึ่งการจะสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในประเทศได้ ต้องมีแม่งานในการรับผิดชอบที่ชัดเจน และนั่นจึงเป็นที่มาของ ‘THACCA’

‘THACCA’ หรือ ‘Thailand Creative Content Agency’ จะเป็นองค์กรที่ออกแบบมาเพื่อ ‘สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ’ เช่นเดียวกับ เกาหลีใต้ที่มี KOCCA หรือไต้หวันที่มี TAICCA โดย THACCA จะเป็นแม่งานในการรับผิดชอบ มีอำนาจเบ็ดเสร็จและประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และอื่นๆ เพื่อทำงานร่วมกันในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ

THACCA จะสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้ง 8 ด้าน คือ อาหาร, ดนตรี, ภาพยนตร์, หนังสือ, ศิลปะ, การออกแบบ/แฟชั่น, กีฬา และการท่องเที่ยว ด้วยการรื้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ปลดปล่อยเสรีภาพทางความคิด สนับสนุนเงินทุนผ่านกองทุนรวม Soft Power ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง และ THACCA ยังออกแบบองค์กรให้ตัวแทนของแต่ละอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายอีกด้วย

ดังนั้น THACCA จึงเป็นองค์กรที่ ‘สร้างงาน สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ’ โดยมองว่าหากรัฐบาลเข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างจริงจัง เป็นระบบครบวงจรในหน่วยงานเดียว จะสามารถสร้างงานได้มากถึง 20 ล้านตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นนโยบายที่สร้างงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และนี่คือ นโยบาย ‘สร้างงาน’ ของเพื่อไทย

[นโยบายต่างประเทศ คือ สิ่งที่ขาดไม่ได้]
เมื่อสร้างคน สร้างงานแล้ว ก็ต้องหาช่องทางสร้างเงินให้กับอุตสาหกรรมด้วย เพื่อไทยจึงต้อง ‘สร้างตลาด’ เพื่อให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว และตลาดที่ใหญ่ที่สุดที่เพื่อไทยจะพาธุรกิจไทยไปค้าขาย คือ ‘ตลาดโลก’ นโยบายต่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนโยบาย Soft Power

เพื่อไทยจึงประกาศว่าจะเร่งรัดเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ เพื่อขยายโอกาสในการส่งออกของสินค้าไทย ใช้การทูตเพื่อขยายการค้าชายแดน รวมทั้งรื้อฟื้นนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการตั้งธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศมากขึ้น เพราะจะทำให้การส่งออกสินค้าวัตถุดิบอาหารไทยเติบโตขึ้นตามไปด้วย

นอกจากการค้าระหว่างประเทศแล้ว เพื่อไทยได้ประกาศ ‘ยกระดับพาสปอร์ตไทย’ เพื่อให้นักธุรกิจไทยสามารถเดินทางไปค้าขายกับทั่วโลกได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องวีซ่า และประกาศนโยบายเชื่อมประเทศไทยสู่โลกด้วยการตั้งเป้าให้ไทยเป็น ‘ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค’ และประกาศจะดึงเทศกาลระดับโลกมาจัดที่ไทย ดันเทศกาลไทยไปสู่ระดับโลก เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาในประเทศ มากินอาหารไทย มาเสพงานฝีมือของคนไทย มาใช้จ่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับคนไทย

ยิ่งไปกว่านั้น จะมีแนวคิดขยายสำนักงาน THACCA ไปยังต่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มาที่ไทย ดึงดูดนักสร้างสรรค์ฝีมือดีจากทั่วโลก และผลักดันให้นักสร้างสรรค์ไทยไปแสดงผลงานยังต่างประเทศ ดังนั้น THACCA ในต่างประเทศ จะเป็นแม่งานหลักในการดึงความร่วมมือจากทั่วโลกมาสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย และนี่ คือ นโยบาย ‘สร้างตลาด’ ของเพื่อไทย

[นโยบายที่คิดโคตรใหญ่]
เห็นได้ว่า นโยบาย Soft Power ของเพื่อไทย เป็นนโยบาย 3 สร้าง คือ
1.) สร้างคน ด้วยการ Upskill-Reskill คนไทยทั้งประเทศ ผ่าน OFOS เพื่อสร้างแรงงานทักษะสูง 20 ล้านคน
2.) สร้างงาน ด้วยการสนับสนุนทุกรูปแบบสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ผ่าน THACCA เพื่องาน 20 ล้านตำแหน่ง
3.) สร้างตลาด ด้วยการมองว่าโลกทั้งใบคือตลาดของคนไทย ผ่านนโยบายต่างประเทศเพื่อเศรษฐกิจ

การสร้างคน สร้างงาน สร้างตลาด การทำทั้งระบบแบบนี้ เป็นอะไรที่ ‘คิดโคตรใหญ่’ และเป็นนโยบายที่ทะเยอทะยานที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่า เพราะไม่ได้เป็นแค่โครงการหรือนโยบายเดียวโดดๆ แต่เกี่ยวพันกับหลายนโยบายย่อย เหมือนกับจิ๊กซอว์ที่ต้องประกอบกันหลายชิ้นจึงจะได้ภาพใหญ่ที่สวยงาม และภาพใหญ่ที่ว่านั้น คือ นโยบาย Soft Power ฉบับเพื่อไทย

แต่ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากในสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้สำหรับรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตามเราคงต้องรอลุ้นกันว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะสามารถผลักดันนโยบายที่ ‘คิดโคตรใหญ่’ นี้ให้เป็นจริงได้หรือไม่ เพราะนโยบาย Soft Power นี้จะสร้างผลประโยชน์มหาศาลให้แก่เศรษฐกิจภาพใหญ่ทั้งประเทศ และประโยชน์เหล่านั้นจะตกถึงมือประชาชนในเกือบทุกครัวเรือน และหากนโยบายนี้ทำได้จริง เราเชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศจะหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างแน่นอน

ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นว่า “OFOS – THACCA นโยบายคู่ขนานที่จะ Reskill 20 ล้านคน, พัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทั้งระบบ และเร่งรัดการทูตวัฒนธรรมเชิงรุก นโยบายที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดจากประเทศกับดักรายได้ปานกลางภายในไม่เกิน 1 ทศวรรษ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top