Thursday, 26 June 2025
Politics

เมื่อพายุแห่งความขัดแย้งโหมกระหน่ำ ‘ประชาธิปัตย์’ ‘นายกฯ ชาย’ หรือ ‘นายกฯ ชวน’ ใครจะอยู่ ใครจะไป?

(25 ส.ค. 66) ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ แปลความได้ว่า “วาจาจริง เป็นสิ่งไม่ตาย” เป็นคำที่ ‘สรรเพชญ บุญญามณี’ สส.สงขลา เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ยกขึ้นมากล่าวอ้างกับสถานการณ์ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้

สรรเพชญ เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ เลือดใหม่ของประชาธิปัตย์ ที่ได้รับเลือกเป็น สส.สมัยแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา สรรเพชญ เป็นทายาททางการเมืองของ ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เลือดใหม่อย่าง ‘สรรเพชญ’ ถือว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” และน่าจะมีพ่อเป็นเทรนเนอร์ที่ดี

3 เดือนที่ผ่านมา ได้เห็นบทบาทของสรรเพชญ ‘ทำหน้าที่ที่ได้รับที’ ในสภาฯ ได้เห็นการอภิปรายสะท้อนปัญหา ปรึกษาหารือในหลายประเด็น เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากสี่แยกเกาะยอ การตั้งคำถามเรื่องการก่อสร้างอาคารหอยสังข์ที่คาราคาซังมาเป็นสิบปี

ในพื้นที่ก็เกาะติดมาตลอด 3 เดือน เสร็จภารกิจในสภาฯ ก็เดินหน้างานในพื้นที่ ประเดิมด้วยการเดินสายเจอกงสุลของแต่ละประเทศ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน กล่าวได้ว่า เลือดใหม่ประชาธิปัตย์ ‘สรรเพชญ บุญญามณี’ คือ ‘ดาวฤกษ์’ คนหนึ่งที่น่าติดตามผลงาน

ส่วน ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ หรือ ‘วาจาจริง เป็นสิ่งไม่ตาย’ เป็น ‘พุทธสุภาษิต’ ที่ติดอยู่กับโลโก้ประชาธิปัตย์มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรค ตั้งแต่ยุค ‘ควง อภัยวงศ์’ ผู้ก่อตั้งพรรค และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรก และถือเป็นพุทธสุภาษิตที่ชาวประชาธิปัตย์ยึดถือปฏิบัติมายาวนาน

การที่สรรเพชญ ยก ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ ขึ้นมากล่าวอ้าง ในเวลานี้เหมือนต้องการจะสะท้อนให้เห็นสถานการณ์ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ มีใครบางคน บางกลุ่มก้อนไม่รักษา ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ กลับไปกลับมา

สถานการณ์ในประชาธิปัตย์ขัดแย้งชัดเจน ระหว่างขั้วของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ รักษาการเลขาธิการ ที่ประกาศวางมือทางการเมืองไปแล้ว หลังนำพาพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ยับเยินในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยมี ‘นายกฯ ชาย เดชอิศม์ ขาวทอง’ รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ และ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ เป็นแนวร่วมขับเคลื่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่โหวตเห็นชอบให้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ จากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี กลุ่มนี้จะมี สส.อยู่ในมือ 16 คน ต่อไปนี้จะเรียกว่า ‘กลุ่ม 16’

กลุ่มของชวน หลีกภัย เป็นกลุ่มที่ไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย มี ‘บัญญัติ บรรทัดฐาน-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์-นิพนธ์ บุญญามณี’ เป็นแนวร่วม โดย ชวน-บัญญัติ โหวตไม่เห็นชอบ จุรินทร์โหวตงดออกเสียง และมีสรรเพชญ ที่งดออกเสียงด้วย

กลุ่มของเฉลิมชัยมีความพยายามสูงยิ่งในการขอเข้าร่วมรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เทียบเชิญ กลุ่มของเฉลิมชัยถึงขั้นส่งตัวแทนไปพบ ‘ทักษิณ’ ถึงฮ่องกง แต่ได้รับการปฏิเสธ แม้กระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนโหวตเพียงไม่กี่นาที ยังมีการพูดคุย-ต่อรอง กลุ่มจะโหวตให้ ไม่ได้ร่วมรัฐบาลก็ไม่เป็นไร แต่จะเป็นอะไหล่ให้ เผื่อพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคงอแง สุดท้ายกลุ่ม 16 ก็พากันโหวตเห็นชอบให้เศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีในนาทีสุดท้ายของการโหวต

ส่วนกลุ่มของชวน หลีกภัย ไม่ประสงค์จะนำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาล แต่ต้องการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มข้น เป็นฝ่ายค้านที่มีบทบาทในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างจริงจัง พร้อมสนับสนุน ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค รับบทบาทหนักในการฟื้นฟูพรรคอย่างทุ่มเท ซึ่งถ้าหันซ้ายมองขวาก็ยังหาใครเหนือกว่าอภิสิทธิ์ไม่มี แต่กลุ่มเฉลิมชัยก็เฟ้นหาคนลงแข่ง ก็ไปคว้า ‘นราพัฒน์ แก้วทอง’ รองหัวหน้าพรรคภาคเหนือ มาลงแข่ง หลังจากเข็น ‘ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ ไม่ขึ้น

ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ก่อตัวขึ้นในการเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แทน ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ ที่รับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้ง จึงลาออกไป เมื่อสองขั้วเชียร์คนละคนกัน และเป้าหมายต่างกันชัดเจน

เกมล้มประชุมถูกกำหนดขึ้น เมื่อมีการประเมินว่าฝ่ายของตัวเองยังไม่มีโอกาสชนะ จากการคุมเสียงของโหวตเตอร์ยังไม่พอ จากจุดอ่อนของข้อบังคับพรรคที่ให้น้ำหนักกับ สส.ปัจจุบันถึง 70% ส่วนโหวตเตอร์อื่นๆ มีน้ำหนักเพียง 30% ในขณะที่กลุ่มของเฉลิมชัย กุมเสียง สส.อยู่มากกว่า 16 คน แต่กลุ่มของนายชวนจะกุมเสียงสาขา ตัวแทนจังหวัด และอื่นๆ ซึ่งมีน้ำหนักแค่ 30% โหวตอย่างไรกลุ่มของนายชวนก็แพ้

การประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ล้มลงแล้วถึงสองครั้ง ซึ่งในการจัดประชุมแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณ 3 ล้านบาท สองครั้งก็ 6 ล้านบาทเข้าไปแล้ว

ปัญหาในพรรคประชาธิปัตย์มาแตกหักเมื่อมีการประชุม สส.เพื่อกำหนดท่าทีในการโหวต มีแค่ 3 แนวทางคือ ‘เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ และงดออกเสียง’ แต่เมื่อพรรควางตัวเป็นฝ่ายค้าน ‘เห็นชอบ’ จึงถูกยกไป มีการแลกเปลี่ยนกันว่าจะไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง เสียงส่วนใหญ่เห็นว่า ‘งดออกเสียง’ แต่ ‘ชวน-บัญญัติ’ ขออนุญาตต่อที่ประชุมว่าจะขอโหวต ‘ไม่เห็นชอบ’

รองโฆษกพรรคแถลงข่าวชัดเจนว่า มติเสียงส่วนใหญ่ให้งดออกเสียง ‘เดชอิศม์ ขาวทอง’ ก็โพสต์ในเฟซบุ๊กในเวลาต่อมาว่า พรรคมีมติให้งดออกเสียง แต่เมื่อถึงเวลาโหวต มี สส.16 คน ยกมือเห็นชอบ 6 คน งดออเสียง และ 2 คน ไม่เห็นชอบ

เดชอิศม์ ขาวทอง นำทีม 16 สส.แถลงข่าวในวันต่อมา เหมือนกับว่าพรรคไม่ได้มีมติอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อใกล้เวลาโหวต สส.ในกลุ่มก็มานั่งคุยกัน และเห็นร่วมกันว่าจะยกมือเห็นชอบ โดยไม่หวั่นเกรงต่อการถูกขับออกจากพรรค ถ้าถูกตั้งกรรมการสอบ เดชอิศม์ไม่หวั่นเกรง เพราะมีเสียง สส.อยู่ในมือจำนวนมาก กับเสียงที่ต้องใช้ในการขับสมาชิกออกจากพรรค 3/4 น่าจะเพียงพอ แถมตั้งเป็นปุจฉาไว้ด้วยว่า “ไม่รู้ว่าใครจะขับใคร”

“ไม่รู้ว่าใครจะขับใคร” เป็นหอกที่แหลมคมพุ่งไปยัง ‘ชวน หลีกภัย’ ตรงๆ เลย เพราะชวนเป็นคนออกมาตอกย้ำว่า นายกฯ ชายเป็นคนพูดเองว่า “ใครไม่ปฏิบัติตามมติพรรค ก็ต้องลาออกไป”

ถึงเวลานี้ไม่รู้ว่า กลุ่มนายกฯ ชาย หรือกลุ่มนายกฯ ชวนต้องลาออกไป แต่ที่สำคัญสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ‘สัจจัง เว อมตวาจา : วาจาจริง เป็นสิ่งไม่ตาย’

‘สมยศ พลายด้วง’ 1 ใน 6 ‘งดออกเสียง’ เลือกเศรษฐานั่งนายกฯ ชาวสงขลาแห่ชื่นชม ‘อุดมการณ์มั่นคง-ยึดถือมติพรรคเป็นหลัก’

‘สมยศ พลายด้วง’ สส.สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ เป็น 1 ใน 6 ที่โหวต ‘งดออกเสียง’ ตามมติพรรคในการรับรอง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นนายกรัฐมนตรี 

หากไล่เรียงดูการลงมติของ สส.พรรคประชาธิปัตย์นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 

ลงคะแนน ‘ไม่เห็นชอบ’

1.นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ
2.นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ

ลงคะแนน ‘งดออกเสียง’ ตามมติพรรค

1.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ 
2.นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา 
3.นายประมวล พงศ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์
4.นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง
5.นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ สส.ตรัง 
6.นายสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา  

สำหรับ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลงมติเห็นชอบ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี รวม 16 คน ประกอบด้วย

1.นายกาญจน์ ตั้งปอง
2.นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์
3.นายชัยชนะ เดชเดโช
4.นายชาตรี หล้าพรหม

5.นายเดชอิศม์ ขาวทอง
6.นายทรงศักดิ์ มุสิกอง
7.นายพิทักษ์เดช เดชเดโช
8.ว่าที่ร้อยโทยุทธการ รัตนมาศ
9.นายยูนัยดี วาบา
10.นายวุฒิพงษ์ นามบุตร

11.นายศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง
12.นายสมบัติ ยะสินธุ์
13.นางสุพัชรี ธรรมเพชร
14.นางสาวสุภาพร กำเนิดผล
15.พลตำรวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่
16.นางอวยพรศรี เชาวลิต

และล่าสุด นายสมยศ พลายด้วง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “กระผมสมยศ พลายด้วง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ‘งดออกเสียง’

ผมยึดมั่นมติพรรคเป็นหลักครับ ผมเชื่อมั่นและเคารพในอุดมการณ์ของพรรคอย่างแน่วแน่ในการโหวตครั้งนี้ ไม่ว่าคนในพรรคจะโหวตอะไร แต่ตัวผมเองยังยึดถือในการประชุมพรรคที่ผ่านมา เพราะนี้เป็นการเมืองระดับประเทศ พี่น้องชาวเขต 3 และประชาชนทั่วประเทศเขาเห็นด้วย”

เมื่อเข้าไปตรวจเช็กการแสดงความคิดเห็นพบว่า มีคนชาวสงขลาเข้าไปแสดงความคิดเห็นเชิงชื่นชมอยู่ไม่น้อย #นายหัวไทร ก็ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า ไลน์ของสมยศ พลายด้วง ก็มีคนชาวสงขลาส่งข้อความไปชื่นชมเป็นจำนวนมาก แต่มีเพื่อน สส.บางคนโทรศัพท์ไปขอให้ลบข้อความ และรูปภาพออกได้หรือไม่ แต่เจ้าตัวยันยืนยันในสิ่งที่ทำและเขียนไป

นายกรัฐมนตรีชื่อ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' ทำงานหนัก มีเมตตา รับฟังผู้อื่น

นี่เป็นอีกหนึ่งข้อความบอกเล่าถึงบางสิ่งบางอย่างจากคนที่ได้มีโอกาสทำงานและพบเห็น ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

1. ท่านเป็นคนทำงานหนักมาก แทบจะไม่เคยเห็นว่ามีการพักผ่อน ลาไปเที่ยวไหนเลย (ไม่เหมือนผู้นำหลายคน หรือของต่างประเทศที่มีการพักร้อน) ก็คงเพราะท่านต้องประชุมเยอะมากทุกวัน และเป็นประธานด้วย และก่อนประชุม โดยเฉพาะประชุมครม. ท่านต้องอ่านทุกวาระก่อนในวันจันทร์ และมีโน้ตลายมือส่งกลับมาให้ฝ่ายเลขา (ซึ่งจะมีผู้ชำนาญการถอดลายมือท่านโดยเฉพาะถ้าคำไหนอ่านไม่ออก 555) 

โดยเฉพาะช่วงโควิด คือทำงานทุกวันจริง ๆ พวกเรา (ทีมโฆษก ศบค.) และคนทำงานอื่น ๆ ก็ต้องตามท่านให้ทันเพราะมักจะมีบัญชา หรือข้อเสนอแนะส่งมาให้พวกเราตลอด บางทีท่านก็เดินจากตึกไทยคู่ฟ้ามาเยี่ยมมาให้กำลังใจพวกเราที่ตึกสันติไมตรีด้วย แต่ด้วยความที่ท่านเน้นการทำ ไม่เน้นการพูดหล่อ ๆ ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนนักการเมืองอาชีพ ไม่เน้นออกอีเวนต์โชว์ตัวให้เป็นกระแสในโซเชียล การไปไหนคือไปงานราชการทั้งสิ้น (และผมก็สัมผัสได้ว่าช่วงเวลาที่ท่านผ่อนคลายและมีความสุขที่สุดก็คือเวลาได้ไปพบปะพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัด) หลาย ๆ คนก็เลยไม่ได้รับรู้ว่าท่านทำอะไรบ้าง (และก็ไม่คิดจะหาข้อมูล สื่อก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่) 

2. ท่านเป็นคนมีเมตตาสูง อันนี้ผมขอท้าให้ไปสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาท่านได้เลย ท่านจะมีความเป็นห่วงเป็นใยช่วงเบรกประชุม ครม. ท่านก็จะเดินไปตามโต๊ะเพื่อทักทายและถามไถ่เจ้าหน้าที่ และสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ภาวะผู้นำของท่านก็คือ ลองไปหาข่าวย้อนหลังดู ว่าเคยมีสักครั้งไหม ที่ท่าน ‘โทษ’ ลูกน้อง ในสิ่งที่อาจจะทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ 

แม้กระทั่งเรื่องโควิด ท่านก็ต้องออกมาขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ ในที่ประชุม ท่านเด็ดขาด หรือบางทีก็พูดตรง ๆ แต่ก็ไม่เคยหักหน้าใคร หลายครั้งพูดไปแล้วต้องพูดตามว่า ผมไม่ได้ว่าท่านนะ หรือ หากทำให้ใครไม่สบายใจก็ต้องขออภัยด้วย จนเกือบจะถึงขั้นเกรงใจคนอื่นเลยทีเดียว ในการพบกันครั้งแรกของผมกับพี่ก้อยกับท่าน ท่านถามเราสองคนว่ามีครอบครัวหรือยัง พอบอกว่ามี ท่านก็มอบกระเป๋าสานฝากไปให้ภรรยาผมด้วย 

ทั้งหมดนี้คือการแสดงว่าท่านคิดถึงคนอื่น และคิดถึงความรู้สึกคนอื่น ดังนั้นผมจึงเชื่ออย่างจริงใจว่าท่านจะมีความทุกข์และกังวลขนาดไหน ในช่วงโควิด ที่ประชาชนเจ็บป่วย เสียชีวิต ร้านปิดกิจการ ในขณะที่ท่านเป็นผู้นำประเทศและการกล่าวหาว่าท่านไม่เห็นใจชาวบ้าน นั้นเป็นการโจมตีท่านอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่ง ‘ความผิด’ ของท่านข้อเดียวที่ผมมักจะได้ยินจากผู้สนับสนุนท่านก็คือ การไม่จัดการม็อบให้เด็ดขาด แต่ในข้อนี้ก็คงอธิบายได้ประมาณหนึ่ง ว่าท่านไม่ได้เห็นเยาวชนเป็นศัตรูคู่อาฆาต ที่ต้องไปจัดการฆ่าให้ตายเหมือนใครบอกไว้ แต่เป็นลูกเป็นหลานที่อาจจะหลงผิดโดยการปลุกปั่น เพราะท่านเองก็มีลูกสาว เป็นพ่อคนเช่นกัน

3. ท่านเป็นคนรับฟังคนอื่นอย่างมาก ซึ่ง pattern ของการประชุมส่วนมาก ในวาระพิจารณาคือ ท่านจะให้ผู้เข้าประชุมแสดงความคิดเห็นกันให้ทั่วถึง รวมถึงคนที่อาจจะไม่เห็นด้วย หรือโจมตีนโยบายท่าน ก็เชิญมาแสดงความเห็นด้วยและท่านก็ให้ความเคารพทุกคน ทุกความเห็น แล้วจึงค่อยสรุป แล้วถามว่า ทุกคนเห็นว่าอย่างไร หากไม่เห็นด้วยให้บอกมาเลย แล้วจึงค่อยออกมาเป็นคำสั่งการและนโยบาย (ซึ่งบางคนในห้องไม่กล้าค้าน แต่ออกมาแล้วโพสต์ด่าเฉย) 

ดังนั้นการโจมตีท่านว่าเป็น ‘เผด็จการ’ จึงเป็นการกล่าวหาที่ ‘เพ้อเจ้อ’ และเป็นเพียงวาทกรรมที่พยายามผลักท่านให้‘ไม่เป็นประชาธิปไตย’ ผมสังเกตว่า ท่านจะรับฟังและให้เกียรติ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เป็นอย่างมาก (เช่น แพทย์ นักวิชาการอาจารย์ ซึ่งทั้งแม่และภรรยาของท่านก็เป็นครู) และแทบจะไม่เคยขัดคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเลย (ข้อเสนอและนโยบายช่วงโควิด ส่วนมากก็มาจากคำแนะนำของฝ่ายสาธารณสุขทั้งสิ้น) และในบางโอกาสที่ผมได้มีข้อเสนอแนะทางการสื่อสาร ท่านก็ยังให้เกียรติสอบถามและรับฟังผม และขอบคุณผมด้วย (ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้) และก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะตำหนิอะไรผมหรือทีมโฆษกฯ เลย ท่านเดินผ่านมาทางเราเมื่อไหร่ ก็มีแต่คำขอบคุณ ซึ่งทำให้คนทำงานมีกำลังใจ และสามารถซื้อใจคนเก่งหลาย ๆ คนนอกวงการเมืองมาช่วยงานได้ด้วยความจริงใจ ทำให้เกิดโครงการดี ๆขึ้นมากมายโดยที่ไม่มีปัญหาประโยชน์ทับซ้อน 

4. ท่านอาจจะเป็นคนที่ดูหงุดหงิดง่าย แต่ท่านเป็นคนพูดตรง ๆ ไม่ประดิษฐ์วาทกรรมสวยหรู คิดอย่างไรพูดไปอย่างนั้น จริง ๆ แล้วนักข่าวทำเนียบต่างชอบเวลาสัมภาษณ์ท่าน เพราะไม่มีเล่ห์เหลี่ยม หรือพูดแล้วกลับไปกลับมา แต่สิ่งที่สื่อต่าง ๆ ชอบนำไปออกก็คือเวลาท่านดูหงุดหงิด ซึ่งอาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์แค่นั้น จึงทำให้คนทั่วไปมองว่าท่านเป็นอย่างนั้น ซึ่งเชื่อหรือไม่ครับ ว่าท่านเองก็รับทราบ และก็พยายามจะข่มอารมณ์เวลามีคำถามที่ไม่ค่อยน่าฟัง แต่ด้วยความที่ตัวตนของท่านเป็นคนไม่เสแสร้ง บุคลิกแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้เก่งการละครหรือการพูด ท่านดีใจท่านก็ยิ้ม หงุดหงิดก็ขึ้นเสียง ซึ้งใจก็มีน้ำตา 

5. เห็นท่านดูใจร้อน โผงผาง แต่จริง ๆ แล้วเวลาส่วนใหญ่ ท่านเป็นคนมีอารมณ์ขัน มุกตลกเยอะ (ตลกหน้าตายด้วย) เวลาอารมณ์ดี ชอบแซวชอบแหย่คนอื่น ๆ ในห้องประชุม นักข่าว หรือคนรอบข้างอยู่เสมอ บางเรื่อง ครม. ตกลงกันไม่ได้ โต้กันไปมา ท่านยิงมุกทีนึงฮากันครืนทั้งห้อง บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงทันที และท่านก็ยังมาพูดคุยกับทีมงานแบบไม่ถือตัว (นะจ๊ะ นั่นแหละครับ 55) ซึ่งอันนี้เราเห็นกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว

สิ่งเหล่านี้ (และจริง ๆ ยังมีอีกมาก) คือตัวตนของ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย ที่ผมได้เคยสัมผัสในช่วงสั้น ๆ แต่เป็นช่วงที่มีความประทับใจ และเชื่อโดยสนิทใจว่าท่านเป็นคนดี มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันที่เราเคารพรักจริง ๆ (หากจะพูดว่าตายแทนได้ผมก็เชื่อ) ทำให้ผมและคนเก่ง ๆหลาย ๆ คนอาสาเข้ามาช่วยท่าน (ถ้าดูไม่ดีผมคงเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว) และสำหรับผม และในกาลเวลาข้างหน้า ก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต และเก่งในการบริหารที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ที่ทำให้เราฝ่าวิกฤตซ้อนวิกฤตซ้อนวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง มิได้หวังลาภยศสรรเสริญ แต่เสียสละด้วยความจำเป็นเข้ามารับความเสี่ยงในยามที่ประเทศถึงทางตัน ตามคำขวัญของกองทัพที่ว่า “มิเคยหวังจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดทนเห็นชาติพินาศสลาย”

 

‘ราเมศ’ ออกโรงป้อง หลักการ ‘ชวน’ ไม่ใช่มรดกความขัดแย้ง แต่เป็นเรื่องของความถูกผิด-อุดมการณ์พรรค ที่ทุกคนต้องเรียนรู้

(25 ส.ค. 66) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงประเด็นมติที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ว่า…

“ต้องยอมรับว่ามีข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงในหลายประเด็น การประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนวันที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี ในส่วนของนายชวน หลีกภัย ที่ได้แจ้งต่อที่ประชุมและได้บอกเหตุผลว่าเหตุอันใดที่มีความจำเป็นต้องโหวตไม่เห็นชอบ ไม่มีผู้ใดขัดข้อง มติที่ประชุมเป็นไปตามที่โฆษกที่ประชุม สส.คือนางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ได้ออกมาแถลงผลการประชุมคือ ที่ประชุมมีมติให้งดออกเสียง กรณีของนายชวน จึงไม่ใช่การฝ่าฝืนมติที่ประชุมแต่อย่างใด

นายชวนได้อยู่พรรคมานาน เป็นบุคคลที่ยึดมั่นในหลักความถูกต้อง อะไรที่ไม่ถูกต้อง นายชวนไม่ทำอยู่แล้ว และแนวคิดของนายชวน ในเรื่องการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ท่านได้ต่อสู้มาโดยตลอด ไม่ใช่ความเคียดแค้นส่วนตน แต่เป็นเรื่องความถูกผิด เป็นเรื่องของอุดมการณ์พรรค ประชาชนภาคใต้ยังจดจำการเลือกปฏิบัติกับพี่น้องในภาคใต้ การแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ไม่ได้ยึดกฎหมายบ้านเมือง เหตุการณ์ที่กรือเซะที่ตากใบ การทุจริตโครงการจำนำข้าว เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เห็นว่าอุดมการณ์ในทางการเมือง ความซื่อสัตย์สุจริตการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอีกหลายเรื่อง มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นายชวน หลีกภัย คือ ‘เสาหลักของพรรคประชาธิปัตย์’ ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีคนชื่อ ‘ชวน หลีกภัย’ ประชาธิปัตย์ไม่สามารถอยู่อย่างยั่งยืนได้ในวันนี้ และเชื่อว่าทุกคนในพรรคระลึกถึงบุญคุณของนายชวน ที่ได้ทำประโยชน์ให้กับพรรคตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คงไม่มีใครคิดขับท่านชวนออกจากพรรค วันที่คนของพรรคเพื่อไทยแกล้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ท่านชวน คือคนที่ต่อสู้และต่อสู้ด้วยความยากลำบากจนชนะคดีพรรคไม่ถูกยุบ แนวคิดประสบการณ์ในทางการเมืองคือสิ่งสำคัญที่คนรุ่นหลังมีความจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อนำหลักการที่ดีไปปรับประยุกต์ใช้ในการนำพาพรรควันข้างหน้า เชื่อว่าทุกคนยอมรับว่าการเมืองเปลี่ยนไปมาก แต่พรรคประชาธิปัตย์มีหลักคิดที่ดีมีสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เราทุกคนจะทำอย่างไรที่จะซึมซับสิ่งเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้า”

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า ขณะนี้ก็ต้องแจ้งพี่น้องประชาชนว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มรูปแบบ ทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา ทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศอย่างเต็มที่ ฝ่ายค้านคงไม่ใช่แค่การตรวจสอบอย่างเดียว แต่จะรวมถึงการทำงานในเชิงรุกที่ตนในฐานะโฆษกพรรคได้แถลงไว้ก่อนพรรคอื่น คือจะใช้กลไกของฝ่ายนิติบัญญัติในการผลักดันแก้ปัญหาให้กับประชาชน รวมถึงการยกร่างและการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้การขับเคลื่อนในการแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนทั่วทั้งประเทศ ที่จำต้องมีการสังคายนากฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

'ร่มธรรม ขำนุรักษ์' ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของประชาธิปัตย์ ยึดมั่น 'หลักการ-มติพรรค' พร้อมเลือดรักสิ่งแวดล้อมไม่แพ้พ่อ

ก่อนหน้านี้ THE STATES TIMES ได้นำเสนอเรื่องราวและผลงานของ 'สรรเพชญ บุญญามณี' สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นดาวจรัสแสง เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเอง และไม่จำเป็นต้องทำตัว 'หิวแสง' แต่ผลงานคือเครื่องพิสูจน์ 'ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น' ไปพอสังเขป

มาในวันนี้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ในบรรดา สส.หน้าใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นดาวเด่น นอกจากสรรเพชญบุญญามณีแล้ว ก็เห็นแสงระยิบระยับในตัวของ 'ร่มธรรม ขำนุรักษ์' สส.เขต 3 พัทลุง อีกคนหนึ่งที่ฉายแสงเจิดจรัส

ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 'ร่มธรรม' ก็ยึดมั่นตามมติพรรค 'โหวตงดออกเสียง' อีกคนหนึ่ง เป็น 1 ใน 6 

"ผมสั่งไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะทำอะไรลงไปคิดให้ดี การกระทำจะเกิดอะไรขึ้น ประชาชนชอบไหม สื่อชอบไหม ทำแล้วต้องหลบหน้าหรือไม่ ทำแล้วต้องแก้ตัวหรือไม่ ผมสั่งไว้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเลือกตั้ง จึงลงมติงดออกเสียงตามมติพรรค” นริศ ขำนุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ผู้เป็นพ่อ อดีต สส.เขต 3 พัทลุง ที่เปิดทางให้ลูกก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง กล่าว

นริศ กล่าวยืนยันว่า พรรคมีมติให้งดออกเสียงแน่นอน สุณัชชา โล่สถาพรพิพิธ รองโฆษกพรรคก็แถลงข่าวชัดเจน 

"มีท่านชวนขออนุญาตโหวตไม่เห็นชอบ ท่านบัญญัติขอโหวตตามนายชวน ไม่อยากให้นายชวนไปแบบโดดเดี่ยว"

กล่าวสำหรับ 'ร่มธรรม' ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของประชาธิปัตย์ ถ้าพลิกดูประวัติแล้วจะน่าสนใจยิ่ง ได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ประเทศจีน ไปเรียนต่อที่รัสเซีย และหลังจบการศึกษาก็เป็นครูอาสาตระเวนสอนอยู่ในหลายประเทศ

'ร่มธรรม' ได้เลือดพ่อสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เมื่อนริศมีภารกิจมาก ไม่ค่อยมีเวลาเขียนหนังสือ 'ร่มธรรม' รับบทเรียนเองในคอลัมน์ 'ร่มไม้ใบบัง' ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ซึ่งจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เดิมนริศเขียนมานานหลายปี

'ร่มธรรม' ชักชวนเพื่อนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ก่อตั้งเพจ Environman นำเสนอเนื้อหาแนวสิ่งแวดล้อม ส่วนบทบาทในสภา ก็ได้เห็นการอภิปราย การชี้แนะอยู่บ่อยครั้ง เช่น การเสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นธรรม-เท่าเทียม ในทุกพื้นที่ การอภิปรายเกี่ยวกับผลงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และการอภิปราย ตั้งข้อสังเกตผลงานของไทยพีบีเอส เป็นต้น

เท่าที่ติดตามผลงานในรอบ 3 เดือน เมื่อเทียบกับ สส.คนอื่น และเป็น สส.หน้าใหม่ ถือว่ามีผลงานน่าสนใจ และผลงานเจิดจรัสพอ ๆ กับ 'สรรเพชญ บุญญามณี'

เรียกได้ว่า ทั้ง 'สรรเพชญ' และ 'ร่มธรรม' ถือได้ว่า เป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีพ่อเป็นลมใต้ปีกอยู่ห่าง ๆ

‘อั้ม เนโกะ’ ซัด!! ด้อมส้ม แต่งนิยายดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทยชี้!! ‘ก้าวไกล’ ปิ๋วตั้งรัฐบาล เพราะตัวเองไม่มีเสียงมากพอ

เมื่อไม่นานนี้ นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ ‘อั้ม เนโกะ’ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Aum Neko’ โดยช่วงหนึ่ง ‘อั้ม เนโกะ’ ได้อธิบายถึงปมดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทย ว่า ทักษิณพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกมาตั้งนานแล้ว และพรรคเพื่อไทยไม่เคยทอดทิ้งหรือลืมคนที่ลี้ภัยเลย พร้อมทั้งบอกสาเหตุที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เป็นเพราะไม่มีเสียงที่มากพอ โดยระบุว่า…

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล ดีลในเรื่องที่ว่าหักหลังพรรคก้าวไกล เพื่อที่จะให้พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะว่าในหนังสือดาราหรือหนังสือแต่งนิยายดารา เขาบอกว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลคุณทักษิณจะไม่สามารถกลับไทยได้ อยากจะขําเป็นภาษาแมว พรรคเพื่อไทยไม่เคยลืม ไม่เคยทิ้ง ในขณะสิบปีที่ผ่านมาที่อั้มต่อสู้ คนที่อยู่ในพรรคส้มไม่เคยอยู่เคียงข้างอั้ม”

“คุณทักษิณบอกมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าเขาพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกอะไรยังไงก็ว่ากันไป แต่ถามว่าคุณทักษิณเขาไม่เห็นด้วยหรือไม่ เขาเห็นดีเห็นแดงกับคนที่ลี้ภัยอย่างพวกเราไหม? อั้มขอยืนยันตรงนี้ว่า คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยไม่เคยลืมคนที่ลี้ภัยอยู่นอกประเทศ… คุณคิดได้ยังไงว่าเขาต้องกันซีนพรรคก้าวไกล ไม่ให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพื่อที่ทักษิณจะได้กลับบ้านได้ ขอด่าดัง ๆ คุณดูความจริงก่อน”

“ความจริงมันคืออะไร? คือรัฐบาลของพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งได้เลย เพราะคุณไม่มีเสียงมากพอในสภาฯ คุณมี 151 เสียง ไม่ได้มีเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งเสียงพรรคอื่น หรือพึ่งเสียง สว. แล้วคุณโกหกต่อสาธารณชนบอกว่าพรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เสียงของเราพอแล้ว นั่นคือ ‘คุณโกหก’ จริง ๆ คุณจัดตั้งไม่ได้ ทุกคนเห็น โลกเห็น แฟนคลับเห็น ว่าคุณจัดตั้งไม่ได้ แล้วคุณเองก็ไปโทรศัพท์คุยกับพรรคที่เป็นพรรคฝั่งรัฐบาลเผด็จการที่คุณด่า ทุกพรรคคุณไปคุย คุณไม่ได้เอามาคุยหน้าไมค์ด้วยซ้ำ แล้วคุณบอกว่าคุณดีเลิศ ประเสริฐศรี สามารถจัดตั้งได้ เพราะคุณคิดว่าเขาจะยกมือให้คุณ สรุปคือ คุณโกหกต่อสังคม แต่ประชาชนก็ปล่อยผ่าน เพราะว่านี่คือพรรคก้าวไกล…”

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล และหักหลังพรรคก้าวไกล ถ้าคุณทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยตั้งใจที่จะถลกหนังตลบหน้าพรรคก้าวไกลเหมือนแมวข่วนหน้า นั่นแปลว่า เขาก็ไม่ต้องมานั่งยกมือ ไม่มานั่งโหวตให้คุณ ไม่ต้องมาอะไร แต่เขาพร้อมโหวตให้ตั้งแต่คุณยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จําได้ว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่ ได้รับการเลือกตั้งครั้งแรกได้ สส. เข้ามาในสภาฯ คุณไม่ใช่เป็นพรรคเสียงอันดับหนึ่งนะ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่ง แต่เขายอมที่จะยกมือขานชื่อของ ‘คุณธนาธร’ ให้ทั้งพรรค ตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้”

“ถ้าสมมติว่าพรรคก้าวไกลของคุณสามารถไปรวบรวมคนมาได้ สามารถที่จะจัดตั้งได้ พรรคเพื่อไทยเขาก็ยังจะยกมือให้คุณ ทุกวันนี้ถามว่าถ้าพรรคก้าวไกล คุณกลับมาจับมือพรรคเพื่อไทยได้ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมยกมือให้คุณ แต่ประเด็นคือคุณไม่มีความสามารถในการหาเสียงได้เกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ และของฝั่ง สว. รวมกันให้มากพอที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้”

“ดังนั้น เมื่อคุณจัดตั้งไม่ได้ คุณบอกว่าคุณประกาศเองเลยว่า ขอส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย แล้ว พอคุณส่งไม้ต่อไปแล้ว พรรคเพื่อไทยเขาก็ทําทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณมาบอกว่าพรรคเพื่อไทยไปกันซีนพรรคคุณ เพื่อที่จะดีลให้ทักษิณกลับบ้านได้ ขอโทษค่ะ… อันนี้คือคุณบิดและมาหาว่าดิฉันเป็นนางแบก คนนั้นคนนี้เป็นนางแบก คุณพวกส้มบิด บิดจน โอ้โฮ! ลําไส้เจ็บไปหมดเลย คุณไม่มีความสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณด่าพรรคเพื่อไทยหวังผลทางการเมือง สร้างข่าวลวงว่าคุณทักษิณกันซีนไม่ให้พรรคก้าวไกลขึ้นมาเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล คุณทําเองไม่ได้ แล้วคุณมาดักเพื่อไทยต่อ คือต่อให้พรรคก้าวไกลสามารถมาเป็นประธานรัฐสภาได้ มันทําให้เสียงของพรรคก้าวไกลได้เกินครึ่งหนึ่งและจัดตั้งรัฐบาลเอาพิธาตีเมียมาเป็นนายกได้ไหม? ก็ไม่ได้เพราะความจริงคือคุณมีแค่ 151 แค่นั้น คุณอย่าฝัน คุณยังไม่ได้เกินครึ่งสภาฯ เลย คุณยังไม่ได้พรรคเดียวเกิน 250 เสียง ยังไม่ได้พรรคเดียวถึง 375 เสียง”

“ดังนั้น คุณจึงไม่สามารถจัดตั้งพรรคได้ และพวกส้มบิดทั้งหลาย เลิกเชื่อละครน้ำเน่าที่กล่าวหาพรรคเพื่อไทยและทักษิณว่า ดีลเพื่อที่จะไปกันซีนพรรคคุณได้แล้วค่ะ”

‘สาธิต’ ยกพลร่อนหนังสือ จี้ ‘จุรินทร์’ ลงดาบ 16 สส.โหวตเศรษฐา ซัด!! ทำพรรคเสื่อมเสีย 'สิ้นศรัทธา-เป็นปฏิปักษ์-ผิดข้อบังคับร้ายแรง'

เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.66) นายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลภาคกลาง พร้อมด้วย นางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ รักษาการกรรมการบริหารพรรค นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอให้ลงโทษผู้มีพฤติกรรมทำผิดข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง ด้วยการเป็นปฏิปักษ์กับพรรค ด้วยการฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรค และที่ประชุม สส.ของพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียงและสร้างความแตกแยกในพรรค

หนังสือระบุว่า กระผมนายสาธิต ปิตุเตชะ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกจำนวนหนึ่ง พบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ปชป. (“สส.”) กระทำความผิด ฝ่าฝืนข้อ 18 (1) และ (2) และข้อ 124 ของข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ.2566 (“ข้อบังคับพรรคฯ”) และจรรยาบรรณพรรค ปชป. โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส.ของพรรค ปชป.อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ลงมติในที่ประชุมรัฐสภาขัดกับมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม ส.ส. โดยไม่สุจริต โดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ก่อนวันประชุมร่วมกันของรัฐสภากำหนดการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้น พรรค ปชป.ได้มีมติของที่ประชุม สส. ว่าให้ สส.ของพรรค ปชป. “ลงมติงดออกเสียง” ต่อมา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามี สส.ของพรรค ปชป. ได้แก่ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ต่อมา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้นได้ออกมาแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะที่ทำให้พรรค ปชป. ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้พรรค ปชป. เกิดความแตกแยกสามัคคีภายใน การกระทำของนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรคฯ คนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดมติของพรรค เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค และกระทำความผิดข้อบังคับพรรค อย่างร้ายแรง เนื่องจากตามข้อบังคับพรรค สส.ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคจะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค ดังนี้

ข้อ 18 ระบุว่า “สมาชิกมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับพรรค และมติคณะกรรมการบริหารพรรค (2) รักษาชื่อเสียงของพรรคโดยไม่ปฏิบัติไปในทางที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”
ข้อ 96 ระบุว่า “ให้ที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น เป็นผู้ลงมติว่าจะจัดตั้งรัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลหรือถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลหรือไม่”
ข้อ 115 ระบุว่า “นอกเหนือไปจากการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและข้อบังคับตามหมวด 4 ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมของสมาชิกแล้ว ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติตามวินัย ดังต่อไปนี้ (6) ห้ามดำเนินการอื่นใดอันอาจจะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”
ข้อ 124 ระบุว่า “การลงโทษสมาชิกผู้ถูกกล่าวหาให้พ้นจากสมาชิกภาพจะกระทำได้ต่อเมื่อปรากฏว่าสมาชิกผู้นั้นกระทำการให้พรรคเสียหายอย่างร้ายแรง หรือทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค หรือผู้ถูกกล่าวหาได้ฝ่าฝืนข้อบังคับพรรคหรือจรรยาบรรณของพรรค มติหรือคำสั่งของคณะกรรมการบริหารพรรค”

หนังสือระบุอีกว่า 2.การกระทำของนายเดชอิศม์สร้างความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรง นอกจากการกระทำความผิดของนายเดชอิศม์ ในข้อ 1. ข้างต้นแล้ว นายเดชอิศม์ยังกระทำการสร้างความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรงด้วยการพูดจาไม่น่าเชื่อต่อสาธารณชน พูดกลับกลอกไม่มีความจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้...

2.1 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าไม่ได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณ ชินวัตร เพียงแต่ไปฮ่องกงเพื่อแก้บนให้แก่ภรรยาเท่านั้น นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อแก้บนหลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทย เนื่องจากได้บนไว้ให้ภรรยาชนะการเลือกตั้ง ส่วนได้ไปพบนายทักษิณหรือไม่ ไม่ขอพูดดีกว่า” และยังพูดถึงเรื่องการร่วมรัฐบาลต่อไปอีกว่า “ส.ส.ในกลุ่มของนายเดชอิศม์ จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย นายเดชอิศม์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับมติพรรค และการจะร่วมรัฐบาลหรือไม่จะเป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ชุดที่มีอยู่ รวมกับ ส.ส.ปัจจุบัน เหมือนปี 2562 ที่มีการเถียงกัน 1 วัน 1 คืน สุดท้ายมีมติ 61 ต่อ 16 ให้ร่วมรัฐบาล ถ้าไปก็ไปทั้งพรรค และยืนยันจะไม่มีใครฉีกมติพรรค และไม่มีงูเห่าจากพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ภายใต้มติของกรรมการบริหารพรรค”

2.2 แต่ทว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณและพูดคุยถึงการร่วมรัฐบาลจริง และยังมีการพูดถึงแนวทางการร่วมจัดตั้งรัฐบาลตอนหนึ่งว่า “จริงๆ หลักของประชาธิปัตย์ การร่วมรัฐบาลตนคิดคนเดียวไม่ได้ โดยหลักแล้ว 1.ต้องเทียบเชิญก่อน 2.กรรมการบริหารพรรคประชุมร่วม ส.ส. 25 คน รวม 52 คน ซึ่งการประชุมนี้ส่วนใหญ่ว่าอย่างไรถือเป็นมติพรรค” และกล่าวยอมรับว่าได้เจอนายทักษิณที่ฮ่องกงจริงเมื่อโดนถามว่าไปฮ่องกงไหมจึงตอบว่า “ไป ซึ่งเป็นช่วงวันเกิดนายทักษิณพอดี ส่วนเจอนายทักษิณหรือไม่ นายเดชอิศม์กล่าวว่า เจอครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ไม่อยากพูดเพราะกลัวว่านายทักษิณ หรือใครก็ตามจะเสียหาย ซึ่งนายทักษิณสนิทสนมกับตนส่วนตัว เพราะเคยลงสมัครพรรคไทยรักไทยปี 2548 ซึ่งก็ไม่มีความแค้นส่วนตัวกับใครอยู่แล้ว” และยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ส่วนตัวผมจริงๆ ผมอยากให้ร่วมรัฐบาล เพื่อแนวคิดของเราอยากแก้ปัญหาประชาชนจะแก้ได้”

ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริง พรรค ปชป.ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล และพรรค ปชป.ก็ไม่เคยมีมติเข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ แต่อย่างใด หากพรรค ปชป.จะเข้าร่วมรัฐบาลนั้นจะต้องมีมติพรรคจัดตั้งรัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาล และจะต้องมีการแต่งตั้งบุคคลกลุ่มหนึ่งเพื่อเข้าร่วมการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าว ไม่ใช่เป็นกรณีดังเช่นนายเดชอิศม์จะสามารถดำเนินการเจรจาโดยการตัดสินใจเพียงลำพัง

ด้วยเหตุนี้ การกระทำของนายเดชอิศม์ จากข้อเท็จจริงในข้อ 2.1 และ 2.2 ข้างต้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่านายเดชอิศม์ พูดจากลับไปกลับมา และการเข้าไปพูดพบนายทักษิณเพื่อพูดคุยเรื่องการร่วมรัฐบาลนั้น เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือต่อประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วนายเดชอิศม์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึง สส.ของพรรค ปชป. พึงดำรงตนปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค และมติของพรรค รวมถึงจรรยาบรรณของพรรคอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชนและสมาชิกพรรคคนอื่น ดังนั้น การกระทำของนายเดชอิศม์ จึงเป็นเหตุสมควรให้ได้รับการลงโทษตามข้อ 124 ของข้อบังคับของพรรค

3.นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ เคยกล่าวว่า ต้องทำตามมติพรรค แต่ต่อมากลับกระทำการฝ่าฝืนมติพรรคอย่างชัดเจน เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรค ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรคและทำให้พรรคได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามที่ก่อนหน้านี้ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ เคยกล่าวว่า สมาชิกพรรคทุกคนจะต้องทำตามมติพรรค หากใครลงคะแนนเสียงขัดมติพรรคจะต้องลาออก แต่ต่อมาพวกเขากลับดำเนินการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีฝ่าฝืนมติพรรคโดยการลงคะแนนเสียงเห็นชอบให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรคทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรค ปชป. และอุดมการณ์ของพรรค ปชป. ซึ่งกรณีนี้เป็นเหตุให้พรรค ปชป.ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ การกระทำทั้งหมดดังที่ได้เรียนข้างต้นของนายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช กับ สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ทำให้เห็นว่าเจตนาของ สส.ทั้งหมดในการแหกมติเป็นการส่อให้เห็นว่าอยากร่วมรัฐบาล แม้ว่าพรรค ปชป.จะไม่ได้มีมติให้เข้าร่วม ยิ่งเป็นการตอกย้ำและทำให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธาและความนิยมต่อพรรค ปชป. อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรง

ด้วยเหตุนี้ จากข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าว การกระทำของนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ลงมติเห็นชอบให้แต่งตั้งนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. เนื่องจากพรรคไม่เคยมีมติหรือเห็นชอบในการเข้าร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด และพรรคได้มีมติอย่างชัดเจนว่าจะลงคะแนนเสียงในการให้ความเห็นชอบบุคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรครวมทั้งสิ้น 16 คน เป็นการกระทำโดยเจตนาไม่สุจริต จงใจกระทำการฝ่าฝืนกับข้อบังคับพรรคด้วยการฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. อีกทั้งเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับพรรค ทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค และทำให้พรรค ที่มีอุดมการณ์มั่นคงมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานนั้นได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง เสื่อมศรัทธาและคะแนนนิยมของประชาชน ทำให้พรรคได้รับความเสียหายร้ายแรงอย่างชัดเจน จึงเป็นการกระทำความผิดข้อบังคับข้อ 18, 96, 115 และ 124

ด้วยเหตุผลดังที่เรียนไว้ในข้างต้นนี้ ขอให้รักษาการหัวหน้าพรรคตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนการกระทำความผิดดังกล่าวโดยเร็วที่สุดและดำเนินการลงโทษ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรครวมทั้งสิ้น 16 คน ที่กระทำการผิดข้อบังคับพรรค ฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. ทำให้พรรคได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับพรรคด้วย

ไม่พลิก!! 'อนุทิน' คุม 'มท.1' ฟาก 'ป๊อด' ผงาด!! อาจมีขบถ ปชป.ซบบ้านป่า ส่วน พท.พร้อมเดินหน้า แต่แอบผวา 'ทักษิณ' ทำความดีละลายหาย

'เลียบการเมือง' สุดสัปดาห์ กับ 'เล็ก เลียบด่วน' สัปดาห์นี้ ขอวิเคราะห์การเมืองกันแบบซุบซิบ...เมาท์มอยดีกว่านะครับ ก่อนจะได้ดูโผ ครม.จริงๆ กันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้...

'เล็ก เลียบด่วน' สรุปอีกครั้งว่า... 'เพื่อไทย' ได้เป็นรัฐบาลรอบนี้เพราะมีลุง...มีลุงจึงมีเรา...152 เสียงของสมาชิกวุฒิสภาหรือ สว.ที่ขานชื่อ "เห็นชอบ" ให้เศรษฐา ทวีสิน นั้น เป็น สว.สายบิ๊กตู่ร่วมๆ 145 คน ดังนั้นจึงชอบแล้วที่ 'เสี่ยนิด เศรษฐา' ไปขอบคุณลุงตู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นวัฒนธรรมใหม่ทางการเมือง...

เอาไปเอามา...ดูเหมือนว่าไฮไลต์การจัดโผ ครม. อยู่ที่เก้าอี้กระทรวงมหาดไทยกับคมนาคม...เมื่อพรรคเพื่อไทยยื่นคำขาดขอคุม 'คมนาคม' พรรคน้องหนู อนุทิน ชาญวีรกูล ก็โค้งคำนับทุบโต๊ะบอกว่า "ได้ครับ" แต่ขอแลกกับมหาดไทย...นั่นเป็นที่มาของอนุทินรอบนี้จะนั่งรองนายกฯ ควบ มท.1  

ส่วน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อเจาะกระทรวงพลังงานไม่ได้ ก็มาดูเมกะโปรเจกต์ที่กระทรวงหูกวาง...

กระทรวงหูกวาง หรือ คมนาคมรอบนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ให้จับตามองตำแหน่ง รมช.โควตาพรรคเพื่อไทยให้ดีๆ เขาคือ 'หมอหนุ่ย' นพ.สุรพงษ์ ปิยะโชติ นายก อบจ.กาญจนบุรี สายตรงของเจ้าสัวด้านขนส่งคมนาคม...คนนั้น  

เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 'หมอหนุ่ย' คนเชียงใหม่ แต่เคยเป็น สส.เมืองกาญจน์เมื่อปี 2554 เป็นแม่ทัพบัญชาการการรบ โดยมีเจ้าสัวสนับสนุนยุทธปัจจัยไม่อั้น ทำให้เพื่อไทยกวาด สส.เมืองกาญจน์ได้ 4 เขตจาก 5 เขต...วันนี้เลยได้รับบำเหน็จขึ้นแท่น รมช.แฮปปี้ทั้งเจ้าสัวและหมอหนุ่ยรวมทั้งคนเมืองกาญจน์ฯ...

รายนี้ก็เป็นการตบรางวัล จัดให้ตามที่คุณขอมา...ว่าที่รมว.ท่องเที่ยวและการกีฬา คนใหม่ ตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม ออกอาการเคอะเขินระหว่างเดินทางร่วมทริปดูงานด้านการท่องเที่ยวที่ภูเก็ต-พังงากับ ท่านนายกฯ เศรษฐา...ไม่ใช่ใครอื่น 'สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล' ลูกสาวคนโตของ 'กำนันป้อ' วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล เสี่ยแป้งมันคนโตแห่งโคราชนั่นเอง...

เลือกตั้งรอบนี้ กำนันป้อ จับมือ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กวาดสส.โคราชเกือบเกลี้ยง...เพื่อไทยเลยจัดให้สองเก้าอี้...ประเสริฐว่าการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม...กำนันป้อส่งคุณหนูสุดาวรรณคุมท่องเที่ยวฯ ยินดีด้วยนะครับ

สื่อมวลชนบางสำนักเขียนถึง 'บิ๊กป้อม' พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า...อกหักพักบ้านป่า...ซึ่ง 'เล็ก เลียบด่วน' ก็ขอบอกว่าไม่มีอะไรผิดหรอกที่เขียนน่ะ แต่อย่าซ้ำเติมท่านนักเลย แค่เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 6 จปร.17 หลายคนแหกโผไปยกมือโหวตให้ 'เศรษฐา' ทั้งๆ ที่ตกลงกันว่าจะงดออกเสียงก็ชีช้ำพอแล้ว...โดยเฉพาะรายของ 'บิ๊กกี่' พล.อ.นพดล อินทปัญญา...เพื่อนเลิฟลุงป้อม งานนี้สนับสนุนนายกฯ เพื่อไทยเต็มลำ ทำไงได้ล่ะ...ก็สุดที่เลิฟของ 'บิ๊กกี่' เป็น สส.อยู่ที่พรรคเพื่อไทยนี่นา…

สำหรับพรรคพลังประชารัฐ จากนี้ไปก็คงอยู่ภายใต้การคอนโทรลของน้องชายบิ๊กป้อม คือ 'บิ๊กป๊อด' พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ว่าที่รองนายกฯ / รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...อนาคตพรรค พปชร.แม้จะดูเทาๆ มัวๆ แต่อาจจะอยู่ยืนยาวกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ...ดีไม่ดีว่ากันว่าหากในอนาคตกลุ่ม 16 แห่งพรรคประชาธิปัตย์ถูกขับหรือขับตัวเอง อาจจะมาซุกกายอยู่บ้านป่ารอยต่อใน พ.ศ.ใหม่ก็เป็นไปได้...ไม่เชื่อลองไปถามเดชอิศม์ ขาวทอง

และสุดท้าย...ท้ายสุด เหนือการควบคุมของ นายกฯ เศรษฐา...แต่จะส่งผลกระทบกับรัฐบาลเศรษฐา...แฟนคลับพรรคเพื่อไทยฝาก 'เล็ก เลียบด่วน' กระซิบกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ว่า หากพรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตรไม่บริหารให้อยู่ในความพอดีของความเป็นนักโทษ...ต่อให้รัฐบาลสร้างผลงานดีแค่ไหนก็จะละลายหายไปกับความเสื่อมศรัทธาที่จะเกิดขึ้น...

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีในระดับพอสมควรแล้ว คนไทยให้อภัยและชื่นชมที่ทักษิณเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าจะทำลายโอกาสดีๆ ที่พรรคเพื่อไทยจะได้ฟื้นตัว มีพลังสู้กับพรรคก้าวไกลและปัญหาของชาติ 

ก็ช่วยไม่ได้...เอวัง!!

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

‘เศรษฐา’ ฟิต!! ยกทัพลุย ‘พังงา’ รับฟังผู้ประกอบการ ‘ด้านท่องเที่ยว’ พร้อมผลักดันสร้างสนามบินแห่งใหม่ หวังกระตุ้นเม็ดเงินเข้าประเทศ

(26 ส.ค.66) ที่รร.มอริซี เขาหลัก พังงา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พร้อมด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบายพรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพท. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ จ.พังงา เพื่อพูดคุยกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว มีนายเอกรัฐ หลีเส็น ผวจ.พังงา และ นายกฤษ สีฟ้า อดีตผู้สมัครสส.พังงาพรรคพท.โดยผู้ประกอบการได้เสนอให้มีการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ให้สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ จัดระบบขนส่งมวลชนให้มีคุณภาพ เพื่อรับนักท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้จ.พังงาและจังหวัดใกล้เคียง และขอให้รัฐบาลช่วยจัดกิจกรรมดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในช่วงโลซีซัน

จากนั้นนายเศรษฐา กล่าวว่า แปลกใจไม่มีนายกฯ มาถึงจ.พังงาถึง 10 ปี เพราะทราบกันดีว่าพื้นที่โซนนี้เป็นแหล่งรายได้ที่มีอนาคต ทำรายได้ให้ประเทศ พรรคพท.ไม่มีสส.ในพื้นที่ ต้องขอบคุณนายกฤษ รวมถึงนายพร้อมพงษ์ที่ดูแลพื้นที่ไม่เหน็ดเหนื่อยแม้เพื่อไทยไม่มีสส. แต่ตนก็จะมาพื้นที่อีก แม้เราไม่มีสส.แต่เพื่อไทย ไม่ยึดเรื่องการเมืองแต่ยึดคนไทยทั้งประเทศ เราดูองค์รวมการพัฒนาประเทศเป็นหลัก วันนี้เศรษฐกิจตกต่ำมาก เราต้องเพิ่มรายได้ซึ่งการเพิ่มรายได้ที่ชัดเจน คือเรื่องของการท่องเที่ยว เรารับฟังการสร้างสนามบินใหม่ ขอให้มั่นใจสนามบินใหม่รับเที่ยวบินขนาดใหญ่ได้แน่นอน และโครงการต่างๆ ที่มีการพูดถึงแม้หากดูรายโครงการอาจคุ้มทุนช้า แต่ถ้าดูองค์รวมผลตอบแทนน่าจะคุ้ม หากรัฐบาลพท.ผ่านการถวายสัตย์แล้วจะไม่ดูแยกโปรเจกต์ แต่จะดูองค์รวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่พังงา ภูเก็ต จะไปดูถึงระนอง รวมถึงจะไปดูเรื่องหลังบ้านเรื่องสิ่งแวดล้อมต้องทำควบคู่ไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจ การดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม่ก็สำคัญเช่นกัน สำหรับการท่องเที่ยวด้านสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะมีการพักอาศัยระยะยาวและมีค่าใช้จ่ายที่ดี แต่ถ้าหลายจังหวัดเปิดพร้อมกันอาจขาดแคลนบุคลากร รัฐบาลก็จะให้ความสำคัญในส่วนนี้ด้วย สำหรับเรื่องของอีวีบัส ผู้ว่าการท่าฯ ระบุติดต่อได้เลยพร้อมทำได้เลย เรื่องครม.สัญจร อาจแยกเป็นครม.เศรษฐกิจ หรือครม.มั่นคงเป็นกลุ่มเล็กสะดวกมากกว่า ยืนยันว่าจะกลับมาอีก 

จากนั้นนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์หลังพูดคุยกับผู้ประกอบการว่า มีข้อเสนอที่คล้ายคลึงกับจ.ภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน สนามบิน เมื่อถามว่าโอกาสสร้างสนามบินพังงา เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญของพรรคพท.ที่จะต้องผลักดันให้เกิดขึ้น เมื่อถามว่าในระยะสั้นเราจะนำสนามบินเดิมมาปรับปรุงหรือจัดสร้างสนามบินใหม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดก่อน แต่หากจะทำก็อยากให้ดีเลย และเข้าใจว่ามีแผนอยู่แล้ว และมีการกำหนดที่ไว้แล้ว 

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กจะส่งต่องานให้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอบคุณ แต่ตนยังไม่ได้อ่านเฟซบุ๊กของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งตนจะรับไปพิจารณา และมีหลายท่านที่อยู่ในรัฐบาลเดิม ก็จะไปพูดคุยและไปรับฟังงานที่ทำค้างไว้ โดยเฉพาะการลงทุนที่ทำจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าจะสามารถต่อยอดไปได้ 

เมื่อถามว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่พล.อ.ประยุทธ์จะฝากไว้กับรัฐบาลใหม่ พรรคพท.จะสานต่ออย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องมาดูกันว่าในส่วนไหนที่สามารถทำได้หรือไม่ได้อย่างไร เพราะโลกปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปโดยเร็วพอสมควร ซึ่งต้องดูให้ดีก่อน ไม่อยากบอกว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ย้ำว่าขอศึกษาก่อน 

เมื่อถามว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ลงตัวขึ้นพร้อมที่จะเสนอชื่อเลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ใกล้เคียงมาก พยายามเต็มที่ โดยชื่อที่มีการนำเสนอในข่าวถือว่าใกล้เคียง เรามีคณะเจรจาและการเจรจาก็เป็นไปในทิศทางที่ดี โดยลงรายละเอียดไปถึงรัฐมนตรีช่วยฯ ว่าควบคุมกรมอะไร อยู่ในช่วงการต่อรอง สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือเรื่องของความถนัดของบุคคลที่จะมาดูแลในเรื่องของกรมนั้นๆ ด้วย เพราะเราต้องเอาเรื่องของความเจริญบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งสรรอะไรอย่างเดียว อีกนิดเดียว ขอให้ใจเย็น เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยรอบนี้ ได้กระทรวงมหาดไทยไปคุมภูมิภาคท้องถิ่นทั่วประเทศ พรรคเพื่อไทยจะเสียเปรียบหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องดูไปก่อน ขอดูก่อนว่าจะมีการแบ่งงานกันอย่างไร เพราะต้องมีรัฐมนตรีช่วยด้วย ขอให้ใจเย็นๆ

เมื่อถามว่าผู้แทนการค้าไทยที่ในรัฐบาลเดิมเหมือนจะมีบทบาทน้อย รัฐบาลใหม่จะนำมามีบทบาทอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าโลกเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องเอฟทีเอ เรื่องการเปิดตลาดเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องการเชื้อเชิญนักลงทุนของต่างประเทศเข้ามา เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งตามความเข้าใจของตน ผู้แทนการค้าไทยมี 5 คน และสามารถตั้งประธานได้อีก 1 คน จะเป็นหัวหอกสำคัญในการพัฒนาประเทศ ส่วนจะเป็นของพรรคพท.ทั้งหมดเลยหรือไม่นั้น ตรงนี้เราต้องให้เกียรติกันนิดนึง เราต้องดูความเหมาะสมและความสามารถของบุคลากร เมื่อถามว่าที่บอกว่าครม.สัดส่วนของพรรคพท.ลงตัวร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า “นิดๆ หน่อยๆ 2-3 ตำแหน่ง” เมื่อถามว่าทีมเศรษฐกิจของพรรคพท.จะเป็นทีมที่แข็งแกร่งหรือไม่เพราะนายกฯ จะควบตำแหน่งรมว.คลังด้วยตัวเอง นายเศรษฐา กล่าวว่า อยากให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ ไม่อยากพูด แต่เราพยายามเต็มที่ ในสภาวะที่ค่อนข้างจะลำบากเศรษฐกิจที่มีปัญหา คาดว่ามีความคาดหวังสูง แต่ตนเชื่อว่าคนที่ถูกคัดเลือกตัวมาก็พร้อมที่จะทำงานบนความเหน็ดเหนื่อย 

เมื่อถามว่า รมช.คลังต้องทำงานรู้ใจรัฐมนตรีเลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่ต้องทำงานร่วมกันได้ แต่เชื่อว่าทั้ง 11 พรรคที่มาทำงานร่วมกัน เข้าใจถ่องแท้ถึงความต้องการและปัญหาของพี่น้องประชาชน เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่กระทรวงมหาดไทยที่เดิมมีชื่อของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่ล่าสุดมีชื่อเป็นรองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ท่านจะเสียใจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนเข้าใจ และกระทรวงใหญ่ๆ ตนก็คิดว่ามีการพูดคุยกันแล้ว หลายคนที่เป็นผู้ใหญ่และไม่ใช่แค่พรรคเดียวก็มีความเข้าใจ และชำนาญไม่ใช่แค่กระทรวงเดียว หลายคนผ่านการทำงานมาเยอะ เชื่อว่าเหมาะสมและพร้อม เมื่อถามว่าวันที่ 28 ส.ค.นี้รายชื่อ ครม.จะเรียบร้อยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “หวังว่า” 

เมื่อถามว่ากระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะใช้ได้เมื่อไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เราเดินหน้าเต็มตัวแน่นอน ขอดูรายละเอียดอีกเล็กน้อย ซึ่งในวันที่ 28-29 ส.ค. นี้จะมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาพบปะพูดคุยกัน เพื่อจะรวบรวมข้อมูลแล้วจะขอเขียนไทม์ไลน์อีกครั้ง หวังว่าในไตรมาส 1 ปีหน้าจะทำได้ เมื่อถามว่ามีผลสำรวจของศรีปทุมโพลระบุว่าพรรคพท.มีความนิยมลดลงจะเร่งฟื้นความเชื่อมั่นอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าผลงานอย่างเดียว วันนี้เราทำงานตลอดทุกวัน ทุกคนไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ส่วนเรื่องของความคาดหวังของบุคคลอื่นนั้น เราควบคุมไม่ได้ และเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจถึงความบอบบางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่เราจะต้องเดินหน้าไปด้วยกันให้ได้

'เป๊บซี่' เชื่อ!! โผสุดท้าย ครม.นิด 1 'บิ๊กเล็ก' จ่อขึ้นแท่น 'รมว.กลาโหม' ชี้!! เป็นสัญญาณดีจากคนในเรือนจำ 'ยอมถอย-ประนีประนอม'

(26 ส.ค.66) นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ 'เป๊ปซี่' ผู้สื่อข่าวอาวุโสด้านการเมืองและความมั่นคงชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ลุ้นโผสุดท้าย ครม.เศรษฐา

รมว.กห. ช่วงแรก ลือสะพัดเป็น นกม.จากตระกูล 'คลังแสง'

ก่อนมาจบที่ 'พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์' อดีตรองผบ.ทบ.
หัวแถวจากเตรียมทหาร 20 รุ่นบิ๊กแดง 'อภิรัชต์' 
มือ ยุทธการ-ข่าว และ ความมั่นคง ทบ. 
ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณเป็น เลขา สมช.    
สายข่าวความมั่นคงยืนยันมีความเป็นไปได้สูงลิ่ว      .
'บิ๊กเล็ก' คนเคยสนิทใกล้ชิด 'ลุงตู่'
จะมาเป็น รมว.กห. ในโควตาคนนอกของเพื่อไทย 
แต่ยอมให้ลุงจัดหาบุคคลที่เหมาะสมมาช่วยงานความมั่นคง 
หาก 'บิ๊กเล็ก' มาจริงตามที่สายข่าวคาด                
ถือเป็นการส่งสัญญาณจากคนในเรือนจำ
ยอม 'ถอย-ประนีประนอม-ไม่แตกหัก' อย่างที่บางฝ่ายกังวล  

สร้างบรรยากาศชื่นมื่นแจ่มจันทร์สลายความขัดแย้ง
ก่อนเดินหน้าทำงานร่วมกัน !!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top