Friday, 27 June 2025
Politics

'ดร.สุวินัย' เชื่อ!! 3 สิ่งตลอด 15 ปี ทำ 'ทักษิณ' ต้องปล่อยวาง มองโอกาสทองนี้เป็นโอกาสกลับตัว ร่วมภารกิจสลายขั้วขัดแย้ง

(22 ส.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ว่า...

โอกาสกลับตัวของทักษิณ โอกาสทองของทักษิณ

ขนาดประชาชนอย่างพวกเราอย่างมองออก มีหรือที่คนมีหัวพ่อค้ามาทั้งชีวิตอย่างคุณทักษิณจะมองไม่ออกว่า ...

นี่คือ ‘โอกาสทองครั้งสุดท้าย’ ในชีวิตของเขา ที่จะชนะแบบวิน-วิน แถมยังกวาดเรียบทั้งกระดาน รวมทั้งยังสร้างหลักประกันที่ยั่งยืนทางการเมืองให้แก่ตระกูลชินวัตรหลังจากนี้ด้วย

‘ทางเลือก’ ของคุณทักษิณจึงอ่านไม่ยาก

ถ้าดูในเชิงสัญลักษณ์ การกลับมาครั้งนี้ คุณทักษิณเลือกกราบสิ่งใดก่อนเป็นอย่างแรก…การกระทำเชิงสัญลักษณ์นั้นแหละ ที่บ่งบอกชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ

ที่น่าสังเกตอีกอย่าง คือสีหน้าและแววตาของคุณทักษิณครั้งนี้ ปราศจากร่องรอย ‘ความกระหยิ่มทะนง’ บนสีหน้า ซึ่งจากครั้งก่อนคราวที่เขาเลือกก้มลงกราบแผ่นดินเกิดอย่างเห็นได้ชัด

- สรุปบทเรียนความผิดพลาดล้มเหลวของตัวเองในอดีต
- เอาอนาคตของตระกูลเป็นตัวตั้งมากกว่าชีวิตที่เหลือน้อยลงแล้วของตัวเอง
- คืนเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมาได้หลังจากเข้าจำคุกพอเป็นพิธี

3 สิ่งนี้คือสิ่งที่คุณทักษิณต้องใช้เวลาเรียนรู้ถึง 15 ปีเต็ม ในการสอนใจตนเอง กว่าจะยอมรับได้ และตัดสินใจเลือก ‘ย้ายประเทศ’ กลับเมืองไทย เพื่อมาขอตายในบ้านเกิด

คุณทักษิณเปลี่ยนไปกว่า 15 ปีที่แล้วไม่น้อยเลย ... อย่างน้อยก็เป็นคุณทักษิณที่มีวุฒิภาวะทางจิตใจมากกว่าเมื่อ 15 ปีก่อน

อย่างว่าแหละ คนอายุ 75 ปี กับคนอายุ 60 ปี ย่อมมีความต่างกันในเรื่องความยึดติดและการปล่อยวาง

ขอให้คุณทักษิณได้คิดจริง ๆ และร่วมผลักดันการสลายขั้วขัดแย้งระหว่างเหลือง-แดงจนสำเร็จจริง ๆ เถิด

'ชัยธวัช' ขอ ปชช. อย่าถอดใจแม้ผิดหวังทางการเมือง ชี้!! หากช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองได้

(22 ส.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล อภิปรายย้ำ สส.พรรคก้าวไกล ไม่โหวตให้ เศรษฐา เป็นนายกฯ ไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติ แต่เพราะรัฐบาลข้ามขั้วขัดเจตจำนงประชาชน ย้ำประชาชนต้องจ่ายด้วยการสูญเสีย ‘ความหวัง-อำนาจ-ศรัทธา’ ฝากประชาชนอย่าหมดหวังการเมือง
 

เปิดความมั่งคั่ง 'นายกฯ คนที่ 30' ก่อนเข้าสู่เส้นทางการเมือง

(22 ส.ค.66) เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ ที่สำคัญมีความคิดสมัยใหม่ ทันโลก ทันเหตุการณ์ พอสมควร แถมยังเป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่ด้วย

สำหรับประวัติ นายเศรษฐา ทวีสิน เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2506 จบการศึกษาระดับปริญญาโท (บริหารธุรกิจ-การเงิน) Claremont Graduate School ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้านครอบครัว ได้สมรสกับ แพทย์หญิงพักตร์พิไล ทวีสิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญความงามด้านผิวพรรณ มีบุตรด้วยกัน 3 คน

เศรษฐา ทวีสิน เริ่มทำงานในปี 2529 โดยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์บริษัท P&G ประเทศไทย (จำกัด) ก่อนหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท แสนสิริ (มหาชน) ปัจจุบัน นายเศรษฐา ดำรงตำแหน่งป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) อยากรู้หรือเปล่าปัจจุบันบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีรายได้เท่าไหร่ และนายเศรษฐา ทวีสิน ถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ และมีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่บ้าง Sanook Money ได้รวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีรายละเอียดดังนี้

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที 22 พ.ย. 2538 ต่อมาได้เริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2539 โดยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นอันดับที่ 4 โดยมีจำนวนหุ้น 661,002,734 หุ้น หรือ 4.44% คิดเป็น 786,593,253.46 บาท (ราคา 1.19 บาท ณ วันที่ 11 ต.ค. 65) ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และก่อนสร้าง ทุนจดทะเบียน 20,343,625,722.40 บาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 17,715.35 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

ปี 2561 รายได้ 27,039.75 ล้านบาท กำไร 2,045.98 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 25,360.35 ล้านบาท กำไร 2,392.44 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 34,891.03 ล้านบาท กำไร 1,673.09 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 29,747.52 ล้านบาท กำไร 2,017.28 ล้านบาท

นอกจากนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอสังหาริมทรัพย์แล้ว นายเศรษฐา ทวีสิน ยังมีธุรกิจเกี่ยวกับประกันภัย การเงิน, การลงทุน, ผลิต-จำหน่ายกล่องกระดาษ และธุรกิจโรงแรม-รีสอร์ท ที่ยังคงดำเนินการอยู่ Sanook Money จะขอหยิบยกธุรกิจที่มีรายชื่อของ นายเศรษฐา ทวีสิน ปรากฎอยู่ในกรรมการบริษัทฯ มา 5 แห่ง จากจำนวนทั้งหมด 40 แห่ง ที่ค้นพบใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2537 ต่อมาได้เริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2538 โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทฯ แจ้งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับด้านการเงิน การลงทุน ทุนจดทะเบียน 5,373,537,364 บาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคา 13,667.10 ล้านบาท

ปี 2561 รายได้ 30.22 ล้านบาท ขาดทุน 195.84 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 138.70 ล้านบาท กำไร 81.33 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 56.97 ล้านบาท ขาดทุน 16.62 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 150.60 ล้านบาท กำไร 88.12 ล้านบาท

บริษัท คิวที ไลฟ์สไตล์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2543 โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์การให้เช่าแบบลิสซิ่งผลิตภัณฑ์ที่มีสินทรัพย์ทางปัญญา ทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลังนี้

ปี 2561 รายได้ 58,290,055 บาท ขาดทุน 1,377,733 บาท
ปี 2562 รายได้ 28,291,078 บาท ขาดทุน 8,103,538 บาท
ปี 2563 รายได้ 10,329,031 บาท ขาดทุน 7,465,851 บาท
ปี 2564 รายได้ 7,341,606 บาท ขาดทุน 9,381,553 บาท

บริษัท สิริพัฒน์ เซเว่น จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2562 โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองเพื่ออยู่อาศัย ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

ปี 2562 รายได้ 131 บาท ขาดทุน 77,089 บาท
ปี 2563 รายได้ 21,858 บาท ขาดทุน 84,353 บาท
ปี 2564 รายได้ 30,240 บาท ขาดทุน 71,580 บาท

บริษัท สิริพัฒน์ ไฟฟ์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2561 โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

ปี 2561 รายได้ 1,406 บาท ขาดทุน 106,244 บาท
ปี 2562 รายได้ 33,639 บาท ขาดทุน 1,523,608 บาท
ปี 2563 รายได้ 39,412 บาท ขาดทุน 2,033,796 บาท
ปี 2564 รายได้ 23,241,267 บาท ขาดทุน 44,010,918 บาท

บริษัท สุรช จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2534 โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกล่องกระดาษ ทุนจดทะเบียน 7.5 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

ปี 2561 รายได้ 11,647,608.80 บาท ขาดทุน 672,501.27 บาท
ปี 2562 รายได้ 12,921,191.84 บาท ขาดทุน 32,153.41 บาท
ปี 2563 รายได้ 11,990,144.73 บาท ขาดทุน 686,695.10 บาท
ปี 2564 รายได้ 13,776,507.36 บาท ขาดทุน 35,714.12 บาท

‘ตู่-ป้อม’ ดาวคนละดวง ปชป.แหกโค้ง หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี…

บันทึกเอาไว้ว่า วันที่ 22 ส.ค.2566 เหตุการณ์ใหญ่ทางการเมืองสองเหตุการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดี  มีความน่าระทึกใจอยู่บ้าง แต่มันก็ผ่านไปแล้ว… ตถตา… มันเป็นเช่นนั้นเอง…

เรื่องแรก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย หลังบำเพ็ญเพียรเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ 15 ปีเศษ ได้เดินทางกลับบ้าน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เข้าไปอยู่ในเรือนจำรับโทษ 3 คดีที่ถึงที่สุดแล้วจำนวน 8 ปี อนาคตจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ หรือลดโทษอย่างไรหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกที ส่วนจะอยู่กินอย่างไรในคุกนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง มาวันแรกก็ได้ใช้สิทธิ์กลุ่มเปราะบางวัย 74 ปี นอนเตียงเดี่ยวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว แต่ไม่ทันย่ำรุ่งก็ย้ายไปนอนเกาสะดืออยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เรียบร้อยโรงเรียนชินวัตรไปแล้ว

กรณีทักษิณกลับบ้าน… ถ้าไม่คิดอะไรให้มากความ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยยุทธการป่วนไทยอยู่ในต่างแดนก็หายไป… ยิ่งวันนี้พรรคเพื่อไทยที่ตัวเองสร้างมากับมือได้หวนคืนมาเป็นรัฐบาล ก็คงไม่กล้าด่าหรือทำมิดีมิร้ายกับประเทศ… ความสงบเรียบร้อยก็เกิดขึ้น และอาจจะตามมาด้วยการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติครั้งใหญ่ หากรัฐบาลชุดใหม่คิดใหญ่-ทำเป็น… นิรโทษกรรมคดีการเมืองที่ไม่เกี่ยวคดีทุจริตและอาญาฆ่าคนให้เป็นเรื่องเป็นราว

เรื่องที่สอง การโหวตนายกรัฐมนตรีประเภทม้วนเดียวจบ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับคะแนนสนับสนุนหรือเห็นชอบท่วมท้น 482 เสียง ไม่เห็นชอบ 165 งดออกเสียง 81 โดยในส่วนคะแนนที่เห็นชอบนั้น เป็นคะแนนของสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ถึง 152 เสียง ไม่เพียงเท่านั้นรัฐบาลที่กำลังรวมตัวกันอยู่มีเสียงสนับสนุน 314 เสียง แต่ปรากฏว่ามีเสียงสนับสนุนจาก สส.สูงถึง 330 เสียง ตรวจสอบพบว่าเป็นเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ 16 เสียง…

กรณีพรรคประชาธิปัตย์นั้นอ่านไม่ยาก… สาระสำคัญก็คือที่ประชุม สส.มีมติให้งดออกเสียง แต่นายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้ขออนุญาตที่ประชุมว่าจะลงมติ ‘ไม่เห็นชอบ’ ไว้แล้ว แต่กลุ่ม สส.ภายใต้ร่วมธงของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน และนายเดชอิศม์ ขาวทอง โหวตเห็นชอบแบบเย้ยฟ้าท้าดินนั้น เจตนาก็ชัดเจนเป็นการตีตั๋วเข้าร่วมรัฐบาล ยอมเป็นยางอะไหล่ไปพลางก่อน… ทำให้สถานภาพพรรคประชาธิปัตย์นาทีนี้ดิ่งเหว… หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี… มันจบแล้วครับนาย!!

สำหรับกรณีที่เสียง สว.โหวต ‘เห็นชอบ’ ท่วมท้นนั้น พบว่า สว.สายบิ๊กตู่ ‘พรึ่บ’ หนุนเศรษฐา ทวีสิน ทำให้ สว.บางส่วนที่ทำการบ้านเพื่อคว่ำเศรษฐา รู้สึกว่าตัวเองโดน ‘เท’ เกิดอาการน้อยอกน้อยใจกันพอประมาณ บางกลุ่มก็ตั้งคำถามในเชิงไม่เข้าใจว่า ‘บิ๊กตู่’ เล่นเกมอะไร… โดยเฉพาะกลุ่ม สว.ที่ทำการบ้านรุกฆาตให้พรรคเพื่อไทยรับปากไม่รื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ค่อนข้างผิดหวังกับบิ๊ก สว.สายบิ๊กตู่… ดังกรณี สว.สมชาย แสวงการ โพสต์ในเฟซบุ๊กตัวเองตั้งแต่ผลโหวตยังไม่จบว่า…

“#สงสารประเทศไทย” และต่อมาโพสต์อีกว่า “#เสียของ” เป็นต้น…

ทราบว่าขณะนี้กำลังเคลียร์ใจล้างใจกันยังไม่จบ..!!

ส่วน สว.สายบิ๊กป้อม… ซึ่งมีอยู่ประมาณ 40-50 คนนั้น ปรากฏว่าส่วนใหญ่จะงดออกเสียง แม้แต่ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ‘บิ๊กปุ้ม’ น้องชายแท้ๆ บิ๊กป้อมก็ไม่ไปร่วมประชุม… วิเคราะห์กันว่า สว.สายบิ๊กป้อมพยายามลากเกมให้ไหลไปถึงคิว ‘บิ๊กป้อม’ แต่ สว.สายบิ๊กตู่ไม่เล่นด้วย ก็เลยปิดเกมโหวตให้เศรษฐา ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องหมายเหตุเอาไว้ว่า กลุ่มทุนพลังงานและรถไฟฟ้ามีบทบาทไม่น้อย ที่ทำให้พรรคการเมือง 3-4 พรรคประสานผลประโยชน์กันแบบ ‘มองตาก็รู้ใจ’

สวัสดี

‘จุรินทร์’ ลั่น!! ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ใคร  เผย!! เตรียมให้ 16 สส. แหกมติพรรคชี้แจง 

(23 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มี 16 สส.โหวตสวนมติพรรค ซึ่งนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรค ระบุอาจถึงขั้นไล่ออกจากพรรค และขณะนี้มีการล่ารายชื่อเตรียมเสนอรักษาการหัวหน้าพรรคแล้ว ว่า ตนได้สั่งให้ชี้แจงในที่ประชุม สส.ในการประชุม สส.ครั้งหน้า และถ้ามีสมาชิกพรรคเข้าชื่อกันร้องให้ตรวจสอบดำเนินการตามข้อบังคับพรรคตนก็จะดำเนินการ

ผู้สื่อข่าวถาม โทษจะเป็นอย่างไร เพราะนายสาธิตระบุว่าอาจถึงขั้นขับออกจากพรรค นายจุรินทร์ กล่าวว่า เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการมาดำเนินการแล้วก็ให้เป็นไปตามข้อบังคับพรรค ถึงแม้การโหวตเลือกนายกฯจะเป็นเอกสิทธิ์ สส. ตามรัฐธรรมนูญ แต่ข้อบังคับพรรคยังมีอยู่ อันนั้นไม่ขอตอบล่วงหน้า แต่ถ้ามีสมาชิกยื่นมาก็จะดำเนินการ ในส่วนกรณีของนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ ที่ลงมติไม่เห็นชอบนั้น ได้ขอความเห็นชอบจากที่ประชุมพรรคว่าขอใช้สิทธิ์ในการลงมติไม่เห็นชอบ ซึ่งที่ประชุมไม่มีใครขัดข้อง แต่ในกรณีของ16 สส.นั้น หลังจากการโหวตไม่ได้มีการแจ้งเหตุผลกับตน จึงไม่ทราบเหตุผล และตนขอเรียนในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคว่าในนามพรรค พรรคยังไม่เคยมอบใครไปเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่ตนยืนยันมาตลอด

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า 16 สส. มีความจงใจเพื่อให้พรรคขับออก เพื่อย้ายไปอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนตอบแทนไม่ได้ ก็ต้องสอบถามกับเจ้าตัว เมื่อถามว่า แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการพูดคุยกันหรือไม่ว่า การที่ 16 สส. โหวตให้เพราะต้องการไปร่วมรัฐบาล นายจุรินทร์ กล่าวว่า ต้องถามคนที่ไปโหวต แต่ตนได้แจ้งแล้วว่าเขาต้องไปชี้แจงต่อที่ประชุมหรือถ้ามีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน เขาก็ต้องไปชี้แจงกับคณะกรรมการว่าเป็นอย่างไร

“แต่สิ่งหนึ่งที่ผมขอเรียนตรงนี้ ประชาธิปัตย์มีศักดิ์ศรี เราเคยเป็นทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน จะเป็นอะไรก็เป็นไม่มีปัญหา แต่เราไม่เคยไปเป็นพรรคอะไหล่ และผมคิดว่าเราต้องชัดเจนในเรื่องนี้” นายจุรินทร์ กล่าว

เมื่อถามว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ความขัดแย้งในพรรคมากขึ้นหรือไม่ และจะทำงานร่วมกันได้หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนตอบล่วงหน้าไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งคือ พรรคจำเป็นต้องอยู่ อย่างน้อยตนคิดว่าความเป็นพรรคต้องสูงสุด นอกจากประชาชนที่เราต้องมีหน้าที่ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ประชาชน พรรคยังต้องอยู่ เพราะพรรคเป็นองค์กร

เมื่อถามย้ำว่า ยิ่งทำให้พรรคประชาธิปัตย์ฟื้นฟูยากหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า อันนั้นเป็นเรื่องอนาคต ไม่เป็นไร ในสถานการณ์นี้เราต้องดำเนินการในสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดสำหรับพรรค คิดว่าตนชัดเจนในจุดยืนนี้

เมื่อถามถึงกรณีพรรคก้าวไกลอาจไม่รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน เพราะมีสมาชิกพรรคเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร จะส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเป็นผู้นำฝ่ายค้านเองหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า อันนั้นต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และต้องเป็นไปตามข้อบังคับของสภา ว่าผู้นำฝ่ายค้านจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร และหากตนจำไม่ผิดผู้นำฝ่ายค้านจะต้องเป็น หัวหน้าพรรคที่มีเสียงข้างมากในฝ่ายค้าน ส่วนจะมาถึงพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ตอบล่วงหน้าไม่ได้ แต่ตรงนี้ต้องถือว่าพรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในซีกนี้

‘เสี่ยเฮ้ง’ ยัน!! เคียงข้าง ‘บิ๊กตู่’ อยู่แล้ว ชี้!! ต้องตอบแทนผู้มีพระคุณ-ผู้ให้โอกาส

(23 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในที่ประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้แสดงความยินดีกับว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ด้วยความจริงใจ ส่วนเรื่องโผ ครม.นั้น ตนเองไม่ได้พูดคุยกับนายกฯ และตนจะได้ตำแหน่งอะไรหรือไม่นั้น ยืนยันว่ายังไม่คิดอะไรทั้งสิ้น

เมื่อถามถึงบทบาทของตัวนายสุชาติ ในพรรคจะเป็นอย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า ยังไม่มองถึงขณะนั้น คงต้องดูกันทีละเรื่อง แต่สิ่งที่เห็นเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา พรรค รทสช. โหวตนายกฯ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และภายในพรรคถือว่ามีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และยังยืนหยัดที่จะทำพรรคการเมืองให้เป็นที่พึ่งพาของประชาชน

เมื่อถามว่า ณ วันนี้ยังอยู่กับพรรค รทสช.ใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ก็ต้องอยู่ อยู่แล้ว เราทำงานมาด้วยกันและเราสร้างบ้านมาด้วยกัน ส่วนที่เคยบอกว่าใจเป๋นั้น เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อสร้างพรรคให้แข็งแรงขึ้น และใหญ่ขึ้น 

เมื่อถามย้ำว่า พร้อมจะร่วมหัวจมท้ายกับพรรค รทสช.ใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า วันนี้มติพรรคเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็ไม่มีใครแตกความสามัคคี 

เมื่อถามถึงสัดส่วน 4 เก้าอี้รัฐมนตรีของพรรค รทสช. นายสุชาติ กล่าวว่า ยังไม่ทราบเลยว่าพรรคได้อะไร ตรงไหน เพียงแต่ต้องการให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้

เมื่อถามอีกว่า หากประกาศรายชื่อบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีในส่วนของพรรคแล้ว ไม่มีชื่อของท่าน จะทำให้ผิดหวังจนต้องออกจากพรรคหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เราต้องยอมรับและต้องเคารพกติกา เราไม่ได้ยึดติดตรงนี้เราแค่คิดว่าจะทำงานเพื่อให้ประเทศชาติบ้านเมืองเดินไปด้วยกันได้ และมีอุดมการณ์เดียวกัน

เมื่อถามย้ำว่า การพิจารณาเก้าอี้รัฐมนตรีภายในพรรคจะพิจารณาอย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดถึงประเด็นนี้ ต้องรอดูความชัดเจนว่าเมื่อขั้นตอนการเลือกนายกฯ จบแล้วขั้นตอนต่อไป ในเรื่องต่าง ๆ ก็คงต้องรอให้จบก่อนแล้วค่อยคิดถึงแนวทางของพรรคว่าจะเป็นไปในแนวทางแบบไหนอย่างไร รวมถึงโครงสร้างและมติของพรรคว่าจะเป็นอย่างไร

จากนั้น นายสุชาติ หัวเราะพร้อมระบุว่า “แหม! จะอำลาอะไรกัน ผมก็อยู่กับนายกฯ อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะจบกันตรงนี้ แล้วจะไปไหน ท่านมีบุญคุณกับเรา เราก็ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณกันอยู่แล้ว เรารู้ว่าใครคือคนที่ให้โอกาสเราในห้วงเวลาที่ผ่านมา” ภายหลังผู้สื่อข่าวสอบถามว่าได้อำลานายกฯ หรือไม่

'นักข่าวอาวุโส' ยก 20 เหตุการณ์หลังเลือกตั้ง ประเทศไทย กำลังเดินหน้าแบบ 'Win-Win'

(23 ส.ค.66) นายเถกิง สมทรัพย์ สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ยกเรื่องทักษิณกลับบ้านออกไปก่อน…ย้อนไปดูเหตุการณ์บางเรื่องสักนิด

1. ก้าวไกล ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง

2. เพื่อไทย มาเป็นอันดับสอง

3. พรรค 2 ลุง บวกกับ ภูมิใจไทย รวมกันไม่ถึงครึ่งของก้าวไกลกับเพื่อไทย

4. ประชาชนเกือบ 25 ล้านคนเทคะแนนให้พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย

5. คนที่รักพรรค 2 ลุง รวมกันแค่ 6 ล้าน

6. ด้วยคะแนนต่างกันขนาดนี้..ต้องยอมรับว่า ถ้าไม่ใช่เพราะประชามติรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก้าวไกลกับเพื่อไทย เป็นรัฐบาลไปแล้ว

7. และเพื่อไทย คือ ตัวแปรสำคัญที่พลิกเกม โดนด่ามากที่สุด เพื่อผลักก้าวไกลออกไปจากอำนาจรัฐ

8. และเพื่อไทยก็เอา 141 มาเทให้กับฝั่งรัฐบาลเดิม

9. รางวัลย่อมต้องตอบแทนผู้ชนะและผู้ทำงานมาก

10. พิจารณาด้วยความเป็นจริง…การเมืองคือเรื่องของผลประโยชน์ที่คนมีอำนาจมากก็ได้มาก มีอำนาจน้อยก็ได้น้อย

11. ที่สำคัญในการแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์ทางการเมืองคราวนี้ตั้งบนพื้นฐานของ 'Win-Win'

12. ลุงป้อม ลุงตู่ ถอยจากตำแหน่ง คนของ กปปส. ประกาศไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี คุณทักษิณยอมกลับมา 'เข้าคุก' เป็น 'นักโทษชาย'…ก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้านหมดสิทธิ์กดปุ่ม ยกเลิกมาตรา 112 คนวงในที่ไม่เห็นด้วยก็ถอยห่างและวางมือ ไม่ออกมาขัดขวาง

13. ประชาชนก็ได้และเสียไปคนละส่วน...ไม่มีใครได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด

14. จากนี้คือการเปิดโอกาสให้การเมืองทำหน้าที่รับใช้ประเทศชาติและประชาชนให้เจริญรุ่งเรืองให้มากที่สุด

15. ดุลยภาพทางการเมืองเวลานี้ สมดุลมากที่สุดในรอบ 17 ปี...รัฐบาลสมดุล ฝ่ายค้านเข้มแข็ง

16. เราจะเอาอะไรมากไปกว่านี้อีก ???…ผมนึกไม่ออก

17. สงครามโลกฆ่ากันหลายสิบล้านยังยุติได้

18. สงครามล้างเผ่าพันธุ์ก็ยุติได้

19. กีฬาสีย่อมมีวันเลิกรา

20. เปิดโอกาสให้กับการเมืองไทยอีกสักครั้ง

‘บิ๊กตู่’ มอบเงินช่วยเหลือชาวมูโนะ เหตุโกดังพลุระเบิด 107 ล้านบาท เร่งฟื้นฟูทุกมิติ ทั้งทรัพย์สิน-สภาพจิตใจ ยัน!! พร้อมเยียวยาเต็มที่

(23 ส.ค. 66) ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย สำนักนายกรัฐมนตรี กรณีเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บดอกไม้เพลิงระเบิดและเกิดอัคคีภัย ในตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จำนวน 107,881,995.23 บาท แบ่งแยกออกเป็น 2 รายการ ดังนี้

1.) ซ่อมและสร้างบ้านจำนวน 100,466,995.23 บาท
2.) ช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 7,415,000 บาท ให้กับนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ผู้แทนรับมอบเงินดังกล่าว เพื่อนำไปมอบให้ผู้ประสบภัยและครอบครัวผู้ประสบภัยต่อไป

โดยมี พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย สำนักนายกรัฐมนตรี และนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาศ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยาน

ภายหลังการมอบเงิน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ ทั้งด้านทรัพย์สิน และจิตใจ พร้อมให้กำลังใจผู้ประสบภัยและครอบครัวผู้สูญเสีย รวมถึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่เสียสละ ทุ่มเท ทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อแก้ไขปัญหา โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาล พร้อมให้ความช่วยอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ด้าน อย่างดีที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประสบภัย ให้มีกำลังใจและกำลังกายที่ดีขึ้น กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว

ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพิจารณาเงินช่วยเหลือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้นแล้ว ส่วนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล โดยกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกก้อนหนึ่ง สำหรับเงินบริจาคจากประชาชน ขอให้บริหารจัดการใช้เงินให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประสบภัย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอส่งความปรารถนาดี และความห่วงใย ในนามของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และประชาชนคนไทยทุกคนไปยังผู้ประสบภัยและพี่น้องชาวมูโนะ ให้เข้มแข็งก้าวผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน พร้อมกับเน้นย้ำ ให้ทุกภาคส่วนระมัดระวัง ไม่ให้เหตุการณ์สูญเสียแบบนี้เกิดขึ้นอีก

‘บิ๊กตู่’ ยินดี ‘เศรษฐา' ได้ตำแหน่งนายกฯ อวยพรขอให้บริหารราชการราบรื่น-สำเร็จด้วยดี

(23 ส.ค.66) หลังการประชุม ครม. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย, นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินมาพร้อมกัน 

วันนี้นายกรัฐมนตรี มีท่าทียิ้มแย้ม และก่อนที่จะให้สัมภาษณ์ กลับพบว่า นายกฯ ถอนหายใจ พร้อมมองไปบนฟ้า ก่อนจะพูดว่า "เฮ้อ อากาศมันก็ดีเนาะ ฝนไม่ค่อยตกดีนะ”

ก่อนจะกล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมครม.ปกติ ในฐานะรัฐบาลรักษาการ ช่วงนี้ก็มีหลายเรื่องที่จะต้องพิจารณา ซึ่งไม่ได้มีผลผูกพันอะไร เป็นเพียงการประชุมเวทีต่างประเทศเป็นเรื่องของกำหนดการที่วางไว้ก่อนแล้ว จึงไม่มีผลผูกพันอะไรทั้งสิ้น เป็นแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ที่เราจะต้องร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีการสานต่อในรัฐบาลต่อไป 

นายกรัฐมนตรี ได้ถอนหายใจ ก่อนที่จะบอกว่า เรื่องที่สื่อมวลชนต้องการจะถามตนในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการอยู่ในขณะนี้ และ ครม.รักษาการ ก็ขอแสดงความยินดีกับนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ได้ผ่านการพิจารณาในกระบวนการรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็มีกระบวนการขั้นตอนต่อไป

วันนี้ได้นายกรัฐมนตรี ก็รอโปรดเกล้าฯ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจและพระราชวินิจฉัยของพระองค์ท่านอยู่แล้ว ต่อไปก็เป็นการจัด ครม. ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ได้เสนอทูลเกล้าขึ้นไป และเมื่อได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงมา ก็จะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ส่วนรัฐบาลตนก็จะหมดหน้าที่พร้อมกันตรงนั้น

“และเมื่อมีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนเรียบร้อย ผมก็หมดหน้าที่ ซึ่งต้องมีพิธีถวายสัตย์ฯ มี ครม.ให้เรียบร้อย จากนั้นผมก็หมดหน้าที่ของผมไปแล้ว ก็คงแสดงความยินดีกับคุณเศรษฐา อีกครั้งหนึ่ง ขอให้ประสบความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดินในโอกาสต่อไป" 

พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อยและอีกไม่กี่วัน โดยเฉพาะการตรวจคุณสมบัติของคณะรัฐมนตรี จะต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งถือว่าดำเนินการตามขั้นตอน ดังนั้น ขอให้ใจเย็น ๆ ส่วนตัวไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น และอย่านำปัญหาไปใส่ให้กับใคร ซึ่งตนเองยอมรับในกติกาทั้งหมด เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยทั้งหมด การเมืองก็ว่ากันไป 

ส่วนจะริเริ่มประเพณีเชิญนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาพูดคุยที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนรับหน้าที่หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอดูสถานการณ์ก่อน ขณะที่วันนี้ตนเองได้แสดงความยินดีไปแล้ว ในนามคณะรัฐมนตรี 

ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงขณะนี้ ยืนยันว่าสิ่งไหนที่ทำได้ ก็จะทำไปตามกฎหมาย แต่หลายอย่างจำเป็นจะต้องทำ เพราะมีระยะเวลา สิ่งไหนทำได้ก็ทำ สิ่งไหนที่ทำไม่ได้ก็ให้รัฐบาลใหม่ 

ส่วนการฝากงานรัฐบาลใหม่นั้นวันนี้ไม่ต้องฝาก เพราะทั้งหมดอยู่ที่คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานต่าง ๆ โดยหลายแผนงานที่ทำในปัจจุบัน ทำใหม่ ทำต่อ ก็สุดแล้วแต่รัฐบาลใหม่จะพิจารณา 

ส่วนจะฝากงานนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่จะเข้าร่วมกับรัฐบาลใหม่หรือไม่ พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ขอฝาก และไม่ขอตอบ เพราะตนเองไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้อง 

เมื่อถามว่า เมื่อวานนี้ มีปรากฏการณ์ สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี โหวตสนับสนุนนายเศรษฐา พลเอกประยุทธ์ ยืนยันว่า ตนเองไม่เกี่ยวข้อง 

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า สว.สายพลเอกประยุทธ์ กับ สว. สายพลเอกประวิตร หักกันใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบทันทีว่า ไม่มี ทุกคนมีวุฒิภาวะอยู่แล้ว ก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า

‘เชาว์ มีขวด’ ยกโมเดล พปชร. แก้วิกฤติพรรค หวังใช้แก้ปัญหาใน ปชป. หลังมี สส. แหกมิติพรรคโหวตนายกฯ

(24 ส.ค. 66) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘ทนายเชาว์ มีขวด’ ระบุว่า…

ปล่อยมือเถอะครับ แล้วจากกันด้วยดี
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ในการโหวตให้ความเห็นชอบนายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวานนี้ กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากว่าประชาธิปัตย์เละเป็นโจ๊ก เนื่องจากมี สส.กลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรค จำนวน 16 คน ได้โหวตสวนมติพรรคที่ให้งดออกเสียง เป็นเห็นชอบ

ที่ผมโฟกัสเฉพาะสส. 16 คน ไม่พูดถึง 2 อดีตหัวหน้าพรรคฯ ที่โหวตสวนมติเหมือนกัน แต่เป็นการลงคะแนนไม่เห็นชอบนั้น ก็เพราะทั้งคู่ได้แจ้งต่อที่ประชุมแล้วถึงจุดยืนที่ขอใช้เอกสิทธิ์ สส.ในกรณีนี้ แต่ สส. 16 คน ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวว่า นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา ใช้ต่อรองกับนายทักษิณ ชินวัตร ดีลร่วมรัฐบาลที่ฮ่องกง

เหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นสถาบันหลักในทางการเมืองมายาวนานกว่า 78 ปี และยังมีจุดยืนทางการเมืองคนละขั้วกับพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจนในการต่อต้านระบอบทักษิณต่อสู้ห้ำหั่นกันมากว่าสองทศวรรษ ถึงขนาดนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค กล่าวภายหลังการประชุมรัฐสภาว่า ไม่น่าเชื่อว่า สส.ของพรรคจะโหวตออกมาอย่างนี้ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากสมาชิกพรรคที่มีความห่วงใย ในอนาคตของพรรคว่าถึงคราวจะสูญพันธุ์ตามที่หลายคนได้พูดถึงหรือไม่

จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีคำชี้แจงจากกลุ่ม สส. ทั้ง 16 คน ถึงเหตุผลใดที่ให้พวกท่านตัดสินใจทำเช่นนั้น แต่ผมคิดว่าการฝ่าฝืนมติพรรคที่ตัวเองเป็นผู้กำหนดขึ้นเองคล้อยหลังเพียงหนึ่งวัน จากงดออกเสียงเป็นเห็นชอบ จะชี้แจงแก้ตัวอย่างไรคงฟังไม่ขึ้น เพราะการกระทำของพวกท่านหมดความชอบธรรมที่จะยกเหตุผลใดมาอธิบายนอกจากเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าจากการเข้าร่วมรัฐบาล โดยที่พวกท่านลืมหลักการไปว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์และความรู้สึกของประชาชนที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคมาอย่างยาวนาน

ผมเข้าใจดีว่าในวันที่พรรคอ่อนแอ หลายคนคิดแค่กอบโกยให้ได้มากที่สุด ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพัง เพราะไม่คิดที่จะอยู่ต่อแล้วในอนาคต แต่อยากให้ตระหนักสักนิดว่ายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่คิดทิ้งพรรค หวังที่จะกอบกู้ สู้ไปด้วยกันแม้ในวันที่พรรคอ่อนล้าโรยแรง มีโมเดลที่พรรคพลังประชารัฐเคยทำ เมื่อครั้งมีความเห็นต่างจนไม่อาจหาข้อยุติได้ สุดท้ายร้อยเอกธรรมนัส เดินจากไป ปล่อยมือเถอะครับ แล้วจากกันด้วยดี”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top