Friday, 27 June 2025
Politics

‘คนเสื้อแดงปทุมฯ’ เข้าให้กำลังใจ ‘เศรษฐา’ ตะโกน “นายกฯ ชื่อเศรษฐา คนไทยจะเป็นเศรษฐี”

(24 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) กลุ่มเสื้อแดงปทุมธานี นำโดย นายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ หรือ จ่ายุทธ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี เขต 3 พรรคเพื่อไทย มอบดอกไม้ให้กำลังใจ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยจ่ายุทธกล่าวว่า ดีใจที่ท่านได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสวัสดิการเรื่องปากท้อง ผู้สูงอายุที่พรรคเพื่อไทยมีท่านจะผลักดันไปได้ดี เพราะท่านเป็นนักธุรกิจใหญ่ ทำความสำเร็จมาแล้ว

ก่อนที่กลุ่มคนเสื้อแดงปทุมธานีจะพร้อมใจกันตะโกนว่า “นายกฯ ชื่อเศรษฐา คนไทยจะเป็นเศรษฐี”

ขณะที่นายเศรษฐากล่าวว่า รู้สึกปลาบปลื้มที่วันนี้มากันมากมาย ภูมิใจที่วันนี้มาถึงตรงนี้ได้ แม้จะไม่ได้ สส.ทุกจังหวัด แต่ก็ทราบดีว่ามีการสนับสนุนที่ดีมาโดยตลอด และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลในรอบ 9 ปี และมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทยโดยได้รับการสนับสนุนที่ดีจากพี่น้อง เพราะเรามี สส. ที่มีคุณภาพนโยบายดี ๆ ต่าง ๆ เชื่อว่าจะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนทุกคน

จากนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงปทุมธานีตะโกน “เพื่อไทยจงเจริญ” พร้อมตะโกนย้ำอีกครั้งว่า “นายกฯ ชื่อเศรษฐา คนไทยจะเป็นเศรษฐี”

‘เพื่อไทย’ จวก!! ‘รองอ๋อง’ แต่งชุดไม่สุภาพ ใส่เสื้อคอจีน-ไม่ผูกเน็กไท ด้านเจ้าตัวแจง เป็นไปตามระเบียบ หากไม่สบายใจจะปรับปรุงให้ดีขึ้น

(24 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา ระหว่างที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กำลังพิจารณารับทราบรายงานผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2564 นั้น

นายนิคม บุญวิเศษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นตำหนิการแต่งกายของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุม ที่แต่งกายใส่เสื้อคอจีนและใส่เสื้อสูททับ โดยไม่ติดเน็กไท เป็นการแต่งกายไม่สุภาพ

นายนิคมกล่าวว่า ข้อบังคับการประชุมสภาฯ สส.ต้องแต่งกายเครื่องแบบรัฐสภา ชุดสากลนิยม ชุดพระราชทาน หรือชุดตามระเบียบที่สภาฯ กำหนด แต่ชุดที่ประธานฯ แต่ง เห็นแล้วไม่สบายใจ ไม่เรียบร้อย เกรงจะเป็นบรรทัดฐานให้ที่ประชุม นี่คือรัฐสภา ขอให้เป็นตัวอย่างแก่สมาชิก

ขณะที่นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า การแต่งกายของประธานฯ ไม่ใช่สากลนิยม ควรตั้งคณะกรรมการมาพิจารณาเรื่องการแต่งกายของ สส.ให้เป็นสากลนิยม ให้ทุกคนปฏิบัติโดยพร้อมเพรียง ไม่อยากให้ประธานฯ โดนอะไรไปมากกว่านี้ มองยังไงก็ไม่ใช่ชุดสากล

ทำให้นายปดิพัทธ์ ชี้แจงว่า การแต่งกายชุดสากลนิยมเคยหารือแล้วว่า การใส่เสื้อคอจีน แล้วใส่สูททับ โดยไม่ใส่เน็กไท เป็นชุดสุภาพ ตามระเบียบสภาฯ ตนเคารพทุกคน ถ้าไม่สบายใจก็จะแต่งตัวให้ดีขึ้น แต่ยืนยันว่า แต่งกายถูกต้องตามระเบียบ วันนี้ถ้าจะยึดแบบสากลนิยมจริงๆ การแต่งกายหลายคนคงไม่ผ่าน ขอให้เดินหน้าประชุมก่อน เรื่องระเบียบต่างๆ จะนำกลับไปพิจารณา ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น

‘มาดามเดียร์’ ลั่น!! ถึงเวลา ปชป. ประกาศจุดยืนฝ่ายค้าน ก่อนตั้ง ครม. ใหม่ ยัน!! ยึดหลักการอยู่ข้าง ปชช. ไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน

เมื่อวานนี้ (24 ส.ค.66) น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘เดียร์ วทันยา บุนนาค’ เพื่อเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ประกาศจุดยืนเป็นฝ่ายค้านอย่างสมศักดิ์ศรีก่อนจัดตั้ง ครม. ชุดใหม่ ท่ามกลางกระแสวิจารณ์เรื่องผลโหวตนายกรัฐมนตรีที่ สส. พรรคประชาธิปัตย์มีทิศทางที่แตกต่างและไม่มีเอกภาพ โดยมีเนื้อหาดังนี้...

[ถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องชัดเจน ประกาศจุดยืนฝ่ายค้านอย่างมีศักดิ์ศรีก่อนจัดตั้งครม.ชุดใหม่]

แม้ผลการโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 ของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางท่านในวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมาได้สร้างความเคลือบแคลงใจและไม่สบายใจให้แก่สมาชิกพรรคและสังคม แต่เดียร์ยังคงเชื่อมั่นว่าเป็นเพียงเพราะความเห็นต่างทางการเมืองที่เกิดขึ้นของ สส. ในพรรคประชาธิปัตย์ 

ดังนั้นเพื่อสร้างความกระจ่างให้แก่สมาชิกและประชาชนที่ติดตามการทำงานของพรรค จึงเห็นว่า สส. และคณะกรรมการบริหารซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล ควรออกมา ‘ประกาศจุดยืนการเป็นฝ่ายค้านของพรรคประชาธิปัตย์’ ให้ชัดเจน โดยไม่จำเป็นต้องรอการจัดตั้ง ครม. ให้เสร็จสิ้น เพื่อแสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองของพรรคที่พร้อมทำงานในฐานะตัวแทนประชาชนโดยไม่ยึดการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและเพื่อพวกพ้องเป็นที่ตั้ง

ทั้งนี้เดียร์ยังคงเชื่อมั่นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่สมาชิกทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน สมาชิกสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ขับเคลื่อนการทำงานของพรรคอย่างแท้จริง อีกทางหนึ่งคือเครื่องบ่งชี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่ขับเคลื่อนอยู่บนกลไกความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของพรรคการเมืองที่เป็นองค์กรสาธารณะ ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชน ภาคสังคม และสมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงาน ไม่ปิดกั้นโอกาสทางความคิด

อย่างไรก็ตามภายใต้เสรีภาพในการทำงาน ที่ต้องการพลังความคิดที่หลากหลาย แต่องค์กรจะเดินไปได้อย่างเข้มแข็ง ย่อมต้องเดินเคียงคู่กับความเป็นเอกภาพของสมาชิกภายใน และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องมี ‘กติกา’ ที่เรียกว่า ‘มติพรรค’ เพื่อให้สมาชิกสามารถทำงานร่วมกันได้ด้วยหลักการเคารพเสียงข้างมาก แต่ไม่ละเลยมองข้ามเสียงข้างน้อย สร้างให้พรรคเป็นพื้นที่ของคนทุกคน ดังนั้นไม่ว่ามติพรรคออกมาเป็นอย่างไรสมาชิกก็พร้อมน้อมรับผลลัพธ์ร่วมกันเพราะเกิดจากการตัดสินใจร่วมกัน

การกระทำใด ๆ ที่ไม่เป็นไปตามมติพรรค จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้เอกสิทธิ์โดยสุจริต ด้วยการยึดหลักยืนเคียงข้างประชาชน ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

‘วิโรจน์’ ออกโรงป้อง ‘รองอ๋อง’ หลังถูกตำหนิเรื่องการแต่งกาย ยกกรณี ‘ผู้นำสิงคโปร์’ เทียบ ซัด ‘พท.’ อย่าใช้เรื่องนี้หาซีนในสภาฯ

(25 ส.ค. 66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ ถึงกรณี สส.พรรคเพื่อไทย ตำหนิการแต่งกายของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุม โดยสวมเสื้อคอจีนและใส่สูททับ พร้อมกับโพสต์ภาพของผู้นำสิงคโปร์ขณะที่อยู่ในสภาฯ โดยสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวไม่ผูกเน็กไท โดยนายวิโรจน์ ระบุว่า…

“การแต่งกายด้วยชุดสุภาพสากล สามารถสวมสูท โดยไม่จำเป็นต้องผูกเน็กไทก็ได้ครับ คือ สส.คนไหนจะผูก หรือไม่ผูก ก็ถือว่าเป็นดุลพินิจในการแต่งตัวของแต่ละคน

การใส่เสื้อเชิ้ต และสวมสูททับ ก็ถือว่าเพียงพอแล้วครับ

อย่างกรณีที่สิงคโปร์ นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง และ สส.ที่สิงคโปร์ เขาก็ใส่เสื้อเชิ้ตเข้าประชุมสภาฯ ตามปกติของเมืองร้อนได้เลยนะครับ

ที่สิงคโปร์เขามุ่งเน้นที่เนื้อหาสาระในการทำงาน ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเปลือกครับ

ผมจำได้ว่าในสภาฯ ชุดที่แล้ว ก็เคยมีการประท้วงในเรื่องนี้ไปแล้ว และพรรคที่ประท้วงเรื่องนี้ ก็น่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐนะครับ

ผมเองก็คิดว่า มันน่าจะจบด้วยความเข้าใจไปแล้ว ถ้าคนที่ประท้วงในเรื่องนี้ เป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือพรรคพลังประชารัฐ ผมก็ยังพอเข้าใจได้

ไม่นึกไม่ฝันว่าอยู่ดีๆ พรรคเพื่อไทย จะเอาเรื่องกระพี้แบบนี้มาประท้วงเอาซีนในสภาฯ อีก

ผมจึงถือโอกาสชี้แจงให้ทุกท่านทราบอีกครั้งก็แล้วกันนะครับ จะได้เคลียร์ๆ และการประท้วงด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ จะได้หมดไปจากสภาไทยเสียที ไม่อยากให้เรื่องหยุมหยิมแบบนี้รกสภาฯ ครับ”

ฉากทัศน์สลายขั้ว 'ก๊กแดง' ผนึก 'ก๊กเสื้อหลากสี' เกมที่ต้องทำ!! สกัด 'ก๊กส้ม' ทลายชาติ-ล้างราชวงศ์

มาถึงตอนนี้ การเมืองไทย ได้ก้าวสู่ยุค 'สามก๊ก' โดยสมบูรณ์ไปเป็นที่เรียบร้อย

1. ก๊กส้ม (151 คือ กก.) ก๊กนี้กำลังห้าว รุกทุกพื้นที่ ก้าวร้าวสุดๆ ไม่ยึดคุณธรรม ทำลายทุกคน 

= วุยก๊ก

2. ก๊กแดง (141+7 = 148 คือ พท. และวันนอร์) ก๊กนี้รุ่นพ่อแม่สร้างให้ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์  

= ง่อก๊ก

3. ก๊กหลากสี (71+40+36+25=172 คือ ภท. พปชร. รทสช. ปชป.) นำโดยก๊กเหลือง ก๊กนี้เรียกว่าแนวอนุรักษ์นิยม ยึดประเพณีบรรพบุรุษ ที่ดีงาม หรือพวกผู้ดีเก่า

= จ๊กก๊ก

***การเมืองไทยในอดีตเป็นยุค 2 ก๊ก แต่ปัจจุบัน เกิดก๊กใหม่เป็น 'ก๊กส้ม' ซึ่งกำลังเติบโตสุด ๆ จนกลายเป็น 3 ก๊กเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้นไม่ว่า 2 ก๊กไหนได้จับมือกัน ก๊กนั้นก็จะครอบครองอำนาจได้ทันที

ก๊กส้ม ของ โจโฉ อยากเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นจึงหาพันธมิตรไม่ได้ ไม่มีใครคบ

ในอดีตก๊กแดง ของ ซุนกวน และก๊กหลากสี ของเล่าปี่ ขัดแย้งกันหนักเป็นระยะเวลาร่วม 20 ปี ต้องหันมาจับมือกัน เพื่อต้านทานก๊กส้ม ที่กำลังเติบใหญ่

ยุคสามก๊กปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก บ้านเมืองแตกแยกอย่างหนัก 

ตอน #ยุทธศาสตร์หลงจง

ขงเบ้งตกลงร่วมงานกับเล่าปี่ ช่วยฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น โดยเสนอ #ยุทธศาสตร์หลงจง แก่เล่าปี่ ก่อนลงจากเขาโงลังกั๋ง

สาระคือ เล่าปี่ ต้องครอบครอง ดินแดนเกงจิ๋ว ให้ได้ก่อน แล้วไปเป็นพันธมิตรกับซุนกวนที่ครอบครองดินแดนกังตั๋งได้แล้ว เพื่อต้านทานทัพโจโฉ ที่ขยายอิทธิพลยึดดินแดนทางใต้ ถ้าไม่สามัคคีกัน #เกงจิ๋ว ของเล่าปี่ จะพังพินาศพร้อมกับ #กังตั๋ง ของซุนกวน

หลังจากนั้นสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง สะสมเสบียงให้พร้อม แล้วค่อยรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว อีกรอบ

และกุนซือ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า อย่าเพิ่งทำลายกันเอง เพราะถ้าทำลายกันเอง จะไม่มีกำลังพอที่จะต้านทานทัพโจโฉ ดังนั้นทั้งสองแม้ไม่ใช่เป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่น แต่ต้องรวมกันยามมีภัย

การเมืองไทยยุคนี้ เกิดเป็น 3 ก๊ก ชัดเจนแล้ว และจะเป็นแบบนี้ไปอีกหลายปี ทางที่ประเทศชาติจะปลอดภัย ก๊กแดงกับก๊กเสื้อหลากสี ที่นำโดยเหลือง จำเป็นต้องประสานความร่วมมือกันเพื่อสกัดก๊กส้ม ให้ได้

ถ้าแย่งอำนาจ ทำลายกันเอง อีก 4 ปีข้างหน้า จะถูก ก๊กส้ม กลืนกิน ทำลายหมดทุกก๊ก นอกจากไม่มีดินแดนให้ครอบครองแล้ว จะยังไม่มีที่นั่งในสภาอีกต่อไป  

ที่นี้แหละ ประชาชนทั้งแผ่นดินที่ไม่ใช่ประชาชนของ ก๊กส้มจะถูกทำลายราบจนสิ้นราชวงศ์ฮั่น

เรื่อง: มิสเตอร์เค

คอลัมน์: เล่าเท่าที่รู้

‘พิธา’ ลบตำแหน่ง ‘แคนดิเดตนายกฯ ไทย’ ออกจากไอจี พร้อมแชร์คลิปเศร้า ‘ก้าวไกลไม่มีใครเลย นอกจากประชาชน’

(25 ส.ค. 66) ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ล่าสุดในอินสตาแกรม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ลบคำว่า ‘แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย 30th Prime minister–designate of Thailand.’ ออกจากโปรไฟล์ของ อินสตาแกรม pita.ig เหลือแค่เพียงคำว่า ‘นักการเมือง’

นอกจากนี้ ยังได้แชร์คลิปจากผู้ใช้ TIKTOK ลงในไอจีสตอรี่ ซึ่งเป็นช่วงที่นายพิธาลงพื้นที่หาเสียงช่วงเลือกตั้ง พร้อมกับมีแคปชันว่า ‘ก้าวไกลไม่มีใครเลย นอกจากประชาชน’

‘อี้ แทนคุณ’ ฉะ ‘รองอ๋อง’ ทำตัวเป็นเด็ก-ไร้วุฒิภาวะ ‘มารยาท-การแต่งกาย’ ไม่เหมาะนั่ง ‘รอง ปธ.สภาฯ’

(25 ส.ค. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ ​รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​ พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์​ กล่าว​ถึง​กรณี​นาย​ปดิพัทธ์​ สันติ​ภาดา​ รองประธาน​สภา​คนที่​ 1 จากก้าวไกลกระทำตัวไม่เหมาะสมไร้วุฒิภาวะ​หลายครั้ง​จนเป็น​เหตุ​ให้สภากลายเป็น​สภาโจ๊ก จนมี สส. จากพรรคเดียวกัน​ยังล้อ​เล่นตลกตอกย้ำ ความเป็​น ‘ประธาน​สภาหมูกระทะ’ ซึ่งไม่เคยปรากฏ​มาก่อนในประวัติศาสต​ร์ 

ล่าสุดกับการแต่งกายไม่เหมาะสม​จนกลายเป็น​ต้องมีเรื่องให้ สส. ประท้วงและประชาชน​ตำหนิทุกวันและยังปิดปากลิดรอนสิทธิ์​ สส. ในการประท้วงตนเองอีก​โดย​มี​ประชาชน​วิพากษ์วิจารณ์​อย่างกว้างขวาง​ว่าใช้อำนาจตามอำเภอใจไม่ให้​เกียรติ​สถานที่​และสมาชิก​สภาผู้แทนราษฎร​ที่ร่วมประชุม​อยู่ ​ทำเสมือน​เป็น​เด็กเล็ก ๆ เล่นในสนามเด็กเล่น​ จะเล่นอะไรจะทำตัวอย่างไร แต่งตัวขึ้นบนบัลลังก์​อย่างไรก็ได้ พ่วงด้วยคดี ‘โชว์​เชีย​ร์เบียร์’ ที่ผลิตคนละจังหวัดเป็นการทำผิดกฎหมาย​ก็ยังไม่สลด  

โดยเฉพาะ​อย่างยิ่ง​ตอนนี้​สถานการณ์​ชัดเจน​แล้ว​ว่า พรรคก้าวไกล​ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ตามธรรมเนียม​ควรมีสำนึกลาออกจากตำแหน่​งรองประธาน​สภา​ฯ หลีกทางให้พรรครัฐบาล​เป็น​แทนอย่าให้มองว่าไม่รู้เรื่องไม่สนใจ​ธรรมเนียม​ ไม่รู้​กาลเทศะ​อะไรเลย โดยบอกว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในขณะที่ประชาชนยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องแค่นี้ยังดูแลตัวเองไม่ได้ แล้วจะสามารถดูแลประเทศชาติในเรื่องใหญ่กว่านี้ได้อย่างไร 

รวมทั้งอยากจะตั้งคำถามไปยังพรรคก้าวไกลว่านี่คือคนที่ ‘คัดมาอย่างดีที่สุด’ ในการมาดำรงตำแหน่งนี้แล้วใช่ไหม ถึงมีเรื่องให้เป็นที่ครหาได้ไม่เว้นแต่ละวัน หรือจะรอถลุงเงินหลวงจากภาษีประชาชน​เพื่อโปรโมตตัวเองและพรรคของตัวเองให้หมดก่อนแล้วจึงค่อยลาออก ซึ่งย้อนแย้งกับนโยบายที่พรรคก้าวไกลเคยประกาศไว้ว่าห้ามใช้เงินหลวงโปรโมตตัวเอง 

เรียกได้ว่าเป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ไม่เคยสนใจหลักการจริยธรรม กฎระเบียบบ้านเมือง เป็น​แบบ​อย่างให้เยาวชนตีความ​เสรีภาพผิดจนเกิดความก้าวร้าวรุนแรงกระด้างกระเดื่องต่อกฎหมายบ้านเมืองจนเสียอนาคตไปหลายคน แต่ไม่เคยเห็นความรับผิดชอบใด ๆ ของคนในพรรคนี้เลย ซึ่งทำให้เชื่อว่าหากพรรคนี้อยู่ต่อไปยิ่งนานยิ่งทำให้สังคมมีแต่ถดถอยลง 

อยากเตือนไปถึง ‘หมออ๋อง’ อย่าตะแบงทำผิดไปมากกว่า​นี้​ก่อนที่จะ​ต้อง ‘ให้มันจบที่ คุกเรา’ อีกคน แค่นี้​ขาข้างหนึ่ง​ก็ก้าวเข้าไปรอในเรือนจำแล้วเพราะคดีก่อนหน้านี้ยังไงก็ผิดกฎหมาย​แล้ว ขืนยิ่งอยู่นานยิ่งมีปัญหา​และนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะหยุดทำเพื่อสนองต่อกิเลสตัณหาและอำนาจของตัวเองก่อนที่จะทำให้ภาพลักษณ์​รัฐสภาไทยแย่ลงไปกว่านี้

ชาวเน็ตคอมเมนต์ไอจี ‘อุ๊งอิ๊ง’ ถาม ‘ทักษิณ’ เป็นนักโทษหรือเทวดา หลังได้สิทธิ์ย้ายไปรักษาตัว รพ.ตำรวจ เจอตอบกลับสั้นๆ แต่เจ็บจี๊ด!!

(25 ส.ค. 66) หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนกลับมารับโทษในประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยถูกนำตัวส่งไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แต่จากนั้นช่วงกลางดึกนายทักษิณมีอาการแน่นหน้าอก จึงถูกนำตัวส่ง รพ.ตำรวจ โดยพักรักษาตัวอยู่ชั้น 14 หอผู้ป่วยรับรองระดับสูง

ก่อนตามมาด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมว่า นายทักษิณอยู่ในเรือนจำเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็อยู่นำตัวออกจากเรือนจำไปรักษาตัวยังโรงพยาบาล โดยกรมราชทัณฑ์ชี้แจงการปฏิบัติเช่นนี้ เป็นไปตามระเบียบ เนื่องจาก รพ.ราชทัณฑ์ ไม่มีความพร้อมด้านผู้เชี่ยวชาญ และอุปกรณ์การรักษา

ล่าสุดชาวเน็ตหลายคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ในไอจีส่วนตัวของ ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ

โดยมีชาวเน็ตคนหนึ่งตั้งคำถามว่า “นักโทษหรือเทวดาคะ?”

ทำให้อุ๊งอิ๊งตอบกลับโพสต์ดังกล่าวว่า “เทวดาค่ะ”

‘เศรษฐา’ นำคณะลงใต้รับฟังปัญหาผู้ประกอบการ หารือเสริมศักยภาพท่าอากาศยาน รับ นทท. ช่วงไฮซีซัน

(25 ส.ค. 66) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังท่าอากาศยาน จ.ภูเก็ต พบปะผู้บริหารการท่าอากาศยานภูเก็ต หารือเรื่องการขยายสนามบินภูเก็ตรองรับนักท่องเที่ยวและเดินตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานภูเก็ต

จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า ตนมารับฟังข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเรื่องการท่องเที่ยว เพราะสนามบินคือจุดแรกที่รับนักท่องเที่ยว อยากรับฟังปัญหาและดูว่าอนาคตอยากจะทำอะไร เพื่อไปร่างนโยบายตอบสนองความต้องการของท่าอากาศยาน รวมถึงเรื่องของนักท่องเที่ยวซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในระยะสั้นคือการท่องเที่ยวที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน ต้องมีการรับฟังข้อมูลไปก่อนเพื่อเตรียมที่จะวางแผน ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจีนกลับมาในประเทศไทยเพียง 30% ขณะที่ประเทศจีนเองเผชิญสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย จึงไม่พยายามที่จะสนับสนุนนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่เราต้องพยายามทำให้ง่ายต่อการเข้ามาในประเทศ

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า สำหรับ จ.ภูเก็ตที่เป็นพื้นที่แรกในการลงพื้นที่นั้นปฏิเสธไม่ได้เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จึงมาดูพื้นที่นี้ก่อน ก่อนจะไปดูพื้นที่อื่นต่อไป และจะมีการพูดคุยเรื่องการขยายท่าอากาศยานทั้งภูเก็ต สุวรรณภูมิ และเชียงใหม่ต่อไป

เมื่อถามว่า เมื่อลงหาเสียงที่ จ.พังงา มีการสอบถามถึงเรื่องการสร้างสนามบิน การลงพื้นที่ครั้งนี้จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า จะต้องปรึกษาสภาพัฒน์ก่อน เรื่องอยู่ในแม่แบบอยู่แล้ว ให้ติดตามกันต่อไป เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากสนามบินภูเก็ตใกล้จะถึงจุดที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดแล้ว

เมื่อถามว่า ในส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) พรรคเพื่อไทยจะดูแลในเรื่องเศรษฐกิจ ขณะนี้ตำแหน่งต่าง ๆ มีความชัดเจนแล้วหรือยัง นายเศรษฐากล่าวว่า มีความเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น แต่ขอให้อดใจอีก 3-4 วัน คาดว่าน่าจะจบได้ เพราะต้องให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล เพราะมีหลายพรรค

เมื่อถามว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทยลงตัวแล้วหรือยัง นายเศรษฐากล่าวว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทยลงตัวหมดแล้ว

เมื่อถามต่อว่า ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เคยยืนยันว่าต้องการกระทรวงเหมือนที่เคยยื่นข้อเสนอไว้ นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องนี้ขอให้ใจเย็นนิดหนึ่ง

เมื่อถามว่า วันนี้มีการลงมาดูเรื่องการท่องเที่ยว มีการควงว่าที่รัฐมนตรีท่องเที่ยวมาด้วยหรือไม่ นายเศรษฐายิ้มและหัวเราะ พร้อมปฏิเสธ ตอบแค่ว่า “คำถามต่อไปครับ”

เมื่อถามว่า จะนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วยหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า คงอยู่ในพรรคเพื่อไทยขอเวลานิดหนึ่ง

เมื่อถามย้ำว่า มีกระแสข่าวระบุว่ารายชื่อ ครม.ทั้งหมดจะเสร็จสิ้นในไม่กี่วันนี้ นายเศรษฐากล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ใช่ครับ”

เมื่อถามต่อว่า ในวันจันทร์หน้าจะสามารถตรวจสอบประวัติได้เลยใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า นั่นเป็นความคาดหวัง หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี เพราะเราอยากให้มีการนับหนึ่งได้แล้ว แต่ความเป็นจริงนับหนึ่งไปแล้ว เนื่องจากมีการรับสนองพระบรมราชโองการ ต่อไปคงเป็นเรื่องการตรวจสอบรายชื่อ การเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ รวมถึงแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และจะได้มีการประชุม ครม.นัดแรก ซึ่งตนอยากให้เร็วที่สุด เพราะเรามีภาระเร่งด่วน และครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เดือดร้อน

เมื่อถามอีกว่าการประชุม ครม.นัดแรกจะมีวาระเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนเดิมใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขอรวบรวมทั้งหมดก่อน และจะแถลงให้ทราบ เพราะเป็นหลาย ๆ เรื่องที่เร่งด่วน รวมถึงการรับฟังกรณีภาคประชาชนอย่าง iLaw ที่มีการรวบรวมรายชื่อ

เมื่อถามถึง กรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี วางไทม์ไลน์ว่ารัฐบาลใหม่จะเริ่มทำงานได้ช่วงปลายเดือนกันยายน นายเศรษฐากล่าวว่า จะพยายามครับ ส่วนตัวอยากให้เร็วกว่านั้น เพราะมีหลายเรื่องเร่งด่วน เช่น เรื่องท่องเที่ยว

เมื่อถามว่าในการประชุม ก.ตร. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เลื่อนเคาะตำแหน่ง ผบ.ตร. เพื่อรอนายกรัฐมนตรีเป็นคนดำเนินการ นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องนี้ต้องคอยก่อน ให้ผ่านการถวายสัตย์ฯ ก่อน รวมถึงต้องมีการแถลงนโยบาย จากนั้นแล้วแต่ ก.ตร.จะมีการนัดประชุมเมื่อไหร่ และขอบคุณท่านที่ให้เกียรติ

เมื่อถามย้ำว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการควงว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมาลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตด้วยหรือไม่ นายเศรษฐาปฏิเสธที่จะตอบคำถาม บอกว่า “พูดเองเออเอง” ก่อนที่จะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี และในช่วงเวลาดังกล่าว น.ส.สุดาวรรณก็ยิ้มหัวเราะชอบใจด้วยเช่นกัน และมีอาการเขินเล็กน้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายเศรษฐาได้ถ่ายรูปร่วมกับ น.ส.สุดาวรรณ ที่มีกระแสข่าวจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ นพ.พรหมินทร์ ที่มีกระแสข่าวจะเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี และทั้งสองคนก็ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องตำแหน่ง จากนั้นนายเศรษฐากล่าวว่า “ทั้งสองคนอยู่ในการดูแลของผม ถูกห้ามไม่ให้พูดเรื่องนี้”

‘พิธา’ เผย โทรยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ แล้ว ฝากกู้วิกฤตศรัทธา เป็นนายกฯ ของทุกคน

(25 ส.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ หรือ โย ผู้สมัคร สส. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เลือกตั้งซ่อมเขต 3 จ.ระยอง พร้อมทีมงาน ได้เดินทางโดยรถแห่หาเสียง ลงพื้นที่ ต.บ้านนา อ.แกลง จ.ระยอง เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับ ‘โย พงศธร’ ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายลงมา โดยมีชาวบ้านในพื้นที่แห่ต้อนรับ และ ขอถ่ายเซลฟี่ และ ขอลายเซ็น กับนายพิธา จำนวนมาก โดยไม่กลัวเปียกฝน

นายพิธา กล่าวว่า มาวันนี้ เพื่อมาพบปะกับพี่น้องประชาชน ขอคะแนนให้กับ ‘โย พงศธ’  รับรองจะไม่ผิดหวัง ส่วนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้โทรศัพท์แสดงความยินดี และ ยืนยัน คือ ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ก็ต้องยืนยันว่า วิกฤติของบ้านเมืองครั้งนี้ อาจไม่ใช้วิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ใช่วิกฤตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและวิกฤตการศึกษา แต่เป็นวิกฤตศรัทธาของประชาชนในชาติ ในฐานะผู้นำจึงต้องรวมความคิดของคนในชาติให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน โดยได้ยินว่า นายเศรษฐา เคยให้สัมภาษณ์ว่า จะเป็นนายกฯ ของประชาชน ก็ขออวยพรให้ทำได้ และทำได้จริงๆ

ส่วนเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล นายพิธา กล่าวว่า จากการจับขั้วหลายขั้วของพรรคการเมือง คิดว่าการทำงานน่าจะยากเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ได้เคยพูดคุยกับคุณเศรษฐา ทวีสิน ในเวทีดีเบต พูดถึงการสมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า โดยหวังว่าจะผลักดันได้จริง ๆ หรือไม่ ยังหวังว่า วิกฤตที่ประเทศ ได้รับผลกระทบจะได้รับการแก้ไข และก็จะได้กู้วิกฤตศรัทธากลับมาสู่การเมืองไทย

นายพิธา กล่าวต่ออีกว่า ถึงจะเป็นฝ่ายค้าน ก็เป็นฝ่ายค้านเชิงรุกที่ยังมีหลายนโยบายที่สามารถผลักดันได้เพื่อให้ผลประโยชน์อยู่กับประชาชน ยืนยันว่าการทำงานเป็นฝ่ายค้าน คอยตรวจสอบเพื่อให้รัฐบาลทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และปราบการคอร์รัปชันให้ได้มากที่สุด กรณีที่มีการจดพรรคการเมืองในชื่อ พรรคอนาคตไกล ไม่รู้จัก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล เพิ่งได้ยินจากสื่อเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top