Thursday, 26 June 2025
Politics

‘เสธฯ หนั่น’ ผู้สร้างตำนาน ‘งูเห่า’ ในแวดวงการเมืองไทย ต้นฉบับการข้ามขั้วครั้งใหญ่ เจ้าของนิยาม “เลี้ยงไม่เชื่อง”

(27 ส.ค. 66) ‘พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์’ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ คือผู้สร้างตำนาน ‘งูเห่า’ ขึ้นในวงการการเมืองไทยด้วยการดึง 13 สส.จากพรรคประชากรไทย ของ ‘นายสมัคร สุนทรเวช’ หัวหน้าพรรคประชากรไทย พลิกข้ามขั้วมาสนับสนุน ‘นายชวน หลีกภัย’ เป็นนายกรัฐมนตรี สมัย 2

13 สส.พรรคประชากรไทย จากทั้งหมด 18 คน ที่พลิกขั้วมาสนับสนุนนายชวน ประกอบด้วย นายวัฒนา อัศวเหม, นายพูนผล อัศวเหม, นายสมพร อัศวเหม, นายมั่น พัธโนทัย, พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์, นายยิ่งพันธ์ มนะสิการ, นายไกรสิทธิ์ ไกรสิทธิพงศ์, นายประกอบ สังข์โต, นายสำเร็จ อัจฉริยะประสิทธิ์, นายฉลอง เรี่ยวแรง, นายสุชาติ บรรดาศักดิ์, นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย และนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์

การถูกหักหลังในครั้งนั้น นายสมัครเปรียบเทียบว่า “เหมือนชาวนากับงูเห่า” เพราะก่อนการเลือกตั้ง นายวัฒนาตกเป็นข่าวมีชื่อในแบล็กลิสต์ ผู้พัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติดของทางการสหรัฐอเมริกา จนไม่มีพรรคไหนยอมให้เข้าร่วม เว้นแต่พรรคประชากรไทยของนายสมัคร แต่แล้ว เมื่อนายสมัครยืนยันจะยืนอยู่ฝ่ายรัฐบาลเดิม กลับมีลูกพรรคแหกมติไปลงคะแนนให้อีกฝ่าย ทิ้งให้หัวหน้าพรรคกลายเป็นฝ่ายค้าน ส่วนพวกตนเองสลับขั้วไปร่วมรัฐบาล “เลี้ยงไม่เชื่อง-ทรยศ-หักหลัง” คือนิยามง่ายๆ ของคำว่า “งูเห่า”

ย้อนกลับไปดูการเมืองในช่วงนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมต้องมีงูเห่า

ปี 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติค่าเงินบาทในสมัยรัฐบาล ‘พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ’ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี ค่าเงินบาทถูกโจมตีหนัก รัฐบาลโดยแบงก์ชาติก็นำเงินคงคลังออกมาสู้อย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ พล.อ.ชวลิต ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท บางคนอาจจะบอกว่า “ลดค่าเงินบาท”

พล.อ.ชวลิต สุดจะต้านทานกระแส ประกาศลาออกเมื่อ 6 พ.ย. 2540 จึงเกิดการพยายามรวมเสียงเพื่อหานายกรัฐมนตรีคนใหม่

ฝ่ายรัฐบาลเดิมยังคงได้เปรียบ พรรคความหวังใหม่ และอีก 5 พรรคร่วมรัฐบาล ลงสัตยาบันประกาศชู ‘พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ’ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย ขณะที่ฝ่ายค้านพยายามรวมเสียงเพื่อชู นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาท้าชิง

เสียงฝั่งรัฐบาลที่ประกอบด้วย พรรคความหวังใหม่, พรรคชาติพัฒนา, พรรคกิจสังคม, พรรคประชากรไทย, พรรคเสรีธรรม และพรรคมวลชน 221 เสียง เหนือกว่า พรรคประชาธิปัตย์, พรรคชาติไทย, พรรคเอกภาพ, พรรคไท และพรรคพลังธรรม ที่ได้ 172 เสียง

แต่พรรคเสรีธรรมและพรรคกิจสังคมเปลี่ยนขั้ว (4+20) ทำให้ช่องว่างกลับมาเฉือนกันแค่คะแนนเดียว อยู่ที่ 197 – 196 แม้เสียงจะปริ่มน้ำสุดๆ แต่มันสมองอันแหลมคมของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็มองเห็นประเด็นนี้ออก จึงแก้เกมโดยขอแค่แยกสมาชิกพรรคใดมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาทั้งพรรค เกมจะเปลี่ยนทันที

พรรคประชากรไทยของนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีอยู่ 18 คน กลายเป็นเป้าหมายของ ‘เสธฯ หนั่น’ เจรจาดึงออกได้ถึง 13 คน แต่ตอนหลัง ‘นายชัยวัฒน์ ศิริภักดิ์’ ได้ลาออกจาก สส.ไป เกมพลิกทันที ทำให้ขั้วอำนาจฝ่ายสนับสนุนนายชวน รวมเสียงได้ 208 – 185

ผลจากการเปลี่ยนขั้วของ สส. 12 คน ได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ในคณะรัฐมนตรีของนายชวน ถึง 4 คน คือ นายวัฒนา อัศวเหม เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายยิ่งพันธ์ มนะสิการ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายประกอบ สังข์โต เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน

หลังจาก เรื่องราวของงูเห่าก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้นๆ แต่ที่ยกเรื่องตำนานงูเห่าขึ้นมาเล่า เพียงแต่จะบอกว่า งูเห่าเกิดขึ้นครั้งแรกเป็น สส.ข้างมากของพรรคประชากรไทย 13 คน ไม่ใช่เสียงข้างน้อย หรือจำนวนน้อยถึงจะเรียกว่า “งูเห่า” ซึ่งไม่เป็นความจริง

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ว่าที่ รมว.อุตสาหกรรม ในรัฐบาลนิด 1 ดีกรีมือศก.ขั้นเทพยุคบิ๊กตู่ ชายผู้ประกาศกร้าว หากทำงานไม่ดีให้มาด่า แต่อย่าด้อยค่าประเทศ

ชื่อของ หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร หรือ ‘หม่อมปืน’ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เริ่มปรากฏตามหน้าสื่อมากยิ่งขึ้น

แม้จะใหม่ในสนามการเมือง แต่ในแวดวงธุรกิจแล้ว ชื่อของ ม.ล.ชโยทิต เป็นที่รู้จักกันดี โดยหม่อมหลวงชโยทิต นอกจากจะเป็นผู้แทนการค้าไทยและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี-ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ยังเคยผ่านงานตำแหน่งสำคัญในภาคธุรกิจมาแล้วมากมาย เช่น กรรมการ และประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) / ประธานกรรมการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) / กรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น

โดยผลงานเด่นจากรัฐบาลลุงตู่ของหม่อมปืน คือ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และยังเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงของการหาเสียงเลือกครั้งใหญ่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ภายใต้แคมเปญที่ติดหูคนไทยทุกคนอย่าง ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ เน้นการสานงานของรัฐบาลเดิม

อันที่จริงแล้ว ก่อนที่ ‘ม.ล.ชโยทิต’ จะเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ท่านเคยเข้ามางานให้กับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อยู่พักหนึ่งแล้ว เป้าหมายเพราะอยากเข้ามาช่วยชาติเป็นสำคัญในวันที่วิกฤติเศรษฐกิจและโควิด19 ถาโถม 

ดังนั้นการเมืองครั้งล่าสุดนี้ จึงเปรียบเสมือนลูกติดพันที่ถ้าทำต่อ ก็จะได้เห็นความสำเร็จที่เริ่มไว้ โดยหากประเทศเสียโฟกัส เสียการขับเคลื่อนหรือผลักดันไป ประเทศอื่นจะเอาไป แล้วไทยจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เช่น เสียอุตสาหกรรมอีวีไป หรือเสียอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไป เป็นต้น

ทั้งนี้หากตกผลึกแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ ในมุมของหม่อมปืนนั้น จะพบหัวใจสำคัญหลักๆ ที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือประชาชนที่เปราะบางเป็นเรื่องสำคัญ

“เราช่วยอย่างมีวินัย และพุ่งเป้าตรง และช่วยอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อะไรต่างๆ ที่ช่วยคนยากจน หรือผู้สูงอายุ นโยบายของรวมไทยสร้างชาติ มีครอบคลุมหมด แต่เราช่วยเขา เพื่อให้เขายืนขึ้นได้ และให้เขาปรับเปลี่ยนตัวเองในมิติใหม่ของเศรษฐกิจ เพื่อให้เขาแข็งแรงจริงๆ ไม่ใช่สอนให้เขาเป็นง่อย หรือแบมืออย่างเดียว”

หม่อมปืน เผยอีกด้วยว่า “รัฐบาลลุงตู่ได้แก้ปัญหาต่างๆ อย่างมีวินัย ไม่ให้มีผลกระทบกับสถานะการเงินการคลังของประเทศ นั่นหมายความว่า คอนเซปต์นโยบายเศรษฐกิจของรวมไทยสร้างชาติ จึงต้องช่วยทำให้มีการมาร่วมกันสร้างชาติให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่ไปจิกเงินของใครมาแล้วเอาไปให้คนอื่น หรือกู้มาแจก สิ่งที่เยียวยาเราต้องเยียวยาเพื่อให้คนไทยแข็งแกร่งขึ้น และเราก็หวังว่ามันจะลดน้อยลง ไม่ใช่เพิ่มขึ้น”

ม.ล.ชโยทิต ยังบอกอีกว่า เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าไปร่วมเป็นรัฐบาล ก็มีหลายเรื่องที่ต้องเร่งเข้าไปทำไปแก้ปัญหาเช่นเรื่อง 'หนี้ครัวเรือน' ที่ต้องทำให้เสร็จ ทำให้ความไม่เป็นธรรม ได้รับการดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ไปปลดโซ่ตรวนตรงนั้นและทำเรื่อง Infrastructure ต่างๆ ของประเทศ / เรื่องพลังงาน อุตสาหกรรมอีวี / Smart Electronics ต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้เสร็จ 

“วันนี้หลายประเทศจ้องจะแย่งจากประเทศไทย หากเราไม่มีเอกภาพ มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งบอกว่า เศรษฐกิจประเทศไทยยังนอนอยู่ ต้องกระตุ้นก่อน เราก็จะไปผิดทางได้ เพราะว่าความเป็นจริง เราฟื้นแล้ว รัฐบาลปักธงทุกอย่างไว้แล้ว ตอนนี้ต้องทำให้มันเดิม จะถอยหลังทำไม เรื่องเหล่านี้คือเรื่องเร่งด่วนทั้งสิ้น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม จะแย่งไทยเราอยู่ทุกวัน ในทุกวันนี้”

‘ม.ล.ชโยทิต’ ย้ำด้วยว่า หากคนไทยยังแตกแยกกัน มาเสนอไอเดีย สองขั้ว สามขั้ว จะเดินหน้าไปไม่ได้ และต้องเลิกมาด้อยค่าประเทศ หากมองว่าใครทำเศรษฐกิจย่ำแย่ หรือทำงานได้ไม่ดี ให้มาโทษคนทำ

“ประเทศไทยเรามีดีครับ มันพิสูจน์ให้เห็นแล้ว เศรษฐกิจเราโตต่อเนื่องตลอด แต่คู่แข่งเราตก เราต้องมีความภาคภูมิใจในประเทศตัวเอง ไม่ใช่มาด้อยค่า ก็รู้ว่าอยากจะมาด่ารัฐบาล แต่ก็โทษคนทำสิ อย่ามาด้อยค่าประเทศ มาคุยกันตรงๆ ผมจะได้ตอบ”

และนี่ก็คือเสียงจาก ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ในยุครัฐบาลนิด 1 ที่คงต้องรอตามดูผลงานกันต่อไป
...................................

ประวัติโดยสรุป
- ชื่อ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ชื่อเล่น ปืน 
- การศึกษา : ปริญญาตรี เกียรตินิยมสาขา Economy History, University of London, UK
- ความเชี่ยวชาญ : บัญชี การเงิน การบริหารจัดการและบริหารธุรกิจ การบริหารหรือกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเศรษฐศาสตร์
- การฝึกอบรม : หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง (วตท.) รุ่นที่ 4 สถาบันวิทยาการตลาดทุน
- การอบรมหลักสูตรกรรมการ : หลักสูตร Corporate Governance for Capital Market Intermediaries (CGI 12/2016) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD)

ประสบการณ์ทำงานล่าสุด
- ปี 2565 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ ผู้แทนการค้าไทย
- ปี 2564 ที่ปรึกษารองนายกฯ และหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุน
- ปี 2564 ประธานกรรมการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
- ปี 2562 – 2563 กรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด

‘บก.ลายจุด’ โชว์กึ๋นเศรษฐศาสตร์ ชำแหละ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ชี้!! หากแหล่งที่มาคือการสร้างหนี้ จะเกิดเงินเฟ้อ-ข้าวของแพงขึ้น

(27 ส.ค. 66) นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ ‘บก.ลายจุด’ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สมบัติ บุญงามอนงค์’ ระบุว่า…

เศรษฐศาสตร์ดิจิทัลลวอลเล็ต

- GDP ไทย 2022 อยู่ที่ 19.8 ล้านล้านบาท

- ดิจิทัลวอลเล็ต 540,000 ล้านบาท

- เพื่อไทยบอกว่าที่มาของเงินมาจากการบริหารงบประมาณ ตัดงบส่วนที่ไม่จำเป็นเพื่อมาทำโครงการ ในข้อเท็จจริง การใช้จ่ายภาครัฐเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหนึ่งที่สำคัญและมีผลต่อ GDP การชักเอาเงินออกจากการใช้จ่ายภาครัฐมาเป็นค่าใช้จ่ายของครัวเรือนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จึงยังสงสัยว่า กำลังซื้อภาครัฐที่หายไปจะส่งผลกระทบต่อ GDP อย่างไร และเมื่อเทียบกับการให้การใช้เงินอยู่ในมือประชาชนจะส่งผลดีกว่าการใช้จ่ายภาครัฐอยู่ที่เท่าใด และเมื่อคำนวณ GDP ก็ต้องไปตัดลดส่วนของค่าใช้จ่ายภาครัฐลงแล้วบวกด้วยค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน

- การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ได้รับการอัดฉีดผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อถึงที่สุดแล้วจะส่งผลต่อปัจจัยการนำเข้ามากน้อยเพียงใด เมื่อห่วงโซ่การผลิตและสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีนกลายเป็นสภาพแวดล้อมสำคัญในการบริโภคในไทย ทั้งนี้รวมถึงการบริโภคพลังงานที่เกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตีฟู ที่ต้องกล่าวถึงปัจจัยการนำเข้าเพราะจะมีผลต่อการคำนวณ GDP

- การพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนควรต้องพิจารณาถึงการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือการปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนการผลิตให้เพิ่มประสิทธิภาพและแข่งขันได้ คำถามคือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ใช้งบประมาณรัฐสูงขนาดนี้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างไร อันจะเป็นการชี้วัดการพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง

- การแจกเงินหมื่นให้ประชาชน หากตกอยู่ในมือประชาชนผู้มีรายได้น้อยพวกเขาย่อมใช้จ่ายเงินนั้นอย่างเต็มที่ในการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจะส่งผลอย่างเห็นได้ชัด แต่หากตกอยู่ในมือผู้มีรายได้ระดับหนึ่งที่ไม่มีความเดือดร้อน โอกาสที่ประชาชนเหล่านั้นจะใช้เงินหมื่นนี้ในการลดค่าใช้จ่ายประจำของตนเอง โดยเก็บเงินในบัญชีตนเองไว้แล้วใช้เงินในวอลเล็ตแทน เม็ดเงินดังกล่าวก็จะไม่ก่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและกลายเป็นเงินเก็บในบัญชีของคนกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตามอาจโต้แย้งได้ว่าจำนวนคนที่มีกำลังทางเศรษฐกิจอยู่แล้วมีไม่มากนักเมื่อเทียบคนจนในประเทศ

- สภาวะทางเศรษฐกิจช่วงที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตดำเนินอยู่จะเป็นช่วงกระทิง ผู้คนจับจ่ายใช้สอยกันคึกคัก แต่หลังโครงการจบทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่้ภาวะใกล้เคียงก่อนหน้านั้น จมูกที่พ้นน้ำก็ต้องกลับมาอยู่ในระดับเดิม และอะไรคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะต่อจากนั้นเพราะนี่คือพลังบริโภคเทียม

- เราต้องไม่ลืมว่าไม่มีอะไรฟรี หากแหล่งที่มาของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้มาจากการสร้างหนี้ นี่คือการใช้เงินของคนไทยในอนาคต และการลงทุนนั้นมีหลักอยู่ว่าสิ่งที่ลงทุนไปควรได้รับประโยชน์กลับคืนมากกว่าหรือไม่น้อยกว่าที่ลงทุนไป ต่อให้ผู้ชำระเงินเป็นคนไทยในอนาคตก็ตามที และยังมีปัญหาเงินเฟ้อข้าวของแพงขึ้นแล้วจะไม่ลดลงโดยง่ายหลังสินค้าขึ้นราคา

ปล.คุณสามารถตำหนิผมได้ โดยการอธิบายและโต้แย้งหักล้างสิ่งที่ผมอธิบาย

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจประชาชน เรื่อง ‘รัฐบาลสลายขั้ว’ ชี้!! ไม่เชื่อมั่นว่าจะแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองได้ง่ายๆ

(27 ส.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ความขัดแย้งทางการเมือง สลายหรือยัง?’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 23-25 ส.ค.จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มต่างๆ ของประชาชน พบว่า ร้อยละ 87.63 ระบุว่า ไม่เคยไปร่วมชุมนุมใดๆ กับกลุ่มทางการเมืองเหล่านี้ ร้อยละ 4.35 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-กลุ่มเสื้อแดง)

ร้อยละ 3.13 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.-กลุ่มเสื้อเหลือง) ร้อยละ 3.05 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และร้อยละ 2.82 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มสามนิ้ว (กลุ่มเสื้อส้ม)

ด้านกลุ่มทางการเมืองที่ประชาชนมองว่าตนเองอยู่ในปัจจุบัน พบว่า ร้อยละ 69.47 ระบุว่า ไม่อยู่ในกลุ่มทางการเมืองใดๆ ร้อยละ 19.85 ระบุว่า กลุ่มสามนิ้ว (กลุ่มเสื้อส้ม) ร้อยละ 6.64 ระบุว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-กลุ่มเสื้อแดง)

ร้อยละ 2.59 ระบุว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.-กลุ่มเสื้อเหลือง) และร้อยละ 1.45 ระบุว่า กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการจัดตั้งรัฐบาลพิเศษ ‘สลายขั้ว’ ของพรรคเพื่อไทย โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้มีการสลายความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. พบว่า ร้อยละ 36.72 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 20.61 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 20.53 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 19.85 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะทำให้มีการสลายความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. พบว่า ร้อยละ 30.76 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 27.02 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 22.29 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 18.25 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 1.68 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทางการเมืองในอนาคต พบว่า ร้อยละ 39.39 ระบุว่า กลุ่มเสื้อส้ม กับ ทุกกลุ่ม (เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส.) ร้อยละ 24.89 ระบุว่า ไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มอีกต่อไป ร้อยละ 16.56 ระบุว่า กลุ่มเสื้อแดง กับ กลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 6.72 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลือง กับ กลุ่มเสื้อแดง

ร้อยละ 2.44 ระบุว่า กลุ่มเสื้อแดง กับ กลุ่ม กปปส. ร้อยละ 2.29 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลือง กับ กลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 1.45 ระบุว่า กลุ่ม กปปส. กับ กลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 0.53 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลือง กับ กลุ่ม กปปส. และร้อยละ 10.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

จากอดีตผู้พิพากษา สู่ ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ผู้ปิดทองหลังพระ ‘ชนะคดีค่าโง่โฮปเวลล์-ฟื้นฟูการบินไทย’

เปิดประวัติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เจ้าของผลงานเด่น ชนะคดี ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ ช่วยคนไทยไม่ต้องจ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยกว่าหมื่นล้านบาท

โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ชื่อเล่น ‘ตุ๋ย’ เป็นบุตรของ พลโท ณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์และเจ้ากรมการพลังงานทหาร และโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค (นามสกุลเดิม : สุมาวงศ์) อดีตดาวจุฬาฯ คนแรก ส่วนชีวิตครอบครัว สมรสกับ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (นามสกุลเดิม : โทณวณิก) มีบุตรธิดารวมกันทั้งหมด 4 คน

นายพีระพันธุ์ เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล โรงเรียนเดียวกับ ‘บิ๊กป้อม’ จากนั้น เรียนต่อปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบเนติบัณฑิตไทย ที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา จบปริญญาโท กฎหมายอเมริกันทั่วไป (LLM) และเรียนปริญญาโทอีกใบ ด้านกฎหมายเปรียบเทียบ (MCL) ที่มหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา

โดย นายพีระพันธุ์ มีประสบการณ์ทำงานเป็นผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการ ก่อนมาเข้าสู่สนามการเมืองในนามพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมทีมกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เคยได้รับการเลือกตั้งเป็น สส.เขต 3 กรุงเทพมหานคร เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นฝ่ายค้าน ในปี 2550 นายพีระพันธุ์ ถูกรับเลือกให้ทำหน้าที่เป็น รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเงา และได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จริงๆ ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2551

ขณะที่ผลงานอันโดดเด่น คือ การสอบสวนการทุจริต ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ ซึ่งถูกนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลและประสบชัยชนะ ทำให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่พร้อมดอกเบี้ยนับหมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปช่วงที่ นายพีระพันธุ์ กำลังเบื่อหน่ายการเมือง และได้โบกมือลาพรรคประชาธิปัตย์นั้น เพียงไม่ทันข้ามคืนถูกเทียบเชิญเข้าทำเนียบรัฐบาล ขึ้นชั้นเป็น ‘กุนซือ’ ประจำตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

บทบาทตอนนั้น คือ การนั่งตำแหน่งคู่ขนานทั้งฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ คุมชีพจรการเมืองในตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และ...

...อยู่ในทีมผ่าตัด ‘การบินไทย’ เส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจการบินประจำชาติ ด้วยการให้ความสำคัญกับการบิน ‘เส้นทางในประเทศ’ คู่ขนานกับการ ‘สะสางคอร์รัปชัน’ และระบบ ‘เส้นสาย’ ในฝ่ายบริหาร และต้องไม่อยู่ใต้ ‘เงา’ ของนักการเมืองอีกต่อไป

หลังจากนั้นก็เดินหน้าตามแผนฟื้นฟูกิจการ พร้อมทั้งสร้างกลยุทธ์เพื่อคืนชีพการบินไทย รวมไปถึงมุ่งสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานได้ร่วมกันฝ่าฟัน จนวันนี้ผ่านพ้นวิกฤติและเข้าสู่ช่วงพาสายการบินแห่งชาตินี้ เชิดหัวขึ้น ได้ตามที่หลายท่านคงทราบกันแล้ว

ส่วนจุดพลิกผันทางการเมือง เกิดขึ้นเมื่อครั้งพรรคประชาธิปัตย์ ทำการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนนายอภิสิทธิ์ ภายหลังแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หลังการเลือกตั้งในปี 2562 ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ได้ สส.เพียง 52 ที่นั่ง โดยมีแคนดิเดตร่วมท้าชิงคือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, นายกรณ์ จาติกวณิช, นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แต่คนที่ได้รับการคัดเลือกคือ ‘นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’

ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2562 นายพีระพันธุ์ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนจะมีชื่อถูกแต่งตั้งให้ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2562 และย้ายสังกัดเข้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก ก่อนจะถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท การบินไทย ในปี 2563

จากนั้น ในเดือนเมษายน 2565 ได้ยื่นหนังสือลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่ในเดือนสิงหาคม 2565 จะได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีเป้าหมายคือ จะรวบรวมคนทำงานทั้ง สส.รุ่นใหม่ รุ่นเก่ามารับใช้ประชาชน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2565 ก็มีข่าวว่า สส.พรรคประชาธิปัตย์ลอตใหญ่ เตรียมเลือดไหลย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ จนกระทั่งในช่วงปลายเดือนก็มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมจะลา ‘บิ๊กป้อม’ เพื่อมาสังกัดกับพรรครวมไทยสร้างชาติในการเลือกตั้ง 2566 และก็เป็นจริงตามนั้น

‘ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ มีแววนั่ง ‘รมช.มหาดไทย’ ประสบการณ์ สส. 5 สมัย ความรู้-ความสามารถพร้อม

การเมืองไทยหลังจากที่ได้นายกฯ ชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นอยู่ทุกวัน ประชาชนคอการเมืองต่างตั้งหน้าตั้งตารอว่า ‘ใคร’ จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงใด และหน้าตาครม. เศรษฐา 1 จะคล้ายคลึงของเดิมหรือเปลี่ยนไปมาน้อยเพียงใด

แน่นอนว่าพรรคการเมืองที่คนให้ความสนใจและจับตาดูก็เป็น ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ที่ได้ส่งรายชื่อผู้ที่จะได้เป็นรัฐมนตรีตามโควตาไปยังพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย

-นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
-นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ เป็นรัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม
-นางพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย  
-นายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท มีชื่อนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์

ทั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โควตารัฐมนตรี 4 ตำแหน่ง เป็นว่าการ 2 ช่วยว่าการ 2 มีปัญหาในการจัดสรรตำแหน่งกันในพรรคอยู่บ้าง อย่างสายใต้ มีหลายคนควรได้ตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้ง ‘วิทยา แก้วภารดัย’ แต่ในช่วงเลือกตั้งได้นับมอบหมายให้ไปดูแลพื้นที่ภาคอิสาน

‘ชุมพล กาญจนะ’ ที่สุราษฎร์ธานีกวาดมาได้ถึง 6 เสียง แต่ในเชิงลึกพบว่า ใน 6 เสียง เป็นสายชุมพลเพียง 3 เสียง อีก 3 เสียงเป็นสายกำนันศักดิ์-พงศ์ศักดิ์ จ่าแก้ว นายกฯ อบจ.สุราษฎร์ธานี ที่จับทีมกันกับ ‘ชุมพล จุลใส’ (ลูกหมี) แห่งเมืองชุมพร และวิสุทธิ์ ธรรมเพชร แห่งเมืองพัทลุง จึงทำให้ชุมพลชวดตำแหน่งรัฐมนตรี ประกอบกับชุมพลอายุมากแล้วด้วย

เก้าอี้รัฐมนตรีจึงถูกสับโยกไปให้ ‘สุพล จุลใส’ (ลูกช้าง) สส.สมัยสอง อดีตนายกฯ อบจ.ชุมพร แต่สุพลขอสละสิทธิ์ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ การเป็นรัฐมนตรีต้องเสียสละ ทุ่มเท จึงไม่เหมาะ ขอสละให้คนอื่นเป็นแทน

หันซ้ายมองขวาก็เห็น ‘ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ ยืนโดนเด่นอยู่ ปุ้ยจึงได้รับการเคาะให้เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยแทนสุพล ซึ่งก็ถือว่าเหมาะสม เพราะปุ้ยผ่านประสบการณ์มามาก เป็น สส.4 สมัย ย่างเข้าสมัยที่ 5 แล้ว ก็ถือว่าส้มหล่น เป็นคนที่ไม่เคยคาดหวัง ไม่เคยวิ่งเต้นอยากจะเป็นรัฐมนตรี แต่ถึงเวลา บุญนำพา วาสนาส่ง มันก็หล่นมาเอง

ทางด้าน ม.ล.ชโยทิต กฤดากร สส.บัญชีรายชื่อ ที่มีชื่อนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม แต่ล่าสุด ม.ล.ชโยทิต แจ้งไม่ขอรับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการ พรรคจึงเปลี่ยนชื่อเป็นนางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ นั่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรมแทน

กล่าวสำหรับพิมพ์ภัทรา เป็นทายาททางการเมืองของมาโนช วิชัยกุล อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์หลายสมัย ท่านเพิ่งจากไปเมื่อสองปีที่ผ่านมา เมื่อมีชื่อ ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา นั่งเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล ในฐานะรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย คนนครศรีธรรมราชก็พากันเฮด้วยความดีใจ นอกจากความเหมาะสม ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์แล้ว คนนครศรีธรรมราชดีใจว่า สส.10 คน ควรจะได้มีรัฐมนตรีในจังหวัดนครศรีธรรมราชกับเขาบ้าง หลังจากเป็นจังหวัดที่ว่างเว้นรัฐมนตรีมานานกว่า 10 ปี (ไม่นับ ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ) ที่เป็นคนนครศรีธรรมราช แต่ไม่ได้เป็น สส.นครศรีธรรมราช เป็น สส.บัญชีรายชื่อ และเคยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

คนที่ควรได้เป็นรัฐมนตรีในนามพรรครวมไทยสร้างชาติอีกคนคือ ‘น้อย-วิทยา แก้วภารดัย’ แต่คราวนี้กลับไม่มีชื่อ ช่วงแรก ๆ มีโผจะไปนั่งช่วยว่าการสาธารณสุข แต่วิทยาเคยนั่งว่าการมาก่อนแล้ว จึงไม่เหมาะที่จะไปนั่งช่วยว่าการ ประกอบกับโควตาที่ได้มาเพียง 4 เก้าอี้ จึงต้องเกลี่ยกันไป อีสาน กลาง กรุงเทพ และใต้ให้เท่า ๆ กัน ไม่เอนเอียงไปทางไหนให้คนกังขา

‘สุชาติ’ อำลาตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ‘ข้าราชการ-ผู้นำแรงงาน’ มอบดอกไม้-ส่งกำลังใจเพียบ

(28 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร พระพุทธชินราช ศาลพ่อปู่ชัยมงคล ศาลท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ และศาลพ่อปู่ชินพรหมมา เนื่องในโอกาสอำลาตำแหน่ง โดยมี นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมอย่างเนืองแน่นเต็มพื้นที่โถงด้านล่างกระทรวงแรงงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงานเสร็จสิ้นแล้ว นายสุชาติได้รับมอบดอกไม้พร้อมพบปะพูดคุยด้วยความเป็นกันเองกับคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน โดยแต่ละหน่วยงานต่างมีป้ายข้อความให้กำลังใจ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความผูกพันที่ข้าราชการกระทรวงแรงงานพร้อมใจกันแสดงออกต่อนายสุชาติ

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชาวบ้านตัวแทนชุมชนแฟลตดินแดง ได้เดินทางเข้ามอบกระเช้าสิ่งของและดอกไม้ให้กำลังใจ เนื่องจากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายสุชาติได้นำมาตรการต่าง ๆ จากรัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวชุมชนดินแดงได้ก้าวพ้นวิกฤต ขณะเดียวกัน มีผู้นำสหภาพแรงงานต่าง ๆ เดินทางมาร่วมมอบดอกไม้ให้ขอบคุณและให้กำลังใจนายสุชาติ ที่เป็นรัฐมนตรีในดวงใจช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ก้าวพ้นวิกฤตโควิด-19 ด้วยมาตรการต่าง ๆ จากรัฐบาลและกระทรวงแรงงานด้วยเช่นกัน ทำให้นายสุชาติถึงกับน้ำตาซึม ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่น้องแรงงานและข้าราชการที่มอบความรักให้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการพูดคุยกับกลุ่มข้าราชการกระทรวงแรงงานอาวุโส ต่างประทับใจในตัวนายสุชาติ เป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นคนใจดี ถึงลูกถึงคน หัวใจนักเลง และเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในประวัติศาสตร์กระทรวงแรงงานที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด ซึ่งปกติจะอยู่เพียงแค่ 1-2 ปี แต่ตลอดกว่า 3 ปีที่ผ่านมา นายสุชาติทำงานจนทำให้กระทรวงแรงงานเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสังคม

ข้าราชการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) รายหนึ่ง กล่าวว่า ข้าราชการประกันสังคมทุกคนต่างยกย่องชื่นชมนายสุชาติที่ทำงานหนักเพื่อผู้ใช้แรงงานและเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ข้าราชการ

“โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ได้ร่วมหัวจมท้าย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมา เพราะขณะนั้นประชาชนทุกข์ทุกร้อนกังวัลใจจากวิกฤติโควิด-19 จนต้องเปิดสนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เป็นจุดตรวจคัดกรองและฉีดวัคซีน และในที่สุด ท่านก็สามารถนำพาข้าราชการให้ผ่านพ้นสถานการณ์นั้นมาได้” ข้าราชการรายเดิม กล่าว

นายสุชาติ กล่าวว่า อะไรที่เป็นนโยบายที่ดีและเกิดประโยชน์กับพี่น้องผู้ใช้แรงงานก็อยากให้ได้มีการได้สานต่อ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป และว่า อยากให้มีการผลักดัน พระราชบัญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคม 3 ขอ ให้แล้วเสร็จ สร้างโรงพยาบาลประกันสังคม เพื่อความภาคภูมิใจของผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

รู้จัก ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ มือเก๋าการเมือง ว่าที่ ‘รมว.คมนาคม’ ใน ครม.เศรษฐา 1

รู้จัก ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ว่าที่ ‘รมว.คมนาคม’ ครม.เศรษฐา 1 หลังโผทุกกระทรวงเริ่มลงตัว

โผ ครม. ล่าสุด รัฐบาลเศรษฐา 1 ในขณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าลงตัวเกือบทุกตำแหน่ง ภายหลังการหารือร่วมกันของ 11 พรรคร่วมรัฐบาล และได้จัดสรรตามโควตาของแต่ละพรรคเรียบร้อย อาจมีเพียงบางพรรคที่อาจมีการสลับคน

แต่หนึ่งในโผที่ค่อนข้างแน่นอนคงหนีไม่พ้นกระทรวงเกรด AAA อย่าง ‘กระทรวงคมนาคม’ ที่นักการเมืองรุ่นเก๋า ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ จะหวนคืนนั่งเก้าอี้ ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม’ อีกครั้ง

THE STATES TIMES จะพาไปย้อนรอยเส้นทางการเมือง และตำแหน่งต่าง ๆ ที่ ‘สุริยะ’ เคยผ่านมาบนเส้นทางการเมืองกว่า 25 ปี

‘สุริยะ’ ผันตัวเองจากนักธุรกิจ เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองในสีเสื้อของของพรรคกิจสังคม โดยเริ่มต้นด้วยการที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม - ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี - ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ก่อนที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อปี 2541 ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ 

แต่ทว่าชื่อเสียงของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรือกิจ’ เริ่มก้าวสู่ทำเนียบนักการเมืองระดับบิ๊กเนม เมื่อปี 2544 หลังจากแท็กทีม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ลาออกจากพรรคกิจสังคม แล้วย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่ก่อตั้งพรรคใหม่ในขณะนั้น

ด้วยฐานเสียงของ สส.ภาคเหนือตอนล่างในมือของ ‘สมศักดิ์’ ผนวกกับการมีทุนใหญ่อย่าง ‘สุริยะ’ ทำให้มุ้งการเมืองในชื่อ ‘กลุ่มวังบัวบาน’ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ‘เจ๊แดง’ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กลายเป็นมุ้งใหญ่ที่มีอำนาจการต่อรองสูงขึ้นมาในทันที

แน่นอนว่า ด้วยทุนและอำนาจต่อรองในมือ รวมถึงการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถคุยได้กับทุกก๊กทุกก๊วนการเมืองในพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้ ‘สุริยะ’ ขยับขึ้นเป็นแกนนำหลักของ พรรคไทยรักไทย ในเวลาไม่นาน มีตำแหน่งเป็นถึงเลขาธิการพรรค และผู้สมัคร สส. ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ต้น พร้อมตามมาด้วยการเป็นเจ้ากระทรวงเกรดเอ อย่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (ปี 2544 และปี 2548) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ปี 2545 และปี 2548) เรื่อยมา โดย ‘สมศักดิ์’ ช่วยเหลือผลักดันอยู่เบื้องหลัง

ก่อนรัฐบาลพรรคไทยรักไทยถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 กลุ่มของ ‘สุริยะ-สมศักดิ์’ ที่ได้แยกออกมาตั้งกลุ่ม ‘วังน้ำยม’ ถูกลดบทบาทลง โดยตำแหน่งสุดท้ายของ ‘สุริยะ’ ในสีเสื้อพรรคไทยรักไทย เหลือเพียงเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

ภายหลังถูกยึดอำนาจปี 2549 ‘สุริยะ’ เก็บตัวเงียบ เนื่องจากโดนพิษการเมืองเล่นงาน ซึ่งถือเป็นรอยด่างในชีวิตการเมือง ทั้งกรณีถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ตั้งแต่ 30 พ.ค. 2550 จากคดียุบพรรคไทยรักไทย และถูก คสต. ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรัฐประหาร ตรวจสอบคดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจสัมภาระภายในสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ CTX 9000 ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม เมื่อปี 2548 แต่ต่อมา ป.ป.ช. มีมติยกคำร้องไปเมื่อปลายปี 2555 เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

แต่อย่างที่เราทราบกันดี นักการเมืองไทยที่ครบเครื่องทั้งบารมี ฝีมือ และสามารถประสานได้ทุกทิศ อย่าง ‘สุริยะ’ มักจะ ‘ว่างงาน’ ได้ไม่นาน สุดท้ายก็ถูกจีบให้มาร่วมสร้างพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งในปี 2562 และมีส่วนสำคัญในการนำความสำเร็จมาสู่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบดูแลกระทรวงสำคัญอย่าง ‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ อีกด้วย ซึ่งหากย้อนดูอดีต จะพบว่า สำหรับพะยี่ห้อ ‘สุริยะ’ แล้ว กระทรวงที่ได้นั่งล้วนแล้วแต่เป็นกระทรวงระดับเกรดเอ และมีบทบาทต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชวน พรรคประชาธิปัตย์, รัฐบาลทักษิณ ในนามพรรคไทยรักไทย จนมาถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในสีเสื้อพรรคพลังประชารัฐ

และในการเลือกตั้ง ปี 2566 ล่าสุด ‘สุริยะ’ พร้อม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ได้ตัดสินใจโบกมือลาพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกลับเข้าไปร่วมงานการเมืองกับกลุ่มคนคุ้นเคยในสีเสื้อ ‘พรรคเพื่อไทย’ อีกครั้ง

ถึงแม้ว่า จะเปลี่ยนสีเสื้อ แต่บทบาทของ ‘สุริยะ’ ก็ยังคงโดดเด่นเช่นเดิม และเมื่อพรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ชื่อของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก็เป็นชื่อแรก ๆ ที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี 1 ตัวทันที ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นกระทรวงไหนเท่านั้น แต่ก็เป็นที่คาดเดาได้ว่าจะต้องเป็นเก้าอี้กระทรวงระดับเกรดเออย่างแน่นอน

และสุดท้าย โผก็ออกมาว่า ‘สุริยะ’ จะได้หวนคืนเก้าอี้ ‘รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม’ อีกคำรบ และแน่นอนว่า มันเป็นการอยู่ถูกที่ถูกเวลา อยู่ถูกพรรค อีกครั้ง และไม่ว่าจะไปอยู่พรรคไหน ก็จะมีโอกาสได้คั่วตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงหลักมาตลอด

ใครที่ว่าแน่ หรืออวดอ้างตนเองเป็นของแท้ในห้วงเพลาใด แต่ดูเหมือน มีแต่ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ นี่แหละ ที่เป็นนักบริหารมืออาชีพ และผู้มากบารมีที่แทบทุกรัฐบาลจะขาดไม่ได้อย่างแท้จริง!!

‘บิ๊กป้อม’ ร่วมประชุม ‘กบฉ.’ ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พื้นที่ จชต. พร้อมกำชับตรวจเข้มโรงงานสารประกอบระเบิด เพื่อลดความเสี่ยง

(28 ส.ค. 66) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 3/2566 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม

โดยที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ปรับลดพื้นที่อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี ออกจากพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพื่อนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ มาใช้แทน และขอขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส, อำเภอยะหริ่ง อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี, อำเภอเบตง และอำเภอกาบัง จังหวัดยะลา ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ตั้งแต่ 20 ก.ย. ถึง 19 ธ.ค. 66 โดยเป็นการขยายระยะเวลา ครั้งที่ 73 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน ป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุการณ์ในพื้นที่ให้ได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาความสงบ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ด้วย โดยให้ สมช.เสนอเรื่องไปยัง ครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป

ที่ประชุมรับทราบผลการปฎิบัติงานตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 วันที่ 20 มิ.ย. ถึง 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวโน้มของสถานการณ์ ที่มีความสงบเรียบร้อยมากขึ้นตามลำดับ และมีสถิติการก่อเหตุความรุนแรงลดลง สามารถพัฒนาไปสู่การปรับลดพื้นที่ออกจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้มากขึ้น ทั้งนี้ โดยกำชับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ ให้เข้มงวดตรวจสอบโรงงานที่เกี่ยวข้องกับสารประกอบระเบิด พร้อมเร่งรัดการช่วยเหลือและฟื้นฟูประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงงานพลุดอกไม้เพลิงระเบิดที่ผ่านมาโดยเร็ว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอบคุณ คณะกรรมการฯ หน่วยงานความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และกำลังพลทุกนายที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเสียสละ ทุ่มเท และกล้าหาญ อย่างน่าภาคภูมิใจ สามารถแก้ปัญหา จชต.เป็นไปด้วยความเรียบร้อยที่ผ่านมา และมีสถิติการก่อเหตุฯลดลง ตามลำดับ พร้อมทั้งได้ขอบคุณประชาชนในพื้นที่ ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี รวมทั้งได้กำชับ สมช. ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการเตรียมความพร้อมแก้ปัญหา จชต.ในระดับนโยบาย ที่ต้องขับเคลื่อนให้ต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน มีความเป็นมืออาชีพ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเตรียมรับนโยบายจาก ครม.ชุดใหม่ ที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในระยะเวลาอันใกล้นี้ต่อไป

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้!! สื่อยุคใหม่ มักเสนอข่าวด้านเดียว ซ้ำ!! ปิดกั้น ‘พื้นที่ถกเถียง-รับฟังความเห็นต่าง’

เมื่อไม่นานนี้ ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านไลฟ์สด ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงประเด็นการนำเสนอข่าวของสื่อหลักในปัจจุบัน โดยในช่วงหนึ่ง คุณโบว์ได้กล่าวว่า…

“สิ่งที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งคือ เราไม่ได้มีโอกาสที่จะได้รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายจริงๆ ในสื่อหลัก และรู้สึกตกใจมาก ที่เมื่อเปิดไปดูรายการต่างๆ ที่พูดคุยเกี่ยวกับการเมืองตามช่องโทรทัศน์ หรือทางสื่อหลัก เขาก็เชิญคนเดิมๆ มาออกรายการซ้ำๆ กันทุกช่อง หรือแม้แต่ในช่องเดียวกัน แต่ต่างรายการ เขาก็เชิญมาออกซ้ำอีกก็มี”

คุณโบว์ ได้เล่าต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่สื่อมีการเลือกข้างค่อนข้างมาก และเมื่อสื่อเลือกข้างแล้ว เขาก็ย่อมอยากให้เราได้ฟังความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางที่เขาต้องการ ตามที่เขาอยากจะชี้นำเรา เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่า ใครแสดงความคิดเห็นไปในเชิงไหน และถ้ามันตรงกับความต้องการที่เขาจะชี้นำ เขาก็จะเชิญคนนั้นมาซ้ำๆ

“ขอยกตัวอย่างหนึ่ง จากประสบการณ์ส่วนตัว เช่น ตอนที่มีประเด็นเรื่อง รองฯ อ๋องเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภาฯ ซึ่งตรงนี้โบว์เป็นคนเปิดประเด็นในส่วนที่หลายๆ คนไม่ได้พูดถึง คือ ในส่วนของแม่บ้านสภาฯ ซึ่งเป็นแม่บ้านจากบริษัท Outsource พูดในส่วนของเรื่องสภาพแวดล้อมการของแม่บ้าน เรื่องการใช้งบผิดประเภทเพื่อการหาเสียงของพรรคก้าวไกล จนเป็นที่ถูกพูดถึงเยอะ ช่อง Thai PBS ก็ยกทีมมาขอสัมภาษณ์ที่บ้าน ซึ่งโบว์ก็ได้ให้สัมภาษณ์ไปอย่างละเอียดในเชิงหลักการทุกอย่าง ปรากฏว่าเทปนั้น ถูกงดออกอากาศ

ในช่วงเวลาเดียวกัน โบว์ก็เปิดดูรายการต่างๆ ในช่อง ที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ก็ทำให้เห็นว่า มีการนำเสนอที่ค่อนข้างเอียงเอนไปในอีกทิศทางหนึ่งเสียมาก และมีการให้พื้นที่กับทางรองฯ อ๋อง ในการอธิบายข้อเท็จจริงมากกว่า ในขณะที่เทปที่โบว์ให้สัมภาษณ์กลับถูกตัดทิ้ง” คุณโบว์ กล่าว

“โบว์คิดว่า ในประเด็นที่มันเป็นข้อถกเถียง และต้องถกเถียงกันด้วยข้อเท็จจริง ว่าถูกหรือผิด ทุกคนก็ต้องเลือกข้างอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเราเลือกข้างแล้ว เราก็จะมีเหตุผลมาซัปพอร์ตความคิดของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เกิดความงอกงามทางปัญญาในสังคม

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นปัญหา นั่นคือการไม่เป็นพื้นที่ให้กับความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอ แต่กลับใช้วิธีเลือก และคัดกรองความคิดเห็นที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งโบว์คิดว่าทุกคนเห็นได้ชัดเจนในจุดนี้ และเราก็เห็นผลที่ตามว่าเป็นอย่างไร”

“เราจะเห็นว่า คนที่มีความคิดเห็นไปในอีกทิศทางหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถที่จะปรับ และเปลี่ยน หรือรับฟังกันได้ เพราะไม่มีความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอให้รับฟังกัน ก็เลยต้องรับฟังความคิดเห็นอยู่เพียงด้านเดียว ใครชอบแนวไหน เขาก็จะรับฟังแต่สิ่งที่เขาชอบ ดังนั้น จึงทำให้ใครคิดอยู่อย่างไร จะคิดอยู่อย่างนั้น ใครที่ชอบใคร เขาก็จะชอบอยู่อย่างนั้น ใครเกลียดใคร เขาก็จะเกลียดอยู่แบบนั้น

แต่ที่หนักยิ่งกว่านั้น คือ ความเกลียดชังเหล่านั้น ถูกยกระดับด้วยการถูกบอกกล่าวซ้ำๆ ย้ำๆ ในประเด็นเดิม ในทิศทางเดิมๆ เมื่อมีการตอกย้ำหนักๆ เข้า ก็ทำให้ความรู้สึกยิ่งรุนแรงขึ้น และนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยในตอนนี้ค่ะ” คุณโบว์ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top