Thursday, 26 June 2025
Politics

‘ก้าวไกล’ ป้อง ‘พงศธร’ มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี เชื่อ!! ตอนนี้มีขบวนการสาดโคลน หวังดิสเครดิต

(29 ส.ค. 66) ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม สส. พรรคก้าวไกล ระยอง เขต 3 ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกรณีข้อกล่าวหาทางด้านภาษีและคดียักยอกทรัพย์ ตามที่ปรากฏในข่าว

โดยนายรังสิมันต์ เปิดเผยว่า รายละเอียดว่าตั้งแต่ปี 2562 นายพงศธร ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว สส.ของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ มีเงินรายได้ประมาณ 15,000 บาท/เดือน เมื่อคำนวณตลอดทั้งปี นายพงศธร จะมีรายได้ไม่เกิน 180,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขไม่เกินที่กฎหมายกำหนดให้จ่ายภาษี ดังนั้น เมื่อตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นายพงศธร ก็ไม่ได้ยื่นแบบฟอร์มภาษี ทั้งที่ตัวเองก็โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย และนายพงศธร ก็ได้ทำแบบฟอร์ม สส. 4/7 เพื่อยืนยันว่าตัวเองมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี

ประเด็นที่สอง กรณีสื่อผู้จัดการพาดหัวข่าวว่า “โซเชียลทั้งขุดทั้งแฉนายพงศธร ผู้สมัครเขต 3 ระยอง ก้าวไกล ไม่ได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า ขายเบียร์ใส่รถกันเป็นลังๆ อีกด้านขุดกันไปถึงคดียักยอกปี 61” ซึ่งเป็นพาดหัวค่อนข้างรุนแรง จึงขอชี้แจงตามนี้

กรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายพงศธร ได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนเพื่อดำเนินธุรกิจนี้จริง แต่การประกอบธุรกิจดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่นำไปสู่การปันผลจนถึง ณ ปัจจุบันนี้ เมื่อไม่ได้รับปันผล นายพงศธรก็ไม่เคยต้องไปยื่นเสียภาษีในกรณีนี้ ดังนั้นรายได้ของนายพงศธร ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มาจากการทำหน้าที่ตำแหน่งผู้ชำนาญการ สส.เท่านั้น

ประเด็นต่อมาคือคดีความที่นายพงศธร เคยถูกแจ้งความร้องทุกข์ในคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ชัดเจนแล้วว่าสุดท้ายทางตำรวจมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จึงยังมีคุณสมบัติครบถ้วนลงสมัครรับเลือกตั้งได้

“ขอยืนยันต่อสื่อมวลชนว่าเราเข้าใจดีในการตรวจสอบ และเราก็ยินดีที่พี่น้องสื่อมวลชน พี่น้องประชาชนจะตรวจสอบพวกเรา เพราะถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สำคัญ ที่จะทำให้เกิดการเมืองที่มีความโปร่งใส แต่เมื่อพิจารณาจากพาดหัวข่าวและประเด็นที่มีการโจมตี ต้องเรียนว่าเกินเลยจากข้อเท็จจริงไปมาก สุดท้ายก็คงคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าคงจะมีกลุ่มบุคคล ใครบางคนหวังใช้ข้อเท็จจริงเหล่านี้หวังประโยชน์ทางการเมืองจากการดิสเครดิตนี้ ผมขอฝากว่าอย่าเลยครับ เรามาสู้กันเพื่อเอาชนะใจประชาชนมากกว่าจะมาใช้การสาดโคลน ดิสเครดิตทางการเมืองจะดีกว่า” นายรังสิมันต์ กล่าว

ด้านนายพงศธร เปิดเผยว่ามีพี่น้องประชาชนติดต่อสอบถามเข้ามาจำนวนมาก โดยตนเองยังมีกำลังใจดี ไม่หวั่นไหวหรือกังวลต่อกรณีดังกล่าว และเชื่อว่าทุกวันนี้พ่อแม่พี่น้องทุกคนมีวุฒิภาวะแยกแยะข้อเท็จจริงได้

เปิดเอกสาร กกต. หลังหลุดว่อนเน็ต พบเป็นใบคำขอจัดตั้งพรรค 'อนาคตไกล'

(29 ส.ค.66) ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่ามีเอกสารหนังสือหลุด เป็นหนังสือใบรับคำขอแจ้งการเตรียมการจัดตั้ง ‘พรรคอนาคตไกล’ หนังสือเลขที่ 10/2566 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ลงนามโดย นายกิตติพงษ์ บริบูรณ์ รองเลขาธิการฯ รักษาแทนเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายทะเบียนพรรคการเมือง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบว่า มีผู้แจ้งเตรียมการจัดตั้ง ‘พรรคอนาคตไกล’ ได้ยื่นคำขอแจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และนายทะเบียนพรรคการเมืองได้รับเอกสารและหลักฐานดังกล่าวไว้แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกลุ่มอนาคตไกล รวมตัวกันจัดตั้งพรรคอนาคตไกล เป็นกลุ่มการเมืองใหม่ ภายใต้โลโก้พรรคในรูปอินฟินิตี้ อธิบายความได้ว่า ‘อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน’ ส่วนสีส้ม+สีแดง หมายถึง ‘พรรคการเมืองของประชาชนทุกภาคส่วน’

ล่าสุด แกนนำพรรคได้เคลื่อนไหวเตรียมการประชุมใหญ่ เลือกตั้ง กก.บห.ชุดแรก คาดหมายว่าจะประชุมใหญ่ วันที่ 17 กันยายน 2566 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยอยู่ระหว่างประสานงานเพื่อรองรับกลุ่มการเมืองระดับชาติ โดยแกนนำ เปิดเผยว่า ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใด และไม่เป็นนอมินีของบุคคลใด

ชาวเน็ตขุดเฟซบุ๊ก ‘โย พงศธร’ ผู้สมัคร สส.ระยอง ก้าวไกล เจอ ‘QR Code ขายเบียร์ - ภาพสัมมนาผู้ถือหุ้น’ ก่อนถูกลบ

(29 ส.ค. 66) จากกรณีที่บนโซเชียลฯ แชร์และวิจารณ์กรณีที่นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ หรือโย ผู้สมัคร สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล ไม่ได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดระยอง ออกประกาศเรื่องบัญชีหลักฐานแสดงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกันสามปีนับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งนายพงศธรชี้แจงว่า ตนมีรายได้ไม่ถึง 220,000 บาทต่อปี จึงยื่นใบรับรองตัวเองว่ามีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี ตนไม่ได้กังวล ถือเป็นกระบวนการตามปกติและมีเอกสารรับรองผู้สมัครเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาพบว่ามีชาวเน็ตขุดภาพจากเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายพงศธร ขณะที่เจ้าตัวกำลังจะส่งผลิตภัณฑ์เบียร์ยี่ห้อหนึ่ง โดยขนใส่รถยนต์เป็นลัง ๆ รวมถึงการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ในลักษณะหรูหรา 

ส่วนเฟซบุ๊กเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ โพสต์ภาพหนังสือจากสถานีตำรวจนครบาลบางนา เรื่อง ส่งสำนวนคดีเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง (ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์) คดีที่บริษัทแห่งหนึ่ง เป็นผู้กล่าวหา และมีนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ เป็นผู้ต้องหา เมื่อปี 2561 และบรรยายว่า ได้นำเครื่องเสียงของทางบริษัทฯ ไปขาย แล้วไม่นำเงินส่งบริษัทฯ ต่อมามีการตกลงเจรจาคืนเงินกันแล้วถอนคำร้องทุกข์ไป

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ชี้แจงว่า ตั้งแต่ปี 2562 นายพงศธร ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว น.ส.เบญจา แสงจันทร์ มีเงินรายได้ประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน เมื่อคำนวณตลอดทั้งปี จะมีรายได้ไม่เกิน 180,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขไม่เกินที่กฎหมายกำหนดให้จ่ายภาษี และถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งนายพงศธรก็ได้ทำแบบฟอร์ม สส.4/7 เพื่อยืนยันว่าตัวเองมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี

ขณะเดียวกัน ยังกล่าวตำหนิถึงการนำเสนอข่าวของสื่อในเครือผู้จัดการ ที่ระบุว่า “โซเชียลทั้งขุดทั้งแฉนายพงศธร ผู้สมัครเขต 3 ระยอง ก้าวไกล ไม่ได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า ขายเบียร์ใส่รถกันเป็นลัง ๆ อีกด้านขุดกันไปถึงคดียักยอกปี 61” เป็นพาดหัวค่อนข้างรุนแรง เพราะกรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายพงศธรได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนจริง แต่รายได้ไม่ถึงปันผลจนถึงปัจจุบัน จึงไม่เคยยื่นเสียภาษีในกรณีนี้ ส่วนคดีความทางตำรวจมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง นายพงศธรจึงยังมีคุณสมบัติครบถ้วนลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ยืนยันต่อสื่อมวลชนว่าเข้าใจการตรวจสอบ ยินดีที่จะตรวจสอบ แต่เมื่อพิจารณาจากพาดหัวข่าวและประเด็นเกินเลยจากข้อเท็จจริง คิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าจะมีผู้หวังประโยชน์ทางการเมืองจากการดิสเครดิต

ล่าสุด รายงานข่าวแจ้งว่า เฟซบุ๊ก ‘Yo Pongsathon Sonpechnarintr’ ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ หรือโย พบว่าได้ลบโพสต์เก่า ๆ ออกไปจนหมด เหลือโพสต์ล่าสุดตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2011

อีกด้านหนึ่ง ยังมีภาพปกเฟซบุ๊ก (Cover) ระบุว่า "พวกแกหวาดกลัวยุคสมัยใหม่มากนักรึไง" ทำให้ชาวเน็ตพากันทัวร์ลง เช่น

- อุ้ย โดนขุดหน่อย ปิดสาธารณะ ปิดทุกอย่าง กลัวความโปรงใสหรอ

- พอมีข่าวไม่เสียภาษี แล้วบอกว่าชี้แจงได้หมด ปิดสาธารณะทำไมครับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เปิดมาตลอด แบบนี้เค้าเรียกวัวสันหลังหวะรึป่าวนะ

- เสียดายจังว่าจะแสดงความคิดเห็นเรื่องภาษีรายได้สักหน่อย

- digital footprint กรรมมุนา วต ตตี โลโก

ขณะที่เฟซบุ๊กเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ยังได้โพสต์ภาพขณะที่มีการขายเบียร์ โดยมีคิวอาร์โค้ดสำหรับสแกนจ่าย และหนึ่งในนั้นภาพขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยืนคู่กับทีมงานเบียร์ยี่ห้อดังกล่าว โดยระบุว่า "#ทุกคนคะ QR Code ที่ใช้ซื้อขายคราฟต์เบียร์ เป็นของผู้สมัครก้าวไกลชัดเจน ไปตรวจสอบเงินหมุนเวียนในบัญชีได้เลยค่ะ ว่ารายได้ถึงไหม แด๊ดดี้ทิมก็ช่วยโปรโมตด้วยค่าาาาา"

จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าวพบว่า คิวอาร์โค้ดดังกล่าวเป็นหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ของนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ จริง โดยผูกกับบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

ด้านเฟซบุ๊ก Warat Gap ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โพสต์ข้อความ โดยอ้างจากข่าวในเฟซบุ๊กเพจโต๊ะข่าวการเมืองของเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (MGR Online Politics) โดยระบุว่า "15,000 x 12 = 180,000 กฎของสรรพากร ถ้ามีรายได้เกินปีละ 120,000 ต้องยื่นภาษีทุกคนนะครับ ซึ่งจริง ๆ จะรายได้เท่าไหร่ก็ควรยื่น เพราะเป็นหน้าที่ ‘ประชาชน’ ที่ดี นี่ไม่รวมขายเบียร์ (การกุศล?) นะครับ ช่วยแถลงใหม่แล้วลดเงินเดือนลงนะครับ บอกว่าคราวที่แล้วเข้าใจผิด เดี๋ยวได้ใบแดงแล้วจะหาว่าโดนกลั่นแกล้งอีก

ป.ล. คุยกับเพื่อนที่สรรพากรแล้ว ทางสรรพากรก็กำลังให้ฝ่ายสำรวจติดตามกรณีนี้อยู่นะครับ"

'ดร.สุวินัย' ฟันธง!! ขั้วขัดแย้งเหลืองแดงยาวนานกำลังสลายตัว 'คนไทย-สังคมไทย' ก้าวสู่ Land of Compromise อย่างแท้จริง

(30 ส.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ 'แลไปข้างหน้า' โดยมีรายละเอียดดังนี้...

- การสลายขั้วขัดแย้งเหลืองแดงที่ดำรงมายาวนานกว่า 15 ปี ... นี่คือ ‘ข่าวดี’ สำหรับคนไทยและสังคมไทย Land of Compromise

- พร้อม ๆ กับการปรับตัวของ ‘ระบบการเมืองไทย’ ที่กลับสู่การเมืองแบบธนาธิปไตย หรือ Money Politics ในสมัยพรรคไทยรักไทย ปี พ.ศ. 2544 หรือเมื่อ 22 ปีก่อน ... ก่อนที่จะเกิด ‘การเมืองที่แบ่งขั้วขัดแย้งรุนแรง’ (polarized politics) 

- ตามมาด้วยการยุติ หรือหมดหายไปของ ‘วาทกรรมฝ่ายประชาธิปไตย vs ฝ่ายเผด็จการ’ ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อครอบงำคนเสื้อแดง (เพื่อไทย) และด้อมส้ม (ก้าวไกล) ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา

- รัฐบาลใหม่ที่ครองอำนาจรัฐได้ อันที่จริงคือ เพื่อไทย+รัฐบาลชุดเดิม ที่เขี่ยก้าวไกลออกจากวงจรอำนาจให้กลายเป็น ‘พรรคฝ่ายค้านถาวร’ ของระบบการเมืองไทย

- การกลับเมืองไทย เพื่อ ‘ติดคุกแบบ VVIP’ ของโทนี่ ... มิใช่การฟื้นคืนชีพของ ‘ระบอบทักษิณ’ อย่าเข้าใจผิดอย่างนั้น แต่ควรมองว่า เป็นการปรองดองทางการเมืองระหว่างตระกูลชินวัตรกับขั้วอำนาจเดิมมากกว่า ... ทั้งสองฝ่ายต่างมีบทเรียนจากความขัดแย้งกันในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ... จนตอนนี้สามารถปรับตัวเข้าหากันได้แบบ วิน-วิน ที่ไม่มีใครกินรวบหรือได้หมด

- หลังจากนี้ พรรคการเมืองที่เอาใจใส่ แก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้จริงและทำงานเป็น จะได้ใจประชาชนแน่นอน ... และเป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่ด้วย

- เราผ่านวิกฤต ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ มาได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนี้ การเมืองไทยจะเดินไปตามระบบของมัน ... วิกฤตสงครามโลกครั้งที่สามและสถานการณ์ต่างประเทศต่างหากที่น่าห่วง

ว่าที่ รมว.อุตสาหกรรม ภายใต้ครม. 'เศรษฐา1' ดีกรี เคมีอุตสาหกรรม  ประสบการณ์ สส. 4 สมัย เข้าใจภาคอุตสาหกรรม

เมื่อวานนี้ (29 ส.ค. 66) จากกรณีการจัดสรรตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่มีชื่อนักการเมืองหลายคนร่วมเป็น 1 ใน 35 รัฐมนตรี ที่จะเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศต่อจากนี้

โดยหนึ่งในรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีที่น่าสนใจคือ ‘พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ สส.นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นผู้ซึ่งถูกคาดว่าจะเป็น ว่าที่ รมว.อุตสาหกรรม ในโควตารัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ

ทั้งนี้ น.ส.พิมพ์ภัทรา เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2522 เป็นบุตรสาวของ นายมาโนชญ์ วิชัยกุล กับนางสำรวย วิชัยกุล เข้ารับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช และโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเคมีอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดย น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สมรสกับนิติรักษ์ ดาวลอย มีบุตร 2 คน

>> เส้นทางการเมือง

โดย น.ส.พิมพ์ภัทรา เข้าสู่งานการเมืองโดยการลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.นครศรีธรรมราช แทน นายมาโนชญ์ วิชัยกุล ซึ่งวางมือทางการเมือง ในการเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไปปี 2550 และได้รับเลือกตั้งเป็น สส.สมัยแรก ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์

ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งและได้รับเลือกเป็น สส.อีกสมัย กระทั่งในปี 2562 ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกเป็น สส.สมัยที่ 3

หลังจากนั้นในช่วงต้นปี 2566 น.ส.พิมพ์ภัทรา ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ต่อมาได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้รับการเลือกตั้ง เป็น สส.นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ

>> เครื่องราชอิสริยาภรณ์

พ.ศ. 2563 –  เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
พ.ศ. 2556 –  เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)

'วิโรจน์' แซะ!! คนยังสนข่าว 'ชลน่าน' ออกอีกหรือ  ชี้!! ออกไปก็ได้นั่ง รมต. คงมีคนอยากออกเยอะ 

(30 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เตรียมลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค มองว่าเป็นการรับผิดชอบที่ไปจับมือกับพรรค 2 ป. หรือไม่

นายวิโรจน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของ นพ.ชลน่าน แต่ยังมีคนสนใจข่าวนี้อยู่อีกหรือ คิดว่าการประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้วก็ไปเป็นรัฐมนตรี ส่วนตัวมองข้ามช็อตไปแล้ว

เมื่อถามว่าการลาออก นพ.ชลน่าน จะช่วยลดแรงเสียดทานที่พรรคเพื่อไทยโดนโจมตีได้หรือไม่ นายวิโรจน์ ย้อนว่า นักข่าวถามก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นการเพิ่มหรือลดแรงเสียดทาน เพราะไม่ใช่การลาออกไปตัวเปล่าเล่าเปลือย

"ถ้าลาออกแบบนี้ ก็คงมีคนอยากลาออกเยอะแยะไปหมด เพราะคำว่าลาออกในมุมมองของประชาชนคือการแสดงความรับผิดชอบ แต่การลาออกลักษณะนี้เหมือนลาออกไปรับตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้น ให้คุ้มกับสิ่งที่ตนเองได้ทำ" นายวิโรจน์ กล่าว

‘เศรษฐา’ ลั่น!! วิจารณ์ว่าที่ รมต. ได้ในกรอบที่เหมาะสม มั่นใจ!! ทุกคนมีคุณสมบัติเหมาะนั่งตำแหน่งรัฐมนตรี

(30 พ.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หน้าตาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่บางคนอาจไม่เหมาะกับบางตำแหน่งว่า ต้องให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลและผู้ที่ประสานงานจัดตั้ง ครม.ด้วย ตนคิดว่าหน้าตาหรืออะไร ก็มีสิทธิ์ที่คนจะคิดกันได้ แต่ต้องให้เกียรติกับรัฐมนตรี และมั่นใจว่ารัฐบาลของเรามีภารกิจมาก มีเป้าหมายในการทำงานอย่างชัดเจน เราคงวัดกันที่ตรงนี้ เพราะวันนี้ทุกคนคงต้องเริ่มทำงานแล้ว


เมื่อถามว่ามีเสียงสะท้อนว่าหากพลเรือนมาคุมกองทัพ อาจจะเป็นการถูกด้อยค่า นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่านายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีผู้รายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้อาวุโส เป็น สส. หลายสมัย เท่าที่ตนรู้จักนายสุทิน ท่านเป็นคนที่ให้เกียรติคน เชื่อว่าการประสานงานกับกองทัพจะเป็นไปได้ด้วยดี ซึ่งส่วนตัวตนจะเข้าไปช่วยดูตรงนี้ด้วย ก็ต้องให้แน่ใจว่าทุกสถาบันได้รับการดูแลเอาใจใส่ และได้รับการพูดคุยอย่างเหมาะสม สมฐานะ

เมื่อถามว่าว่าที่รัฐมนตรีทยอยเข้าไปกรอกประวัติที่ทำเนียบรัฐบาล ทางสำนักเลขาธิการ ครม. ได้แจ้งหรือไม่ว่าจะใช้เวลากี่วันและขั้นตอนต่อไปจะเริ่มได้เมื่อไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตามที่ได้พูดคุยกับเลขาธิการ ครม. ระยะเวลาในการตรวจสอบน่าจะอยู่ที่ 2 วัน หลังจากนั้นก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เลย

เมื่อถามว่าทางเลขาธิการ ครม.ได้แจ้งเรื่องคุณสมบัติมาบ้างหรือไม่ เพราะมีรายงานว่ารัฐมนตรีบางคนคุณสมบัติไม่ผ่าน นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องยังไม่ถึงตน ตนยังไม่ทราบ

เมื่อถามถึงกรณีที่นายณฐพร โตประยูร จะทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ว่ามีว่าที่รัฐมนตรี 4 คน ประกอบด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คุณสมบัติไม่ผ่าน โดยอ้างอิงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ได้รับข้อมูล แต่ตนเชื่อว่าทั้ง 4 คนเป็นบุคคลที่เหมาะสมในการเข้าดำรงตำแหน่ง เหลือแค่เช็กคุณสมบัติจากเลขาธิการ ครม. อีกครั้ง

เมื่อถามถึงกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนทราบเรื่องแล้ว วันนี้ นพ.ชลน่านคงประกาศเรื่องนี้เอง ต้องให้เกียรติท่าน ซึ่งท่านก็เป็น สส. หลายสมัย ทำประโยชน์ให้กับพรรคเพื่อไทยมานาน และเป็นที่รักของ สส. ทุกคน ตนเพิ่งเข้ามาใหม่ ท่านก็ให้การดูแลที่ดี เชื่อว่าไม่ว่าท่านจะตัดสินใจเช่นไร ในอนาคตท่านก็จะยังอยู่ในพรรค เพื่อไทยต่อไป ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ในพรรคมีการคุยกัน แต่ต้องให้เกียรติ นพ.ชลน่านในการแถลง

เมื่อถามย้ำว่าเรื่องเซอร์ไพรส์ที่นายเศรษฐาเคยบอกคือเรื่องที่ นพ.ชลน่านจะลาออกใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ไม่ใช่ครับ นพ.ชลน่านประกาศไว้นาน หากมีการเลือกนายกฯ เสร็จเรียบร้อย และหากเสร็จภารกิจ นพ.ชลน่านก็จะมีการประกาศของท่านออกไป”

เมื่อถามต่อว่าถ้า นพ.ชลน่านลาออกใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคต่อ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องมีการประชุมพรรค เพราะเราเป็นพรรคที่มีสมาชิกเยอะ คงต้องว่าไปตามกฎพรรคการเมือง และคงต้องมีการรักษาการไปก่อน ซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคใหม่ภายใน 60 วัน ทั้งนี้ ขอฟัง นพ.ชลน่านแถลงก่อน

เมื่อถามว่ามองคุณสมบัติของคนที่จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนต่อไปอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนในฐานะหนึ่งในสมาชิกพรรค คิดว่าต้องเป็นคนที่อยู่ในพรรคมานาน มีความรู้ความสามารถ รอบรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง ความมั่นคงเศรษฐกิจและสังคม

เมื่อถามว่ามองว่านพ.ชลน่านจะมีโอกาสกลับมานั่งหัวหน้าพรรคอีกหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไปก้าวล่วงสิทธิของสมาชิกพรรคทุกท่านไม่ได้ ต้องให้เกียรติสมาชิก เราหนึ่งคนหนึ่งเสียง เราเคารพระบบพรรคการเมือง

เมื่อถามว่าส่วนตัวจะเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ขอพูดเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับการเลือกกรรมการบริหารพรรค

เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการจัดทำนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา นายเศรษฐา กล่าวว่า มีความคืบหน้าตลอด เมื่อวานนี้มีการพูดคุยกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แล้ว ซึ่งนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ว่าที่เลขาธิการนายกฯ เป็นคนเจรจาและรวบรวมข้อมูล แล้ววันนี้เวลา 11.00 น. นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จะเข้ามาพบตนที่พรรคเพื่อไทย เพื่อพูดคุยเรื่องนโยบาย ซึ่งเราก็เร่งด่วนในเรื่องนี้ เพราะอยากแถลงนโยบายโดยเร็วหลังเข้าถวายสัตย์ฯ เพื่อที่ประเทศจะได้เดินไปข้างหน้าได้ ซึ่งมีหลายเรื่องที่ต้องทำ

เมื่อถามว่าหลังจากนำ ครม. ถวายสัตย์ฯ แล้ว คาดว่าจะใช้เวลากี่วันในการแถลงนโยบายต่อสภาฯ ได้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอไปดูนิดหนึ่งก่อน ขึ้นอยู่กับถวายสัตย์ฯ เมื่อไหร่ แต่คาดว่าจะไม่เกิน 1 สัปดาห์

เมื่อถามว่าภารกิจที่ว่าเน้นไปที่การท่องเที่ยว ช่วงไฮซีซันตั้งตัวเลขไว้อย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า กำลังทำการศึกษาอยู่ ซึ่งในทุกเวทีที่เราพูดคุย การท่องเที่ยวที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุด รวมถึงเดือน ต.ค. ซึ่งใกล้ถึงช่วงไฮซีซันแล้ว ซึ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้ลงพื้นที่ที่ จ.ภูเก็ตและพังงา ได้คุยกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการท่าอากาศยาน การบินไทย กระทรวงคมนาคมเรื่องแผนการพัฒนาและสนับสนุน และมีการคุยกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในเรื่องของการดูแลด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ซึ่งท่านก็สนับสนุนและเห็นชอบในเรื่องนี้ ฉะนั้นเรื่องนักท่องเที่ยวจีน ที่เรามีดำริว่าเราจะยกเลิกขอวีซ่าก็หวังว่าจะได้รับการตอบสนองที่ดีจากทุกภาคส่วน ส่วนตัวเลขวันประกาศคงจะมีการอธิบายให้ฟังว่าจะดีขึ้นอย่างไร แล้วจะเห็นผลเมื่อไหร่

'เศรษฐา 1' พอใช้ได้ 'ไม่โกง-ไม่รื้อรธน.' อยู่ยาว 3 ปี ติด!! บางกระทรวงแม้ลงตัว แต่ยังแอบขัดใจในดีกรี

มาถึงนาทีนี้ก็ใกล้จะประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1 กันแล้ว...รออีกแป๊บบบ...โปรดเกล้าฯ เมื่อไหร่จะได้วิพากษ์วิจารณ์กันเต็มที่ 

ในชั้นนี้ประสา 'เล็ก เลียบด่วน' ขอแสดงความเห็นส่วนตัวถึงโครงสร้างและรูปลักษณ์ของรัฐบาลเศรษฐาสั้น ๆ 3 ประการ

ประการแรก - เป็นรัฐบาลที่เป็นผลิตผลของรัฐบาลผสมระหว่างฝ่ายที่อ้างว่าเป็นฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมซึ่งนำโดยพรรคสองลุง...ผลลัพธ์ที่ออกมาก็อย่างที่เห็น ๆ มันก็คือ เผ่าพันธุ์นักการเมืองทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น โดยมีนายทุนพรรคเข้ามาหยิบชิ้นปลามันอย่างสมน้ำสมเนื้อที่ได้ลงทุน เช่นกรณีกระทรวงคมนาคม, กระทรวงพลังงาน หรือแม้แต่กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น

ประการที่สอง - แม้หลายตำแหน่งจะลงตัว เหมาะสม แต่เหตุเพราะการแบ่งกระทรวงอาจจะไม่ถูกที่ถูกพรรค ทำให้การวางตัวคนบางตำแหน่งอาจจะดูขัด ๆ เขิน ๆ ไม่ ‘พุท เดอะไร้ท์ แมน ออน เดอะ ไร้ท์ จ๊อบ’ ...เช่น ภูมิธรรม เวชยชัย ควรนั่งมหาดไทยหรือรองนายกฯ ควบกระทรวงเชิงสังคม แต่กลับต้องไปนั่งว่าการพาณิชย์ หรือแม้แต่กรณี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ต้องไปนั่งว่าการศึกษาธิการ และกรณีสุทิน คลังแสง ที่หากไม่พลิกก็จะไปคุมกองทัพในตำแหน่งว่าการกลาโหม เป็นต้น

ประการที่สาม - แม้ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ก็พอจะคาดหมายได้ว่า...เคาะสุดท้าย...คำสั่งสุดท้าย...โผสุดท้ายที่ออกมาจากห้องสูท ชั้น 14 ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง...ซึ่งนายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้...ดังกรณีตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการปูนบำเหน็จให้คนชื่อพิชิต ชื่นบาน 'ทนายถุงขนม'

กรณีพิชิต ชื่นบาน นี่ต้องขอเสริมสักนิดว่า เมื่อตรวจสอบในเชิงตัวบทกฎหมายแล้ว ไม่สามารถไปห้ามเขาได้ครับ ที่พิชิตต้องไปนอนคุก 6 เดือนเมื่อปี 2551 กรณีพยายามติดสินบนบนศาลนั้นก็เป็นคำสั่งศาล ยังไม่ใช่ คำพิพากษา' ของศาลจากคดีอาญาแต่ประการใด...แต่ที่ 'เล็ก เลียบด่วน' ติดใจและสังคมก็น่าจะคาใจกันทั้งประเทศก็คือ ประเด็นจริยธรรม ที่เขาเป็นสินค้ามีตำหนิชัดเจน...

มาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ สองวงเล็บ บัญญัติชัดเจนว่า...รัฐมนตรีต้อง (4) มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ส่วนกรณีของ 'บิ๊กทิน' สุทิน คลังแสง นั้นเป็นคนมีความรู้รอบตัว ถ้าให้เหมาะสมกับสเปกของเจ้าตัวน่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ หรือวัฒนธรรม หรือเกษตรและสหกรณ์ แต่ด้วยเหตุที่เก้าอี้รัฐมนตรีจำกัดและไม่สามารถนายทหารในสเปกเพื่อไทยได้ รวมทั้งลึกๆ อยากสร้างมิติใหม่ทางการเมืองให้พลเรือนที่ไม่ใช่นายกฯ คุมกลาโหม จึงส่งพ่อใหญ่หมอลำอย่างสุทินไปว่าการ...ซะเลย

ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงนายทหาร เตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับทักษิณ ชินวัตร ปรากฏชื่อ พล.อ.พิศาล  วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 สส.ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 27 ของพรรคเพื่อไทย แต่ พล.อ.พิศาล มีบาดแผลใหญ่กรณีสลายม็อบตากใบ 85 ศพ เมื่อปี 2547 เลยไม่ผ่าน...ต่อมาจึงมีชื่อ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือ 'บิ๊กเล็ก' อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายทหารสายบุ๋น สายตรงลุงตู่...แต่สุดท้ายก็เงียบไป...

ฉะนั้นถึงนาทีนี้ ชื่อ 'บิ๊กทิน' จึงยังเต็งจ๋า...แต่นาทีสุดท้ายเมื่อต้องเผชิญแรงต้านจากกองทัพในระดับพอสมควร ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไร...

ส่งท้ายวันนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' สวมวิญญาณโหร นั่งเทียนพยากรณ์ว่ารัฐบาลเศรษฐาจะไปได้ยาวกว่าที่หลายคนกำลังแช่ง เพราะทุกพรรคจะถ้อยทีถ้อยอาศัยประสานผลประโยชน์กัน

วันนี้จึงขอบอกเพียงว่า...ครึ่งเทอมหรือสองปีจะผ่านไปได้ชิวๆ และถ้าไม่โกงและไม่ติดหล่มแก้รัฐธรรมนูญตามเกมพรรคก้าวไกลมากเกินไป..เอาไปเลยสามปี..!!

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ยก 'ลุงตู่' ที่รู้จัก ต่างจากนักการเมืองทั่วไป 'แข็งนอก-อ่อนใน-ไม่สร้างวาทกรรม' ผู้ร่วมงานด้วยล้วนหลงเสน่ห์

ไม่นานมานี้ นายนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ดังนี้…

ลุงตู่ที่รู้จัก

วันนี้จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งอาจจะเป็นนัดสุดท้ายของรัฐบาลลุงตู่ จะเล่าเรื่องลุงตู่ที่ผมรู้จัก

แม้จะไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับลุงตู่มากนัก แต่มีแง่มุมที่พอเล่าสู่กันฟังได้ แต่จะไม่เขียนถึงผลงานของลุงตู่ เพราะมีหลายท่านเขียนผลงานลุงตู่กันมากพอสมควรแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นการสร้างกระแสลุงตู่

แน่นอน ในสมัยแรกลุงตู่เป็นนายกมาจากการยึดอำนาจ แต่ลุงตู่ยึดอำนาจเพื่อยุติการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างคนเสื้อแดงและเสื้อเหลือง ที่มีการชุมนุมทางการเมืองด้วยมวลชนจำนวนมากและมีทีท่าที่จะเกิดสงครามกลางเมือง ลุงตู่จัดให้ฝ่ายการเมืองพูดคุยกันเพื่อหาทางออกแต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ จึงนำมาสู่การยึดอำนาจ เพื่อรักษาชีวิตและเป็นการยึดอำนาจที่ไม่มีการเสียชีวิตและเลือดเนื้อของคนในชาติ

ลุงตู่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว ลุงตู่เป็นคนแข็งนอกอ่อนใน คือภาพของลุงตู่เป็นคนพูดไม่เพราะ พูดแข็ง ๆ ห้วน ๆ ภาษาแบบคนบ้าน ๆ แต่จริงใจ ไม่สร้างวาทกรรม ไม่มีการประดิดประดอยสรรหาถ้อยคำหวานหู ผิดจากนักการเมือง

หากลุงตู่เป็นเผด็จการอย่างที่ถูกกล่าวหา ม๊อบที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล และชุมนุมตลอดสมัยการเป็นนายกของลุงตู่ ต้องถูกปราบปรามด้วยการเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ เหมือนสมัยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่จัดการอย่างรุนแรงต่อผู้ชุมนุมมีคนเจ็บคนตาย 

แต่ลุงตู่กลับให้ตำรวจดำเนินการด้วยกฎหมาย ทำงานด้วยความอดทน จนถูกกองเชียร์ลุงตู่บอกว่า หน่อมแน๊ม ไม่มีน้ำยา 

ลุงตู่เป็นทหารมาตลอดช่วงชีวิต แต่เมื่อมาเป็นนักการเมือง ลุงตู่ใจเย็นมากในการทำงานร่วมกับนักการเมืองและฝ่ายต่าง ๆ แต่เมื่อจะจบการประชุมที่เคร่งเครียด คำพูดของลุงตู่ที่ง่าย ๆ แต่ติดหู คือ ขอบคุณ รู้นะว่าทุกคนทำงานหนักและเหนื่อย ความเรียบง่ายและจริงใจของลุงตู่ทำให้คนที่ทำงานด้วยรักลุงตู่

แม้แต่นักการเมืองจำนวนมากก็หลงเสน่ห์ลุงตู่และย้ายพรรคมาร่วมงาน ร่วมหัวจมท้ายกับพรรคลุงตู่ ไม่ไปไหนทั้ง ๆ ที่รู้ว่า พรรคตั้งใหม่เกิดยากถ้าหัวไม่ลง

ขอบคุณลุงตู่ที่เหน็ดเหนื่อย ช่วงนี้ให้ลุงตู่พักเหนื่อยก่อน

เจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ

'เศรษฐา' ลั่น!! ประชุม ครม.นัดแรกประกาศลดราคาพลังงานแน่ แย้ม!! 'สุพัฒนพงษ์' เน้นส่งไม้ต่อให้ด้วยความราบรื่น

(30 ส.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้การต้อนรับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพื่อหารือถึงการส่งไม้ต่อในการทำงานด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการจัดทำร่างนโยบายของรัฐบาลเพื่อแถลงต่อรัฐสภา

เวลา 12.50 น. นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีการหารือเรื่องของราคาพลังงาน รวมถึงประเด็นอื่นๆ ซึ่งนายสุพัฒนพงษ์ก็ได้ฝากฝังไว้หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือขั้นตอนในการลดราคาค่าไฟกับค่าน้ำมันดีเซล โดยจะมีประกาศหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกแน่นอน 

เมื่อถามว่าหลังการประชุมครม. นัดแรกจะสามารถลดได้ทันทีแน่นอนใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ทันทีครับทันที ประกาศทันทีและขอดูขั้นตอนนิดหนึ่ง” ก่อนจะย้ำว่าทำงานไม่หยุด เพราะต้องดูนโยบายอื่นๆ ด้วย และถือว่านายสุพัฒนพงษ์ให้ความกรุณาและยินดีส่งไม้ต่อให้ด้วยความราบรื่น

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการลดราคาพลังงานว่า เป็นเรื่องที่ต้องคุยกับหัวหน้าพรรค เมื่อถามถึงนโยบายหลักที่เสนอต่อ พท. ที่จะนำไปเป็นนโยบายร่วมของรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากกว่า ส่วนการพูดคุยอย่างเป็นทางการต้องให้ หัวหน้าพรรค รทสช.มาพูดคุยกันอีกครั้ง วันนี้เป็นการมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า มีอะไรจะส่งไม้ต่อไปถึงรัฐบาลใหม่ได้ การมาหารือวันนี้ เป็นโอกาสที่ดีของรัฐบาลรักษาการ จะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่ามีอะไรจะส่งมอบ หรือส่งต่อความคิดเห็นใดๆ ไปถึงรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่ได้ขอรับทราบสิ่งที่รัฐบาลรักษาการ หรือรัฐบาลที่ผ่านมาได้ทำอะไรไว้บ้าง ส่วนจะสานต่อเรื่องอะไร จะดัดแปลง หรือทำให้ดีขึ้นก็เป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่ ว่าจะพิจารณา และในการหารือ นายเศรษฐาก็รับทราบสิ่งต่างๆ ของรัฐบาลที่ทำมาแล้ว ถือเป็นการให้ข้อมูลระหว่างกัน เพื่อให้รัฐบาลใหม่สามารถพิจารณานโยบายเดิมที่ทำอยู่แล้วไปพิจารณาต่อได้โดยไม่ต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โดยข้อคิดเห็นต่างๆ มีการคุยกันครั้งนี้ก็คงจะมีการไปพิจารณาในรายละเอียดอีกที

เมื่อถามว่ามีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำนโยบาย ร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อแถลงต่อรัฐสภาหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้คุยอะไรเป็นพิเศษในลักษณะของการหารือด้านนโยบาย เพราะคงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่นำข้อมูลต่าง ๆ ไปพิจารณา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top