Monday, 30 June 2025
Politics

รัฐบาล เร่ง แก้ปัญหาราคามังคุดตกฮวบ ด้านพณ.ช่วยค่าส่งผลไม้ฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย- อุดหนุนเกษตรกรรายย่อย

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนมังคุดภาคใต้และภาคตะวันออก ที่ผลผลิตปีนี้มีจำนวนมากจนล้นตลาด ราคาตก ได้รับผลกระทบไม่สามารถส่งผลผลิตไปขายพื้นที่ต่างๆหรือส่งข้ามพรมแดนได้ช้า โดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รณรงค์ให้บริโภคผลไม้ไทยและช่วยกระจายสินค้าผ่านหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน โดยมีมาตรการช่วยเหลือเกี่ยวข้องกับการขนส่งที่ล่าช้า การข้ามพรมแดนไปจีน เนื่องจากขนส่งทางรถผ่านด่านโหยวอี้กวนและด่านโม่ฮานติดขัดมาก ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์หมุนกลับมาภาคใต้ไม่ทัน ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน รวมถึงปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าพื้นที่

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับบริษัทไปรษณีย์ไทย ส่งเสริมการขายผ่านระบบออนไลน์ ช่วยเกษตรรายย่อยส่งผลไม้ฟรีทั่วประเทศถึงมือผู้บริโภค โดยกระทรวงฯจะสนับสนุนค่าขนส่ง ค่ากล่องไปรษณีย์ จำนวน 2แสนกล่อง บรรจุผลไม้น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ตั้งเป้าช่วยกระจายผลไม้ 2พันตัน และมีมาตรการเร่งกระจายมังคุดออกนอกแหล่งผลิต โดยสนับสนุนค่าบริหารจัดการแก่ศูนย์กระจายในจังหวัดแหล่งผลิต กิโลกรัมละ 3 บาท เพื่อกระจายมังคุด 1.7 หมื่นตัน

ส่วนปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ส่งสินค้าไปจีน ได้หารือกับสมาคมผู้ประกอบการค้าผลไม้ ซึ่งภายในเดือนส.ค.นี้ ปัญหาจะคลี่คลาย ขณะที่ปัญหาขาดแรงงาน กระทรวงมหาดไทย จะผ่อนผันให้ล้งและแรงงานเคลื่อนย้ายไปซื้อมังคุดที่จ.จันทบุรี นครศรีธรรมราช ชุมพร และจังหวัดอื่นๆในภาคใต้ได้ภายใต้มาตรการควบคุการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด  ทั้งนี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคามังคุดตกต่ำ โดยนายกรัฐมนตรี ได้ติดตามการดำเนินการของทุกหน่วยงานอยู่ตลอด และรับทราบถึงการบูรณาการของทุกกระทรวงเป็นอย่างดี เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในเร็วๆนี้

“โจ้” แปรญัตติลดงบฯกองทัพเรือ 5 พันล้าน เตรียมอภิปรายวาระ 2 - 3 แย้ม “3 ป.-อนุทิน” เตรียมตัวขึ้นเขียงซักฟอก

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคพท. และนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี ร่วมกันแถลงถึงผลการพิจารณางบประมาณ ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายปี 65 
  
โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ กมธ. ได้พิจารณางบฯ 65 จบลงแล้ว โดยมีการปรับลดงบประมาณในชั้น กมธ.ลงทั้งสิ้นจำนวน 16,362 ล้านบาท จาก 1.คณะฝึกอบรมสัมนาจำนวน 1313 ล้านบาท 2.คณะครุภัณฑ์ และไอซีที จำนวน 2312 ล้านบาท 3.คณะอนุที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง จำนนวน 1120 ล้านบาท 4.คณะอนุกมธ.จังหวัด และกลุ่มจังหวัด จำนวน 1366 ล้านบาท 5.คณะอนุกมธ.ท้องถิ่น จำนวน 417 ล้านบาท 6.คณะอนุกมธ.ด้านการศึกษา จำนวน 2474 ล้านบาท 7.คณะอนุกมธ.แผนบูรณาการ 1 จำนวน 3431 ล้านบาท 8.คณะอนุกมธ.แผนบูรณาการ 2 จำนวน566  ล้านบาท  และ 9.คณะอนุกมธ.รัฐวิสาหกิจ จำนวน 2451 ล้านบาท และพรุ่งนี้ (2 ส.ค.) จะเข้าสู่การพิจารณาแปรญัตติ ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นในการพิจารณางบประมาณปี 65 คือ กองทัพเรือ โดยกองทัพเรือได้รับงบประมาณทั้งสิ้นจำนนวน 41,307 ล้านบาท แต่มีการปรับลดงบฯเพียง 1 รายการ คือ รถประจำตำแหน่งพล.ร.อ. จำนวน 5 คัน รวม 8 ล้านบาทเท่านั้น 

ตนในฐานะ กมธ. ไม่สบายใจ เพราะมีความไม่เท่าเทียมกัน และ 2 มาตรฐาน โดยปี 65 กองทัพบกใหญ่ที่สุด มีกำลังพลมากที่สุด งบฯทั้งสิ้น 99,377 ล้านบาท ถูกปรับลดไป 1,100 ล้านบาท ขณะที่กองทัพอากาศ งบประมาณทั้งสิ้น 38,404 ล้านบาท ถูกปรับลดไป 510 ล้านบาท แต่กองทัพเรือ งบกว่า 4 หมื่นล้านบาท ถูกปรับลดแค่ 8 ล้านบาท สุดพิสดาร อธิบายอะไรไม่ได้เลย เรื่องนี้มีใบสั่งจากบิ๊กในรัฐบาลให้ช่ยกองทัพเรือ ตนยอมรับไม่ได้ และยังจะสู้ต่อไป เพราะมีทั้งเรือดำน้ำ เรือยกพลขึ้นบกที่ไม่ถูกแตะต้องเลย ขณะที่กมธฟากรัฐบาล 36 คนใช้เสียงมากลากไป ปลัดบัญชีทหารเรือที่ควรมาชี้แจงก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเลย ผบ.ทร.ก็ไม่ให้เอกสาร ขณะที่ฝ่ายค้านขอดูเอกสาร แบบนี้จะเข้าข่ายผิดมาตรา 144 หรือไม่ ฝ่ายค้านจึงวอล์คเอาท์ทั้งหมด ทั้งนี้ ตนจองกฐินไว้เลยว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะรมว.กลาโหม เตรียมตัวไว้เลย เรื่องความไม่โปร่งใสของกองทัพ ลูกน้องคุณไม่มาไม่เป็นไร แต่คุณเตรียมตัวไว้เลย 

นอกจากนี้ กองทัพเรือยังมีโครงการที่จะซื้ออากาศยานไร้คนขับ ฝ่ายค้านจึงเสนอว่า กองทัพเรือที่มีงบฯกว่า 4 หมื่นล้านบาท นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคพท. หัวหน้าพรรคก้าวไกล และตน เดินไปหานายสันติ พร้อมพัฒน์ รองประธานกมธ.คนที่ 1 และนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองประธานกมธ.คนที่ 3 ขอร้องให้ดูรายการหน่อย เช่น พวกโครนจีนจำนวน 1400 ล้านบาท นั้น ขอเลื่อนไปก่อนได้หรือไม่ ก็ปรากฎว่าไม่ยอม อ้างว่ามีความจำเป็นด้านความมั่นคง และต้องซื้อ ดังนั้น ขอให้ประชาชนจำหน้าคนที่ยกมือให้ผ่านไว้ และขอให้จำหน้านายเรื่องไกร ลีกิจวัฒนะ กมธ.ผู้เสนอญัตติให้ผ่านไว้ เลือกตั้งครั้งหน้าขอให้สั่งสอนคนพวกนี้ด้วย เพราะตนบอกแล้วว่าตนถวายชีวิตสู้ และตนได้เสนอคำแปรญัตติไว้แล้ว ตนจะปรับลดงบฯกองทัพเรือลง 5 พันล้านบาท และจะเสนอให้โหวต จะเสนอให้เลื่อนบางรายการออกไปก่อน เพราะวันนี้ยังไปตรวจรับไม่ได้เพราะสถานการณ์โควิด ดังนั้น ให้เอาเงินที่ปรับลดไปช่วยดเหลือประชาชน

นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า รัฐเงินจะไปซื้อข้าวให้ประชาชนที่อดอยากยังไม่มี คนพัทยามานั่งรอข้าวแจก เรือที่จอดไว้ที่สัตหีบข้างๆพัทยาจำไว้ให้ดี นายกฯ ชื่อประยุทธ์ และกมธ.ซีกรัฐบาลอีก 36 คน ที่ยกมือซื้อาวุธท่ามกลางความอดอยากของประชาชน หัวจิตหัวใจคุณทำด้วยอะไร นอกจากนี้ สถานการณ์โควิดวันนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม และชีวิตจำนวนมาก ตนคิดว่าอาทิตย์นี้ยอดถึง 2 หมื่นคนอย่างแน่นอน วัคซีนก็ไม่มี ยาจะกินก็ไม่มี คนนอนล้มตายตามทางเดิน ข้างถนน ภาพที่เราเคยเห็นที่อินเดีย วันนี้เห็นที่กรุงเทพฯแล้ว จุดยืนของพรรคพท. คือการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์โควิด และไม่เห็นด้วยกับการซทื้ออาวุธ ดังนั้น วาระที่ 2 และ 3 ตนจะเป็นหัวหอกในการอภิปราย คนไหนที่ยกมือโหวตให้ตนจะเอาชื่ออกมาแฉให้ประชาชนทราบ จะได้เห็นว่าใครบ้างที่เห็นเรือดำน้ำ และโดรนดีกว่าชีวิตประชาชน
นายยุทธพงศ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับประเด็นเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ช่วงวันแม่ 12 สิงหาคม จะต้องมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนมีการอภิปรายงบประมาณวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 18-20 ส.ค.นี้ ยื่นหลังจากนั้นไม่ได้ เพราะเกรงว่าเมื่องบประมาณปี 65 ผ่านไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะชิงยุบสภาเลย เนื่องจากกระแสต่อต้านรุนแรงมาก ส่วนเรื่องที่จะยื่นอภิปรายนั้น เช่น เรื่องวัคซีน ขนาดล็อกดาวน์คนติดเชื้อ และคนเสียชีวิตนิวไฮทุกวัน อธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ ชาวบ้านฝากมาถามว่า ท่านเป็นอธิบดีควบคุมโรคติดต่อ หรืออธิบดีกรมกระจายโรคติดต่อ และตนมีหนังสือฉบับหนึ่งมาฟ้องประชาชน คือ หนังสือด่วนที่สุดที่ สธ.0410.3/4255 จากกรมควบคุมโรค ถึงผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ขอนำเข้าวัคซีนจำนวน 10.9 ล้านโดส งบประมาณทั้งสิ้น 6.1 พันล้านบาท เพื่อซื้อวัคซีนยี่ห้อเดียว คือ ซิโนแวค 

คณะกรรมการกลั่นกลองเงินกู้ก้อนนี้ได้แย้งแล้วว่า ขณะนี้โควิดในประเทศไทยกลายพันธุ์แล้ว ให้พิจารณาจัดหาวัคซีนที่สามารถป้องกันได้ ซึ่งซิโนแวคมีข้อสงสัยเรื่องประสิทธิภาพ แต่อธิบดีกรมควบคุมโรคบอกจัดหายี่ห้ออื่นไม่ได้ ตนขอเทียบที่อเมริกาเอาวัคซีนไฟเซอร์มาบริจาค คุณหาซื้อไม่ได้ แล้วอเมริกาเอาที่ไหนมาบริจาค แล้วแบบนี้ ฝ่ายค้านจะอภิปรายนายกฯในฐานะ ผอ.ศบค. และนายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรงสาธารณสุขได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การอภิปรายเที่ยวนี้ 3 ป.ด้วย ค่อยๆเปิดไปเรื่อยๆ เพราะเที่ยวนี้ฝ่ายค้านมีทีเด็ด

“ทนายอานนท์” ขึ้นรถแห่ปราศรัยไล่ “บิ๊กตู่” ขอมวลชนยึดหลักการให้มั่น ไม่เอานายกฯพระราชทาน ชี้ชะตานายกฯ ออกจากตำแหน่งคุกคือบ้านหลังสุดท้าย ลั่น 7 ส.ค. จบคือจบขอทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม 

นายอานนท์ นำภา แกนนำม็อบราษฎร ขึ้นรถปราศรัยที่จอดอยู่บริเวณหน้าร้านแมคโดนัล ถ.ราชดำเนินกลาง ระบุว่า เดือน ส.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องออกไปแน่นอน ถนนทุกสายมุ่งหน้าเพื่อไล่พล.อ.ประยุทธ์ออกไป ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่วิกฤตของประเทศนี้ไม่มีวันหาย และถ้าเราไม่ออกมาในช่วงนี้จะไม่มีทางขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ได้ วันนี้ทุกองคาพยพ แม้แต่ชันชั้นนำส่ายหัวให้พล.อ.ประยุทธ์แล้ว เพราะเห็นว่าเป็นต้นตอปัญหาทั้งหมด ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ออก ไม่ต้องไปพูดเรื่องการปฏิรูปสถาบัน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เป้าหมายแรกที่ต้องทำให้ได้คือไล่พล.อ.ประยุทธ์ออกไป วันนี้คนรุ่นใหม่จับมือกับคนอีกรุ่น ทั้งพี่น้องเสื้อแดง เสื้อเหลือง และกปปส. ที่เห็นปัญหาร่วมกัน รวมกันเป็นแม่น้ำร้อยสายจากทุกเส้นทางมุ่งสู่ถนนเส้นเดียวกันนายอานนท์ กล่าวต่อว่า หลายคนบอกว่าการชุมนุมเสี่ยงติดโควิด – 19 ซึ่งไม่จริง เพราะโอกาสจะติดจากพื้นที่โล่งแจ้ง สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ โอกาสจะติดน้อยมาก 

นี่เป็นการต่อสู้โดยสภาพบังคับว่าถ้าเราไม่ออกมา เราทุกคนก็นอนรอความตายอยู่ที่บ้าน ซึ่งไม่ได้หมายถึงเราคนเดียว แต่หมายถึงพ่อ แม่ และลูกเล็กๆของเราด้วย วันนี้ชนชั้นนำพยายามออกมาตีกิน ให้ไล่แค่พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว เขาจะเปิดทางให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ซึ่งถ้าได้มาก็จะจัดการวัคซีนแบบพล.อ.ประยุทธ์ การบริหารจัดการไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น นอกจากขับไล่พล.อ.ประยุทธ์แล้ว เราต้องยึดหลักให้มั่นว่า นายกฯต้องมาจากประชาชนเท่านั้น เราไม่เอานายกพระราชทาน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการแค่การเปลี่ยนหน้ากาก แต่คนชักใยยังเป็นคนเดิม เราอย่าเขวตามที่ชนชั้นนำไทยบอก เขาจะโยนขี้ทั้งหมดให้พล.อ.ประยุทธ์แล้วเปลี่ยนคนใหม่ ถ้าเป็นคนที่พวกเขาเลือกมาก็จะบริหารจัดการแบบพล.อ.ประยุทธ์ 
 
“พล.อ.ประยุทธ์ลงจากตำแหน่งเมื่อไหร่ คุกคือบ้านสุดท้ายของพล.อ.ประยุทธ์ ประชาธิปไตยถ้าไม่สมบูรณ์ นายกฯกี่คนผลัดเปลี่ยนเข้ามาก็จะเป็นแบบเดิม เราต้องยืนยันหลักการให้มั่น และยึดหลักสันติวิธีให้มากที่สุด อย่าหลงแผนยั่วยุของรัฐบาล เพื่อไม่ให้เราถูกป้ายสี เราต้องไม่ทำร้าย ทำลาย เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เราจะใช้หลักการสันติวิธีที่ยกเพดานการต่อสู้อย่างสูงที่สุด และขอฝากไปถึงทหารว่าวันที่ 7 ส.ค.นี้ เจอกัน ส่วนพวกเราขอให้แต่งตัวให้มิดชิด หมวกกันน็อก หน้ากากกันแก็ส ต้องพร้อม เพราะวันที่ 7 ส.ค.ไฝว้คือไฝว้ จบคือจบ” นายอานนท์ กล่าว

จากนั้น นายพริษฐ์ ขึ้นรถปราศรัยโดยระบุว่า เดือนนี้เป็นการเริ่มต้นการต่อสู้ของประชาชน และเป็นเดือนแห่งจุดจบของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ความสูญเสียทั้งหมด รัฐบาลระบอบทรราชจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นพล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ คนพวกนี้ต้องรับผิดชอบด้วยการออกจากทุกตำแหน่ง และออกไปจากแผ่นดินนี้ การไล่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้หมายถึงแค่พล.อ.ประยุทธ์และ 5 ทรราช แต่หมายถึงนั่งร้านทั้งหมดที่มาเป็นเสาค้ำให้กับระบอบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้อยู่ด้วยตัวเอง แต่อยู่ได้เพราะส.ว. 250 คน พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่มีอุดมการณ์อย่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงกลุ่มทุนที่โลภต้องการซื้อประเทศนี้ เราจะให้บ้านของคนในรัฐบาล ทั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส.ส. และส.ว. จะไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขจนกว่าจะถอนตัวจากรัฐบาลชุดนี้ 

จากนั้น นายพริษฐ์ ได้สั่งเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบ ชูธงแดง – บีบแตร ลั่นราชดำเนินผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนายพริษฐ์ ปราศรัยจบได้ชูธงแดงเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของประชาชนว่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และขอให้รถทุกคันที่เข้าร่วมคาร์ม็อบในวันนี้บีบแตรให้ดังไปทั้งแผ่นดิน จากนั้น นายพริษฐ์ ประกาศเคลื่อนขบวนออกจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในเวลา 12.30 น. เพื่อมุ่งหน้าไปยัง ถ.วิภาวดีรังสิต ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาของการเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบ รถทุกคันได้พร้อมใจกันบีบแตรส่งสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งขบวนคาร์ม็อบมีจำนวนเต็มพื้นที่ ถ.ราชดำเนินกลาง ฝั่งขาออกที่จะมุ่งหน้าไป ถ.วิภาวดีรังสิต โดยหัวขบวนอยู่ที่วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และท้ายขบวนเลยแยกคอกวัวไป เมื่อขบวนคาร์ม็อบมาถึงบริเวณแยกผ่านฟ้าลีลาศ ได้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนที่ได้ทำแนวกั้นปิดถนนอยู่หัวมุม ถ.ราชดำเนินนอก ซึ่งขบวนคาร์ม็อบได้ขับผ่านไปพร้อมกับบีบแตร โดยใช้เส้นทางตรงมุ่งหน้าเข้าสู่ ถ.นครสวรรค์ เมื่อถึงแยกนางเลิ้งได้เลี้ยวขวาออกไปทาง ถ.พิษณุโลก โดยมีรถปราศรัยนำหน้าขบวน ตามด้วยรถของมวลชน และรถจักรยานยนต์ ซึ่งตลอดเส้นทางได้มีแกนนำสลับกันปราศรัยด้วย

“ดรุณวรรณ” ศปฉ.ปชป.เสนอกองทัพใช้รถพยาบาลสแตนด์บายศูนย์พักคอย กระจายครบทุกเขตพื้นที่ ช่วยเหลือส่งผู้ป่วยกรณีฉุกเฉินเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา 

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าทีมประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อ ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.ปชป.) เปิดเผยว่าตามที่กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ออกแนวทางเวชปฏิบัติ เพื่อคัดแยกผู้ป่วยเข้าระบบแยกกักตัวทั้งแบบดูแลตนเองที่บ้าน Home isolation ในกลุ่มผู้ที่ดูแลตนองได้ ส่วนกลุ่มที่ไม่สามารถดูแลที่บ้านได้ ให้ไปขอรับการดูแลในระบบชุมชน (Community Isolation) ศูนย์พักคอย เพื่อตรวจ RT-PCR ซ้ำอีกครั้งเพื่อป้องกันผลบวกลวงก่อนส่งตัวไปเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล 

แต่จากการประสานงานของทีม ศปฉ. ปชป. ในการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้เข้าถึงบริการตามแนวทางเวชปฏิบัติยังพบอุปสรรคที่ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากมีข้อจำกัดทั้งในส่วนของบุคลากรทางด้านการแพทย์และบุคลากรสนับสนุนในด้านต่าง ๆ กล่าวคือในปัจจุบันศูนย์พักคอยในชุมชนยังมีไม่มากพอที่จะรองรับจำนวนผู้ติดเชื้อในชุมชน โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ที่เป็นพื้นที่สีแดงเข้ม แม้ในขณะนี้ กทม.จัดตั้งศูนย์พักคอยฯ แล้ว 53 แห่ง ในพื้นที่ 50 เขต เปิดบริการแล้ว 24 แห่ง ก็ตาม รวมถึงข้อจำกัดเรื่องรถพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วยเคสสีเหลืองที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถส่งเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลได้ทันจากการที่มีรถรับส่งผู้ป่วยไม่เพียงพอ จึงมีข้อเสนอเพิ่มเติม ดังนี้

สนับสนุนอัตรากำลังในการจัดตั้งและขยายศูนย์พักคอยให้เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วยโดยเร็ว พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ด้านการพยาบาลเช่น พยาบาลเสนารักษ์ไปช่วยดูแลตามความเหมาะสมโดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกับกรุงเทพมหานคร และกระทรวงสาธารณสุข

2. เสริมอัตรากำลังในการจัดรถพยาบาลในเครือข่ายของกองทัพจอดสแตนด์บายตามจุดต่าง ๆ กระจายทุกเขตพื้นที่เน้นที่มีศูนย์พักคอย เพื่อรองรับในกรณีที่มีความต้องการใช้รถพยาบาลอย่างเร่งด่วนเพื่อส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินไปยังสถานพยาบาลโดยเร็ว ผสานกันกับภาคประชาสังคม เช่นรถของมูลนิธิในพื้นที่ที่พร้อมให้ความช่วยเหลืออยู่แล้วแต่ไม่เพียงพอ รวมถึงในการช่วยสนับสนุนการจัดหา O2 ในเคสผู้ป่วยวิกฤตที่อาศัยในชุมชนที่มีความจำเป็นต้องใช้ O2 อย่างเร่งด่วน

3. จัดอัตรากำลังการช่วยจัดส่งยาที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่เข้าระบบ Home Isolation เพื่อให้กระจายได้ทันท่วงที ก่อนที่ผู้ป่วยจะเปลี่ยนจากเคสสีเขียวเป็นสีเหลืองที่ทำให้ยากต่อการบริหารจัดการในภาวะที่เตียงไม่พอ

4. เสริมอัตรากำลังในการช่วยตรวจเชิงรุกในชุมชน เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อและทำการคัดกรองและคัดแยกผู้ป่วยเข้าระบบแยกกักตัวทั้งแบบดูแลตนเองที่บ้าน Home isolation และ Community Isolation 
อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณทางกองทัพบก (ทบ.) ที่ก่อนหน้านี้ได้มีการประชาสัมพันธ์ แจ้งประชาชนผู้ที่เดือดร้อน ติดขัดเรื่องการรักษาพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด การจัดพิธีศพผู้เสียชีวิตจากโควิด สามารถประสานขอความช่วยเหลือ ผ่านหน่วยทหารของกองทัพบกใกล้บ้านทั่วประเทศ หรือโทรแจ้งได้ที่ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพบกผ่าน CALL CENTER: 02-270-5685-9 ตลอด 24 ชม. 

“เชื่อในศักยภาพของกองทัพว่าจะเป็นภาคส่วนที่สำคัญในการสนับสนุนประเทศประเทศชาติได้เป็นอย่างดีเมื่อมีวิกฤต ด้วยความพร้อมของบุคลากร และเครื่องไม้เครื่องมือที่มี จึงอยากให้เข้ามาสนับสนุนมากขึ้นกวานี้ เพราะในยามวิกฤตการทำงานแบบบูรณาการและช่วยเหลือแบบเชิงรุกเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเร่งทำ เพื่อช่วยลดการสูญเสียของพี่น้องประชาชน” นางดรุณวรรณ กล่าว

เคาะแล้ว "ขยายล็อกดาวน์" ยาวถึงสิ้นเดือนสิงหานี้ นายกฯ ถก "ศบค." ชุดใหญ่ ห่วงเชื้อเดลต้า ระบาดในไทย ขนาด สหรัฐฯ มีวัคซีนยังคุมไม่อยู่ ระบุ หาไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ในปีนี้ ขยายพื้นที่แดงเข้ม จาก13 เป็น 29 จว. ล็อกดาวน์ ต่อ 14 วัน ร้านอาหารในห้างเปิดได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมศบค.เห็นชอบยก ระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร โดยปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 13 จ.เป็น 29 จ.ดังนี้ โดยเพิ่มขึ้น 16 จ.ดังนี้ จ.กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยองราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง 

ขณะที่พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง )จาก 53 เหลือ 37 จ.ดังนี้ กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บุรีรัมย์ พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก มหาสารคาม ยโสธร ระนอง ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีษะเกษ สกลนคร สตูล สระแก้ว สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ 

ส่วนพื้นที่ควบคุม(สีส้ม)จาก 10 จังหวัด เป็น 11 จัวหวัด ดังนี้ จ.กระบี่ นครพนม น่าน บึงกาฬ พะเยา พังงา แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน และสุราษฎร์ธานี

นอกจากนี้ ศบค.ปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ตามระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อย โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามออกนอกเคหะสถานเวลา 21.00-04.00 น. งดให้บริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด ให้ตั้งด่านสกัดระหว่างเขตจังหวัด (ตามมาตรการที่ราชการกำหนด) ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 5 คน  ห้ามบริโภคในร้าน ให้ขายแบบนำกลับไปบริโภคที่อื่น  เปิดได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน 

ส่วนการขายอาหารในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าให้เปิดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มผ่านการให้บริการแบบเดลิเวอรี่ ส่วนร้านขายยา เวชภัณฑ์ ซูเปอร์มาเก็ต เปิดได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. ให้ปิดร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม สถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา และห้ามใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษาทุกระดับ สถาบันกวดวิชา เพื่อจัดการเรียนการสอนกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก 

ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด ให้ตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัด เพื่อตรวจคัดกรองการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 20 คน บริโภคอาหารในร้านอาหารได้ เปิดไม่เกินเวลา 23.00 น.และงดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า เปิดบริการได้ตามเวลาปกติ โดยจำกัดจำนวนคนและงดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ส่วนร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม เปิดบริการได้ตามปกติ และให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอน กิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก โดยผ่านความเห็นชอบตากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด  สำหรับสถานที่เล่นกีฬาหรือแข่งขันกีฬา เปิดได้ทุกประเภท ไม่เกินเวลา 21.00 น. จัดแข่งขันโดยจำกัดผู้ชม 

ส่วนพื้นที่ควบคุม ไม่จำกัดการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรม รวมคนมากกว่า 50 คน ร้านอาหารให้บริโภคในร้านได้แบะเปิดได้ตามปกติ  ให้งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน ศูนย์การค้าเปิดได้ตามปกติ  ปิดส่วนเครื่องเกมส์ สวนสนุก ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม เปิดได้ตามปกติ ให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนได้ ภายใต้มาตรการป้องกันโรคที่ราชการกำหนด  และสถานที่เล่นกีฬาหรือแข่งขันกีฬา เปิดได้ตามเวลาปกติทุกประเภท จัดการแข่งขันโดยจำกัดผู้ชม ทั้งนี้ให้ขยายมาตรการต่างๆ ออกไป 1 เดือน ตั้งแต่1-31 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยโฆษกศบค. จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในเวลา 17.00 น. และจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ NBT

‘เสกสกล’ ชี้ ‘ณัฐวุฒิ’ ร่วมคาร์ม็อบ มีเป้าหมาย บอก คนเสื้อแดง เจ็บแล้วต้องจำ เตือน คนรุ่นใหม่ อย่าตกหลุมพราง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. พร้อมคนเสื้อแดง ร่วมขบวนคาร์ม็อบ ว่า ในขณะที่ประเทศเกิดวิกฤตโควิด-19 แต่นายณัฐวุฒิกลับออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยไม่ห่วงว่าจะเกิดการระบาดคลัสเตอร์ใหม่หรือไม่ และยังไม่นึกถึงการทำงานของ ศบค. บุคลากรทางการแพทย์ และจิตอาสา ที่ทำงานอย่างหนักไม่ได้พักเหนื่อย นายณัฐวุฒิบอกด้วยว่า ออกมาเคลื่อนไหวกับกลุ่ม 3 นิ้ว ครั้งนี้เนื่องจากนายกฯบริหารสถานการณ์โควิด-19 ล้มเหลวนั่นก็ถือเป็นข้ออ้าง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่านายณัฐวุฒิ เคยเป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย 

ดังนั้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงเป็นการเอาใจนายใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศ ต่อสู้เพื่อเอานายใหญ่กลับมา และยังมีเป้าหมายที่ยึดโยงกับสถาบันโดยไม่มีจิตสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่นายณัฐวุฒิได้รับการอภัยโทษ แสดงว่านายณัฐวุฒิมีจิตใจไม่จงรักภักดีร่วมกับกลุ่มนายอานนท์และนายเพนกวินแล้วใช่ไหม ในสมัยชุมนุมกลุ่ม นปช. นายณัฐวุฒิเองมิใช่หรือที่มีการสั่งให้เผาบ้านเผาเมือง คราวนี้คิดจะเผาบ้านเผาเมืองรอบสองหรือ จึงมาเป็นแกนนำม็อบ3นิ้วครั้งนี้คงสนุกแน่ คราวนี้ประเทศคงลุกเป็นไฟหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะสไตร์การปลุกระดมที่รุนแรงของนายณัฐวุฒิบวกกับการเคลื่อนไหวของม็อบ 3 นิ้ว อาจจะเกิดเหตุการใช้ความรุนแรงหนักยิ่งขึ้น

เริ่มจากใช้ระเบิดที่ผลิตขึ้นมาเอง ระเบิดไฟ ระเบิดปิงปอง หนังสติ๊กลูกเหล็ก ถล่มโจมตีใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเมามัน ยังมีอาวุธมากมายหลายชนิด เล่นงานเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา เพื่อต้องการยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง ปฎิบัติการเย้ยฟ้าท้าดิน อย่างไม่คิดเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ในขณะที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤตโควิด กลับไม่มีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่ได้สงสาร ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเลยสักนิด คิดแต่จะล้มนายกฯ อยากมีอำนาจ ตนคิดว่าเป้าหมายคือต้องการจลาจลกลางเมืองเพื่อให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประธานาธิบดี และเป้าหมายเอานายทักษิณนายใหญ่ของนายณัฐวุฒิให้พ้นคดีทุจริตและนำกลับประเทศให้ได้ 

ตนเองยังมีความห่วงใยน้องๆ ที่ถูกชักจูงอย่าไปหลงเชื่อนายณัฐวุฒิและนายสมบัติ บก.ลายจุด ในฐานะรุ่นพี่ที่เคยเคลื่อนไหวมา เคยตกหลุมพราง เคยหลงเชื่อ หลอกให้ต่อสู้เพื่อให้คนอยู่เบื้องหลังตระกูลชินวัตรกลับมามีอำนาจ  สุดท้ายเขาก็ไปแสวงหาผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ไม่สนใจปัญหาประเทศชาติประชาชนมีแต่การทุจริตโกงกินมากมายและตอนที่ตนเองเข้าร่วมชุมนุมกับ นปช. เมื่อปี 52 -53 ก็บอกได้คำเดียวว่าจุดหมายไม่ได้สู้เพื่ออุดมการณ์ จึงอยากขอร้องน้องๆที่ห่วงใยบ้านเมือง อย่าไปหลงเชื่อ และตกเป็นเครื่องมือกับนายณัฐวุฒิและแกนนำ3 นิ้ว ไม่ควรเข้าไปร่วมในการชุมนุมด้วย เพราะเป้าหมายของเขาต้องการเป็นใหญ่ สู้แล้วรวยเท่านั้น เหมือนที่ได้รับโบนัสใหญ่โตมาแล้ว สุดท้ายคนที่ชอกช้ำหัวใจคือ มวลชนคนเสื้อแดง ที่ถูกหลอก เจ็บแล้วจึงต้องจำ

‘บิ๊กตู่’ สั่งด่วน ‘อนุทิน’ ให้กรมควบคุมโรคจัดส่งวัคซีนตรงเดือนละ 750,000 โดส ไม่ต้องผ่าน กทม. แก้ปัญหาปิดศูนย์ฉีดวัคซีนภาคเอกชน 25 แห่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ถึงกรณีที่ศูนย์ฉีดวัคซีนที่ภาคเอกชนจัดตั้งขึ้น 25 แห่ง ในกทม. ประกาศปิดศูนย์ชั่วคราวเนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรวัคซีนว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรวัคซีนให้กับ กทม. ตามที่ตกลงกันไว้ แต่ไม่ทราบว่า ทำไมทาง กทม. จึงไม่จัดสรรวัคซีนให้กับศูนย์ฉีดวัคซีน 25 แห่งดังกล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า อย่างไรก็ตามเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โทรศัพท์มาสั่งการด่วนให้ตนจัดสรรวัคซีนให้กับศูนย์ฉีดของภาคเอกชน 25 แห่ง ซึ่งตนได้หารือกับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) แล้ว มีความเห็นตรงกันคือให้ กรมควบคุมโรคจัดส่งวัคซีนโดยตรงไม่ต้องผ่าน กทม.ให้กับศูนย์ฉีดวัคซีน 25 แห่ง แห่งละ 1,000 โดสต่อวัน ซึ่งรวมแล้วจะฉีดได้ 25,000 โดสต่อวัน โดยเฉพาะเดือน ส.ค.จะได้ทั้งหมด 750,000 โดส ซึ่งใกล้เคียงกับความสามารถในการฉีดของบรรดาศูนย์ฉีดเหล่านี้

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ในเดือนสิงหาคมนี้ กรมควบคุมโรค จะสรรจัดวัคซีนให้ กทม. จำนวน 1,000,000 โดส แต่ด้วยความต้องการของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยากให้กรมควบคุมโรคส่งวัคซีนตรงไปยังศูนย์ทั้ง 25 แห่ง จะทำให้เหลือวัคซีนให้ กทม. บริหารเองเพื่อส่งให้โรงพยาบาลในสังกัดเพียง 250,000 โดส จึงสั่งการให้อธิบดีกรมควบคุมโรคจัดส่งเพิ่มให้ กทม. อีก 250,000 โดส รวมเป็น 500,000 โดส เพื่อให้ กทม. จะได้จัดสรรคไปฉีดในสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่อยู่ในสังกัด ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเพียงพอกับความต้องการเท่ากับว่าในเดือนสิงหาคมนี้ พื้นที่ กทม.จะได้รับวัคซีน รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250,000 โดส


ที่มา : https://www.isranews.org/article/isranews/101078


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กตู่” รับมอบวัคซีน COVID-19 “ไฟเซอร์” จากรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวน 1.5 ล้านโดส “ย้ำ”การบริหารจัดการวัคซีนให้เหมาะสมเพื่อประโยชน์สูงสุดกับประชาชนก่อนรับมอบวัคซีนจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร เพื่อช่วยสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไทยอย่างครอบคลุม 

ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีรับมอบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยมีนายไมเคิล ฮีธ (Mr. Michael Heath) อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้สนับสนุนวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมิตรแท้และความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศที่มีมายาวนานกว่า 188 ปี รวมถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย-สหรัฐฯ ที่ต้องการจะแก้ไขสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ร่วมกัน ซึ่งการฉีดวัคซีนถือเป็นประโยชน์สำหรับไทยที่มีความต้องการใช้วัคซีนเพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน พร้อมขอขอบคุณ นางแทมมี่ ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกา ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้ผลักดันและสนับสนุนให้ไทยได้รับวัคซีนเพิ่มเติมอีกจำนวน 1 ล้านโดส โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ดูแลคนไทยและผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ เป็นอย่างดี พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะนำวัคซีนทั้งหมดไปบริหารจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนคนไทยต่อไป

นายไมเคิล ฮีธ อุปทูตสหรัฐฯ กล่าวว่า ทางสหรัฐฯ มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในพิธีส่งมอบวัคซีนไฟเซอร์ในวันนี้ และภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมกับไทยในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อุปทูตสหรัฐฯ ยังยินดีที่ไทยและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ที่ยาวนาน และความร่วมมือครอบคลุมทุกมิติ ทั้งความมั่นคง สาธารณสุข และเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เป็นระยะเวลาอันยาวนานที่ไทยและสหรัฐฯ มีความร่วมมือทางด้านสาธารณสุข และการพัฒนาวัคซีนร่วมกันเพื่อป้องกันโรคระบาด การส่งมอบวัคซีนวันนี้นับเป็นการยกระดับความร่วมมือดังกล่าวให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ อุปทูตสหรัฐฯ ยังกล่าวขอบคุณรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ดูแลประชาชนชาวสหรัฐฯ ในไทยเป็นอย่างดีในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  พร้อมหวังว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของไทยจะคลี่คลาย

ทั้งนี้ วัคซีนดังกล่าวของบริษัทไฟเซอร์ ไบโอเอนเทค (Pfizer-BioNTech) จำนวน 1,503,450 โดส ได้จัดส่งถึงไทยแล้วเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564

จากนั้นเวลา 09.30 น. ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานในพิธีรับมอบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จากรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยมี นายเอวาน โจนส์ (H.E. Mr. Evan Jones) อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสหราชอาณาจักรเข้าร่วมพิธีฯ

นายกรัฐมนตรี กล่าวถวายพระพรแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ขอให้ทรงพระเกษมสำราญ พระพลานามัยแข็งแรง และฝากความระลึกไปยัง นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณในมิตรไมตรีและความห่วงใยของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ผ่านการสนับสนุนวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 415,040 โดส สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักร ที่แน่นแฟ้นยาวนานมากว่า 400 ปี เพื่อร่วมกันก้าวผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การสนับสนุนวัคซีนโควิด-19 ของสหราชอาณาจักร จะสนับสนุนช่วยให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อได้อย่างเข้มแข็งและมั่นคง โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ สหราชอาณาจักรเป็นต้นแบบในด้านการบริหารการกระจายวัคซีน ซึ่งสามารถจัดวัคซีนให้ประชาชนได้จำนวนมาก ทั้งนี้ เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ของไทย-สหราชอาณาจักร ที่จะร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปพร้อมกัน

โอกาสนี้ อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ได้ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ และกล่าวว่ายินดีที่ได้มีส่วนช่วยเหลือประเทศไทยในสถาณการณ์เช่นนี้ และขอบคุณที่ให้การต้อนรับในวันนี้ ซึ่งในวันพรุ่งนี้วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 415,040 โดส จะเดินทางถึงประเทศไทย ตามนโยบายของสหราชอาณาจักรที่ประสงค์บริจาควัคซีนให้แก่มิตรประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือ
 

พท.ถาม รบ.ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือหลังคนฝ่าโควิดออกมาไล่ขนาดนี้ ซัดหยุดผูกขาดบริหารประเทศที่ “ประยุทธ์” 

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีประชาชนออกมาร่วมคาร์ม็อบบีบแตรไล่รัฐบาลสนั่นทั่วประเทศ ดาหน้าโจมตีการที่งานที่ผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลว่า แทนที่จะโกรธคนที่ออกมาไล่ รัฐบาลควรเห็นใจที่มีคนยอมเสี่ยงฝ่าโควิด ออกมาไล่รัฐบาลทั้งประเทศมากขนาดนี้ ประชาชนที่ออกมาดั่งแม่น้ำร้อยสายไหลรวมเป็นหนึ่งเป็นของจริง เดือดร้อนจริง ไม่ใช่การจัดฉาก รัฐบาลผิดพลาดล้มเหลวแก้โควิดไม่ไวเท่าเอาผิดประชาชน ควบคุมโควิดไม่ได้ ทำได้แค่ควบคุมไอโอ จำกัดการแพร่ระบาดของไวรัส ไม่เก่งเท่าจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน

 มาตรการที่รัฐออกมาทำได้แค่ยกระดับล็อกดาวน์ และขยายจังหวัดสีแดงเข้มออกไปเรื่อยๆ แต่คนติดเพิ่ม คนตายพุ่ง ทุบสถิติทำนิวไฮขาขึ้นตลอด เจ็บแล้วไม่จบ มีแนวโน้มเจ็บแล้วเจ็บอีก สำนักข่าวนิเคอิของญี่ปุ่นฟันธงประเทศไทยจะฟื้นตัวจากวิกฤติโควิดเป็นอันดับที่ 118 จาก 120 ประเทศ ต่ำกว่าลาว กัมพูชา เวียดนาม ตามศักยภาพการบริหารจัดการวัคซีน อย่างเร็วสุดคือ 5 ปีกว่าจะฟื้นตัว ยิ่งใช้อำนาจที่ปราศจากความชอบธรรม รัฐบาลยิ่งสูญเสียความชอบธรรม ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงรัฐบาล ไม่เปลี่ยนตัวพล.อ.ประยุทธ์ จะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้   

“อยุธยาไม่สิ้นคนดี ประเทศไทยไม่ได้อับจนถึงขั้นหาคนมาแก้ปัญหาดีกว่านี้ไม่ได้ หยุดผูกขาดการทำหน้าที่ไว้เฉพาะพล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้อง 7 ปีที่ผ่านมายังไม่สาใจแก่ใจหรือ ที่นำพาประเทศไทยมาถึงจุดวิกฤตที่สุดแบบนี้” นายอนุสรณ์ กล่าว

ทร. แจง เรือรบอังกฤษเข้าร่วมฝึกในประเทศไทย

พล.ร.อ.เชษฐา  ใจเปี่ยม  โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่ มีการเผยแพร่ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ระบุว่าเรือรบสหรัฐอาณาจักร ร่วมฝึกกับ กองทัพเรือไทย ตามแผนร่วมสร้างเสรีภาพที่ดีและเปิดกว้าง โดยระบุว่าเรือหลวงริชมอนด์เข้ามาฝึกกับเรือรบ ซึ่งนับเป็นการเยือนไทยครั้งแรกของเรือสหราชอาณาจักรอังกฤษในรอบ 7 ปี  ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด19 ในประเทศไทย พร้อมทั้งวิเคราะห์ว่าเป็นการแสดงกำลังเพื่อคัดค้านอิทธิพลของจีนที่กำลังมีอยู่ในภูมิภาค นั้น 

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า เรือหลวงริชมอนด์ ของสหราชอาณาจักร เป็นเรือรบประเภทฟริเกต ซึ่งมีแผนเดินทางผ่านประเทศไทยด้านทะเลอันดามัน ช่วงระหว่างวันที่ 22 – 25 กรกฎาคม 2564 โดยไม่ได้แวะจอดเยี่ยมเมืองท่าประเทศไทย โดยในระหว่างการเดินเรือผ่านทะเลอันดามันนั้น มีความประสงค์จะขอทำการฝึก passex กับ กองทัพเรือไทย ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 ซึ่งการฝึกในลักษณะดังกล่าวเป็นการฝึกทั่วไปที่ปกติเรือรบต่างชาติสามารถประสานผ่านสถานฑูตอังกฤษในประเทศไทย เพื่อขอทำการฝึกกับประเทศที่เดินเรือผ่านเพื่อสร้างความคุ้นเคยและเพิ่มทักษะการปฏิบัติการทางเรือทั่วไป ไม่ได้มีเป็นการฝึกขนาดใหญ่ ที่มีรหัสการฝึก และต้องมีการวางแผนร่วมกันล่วงหน้าเป็นกิจลักษณะ  ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วเรือรบทุกชาติที่เดินเรือผ่านไปในน่านน้ำใดๆ มักจะนิยมขอทำการฝึก Passex  ซึ่งใช้เวลาไม่นานและมีหัวข้อการฝึกพื้นฐานในระหว่างเดินเรือผ่าน เพื่อฝึกความคุ้นเคยและทักทายกันแบบชาวเรือ ในการนี้ กองทัพเรือ โดย ทัพเรือภาคที่ 3 ได้จัดเรือและอากาศยานเข้าร่วมฝึก โดยจัดกำลัง ประกอบด้วย เรือกระบุรี และ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงแบบที่ 4  มีหัวข้อการฝึก ประกอบด้วย การแปรกระบวน  การชักธงประมวลสากล  การส่งไฟสากล และการจัดรูปกระบวนถ่ายภาพ ใช้เวลาการฝึกในห้วง 14.00 - 15.00 น.  พื้นที่ฝึกด้านใต้เกาะสิมิลัน ออกจากทับละมุไปประมาณ 40 ไมล์  การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเรือรบสหราชอาณาจักรไม่ได้เข้าจอดในพื้นที่ภูเก็ตแต่อย่างใด   
         
สำหรับการฝึก PASSEX นั้นย่อมาจาก Passing Exercise ซึ่งการฝึกในลักษณะนี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะกระทำเมื่อมีเรือของกองทัพเรือมิตรประเทศ  เดินเรือเข้ามาจอดในน่านน้ำไทย โดยการฝึก PASSEX แม้ไม่มีการฝึกใช้อาวุธจริงเหมือนการฝึกใหญ่ๆ แต่ก็เป็นการฝึกที่ช่วยสร้างความเข้าใจและความคุ้นเคยในการปฏิบัติงานร่วม กันระหว่างกองทัพเรือของทั้งสองชาติ  ซึ่งที่ผ่านมากองทัพเรือ ได้จัดกำลังเข้าร่วมการฝึก PASSEX  กับกองทัพมิตรประเทศที่เดินเรือผ่านน่านน้ำไทยตามธรรมเนียมปฏิบัติ  ทั้ง อินเดีย ญี่ปุ่น จีน  รวมถึงรัสเซีย  เมื่อวันที่ 17 -​ 20 ตุลาคม 2562  ในโอกาสที่ หมู่เรือเดินทางของกองทัพเรือรัสเซีย ซึ่งประกอบด้วย  เรือตรวจการณ์  ADMIRAL​ VARYAG  เรือพิฆาต   ADMIRAL PANTELEYEV และเรือส่งกำลังบำรุง​ ADMIRAL​ PECHENGA เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และเข้าจอด ณ  ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยทัพเรือภาคที่ 1 ได้จัด เรือหลวงรัตนโกสินทร์ และเฮลิคอปเตอร์แบบ S-76 ร่วมฝึก PASSEX กับหมู่เรือ กองทัพเรือรัสเซีย ในครั้งนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top