Monday, 30 June 2025
Politics

ปธ.พัฒนาการเมือง เผย คำสั่ง 'ห้ามเผยแพร่ความกลัว' ขัดรัฐธรรมนูญ สั่ง อนุฯ ต่อต้าน fake news ติดตาม กสทช.- DES ใกล้ชิด ชี้ เมื่อท่านตรวจสอบประชาชน ก็ต้องถูกตรวจสอบกลับเช่นกัน

นาย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึงประกาศราชกิจจานุเบกษาข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 29) ซึ่งมีผล 30 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป โดยมีเนื้อหาที่สำคัญก็คือ “ห้ามผู้ใดเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน” โดยกล่าวว่า หากพิจารณาถึงถ้อยความในข้อกำหนดข้างต้น อดตั้งคำถามว่ารัฐบาลของนายประยุทธ์ จันทร์โอชากำลังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 หรือไม่

"ข้อความ "อันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว...ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน..." หมายความได้อย่างกว้างขวาง และหมายรวมถึงกรณีที่แม้ว่าข้อความนั้นเป็นความจริง เช่น การที่สื่อมวลชน พี่น้องประชาชนหรือพรรคการเมืองเสนอข้อมูลข่าวสาร วิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 การบริหารวัคซีนที่ผิดพลาดของรัฐบาล ข่าวผู้ป่วย-ผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดโควิด- 19 ก็ไม่อาจนำเสนอได้ ใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้ว ข้อกำหนดที่เขียนด้วยเท้าเช่นนั้น จึงมุ่งหมายที่จะปิดปากสื่อมวลชน พี่น้องประชาชน และพรรคการเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวและความโง่เขลาเบาปัญญาในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นการใช้กฎหมายเพื่อปกปิดความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตัวเอง" 

ณัฐชา กล่าวต่อไปว่า ข้อกำหนดข้างต้น ยังเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะรัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เอาไว้ จริงอยู่ที่อาจมีข้อยกเว้นในบางสถานการณ์ แต่การห้ามไม่ให้พูดแม้แต่เรื่องจริง ย่อมไม่อยู่ในข้อยกเว้นนั้นและไม่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน เพียงแค่ผู้มีอำนาจตีความว่ามีลักษณะเป็น "ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ผิดกฎหมาย และถูกดำเนินคดีได้ จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความกลัวขึ้นในหมู่ประชาชนด้วยการเอากฎหมายมาใช้ข่มขู่เสียมากกว่า พฤติกรรมแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากมาเฟียไม่ใช่เป็นพฤติกรรมของรัฐบาลในสังคมประชาธิปไตยที่ต้องรับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน

"ในข้อกำหนดข้อต่อมา ที่กำหนดให้สำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีอำนาจในการแจ้งผู้รับใบอนุญาตการให้บริการอินเทอร์เน็ต มีหน้าที่ตรวจสอบว่าข้อความหรือข่าวสารดังกล่าวมีที่มาจากที่ใดพร้อมทั้งให้แจ้งรายละเอียดให้สำนักงาน กสทช. ทราบ และให้ระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตนั้นทันที และให้สำนักงาน กสทช. ส่งรายละเอียดแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินคดีต่อไป

"ในฐานะกรรมาธิการ จึงต้องการคำตอบว่าเหตุใด กสทช. ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อกำกับดูแลการบริการการสื่อสารให้เป็นไปได้ด้วยเรียบร้อยเพื่อประโยชน์ของประชาชน จึงต้องไปเป็นแค่ 'มือ-เท้า' ของรัฐบาลนายประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการปิดหู ปิดตา ปิดปาก และสร้างความหวดกลัวให้กับประชาชน ทั้งที่ข้อกำหนดข้างต้นมากคลุมเครือจนถึงขนาดว่า ความจริงก็เสนอไม่ได้ กสทช. ต้องพึงระลึกไว้เสมอ หากยอมดำเนินการตาม องค์กรของท่านก็จะถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของความผิดพลาดและความล้มเหลวในการแก้ไขวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด -19 และส่งผลให้มีผู้ป่วย ผู้สูญเสีย และผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รวมไปถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายในการระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ตที่ สำนักงาน กสทช. ทำได้โดยทันที โดยไม่ผ่านการตรวจถ่วงดุลโดยองค์กรตุลาการ เช่นนั้นแล้ว กสทช. ก็จะเป็นหน่วยงานที่ใหญ่คับฟ้า ควบคุมความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนได้โดยชัดเจน ไม่ต่างจากการปกครองของเผด็จการที่คอยควบคุมความคิดและโฆษณาชวนเชื่อเพียงด้านเดียวของรัฐบาล"

ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ยังกล่าวต่อไปว่า ในห้วงเวลาสถานการณ์ฉุกเฉิน การแพร่ระบาดของโควิด–19 ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน มีผู้คนล้มป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน มีคนที่สูญเสียครอบครัวที่รัก มีคนที่สูญเสียโอกาสหรืออนาคตในชีวิต หรือแม้แต่สูญเสียชีวิตของตนเอง การปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชนและผู้คนในสังคม ไม่ใช่การแก้ปัญหา เช่นนั้นแล้วนานาอารยประเทศที่ผ่านวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด–19 มาได้ คงเลือกใช้หนทางเช่นนี้หมด แต่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องคือการที่รัฐบาลและผู้มีอำนาจ ใช้สติปัญญาและอำนาจที่ตนมี แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยคำนึงถึงทุกชีวิตของประชาชน เพราะทุกชีวิตของประชาชนที่สูญเสียไป ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนกระดานนำเสนอข้อมูล แต่คือเลือดเนื้อ คือชีวิต คือความผูกพันธ์ของประชาชนครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง 

"แทนที่จะปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน แต่สิ่งที่ผู้มีอำนาจจะต้องรีบดำเนินการคือ การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ประชาชนว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร รัฐบาลกำลังดำเนินการอะไร และประชาชนต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ประชาชนมีสิทธิรับรู้ข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงที่เกิดชึ้นในบ้านเมือง ไม่ใช่รับรู้ได้แต่เพียงสิ่งที่ผู้มีอำนาจนำเสนอ เพราะประชาชนย่อมมีวิจารณญาณและใช้ความคิดในการทำความเข้าใจและตัดสินใจว่าจะเชื่อสิ่งเหล่านั้นหรือไม่

"การมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลมีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดจะทำอะไรก็ได้ หากแต่การใช้อำนาจเด็ดขาดนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเท่านั้น และต้องไม่ก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญเกินสมควร"

ณัฐชา ย้ำว่า หากรัฐบาลและผู้มีอำนาจไม่มีสติปัญญามากพอในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แม้จะมีตัวอย่างให้ศึกษาและปฏิบัติตามจากนานาอารยะประเทศที่กำลังผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยด้วยดีแล้ว การเปลี่ยนม้ากลางศึก ที่ปัจจุบันนี้ ประชาชนก็ไม่มีความแน่ใจว่าเป็นม้าจริงหรือไม่นั้น ก็เป็นทางออกที่สำคัญยิ่งของประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ความจริงใจ และความเข้าอกเข้าใจถึงพี่น้องประชาชนเข้ามาแก้ไขปัญหา

ทั้งนี้ ตนได้มีการมอบหมายให้อนุกรรมาธิการ ต่อต้าน fake news ในคณะกรรมาธิการสื่อสารมวลชน ติดตามการทำงานของกระทรวง DES ใกล้ชิด เพื่อติดตามการทำงานคณะกรรมการเฉพาะกิจที่คาดว่าตั้งขึ้นเพื่อการนี้ ในเมื่อท่านกล้าจะตรวจสอบผู้อื่น ในฐานะตัวแทนประชาชนขอตรวจสอบพวกท่านบ้าง จะได้กระจ่างว่า ฝ่ายใดกันแน่คือกระบวนการผลิตข้อมูล ข่าวสารเท็จออกมาสร้างความหวาดกลัวให้พี่น้องประชาชน

โฆษกกห. ขอ ทุกกลุ่มหยุดสร้าง เฟกนิวส์ ชี้การทำปว. ไม่ง่าย เป็นการซ้ำเติมประเทศในวิกฤตสงครามเชื้อโรค วอนทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน 

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการที่มีกลุ่มคนที่ปล่อยข่าวเผยแพร่ลงในโซเซียลมีเดียอ้างว่าทหารได้ทําการรัฐประหารแล้ว ว่า เรื่องดังกล่าวมันไม่ใช้ง่ายที่จะทำ และเป็นการซ้ำเติมประเทศชาติ ในภาวะวิกฤตชาติเวลานี้เราควรที่จะร่วมมือกันร่วมใจกัน ทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพราะช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นภาวะสงคราม โรคติดต่อ ซึ่งมันสามารถระบาดได้กับทุกคน

“ขอร้องให้หยุดเถอะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม ขอให้หยุดการกระทำเช่นนี้ การสร้างข่าวปลอม หรือการสร้างข่าวลือ ในปัจจุบันนี้ ก่อให้เกิดความหวาดกลัวตื่นตระหนกตกใจ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมประเทศชาติ ให้หมดความหน้าเชื่อถือ เป็นการสร้างความหวาดระแวง ซึ่งกันและกัน มันไม่เป็นผลดีกับประเทศชาติ ในยามสถานการณ์ ยากลำบากเช่นนี้ เราต้องการความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวที่สูงสุดให้ผ่านพ่นวิกฤตนี้ไปด้วยกันทั้งประเทศ” พล.ท.คงชีพ กล่าว

“องอาจ” ชี้ รัฐควรแยกให้ชัด“ข่าวปลอม-ข่าวจริง” จี้ต้องทบทวนไม่เปิดช่องใช้อำนาจเกินขอบเขต ระวังย้อนกลับเป็นมุมเมอแรง

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงข้อกำหนดฉบับที่ 27 และ 29 ที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อาจปิดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน  ว่า  เมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระของข้อกำหนดดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ระบุไม่ให้เผยแพร่ “ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว” พบว่าเป็นการให้อำนาจหน้าที่รัฐกว้างขวางมากจนอาจนำไปสู่การใช้อำนาจเกินขอบเขต และอาจใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้น การที่องค์กรสื่อเรียกร้องให้ทบทวนข้อกำหนดเหล่านี้จึงไม่ใช่การเคลื่อนไหวเกินกว่าเหตุหรือตีตนไปก่อนไข้ แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลที่อาจเกิดขึ้นได้ และอาจส่งผลกระทบกับสิทธิเสรีภาพของการทำงานของสื่อมวลชนและสิทธิ เสรีภาพของประชาชน แม้ภาครัฐอธิบายว่าข้อกำหนดมีจุดประสงค์จะจัดการกับข่าวปลอมเป็นหลัก ไม่ได้ปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชน แต่การออกข้อกำหนดที่ทำให้ตีความเพื่อใช้อำนาจได้กว้างขวาง อาจส่งผลต่อคนทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน  ภาครัฐจึงต้องแยกแยะระหว่างข่าวปลอมกับข่าวจริงให้ได้ ว่าคนทำข่าวปลอมมักมุ่งทำลายล้าง เพื่อผลประโยชน์มิชอบ ขณะที่คนทำข่าวจริงคือสื่อมวลชนอาชีพส่วนมากที่ทำงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพ เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และความคิดเห็นบนพื้นฐานของความเป็นจริง ภายใต้กรอบของกฎหมาย
             

“ผมจึงขอเสนอให้ภาครัฐรีบทบทวนข้อกำหนดนี้อย่างจริงจัง พร้อมกับแยกให้ออกระหว่างข่าวปลอมกับข่าวจริงว่าควรดำเนินการอย่างไรให้เกิดความพอดีที่จะไม่กระทบกับการทำงานของสื่อมวลชนโดยสุจริต และไม่ปิดกั้นการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญ ภาครัฐต้องพึงระมัดระวังอย่าให้เกิดการใช้อำนาจเกินขอบเขตจากข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจรัฐ เพราะอำนาจที่ใช้โดยไม่ถูกต้องจะเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาทำลาย และสร้างความเสียหายจนยากที่จะแก้ไขได้โดยไม่จำเป็น”นายองอาจ กล่าว 

'ราเมศ' เผย เก็บหลักฐานเรียบร้อย  พร้อมซ่อมแซม ทำความสะอาดพรรค

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุฟ้า ว่าตนได้เก็บพยานหลักฐานอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว เพื่อมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป คดีนี้อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการเพื่อให้ได้ตัวคนทำผิดมาเร็วที่สุด เพราะไม่เช่นนั่นกลุ่มดังกล่าวก็จะกระทำความผิดเช่นนี้ซ้ำซากไม่มีวันจบสิ้น เพราะคิดว่าสิ่งที่กลุ่มตนทำนั้นถูกต้อง เรียกร้องสิทธิแต่กลับไม่เคารพสิทธิผู้อื่นกระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่การกระทำตามสิทธิแต่เป็นการกระทำความผิด ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมและจะติดตามอย่างใกล้ชิด

นายราเมศ กล่าวต่อว่า จะมีการทำความสะอาดพรรค โดยจะมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมซ่อมแซมและทำความสะอาดพรรค โดยทุกคน จะร่วมกันซ่อมและทำความ ร่วมซ่อม ร่วมล้าง “บ้านเรา เราก็รัก” พวกคุณทำให้เสียหายเราจะซ่อมและทำความสะอาด 

“ก้าวหน้า” จับมือ “ก้าวไกล” เปิดรับอาสาสมัครแพทย์ทางไกล ดูแลผู้ป่วยโควิด

น.ส.วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจถึงกรณีการเปิดรับอาสาสมัครแพทย์ทางไกล ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังรอความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขจากภาครัฐ โดยระบุว่า เปิดรับอาสาสมัครแพทย์ทางไกล (TeleMed) ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังรอความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขจากรัฐ 

คณะก้าวหน้าแรงงาน ร่วมกับ ส.ส. ปีกแรงงาน พรรคก้าวไกล จัดโครงการช่วยเหลือดูแลแรงงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อยู่ระหว่างการหาเตียง หรือรอเข้าระบบของรัฐ เพื่อลดช่องว่างของประชาชนในระหว่างการรอคอย ซึ่งช่วงนี้ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง มีผู้ป่วยโควิด-19 ไม่น้อยที่เปลี่ยนจากสถานะผู้ป่วยสีเขียวสู่ระดับสีเหลืองหรือสีแดง เนื่องจากระยะเวลาการรอคอยที่ยาวนาน ทำให้ไวรัสเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วในร่างกายจนทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้น ดังนั้นเพื่อรักษาและประคับประคองอาการของผู้ป่วยก่อนที่จะเข้าถึงระบบสาธารณสุขจึงเป็นกลไกสำคัญซึ่งสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ เราจึงขอเปิดรับอาสาสมัครแพทย์ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขในเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อ

หน้าที่อาสาสมัครแพทย์ มีดังนี้ (สามารถเลือกได้ในใบสมัคร)
1.ติดตามและวินิจฉัยอาการผู้ติดเชื้อ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ ทางโทรศัพท์หรือช่องทางออนไลน์
2.ตรวจสอบอาการผู้ติดเชื้อ ว่าขณะนี้เป็นผู้ป่วยสีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง หรือมีอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่ต้องเร่งดูแลรักษาหรือไม่
3.สั่งยา เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย
4.ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยในการจัดทำ Home Isolation

การสนับสนุนจากทีมงาน
1.ค่าโทรศัพท์ตลอดการร่วมโครงการในการติดต่อผู้ป่วย
2.ค่าเดินทางในการลงพื้นที่ (หากอาสาสมัครแพทย์ประสงค์ลงพื้นที่)
3.มีทีมงานลงพื้นที่ เพื่อช่วยประสานงานด้านต่าง ๆ ให้แก่แพทย์ตลอดเวลา

เงื่อนไขและข้อตกลงการร่วมเป็นอาสาสมัคร
ทางทีมงานจะให้อาสาสมัครแพทย์เป็นผู้กำหนดเองว่าสามารถรับดูแลผู้ป่วยได้กี่คน ซึ่งทีมงานจะส่งรายชื่อผู้ป่วยให้ทีหลังตามจำนวนที่ได้แจ้งไว้ และอาสาสมัครแพทย์ต้องดูแลผู้ป่วยตามหน้าที่ที่กำหนดไว้จนกว่าผู้ป่วยจะเข้าสู่ระบบสาธารณสุขหรือไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอีกต่อไปแล้ว เป็นอันเสร็จสิ้นหน้าที่อาสาสมัคร

สมัครได้ที่ลิงก์
https://forms.gle/Jpp26EC5C658NQfE6

“ศรีสุวรรณ” ร้อง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน ไต่สวน“สรรพากร” ข้องใจรีดเลือดพ่อค้ายาเส้น เก็บภาษียาเส้นย้อนหลัง 

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบรับซื้อยาเส้นจากชาวไร่ยาสูบในพื้นที่ อ.หล่มสัก อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ได้รับความเดือดร้อนจากการที่สรรพากร กำลังดำเนินการเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนจากผู้ประกอบการ ทั้งที่ชำระภาษีสรรพสามิตในรูปแบบของอากรแสตมป์ไปแล้ว การกระทำเช่นนั้นถือว่าเป็นการรีดเลือดจากปูในยามที่ทุกคนเดือดร้อนจากโควิด-19 หรือไม่ โดยสืบเนื่องจากกรมสรรพากร สั่งการสรรพากรพื้นที่จังหวัดทั่วประเทศที่มีเกษตรปลูกยาเส้นหรือยาสูบ ให้เร่งรัดผู้ประกอบการรับซื้อยาเส้น ชำระภาษี ภงด.90 ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2561-2563 จนมาถึงช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ภายในวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงนโยบายที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนหรือสังคม อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 ม.62 ม.73 ประกอบ ม.40 โดยชัดแจ้ง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า พ่อค้ายาเส้นส่วนใหญ่เป็นคนกลางในการรับซื้อยาเส้นมาจากเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ ได้ทำการชำระภาษีสรรพสามิตในรูปแบบของอากรแสตมป์อัตรากิโลกรัมละ 100 บาทและชำระภาษีให้กองทุนอื่นรวมเป็นกิโลกรัมละ 117.50 บาทอยู่แล้ว จากอัตราเดิมที่เคยเสียในอัตรา 5 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า การที่สรรพากรมาเรียกเก็บภาษีเงินได้หรือ ภงด.90 เพิ่มโดยที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีตและเป็นการเรียกเก็บย้อนหลังอีกด้วย ชี้ให้เห็นว่าเป็นการเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการรับซื้อยาเส้น และการประเมินฐานภาษีจากผู้ค้าคนกลาง

โดยคิดจากมูลค่าสินค้าที่รับซื้อมาจากเกษตรกรว่าเป็นการซื้อมาขายไป เป็นวิธีคิดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากพ่อค้าคนกลางเป็นเพียงผู้รับจ้างจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาเส้น ทำหน้าที่รวบรวมยาเส้นจากเกษตรกรผู้ปลูกไปให้โรงงานผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ได้รับค่าจ้างหรือกำไรที่ถือเป็นรายได้สุทธิเพียงถุงละ 20-60 บาทเท่านั้น การประเมินฐานภาษีโดยคิดเอาจากยอดราคายาเส้นสุทธิเป็นรายได้พึงประเมินนั้น เป็นการประเมินที่ไม่ถูกต้อง ซ้ำซ้อน และไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการเรียกย้อนหลัง3 ปี เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นการซ้ำเติมประชาชน เป็นการรีดเลือดจากปู และชี้ให้เห็นถึงฐานะทางการเงินการคลังของรัฐบาลที่อาจถึงขั้นถังแตก จึงเสาะหาวิธีการทุกรูปแบบเพื่อไล่เก็บภาษีจากประชาชน เพื่อนำไปจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ซื้อเรือดำน้ำให้กับกองทัพหรือไม่ ดังนั้นทางสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะส่งเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยเพื่อยับยั้งกระบวนการรีดเลือดจากปูของกรรมสรรพากรต่อไป

“เสกสกล”โต้ “พรรคเพื่อไทย” บี้ เลิกคุมสื่อเสนอข่าว ย้อน“รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ก็เคยทำ ไล่ ช่วยชาวบ้านดีกว่าเล่นการเมือง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกข้อกำหนดห้ามสื่อเสนอข่าวให้ประชาชนหวาดกลัว ว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรี ยืนยันแล้วว่าไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพ ยังสามารถวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้ แต่ขอให้เสนอข้อมูลบนพื้นฐานข้อเท็จจริง ไม่สร้างความหวาดระแวงหรือความกังวลในสังคม พรรคเพื่อไทยน่าจะเข้าใจสถานการณ์ประเทศในขณะนี้ และในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยออกข้อกำหนดห้ามการเสนอข่าวการจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลาย ซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวัดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทั่วราชอาณาจักร ประกาศวันที่ 23 ม.ค.2557 ครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีการสอดไส้เพิ่มเติม จึงเห็นชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยหวังเล่นการเมืองไม่ได้ยึดหลักความเป็นจริงทั้งที่รัฐบาลในอดีตของเพื่อไทยเองก็บังคับใช้เช่นกัน

“ยืนยันว่าข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 27 และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ไม่ได้เป็นการจำกัดการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน แต่ต้องนำมาแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ที่กำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคมเป็นอย่างมาก มีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ และที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ เรื่องนี้ไม่แน่ใจว่ากลัวอะไรหรือไม่ หรืออาจจะเป็นเพราะบรรดาสมาชิกพรรคเพื่อไทย มักจะนำข่าวปลอม ที่ไม่มีข้อเท็จจริงออกมาแถลง เพื่อประโยชน์ทางการเมืองตนเอง โดยไม่สนใจว่าการออกมาแถลงนั้นจะทำให้ประชาชนเกิดความสับสนหรือทำให้เกิดความวุ่นวานขึ้นหรือไม่”

นายเสกสกล กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย หยุดตีกินทางการเมืองดีกว่า ประชาชนรู้ทันเทคนิคหากินทางการเมืองแล้ว และเอาประเทศชาติ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อโควิดเป็นหลักโดยสั่งการให้ส.ส.เพื่อไทย ลงพื้นที่ช่วยเหลือดูแลประชาชน เสียสละบริจาคข้าวกล่องช่วยประชาชนที่เดือดร้อน อย่ามัวแต่มาเล่นการเมือง ในภาวะวิกฤตโควิดเช่นนี้หยุดเล่นการเมืองไว้ก่อนแล้วลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านดีที่สุด

“องอาจ” เสนอ 4 มาตรการสำคัญ เร่งทำช่วงล็อกดาวน์รอบใหม่ แนะลดมาตราการที่ไม่ทำให้ผู้ติดเขื้อลดลง ยิ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 กับมาตรการล็อกดาวน์ว่า วันที่ 2 ส.ค. นี้จะครบกำหนดล็อกดาวน์รอบแรกตามที่ ศบค. เคยประกาศไว้และขณะนี้มีแนวโน้มที่ ศบค. จะประกาศขยายเวลาล็อกดาวน์ยาวออกไปรอบใหม่ จนกว่าการแพร่ระบาดของโควิดจะคลี่คลาย  สังเกตได้จากการให้ความเห็นของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขเป็นไปในทิศทางที่อยากเห็นล็อกดาวน์ยาวออกไป เช่นบอกว่ามาตรการล็อกดาวน์สำคัญในการลดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต ถ้าไม่ล็อกดาวน์ผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันจะสูงเกิน 4 หมื่นคนและจะมีผู้เสียชีวิตเกินกว่า 500 คนต่อวัน 
       
นายองอาจ กล่าวต่อว่า เมื่อทิศทางของ ศบค. จะกำหนดให้มีล็อกดาวน์รอบใหม่ต่อเนื่อง จึงขอเสนอให้ ศบค. ดำเนินการ 4 มาตรการสำคัญดังนี้ 1.ไม่ควรล็อกดาวน์ยาวแบบไม่มีกำหนดระยะเวลา ควรกำหนดระยะเวลา ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้นค่อยขยายเวลาออกไป 2.เมื่อ ศบค. เลือกล็อกดาวน์รอบใหม่ ควรลดมาตรการควบคุมที่ไม่เกิดผลมากนักและไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มีการแพร่ระบาดมากขึ้น เพราะถ้ายังมีมาตรการควบคุมที่ไม่ได้ช่วยควบคุมการแพร่ระบาดมากนัก จะทำให้เศรษฐกิจและธุรกิจมีปัญหามากขึ้น 3.ควรใช้มาตรการเชิงรุกที่จริงจังมากขึ้น เข้าชุมชนแออัดให้ทั่วถึงเพื่อตรวจหาเชื้อ ฉีดวัคซีน และวางแนวทางป้องกันผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรังไม่ให้ติดเชื้อ เพราะถ้าคนกลุ่มนี้ติดเชื้อมักจะมีอาการหนักอยู่ในกลุ่มสีเหลืองหรือสีแดง จะหาเตียงรักษาลำบาก และ 4.ระดมทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ดูแลตนเองอยู่ที่บ้านและไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวและตัวเองได้
         
“หวังว่าข้อเสนอนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ ศบค. เพราะเป็นข้อเสนอที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติในพื้นที่จริงของ ส.ส. อดีต ส.ส. ส.ก. ส.ข. ตัวแทนพรรค สาขาพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำงานช่วยเหลือดูแลประชาชนในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องจนสามารถสรุปเป็นข้อเสนอให้ ศบค. กำหนดมาตรการในการบูรณาการการทำงานให้ได้ผลเพื่อทำให้การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายไปในที่สุด”นายองอาจ กล่าว

“ธนกร” โว “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์-สมุยพลัสโมเดล” ฉลุย ชี้ คุมโควิดอยู่ จ่อเปิด“กระบี่-พังงา”ภายในส.ค.นี้ เชื่อ นทท.มั่นใจปลอดภัย

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มั่นใจว่าโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และสมุยพลัสโมเดล ยังเดินหน้าต่อแม้ตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ในจังหวัดภูเก็ต เพิ่มขึ้นจากคนในพื้นที่ แคมป์ก่อสร้าง หรือผู้ที่เดินทางข้ามจังหวัด ไม่ได้เกิดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมที่เดินทางเข้ามาประมาณ 13,281 คน พบติดเชื้อใหม่เพียง 1 คน และผู้ติดเชื้อชาวต่างชาติสะสม จำนวน 30 คน ตรวจพบเชื้อตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเข้ามา และถูกส่งเข้ารับการรักษาแล้ว ทั้งนี้ จ.ภูเก็ต ยกระดับมาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าจังหวัด ควบคุมการเดินทาง เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 – 16 ส.ค. นี้ ยกเว้นบางกรณีสามารถเข้าพื้นที่ได้ เช่น รถฉุกเฉินทางการแพทย์ ขนส่งยา เวชภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค แก๊สหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิง ขนส่งเงินของธนาคาร หรือผู้ที่มีความจำเป็น เป็นต้น เป็นการปิดเดินทางเพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ และเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและคนภูเก็ตทุกคน แต่ไม่ได้ปิดโครงการภูเก็ตแซนด์
บ็อกซ์

นายธนกร  กล่าวว่า ส่วนสมุยพลัสโมเดล จ.สุราษฎร์ธานี ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 บนเกาะสมุย จำนวน 54 ราย เป็นคลัสเตอร์ร้านอาหาร ซึ่งทางจังหวัดสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และยังดำเนินการต่อไปเนื่องจากกลุ่มที่ติดเชื้อไม่ได้มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติโครงการสมุยพลัสโมเดล และไม่ใช่นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่ข้ามไปจากจ.ภูเก็ต และนักท่องเที่ยวต่างชาติตามโครงการสมุยพลัสโมเดล และภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่เดินทางเข้าเกาะสมุย เกาะพงัน และเกาะเต่า อยู่ที่ประมาณ 200 คน โดยนักท่องเที่ยวเหล่านี้พอใจ ผ่อนคลายกับทัศนียภาพรอบเกาะ และไม่ได้มีความกังวล

นายธนกร  กล่าวว่า นายกฯขอให้เชื่อมั่นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว และเตรียมขยายพื้นที่เปิดเกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล จ.กระบี่ และเขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ จ.พังงา ภายในเดือนส.ค.นี้ ซึ่งพื้นที่ของเกาะมีความพร้อม ประชาชนฉีดวัคซีนแล้ว 70 - 100% และไม่พบผู้ติดเชื้อในพื้นที่ โดยระยะแรกจะให้ประชาชนคนไทย ที่ฉีดวัคซีนครบโดสและมีผลการตรวจโควิด ภายในระยะเวลาที่กำหนดและนักท่องเที่ยว จากกลุ่มภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และสมุยพลัสโมเดลเดินทางก่อน โดยยึดแนวทางสร้างความสมดุลเฝ้าระวังความปลอดภัยสุขภาพอนามัย และส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อคนไทยทุกคน 

"อรรถวิชช์" นำทีม "กล้าอาสา" ลงพื้นที่แจกแมส ชี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้นทุกวัน อาสาสมัครช่วยหาเตียงมีไม่พอ ชวนคนไทยร่วมเป็นอาสา ช่วยหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อ 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า นำทีมกล้าอาสาโดย ทพ.กันตพงศ์ ดีชัยยะ ทีมสาธารณสุข พรรคกล้า และนายสุวิทย์ชา ปิยะธนาวิวัฒน์ กลุ่มกล้าอาสา บางพลัด ลงพื้นที่ชุมชนร่วมพัฒนา เขตบางพลัด แจกหน้ากากอนามัยโครงการ "แมสก์ 5,000,000 ชิ้น" พร้อมสิ่งของจำเป็นให้คนในชุมชน 

นายอรรถวิชช์ กล่าวถึงผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นต่อวันและยังไม่ได้เตียงรักษาจำนวนมาก ว่า พรรคกล้าดำเนินโครงการกล้าสู้โควิด ช่วยประสานงานหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อมา 3 เดือนแล้ว มีอาสาสมัครทั้งหมด 60 คน แต่ละวันมีผู้ติดเชื้อแจ้งขอให้ช่วยหาเตียง 200 ถึง 300 คน อาสาสมัครตอนนี้จึงไม่เพียงพอ ขณะที่วิธีการติดต่อขอเตียง จากเดิมให้โทรศัพท์อย่างเดียว แต่ตอนนี้เพิ่มช่องทางลงทะเบียนผ่าน Application ด้วย โดยผู้ติดเชื้อระดับสีเขียวที่ลงทะเบียนกับ สปสช. จะมีการจ่ายยาและอาหารไปที่บ้าน แต่วิธีการรายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม จึงต้องการอาสาสมัครมาช่วยอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องนี้ด้วย 

นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ติดเชื้อระดับสีเหลืองที่ติดต่อเข้ามา อาสาสมัครของพรรคกล้าก็จะติดต่อไปที่หมออาสา เพื่อขอให้เฝ้าระวังติดตามอาการอยู่ตลอด ส่วนผู้ติดเชื้อระดับสีแดงคือการติดต่อเพื่อส่งเข้าโรงพยาบาลที่ผู้ติดเชื้อมีสิทธิการรักษา โดยอาสาสมัครพรรคกล้าจะประสานงานช่วยตลอดจนถึงมือรถฉุกเฉิน 1669 ของศูนย์เอราวัณ 

"งานอาสาใช้เวลาอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง เคสวันละ 200 ถึง 300 คนต่อวัน อาสาสมัครมี 60 คน จำนวนไม่เพียงพอ จึงอยากจะได้แรงใจและแรงกายจากท่านที่สะดวก หากสนใจติดต่อมาได้ที่ inbox กล่องข้อความเฟสบุ๊ก พรรคกล้า มาร่วมเป็นอาสาช่วยหาเตียงด้วยกันกับเราครับ" นายอรรถวิชช์กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top