Monday, 30 June 2025
Politics

ไฮโซลูกนัท โพสต์ข้อความประกาศนัดหมายกิจกรรม "คาร์ม็อบสลิ่มกลับใจ" 8 สิงหาคมนี้

วันที่ 3 ส.ค. นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ไฮโซลูกนัท ประกาศนัดหมายกิจกรรม "คาร์ม็อบสลิ่มกลับใจ" ในวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคมนี้ เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป พร้อมระบุข้อความว่า... จะทนกันต่อทำไมหละเพื่อน ๆ! ติดสัญลักษณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมาก ๆ มาย ๆ แล้วแต่สะดวก เราจะมาชู 3 นิ้ว อย่างปลอดภัยกัน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความประเมินสถานการณ์การเมืองช่วงนี้ว่า...

นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความประเมินสถานการณ์การเมืองช่วงนี้ ผ่านเฟซบุ๊ก 'Thepmontri Limpaphayorm' ว่า...

ความจริงในเวลานี้...

ตัวเลือกการเมือง ฝ่ายประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐ...

>> พ่อฟ้าธนาธร (ผีเน่า) ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

>> ตัวเลือกการเมือง ฝ่ายประชาธิปไตย แบบเผด็จการรัฐสภา (สัมภเวสีหนีคดีโกง) ลุงโทนี่

>> ตัวเลือกการเมือง ฝ่ายประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลุงตู่ (กำลังถูกไล่)

>>×ตัวเลือกการเมือง ฝ่ายประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข น้าอนุทิน (กำลังถูกไล่)

>>×ส่วนม้านอกสายตา : ชัยเกษม / อภิสิทธิ์ (คู่ขัดแย้งเสื้อแดง)

ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติด้วยโรคระบาด โควิด-19...

ประเทศไทยมีม็อบสองเขาสามกีบ ไม่มีความหมาย ไม่มีความสามารถ หรือสติปัญญาเพียงพอที่จะเป็นที่พึ่งหวังได้ แถมเป็นเครื่องมือให้นักการเมือง นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่อยากจะล้มสถาบัน แนวโน้มแกนนำจะติดคุกกันทั้งหมด

แกนนำระดับตัวพ่อ >> ธนาธร / ปิยบุตร / ช่อ

แกนนำระดับตัวลูก กวิ้น / รุ้ง / ไผ่ / ไมค์ / วีโว้ การศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี และปริญญาโท

เหล่าบรรดาสาวก มีหลากหลายสาขาอาชีพ ปริญญาตรี-ปริญญาเอก แต่หลงเชื่อแนวคิดผู้มีการศึกษาต่ำกว่า ปริญญาตรี

ประเด็นที่ออกมาขับไล่ลุงตู่ 'ยังไม่แหลมคมพอ' เอาแต่ด่า จาบจ้วงเบื้องสูง สะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง ตอบโจทย์สังคมไม่ได้ว่าที่ทำไปทั้งหมดเป็นเรื่องของอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร?

ยิ่งลักษณะที่น่ารังเกียจ คือ การรับเงินบริจาคเป็นรายบุคคล ส่วนสาวกก็เป็นม็อบรับจ้างด้วยแล้ว...

>> ม็อบไร้ความสามารถ เล่นประเด็นผิด ลุงตู่จึงเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=5966356816739729&id=100000964084010


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ก้าวไกล’ จี้ พม. เร่งเปิดเผยข้อมูลและแนวทางการให้ความช่วยเหลือ ‘เด็กกำพร้า’ จากสถานการณ์โควิด

นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และรองประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้พิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตรายวันจำนวนมาก พบหลายรายเป็นพ่อหรือแม่ เป็นผู้ดูแลเด็ก จนทำให้เด็กกลายเป็น ‘เด็กกำพร้า’ แบบไม่ทันตั้งตัว แต่ไม่พบว่ากระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานหลักได้แถลงสถานการณ์และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเด็กอย่างเป็นระบบ แถมยังไปขอให้ภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กกำพร้ากันเอง

“ภาพเด็กหญิงอายุ 7 ปี และ 9 ปี สองพี่น้องที่ต้องสูญเสียแม่เสาหลักเพียงคนเดียวที่ จ.สมุทรปราการ เป็นเพียงหนึ่งภาพสะท้อนที่สร้างความสะเทือนใจแก่สังคม แต่ในฐานะที่ทำงานด้านคุ้มครองเด็กมานาน กลับไม่เห็นการแถลงข่าวของกระทรวง พม. ที่เป็นหน่วยงานหลักตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ว่าได้มอบหมายให้ พมจ. สำรวจว่ามีเด็กกำพร้าหรือได้รับผลกระทบจำนวนเท่าใดกันแน่ แนวทางการให้ความช่วยเหลือทั้งการฟื้นฟูร่างกายจิตใจ การมีผู้ดูแลระยะยาว การศึกษาของเด็ก โดยไม่จำเป็นต้องแยกเด็กมาดูแลในสถานสงเคราะห์จะเป็นอย่างไร มิใช่แต่เพียงการช่วยเฉพาะรายที่เป็นข่าว และอ้างว่าจะใช้เงินจากกองทุนคุ้มครองเด็กที่มีระเบียบยุ่งยากหรือจะตั้งมูลนิธิช่วยเหลือแต่เพียงอย่างเดียว อนาคตของเด็ก ๆ เป็นอนาคตของชาติและสำคัญกว่าจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม” นายณัฐวุฒิระบุ

โดยข้อมูลจาก The Lancet Medical Journal วารสารทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียง เปิดเผยรายงานการประเมินนับจากการระบาดของโรคตั้งแต่ 1 มีนาคม 2563 - 30 เมษายน 2564 ว่ามีเด็กอย่างน้อย 1.13 ล้านคน ต้องสูญเสียพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่เป็นผู้ดูแลหลักอย่างน้อย 1 คน และมีเด็กไม่น้อยกว่า 1.56 ล้านคน ต้องเผชิญกับการสูญเสียผู้ดูแลหลักหรือผู้ดูแลรอง เช่น เครือญาติในบ้าน อย่างน้อย 1 คน นี่นับเฉพาะข้อมูลจาก 21 ประเทศที่มีการเสียชีวิตสูงสุด

สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการประเมินโดย Imperial College London แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คาดการณ์ว่าจะมีเด็กกำพร้าที่พ่อแม่หรือทั้งสองเสียชีวิตอย่างน้อย 160 คน เด็กที่อยู่ในภาวะที่มีผู้ดูแลหลักเสียชีวิตอย่างน้อย 180 คน และอีกมากกว่า 350 คน ที่มีผู้ดูแลหลักหรือผู้ดูแลรองในบ้านเสียชีวิต แม้เด็กจะไม่ได้กำพร้าก็ตาม และตัวเลขนี้เป็นตัวเลขการประเมินก่อนที่จะมีอัตราการเสียชีวิตมากขึ้นในปัจจุบัน

การเสียชีวิตของคนในครอบครัวย่อมส่งผลกระทบ หรือ trauma กับเด็กทั้งทางจิตใจและทางสังคม ที่ต้องได้รับการประเมินจากนักวิชาชีพผู้เกี่ยวข้อง เพราะเด็กแต่ละคนมีต้นทุนไม่เหมือนกัน ยิ่งถ้าเป็นเด็กกำพร้า ยิ่งจะต้องได้รับการประเมินและติดตาม เพราะผลกระทบยิ่งมากกว่าทั้งการขาดผู้ดูแล การเรียนรู้บทบาทในครอบครัว ที่อยู่ เศรษฐานะ โอกาสในการศึกษา โอกาสในอาชีพ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งภายใต้ พรบ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 นั้น ได้กำหนดให้ พม. เป็นกระทรวงหลัก ดำเนินการผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะต้องเร่งในการสำรวจข้อมูลเด็กที่ได้รับผลกระทบ การวางแผนในการช่วยเหลือ และการมอบหมายให้มีพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำหน้าที่เป็น case manager ในการติดตาม ซึ่งรวมถึงการประเมินว่าใครจะเป็นผู้ดูแลเด็ก และเด็กจะเติบโตไปในระยะยาวได้อย่างไร และแน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้เป็นการตอกย้ำว่าการมีนโยบาย ‘เงินอุดหนุนเด็กเล็ก’ แบบถ้วนหน้า ยิ่งจำเป็นยิ่งที่ต้องลงทุน มากกว่าการใช้งบประมาณที่ไม่จำเป็นในด้านอื่น ๆ

“ตนชื่นชมคนในสังคมที่ช่วยเหลือเมื่อเห็นเด็กสูญเสียพ่อแม่จากโควิด ทั้งการบริจาค การระดมทุน แม้กระทั้งการหามูลนิธิหรือโรงเรียนประจำให้เด็ก แต่รัฐบาลที่มีหน้าที่โดยตรง โดยเฉพาะกระทรวง พม. ที่ควรวางแผนและแถลงถึงแนวทางรองรับปัญหาที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นกลับไม่ได้ทำ ซึ่งตนจะเสนอให้ กมธ.กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้พิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนฯ เชิญนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสอบถามถึงแนวทางการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและเด็กที่ได้รับผลกระทบจากโควิดต่อไป หลาย ๆ เรื่องในสังคมไทย อาจเป็นเรื่องที่รอได้ แต่เรื่องเด็กเป็นเรื่องที่รอไม่ได้” นายณัฐวุฒิกล่าวทิ้งท้าย


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ธนกร” เผยรัฐเตรียมนำระบบ “BKK HI Care” เป็นเครื่องมือช่วยหมอติดตามผู้ป่วย Home Isolation ตามนโยบาย "บิ๊กตู่” แจง ยาฟาวิพิราเวียร์ตั้งแต่ตุลาคม 2564 จะผลิตได้ไม่น้อยกว่า 40 ล้านเม็ดต่อเดือน มั่นใจมีเพียงพอรักษา

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  โฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) กล่าวว่า สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ภายใต้กำกับของนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ได้พัฒนาระบบที่เรียกว่า “BKK HI Care” ในการติดตามและดูแลผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและสีเขียว ที่รักษา-กักตัวที่บ้าน (Home Isolation) หรือที่ชุมชน (Community Isolation) อย่างใกล้ชิด ตลอดจนผู้ป่วยสามารถรายงานและรับคำแนะนำการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์และพยาบาล เช่น การวัดอุณหภูมิร่างกาย และการวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดตามเวลาที่กำหนด แล้วแจ้งผลให้ทางสถาบัน/โรงพยาบาลทราบทันที ซึ่งระบบนี้ดำเนินการผ่าน Line Application โดยการสแกน QR Code หรือแอดไลน์ เมื่อมีการตรวจพบเชื้อโควิด-19 จากสถานพยาบาลที่ผู้ป่วยได้เข้าทำการตรวจเชื้อหรือรักษา โดยไม่ต้องโหลดแอพพลิเคชันใหม่
    
นายธนกร กล่าวว่า ปัจจุบันมีสถานพยาบาลในกรุงเทพฯ ที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 285 แห่ง มีผู้ป่วยที่อยู่ในระบบแล้วกว่า 9,000 ราย ซึ่งจะช่วยทำให้ 1 คลินิกชุมชนดูแลผู้ป่วยได้ถึง 200 ราย หรือแพทย์ 1 ท่าน ดูแลผู้ป่วยได้ถึง 30 ราย พร้อมกันนี้ยังสามารถช่วยเก็บบันทึกรายงานการรักษารายวัน การสั่งยา การวัดอุณหภูมิ และอาหารที่รับแต่ละวัน โดยระบบนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญให้กับสถาบัน/โรงพยาบาลในการติดตามดูแลผู้ป่วยโควิด- 19 ที่เป็นผู้ป่วยสีเขียว รักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ ซึ่งจะได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ ในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง โดยผู้ป่วยจะได้รับการดูแลแบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) ซึ่งหากผู้ป่วยแสดงอาการที่มีข้อบ่งชี้ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ทางสถาบัน/โรงพยาบาลจะรับผู้ป่วยเข้ามารักษาได้อย่างสะดวก เป็นช่องทางให้ประชาชนสามารถรายงานสุขภาพที่เข้าถึงได้โดยง่าย โดยระบบนี้ แพทย์ พยาบาล สามารถเข้าถึงผ่านมือถือ Tablet หรือ PC ได้ ซึ่งครอบคลุมทั้ง Windows, Android และ IOS ทั้งนี้ แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย Home Isolation ผ่าน “BKK HI Care” มีดังนี้

1.มอบชุดสำหรับ Home Isolation (BKK HI CARE kit) ซึ่งประกอบไปด้วย หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล/ สเปรย์/ ถุงแดง แผ่นพับคำแนะนำในการปฏิบัติตัว แผ่นบันทึกอาการ (กรณี ไม่มี Smart phone) Pulse oximeter (เครื่องวัดระดับออกซิเจนในเลือด) Digital thermometer (เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิทัล) และยาฟ้าทะลายโจรหรือยาฟาวิพิราเวียร์ 2.บริการจัดส่งอาหารทุกวัน 3.ให้ผู้ป่วยวัดอุณหภูมิร่างกาย และวัดปริมาณออกซิเจนในร่างกาย วันละ 2 ครั้ง และรายงานอาการ และ4.เจ้าหน้าที่จากศูนย์บริการสาธารณสุข ติดตามดูแล สังเกตอาการผู้ป่วย ผ่านระบบ BKK HI Care /โทรศัพท์ เป็นระยะเวลา 14 วัน ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการสนองนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการนำดิจิตอลมาบริหารงาน
    
นายธนกร กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลดำเนินการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ให้เพียงพอ ทั้งการนำเข้าจากต่างประเทศ และการผลิตเองในประเทศ โดยขณะนี้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เริ่มผลิตได้ และจะทยอยส่งมอบตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้มีศักยภาพการผลิตอยู่ที่เดือนละ 2-4 ล้านเม็ด แต่ในเดือนกันยายนคาดว่าจะผลิตได้จำนวน 23 ล้านเม็ด และตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้น ไปจะสามารถผลิตได้ไม่น้อยกว่า 40 ล้านเม็ดต่อเดือน ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการจ่ายให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ทำ Home Isolation โดยพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรหรือยาฟาวิพิราเวียร์ตามระดับอาการด้วยแล้ว ดังนั้นขอให้ประชามั่นใจว่า ยาฟาวิพิราเวียร์มีเพียงพอต่อการรักษาอย่างแน่นอน

‘ราเมศ’ เผย ‘ชินวรณ์’ ยังตามติด แก้ รธน. 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ขณะนี้อยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการว่า กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญยังคงเดินหน้าตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้คืออยู่ในชั้นการพิจารณา 

กรรมาธิการในส่วนของพรรคที่ 3 คน คือนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ยังคงติดตามและทำงานในชั้นคณะกรรมาธิการอย่างเต็มที่ ทั้งการแสวงหาแนวร่วม พูดคุยเพื่อให้กรรมาธิการมีความเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน และที่สำคัญ นายชินวรณ์ ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการเชื่อมความเข้าใจ และความเห็นพ้องต้องกันกับบุคคลในพรรคและในส่วนของพรรคต่างๆด้วย ซึ่งคาดว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นก็จะมีการประชุมพรรคเพื่อพูดคุยเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เหตุเพราะมีสมาชิกรัฐสภายื่นคำแปรญัตติมาหลายคน ก็มีความจำเป็นต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับ ส.ส.ของพรรคเพื่อให้ได้ทราบว่าทิศทางของกรรมาธิการจะเป็นไปในทิศทางใดในเรื่องโครงสร้างระบบเลือกตั้งทั้งหมด วันนี้ก็จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อกำหนดกรอบการพิจารณาให้มีประสิทธิภาพ ในส่วนของพรรคเชื่อว่าจะมีการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทันในสมัยประชุมนี้ 

นายราเมศ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคได้มีจุดยืนชัดเจนเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมให้รัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น ภายใต้หลักการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแล้วจะมีการยุบสภาหรือไม่คงไม่สามารถตอบได้เพราะเป็นเรื่องของอนาคตและเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี

คนรุ่นใหม่ ปชป. วอน ศบค. และ กพท. ทบทวนเดินทางด้วยบัสมาใช้เครื่องบินแทนสำหรับนักท่องเที่ยวภูเก็ต แซนด์บ๊อกซ์  เหตุใช้เวลาเดินทางกว่า 14 ชม. เสี่ยงติดเชื้อ 

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่าจากมาตรการยกระดับระลอกใหม่ ของศบค. เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 ได้ส่งผลให้ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกประกาศห้ามสายการบินรับส่งผู้โดยสารเข้าหรือออกพื้นที่สีแดงเข้ม ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทำให้เที่ยวบินทุกสายในประเทศ ต้องหยุดทำการบินทันที เพื่อรองรับมาตรการควบคุมโรค

จากมาตรการดังกล่าว ทำให้สายการบินไม่สามารถทำการบินเที่ยวบินในประเทศที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมืองได้ ขณะที่บางสายการบินย้ายฐานการบินไปยังท่าอากาศยานอู่ตะเภา จ.ระยอง เพื่อให้บริการผู้โดยสาร แต่หลังจากที่ ศบค. ได้ประกาศพื้นที่ควบคุมสถานการณ์โควิด-19 เพิ่มเป็น 29 จังหวัด ในวันที่ 1 ส.ค. โดยพบว่าจังหวัดระยองเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ทำให้ไม่สามารถทำการบินได้ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.เป็นต้นไป จึงส่งผลกระทบกับการเดินทางของนักท่องเที่ยวภายใต้โครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์”

ภาครัฐจึงได้จัดโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ เอ็กเปรส บัส” เพื่อทดแทนเครื่องบินที่ไม่สามารถทำการบินได้ และรถโดยสารประจำทางที่หยุดให้บริการเดินรถ ให้บริการเฉพาะผู้โดยสารโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ผู้ติดตามและสมาชิกครอบครัวของผู้โดยสารเท่านั้น ต้นทางจังหวัดภูเก็ต ปลายทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เดินทางจากภูเก็ตตั้งแต่ 05.00 น. ถึงกรุงเทพมหานครเวลา 21.00 น. ใช้เวลาเดินทาง 14 ชั่วโมง ใน ขณะที่การโดยสารทางเครื่องบิน ใช้เวลาเพียง 1.30 ชั่วโมงเท่านั้น 

นายพันธ์พิสุทธิ์ นุราช หนึ่งในคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีอาชีพเป็นนักบิน และเป็นส่วนหนึ่งของทีมอาสาศูนย์ประสานงานฉุกเฉินในสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.) ได้มีความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่าการที่ผู้โดยสารต้องใช้เวลาอยู่บนรถบัสถึง 14 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ในการเดินทางร่วมกับผู้โดยสารท่านอื่นที่อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ในขณะที่การโดยสารทางเครื่องบินนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่ากันมาก ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในเรื่องของระบบระบายอากาศ และระยะเวลาในการเดินทางที่สั้นกว่า 
“จาก 14 วันที่ผ่านมา (21 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม) ตั้งแต่การประกาศหยุดบินครั้งแรก 14 วัน ก่อนที่จะมีการต่อขยายนั้น จะพบว่าไม่สามารถช่วยควบคุมสถานการณ์ได้เลย ผู้ติดเชื้อยังคงสูงทุกวัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอาจเป็นแนวทางที่ไม่ได้ผล แต่ในทางกลับกันเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้ซ้ำร้ายยิ่งกว่าเดิม” นายพันธ์พิสุทธิ์ กล่าว

นายพันธ์พิสุทธ์ ยังกล่าวต่อด้วยว่านอกจากนี้การปิดการบินในประเทศยังทำให้คนมีความจำเป็นต้องเดินทางในระยะทางไกล ต้องหาหนทางอื่นในการเดินทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นการผลักดันคนกว่า 20,000 ชีวิตเป็นอย่างน้อยในอุตสาหกรรมนี้ให้กลายเป็นคนตกงานหรือว่างงานทันที จึงอยากให้ ศบค. และ กพท. ทบทวนการหยุดบินในประเทศแบบ ”เร่งด่วน” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในกลุ่มที่มีความจำเป็นในการเดินทาง และเป็นการช่วยเหลือกลุ่มสายการบินให้ต่อลมหายใจต่อไปได้ โดยอาจเพิ่มมาตรการบางอย่างในการเดินทางเพื่อลดความเสี่ยง เช่นการนั่งเว้นที่ หรือแม้กระทั่งใช้เอกสารยืนยันการฉีดวัคซีน หรือผลตรวจโควิดมาใช้เป็นเครื่องมือในการลดความเสี่ยงต่อไป

พท.แนะ พปชร.ประกาศให้ชัดเสนอ “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ อีก พรรคร่วมรบ.ยืนยันไม่ถอนตัว หนุน “ประยุทธ์” เป็นนายกฯ ต่อ เย้ยรอรับผลหลัง ลต.ได้เลย

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พร้อมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ออกมาย้ำภาพความสัมพันธ์ ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว หลังล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิด-19 ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่ง ผู้เสียชีวิตเพิ่มยิ่งกว่านิวไฮ จนอาจเป็นนิวนิวไฮ มาตรการล็อกดาวน์ต้องขยายจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัดสีแดงเข้ม เป็นหลักฐานยืนยันว่ามาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย แม้รัฐบาลจะไอโอว่าไม่ทิ้งประชาชน แต่ประชาชนเกือบทั้งประเทศได้ทิ้งรัฐบาลไปนานแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลเชื่อมั่นพล.อ.ประยุทธ์ สวนทางกับประชาชนที่ไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาล ดารา คนรุ่นใหม่ ประชาชนทุกภาคส่วนออกมาคอลเอาต์ เดือดร้อนกันถ้วนหน้า ทุกอย่างต้องรอ ตั้งแต่รอวัคซีน รอตรวจ รอเตียง รอหมอ จนถึงรอเมรุ น่าเสียใจที่นักการเมืองมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ไม่รับรู้ความเดือดร้อนของประชาชน พรรคร่วมรัฐบาลมีสิทธิตัดสินใจอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ แต่เมื่อกล้าท้าทายความรู้สึกของประชาชน ถึงวันเลือกตั้งต้องรอฟังและเคารพการตัดสินใจของประชาชน ยอมรับชะตากรรมจากการตัดสินใจสวนทางกับประชาชน 

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ภาพการอุ้มชู พายเรือให้พล.อ.ประยุทธ์นั่ง ไม่สนใจปัญหาเดือดร้อนความทุกข์ยากของประชาชน จะอยู่ในความทรงจำของประชาชนอย่างยาวนาน เพื่อให้เป็นหลักฐานชัด ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลดำเนินการยืนยัน 3 ข้อดังนี้ 1.พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคควรออกมายืนยันว่าจะไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล 2.พรรคพลังประชารัฐควรออกมายืนยันให้ชัดว่าจะเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า 3.พรรคร่วมรัฐบาลควรออกมายืนยันจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้น จะเป็นการทำหน้าที่ครั้งสำคัญของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ส่วนจะมีอภิปรายรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่นั้น จะหารือกันต่อไป

“ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค จำวันที่พวกท่านเชื่อมั่นพล.อ.ประยุทธ์ จำวันที่ท้าทายประชาชนไว้ให้ดี เมื่อได้ตัดสินใจแล้ว ต้องรอรับผลการตัดสินใจของประชาชนในวันเลือกตั้ง และก้มหน้ายอมรับผลนั้นให้ได้” นายอนุสรณ์ กล่าว

ยื่นป.ป.ช.! “ศรีสุวรรณ” เตรียมร้อง ป.ป.ช. สอบจริยธรรมร้ายแรง “เสรีพิศุทธ์” หลังศาลปกครองสูงสุดยกคำขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมเจ้าท่าที่ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในแม่น้ำแควน้อย

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่าวันที่ 5 ส.ค. 64 สมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวนและมีความเห็นกรณีศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมเจ้าท่าที่ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในแม่น้ำแควน้อย อันเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ 

เนื่องจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กระทำการทิ้งหิน ดิน ล่วงล้ำลำน้ำแควน้อยเกินกว่าแนวเขตที่ดินของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ตาม ม.119 แห่ง พ.ร.บ.เดินเรือในน่านน้ำไทย 2456  พร้อมกับมีการปลูกต้นไม้ทำเป็นสวนหย่อมและทำทางเท้าปูด้วยแผ่นหิน อันเป็นการปลูกสร้างสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปในน้ำ ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติของแผ่นดิน ตั้งแต่ปี 2551 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นอำนาจโดยชอบตาม ม.118 ทวิ แห่งกฎหมายเดียวกันที่กรมเจ้าท่าใช้อำนาจโดยชอบสั่งให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำในแม่น้ำแควน้อยออกไปภายใน 30 วัน  ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว 

การกระทำของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์  ซึ่งเป็น ส.ส.และหัวหน้าพรรคการเมือง  จึงอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เฉกเช่นเดียวกันกับกรณีของ ส.ส.ปารีณา ไกรคุปต์  สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย  จึงร้องเรียนขอให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และมีมติส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา และขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกันต่อไปด้วย

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-19 ย้ำ ไม่ได้คัดค้านการล็อกดาวน์ แต่การล็อกดาวน์ต้องไม่สูญเปล่า ต้องเจ็บแล้วจบ ขณะนั้นอัตราการตรวจพบเชื้อในไทยสูงกว่า 5% ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ซึ่งเป็นตัวเลขตามเพดานของ WHO ว่าต้องล็อกดาวน์

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊กเพจ โดยระบุว่า ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เคยได้ชี้แจงไว้ว่า ไม่ได้คัดค้านการล็อกดาวน์ แต่การล็อกดาวน์ต้องไม่สูญเปล่า ต้องเจ็บแล้วจบ ขณะนั้นอัตราการตรวจพบเชื้อในไทยสูงกว่า 5% ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ซึ่งเป็นตัวเลขตามเพดานของ WHO ว่าต้องล็อกดาวน์

“ตัวเลขอัตราการตรวจพบเชื้อมีนัยยะสำคัญอย่างไร ในช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังระบาดหนักที่สุด มีอัตราการตรวจพบเชื้ออยู่ที่ 15% ในขณะที่อินเดียมีอัตราการตรวจพบเชื้อนี้ที่ 23% ในส่วนของประเทศไทยตอนนี้ จากข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่าอัตราการตรวจพบเชื้อโควิดในประเทศไทยสูงถึง 24% และแนวโน้มกำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่ากลัว ตัวเลขนี้ตีความเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกเหนือจากหายนะ การล็อกดาวน์ของเรากำลังสูญเปล่า และในครั้งนี้ ประชาชนจะเจ็บแต่ไม่จบ เจ็บแล้วเจ็บเล่า โดยที่รัฐบาลก็อยู่ในสภาวะไร้ประสิทธิภาพเกินกว่าที่จะช่วยเหลืออะไรได้”

พิธา ระบุต่อไปว่า วิกฤตการณ์ที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ล้มเหลวในการจัดการวิกฤติอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่มีการออกมาตรการล็อกดาวน์ มีอำนาจเต็มจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่รวบอำนาจไว้ในมือ และมีเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 2 ฉบับจำนวนเงินกว่า 1.5 ล้านล้านบาทสาเหตุหนึ่งที่อัตราการตรวจพบเชื้อในไทยสูงขึ้นในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ก็เพราะตัวเลขการตรวจน้อยลง จากข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในสัปดาห์ 11-17 ก.ค. มีการตรวจเฉลี่ย 6.9 หมื่นตัวอย่างต่อวัน ในสัปดาห์ 18-24 ก.ค. 6.75 หมื่นตัวอย่างต่อวัน ในสัปดาห์ 25-31 ก.ค. 6.18 หมื่นตัวอย่างต่อวัน

“การล็อกดาวน์ที่จะไม่ให้สูญเปล่านั้น ต้องมีการตรวจเชิงรุก การตรวจต้องมากขึ้นไม่ใช่น้อยลง เพื่อที่จะแยกปลาออกจากน้ำ เพื่อทำการรักษาและยุติการระบาดให้ได้เร็วที่สุด ตัวอย่างของการตรวจเชิงรุกประชากรทั้งเมืองในต่างประเทศก็มีให้เห็นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ประชากรหลักพันอย่าง Vò ที่อิตาลี หลักหมื่นอย่าง Bolinas, California ที่สหรัฐฯ หลักแสนอย่าง Southampton ที่อังกฤษ และหลักล้านอย่างอู่ฮั่น ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลต้องบังคับทุกคนให้มาตรวจโควิด แต่ศักยภาพในการตรวจ RT-PCR ของประเทศเราอยู่ที่ประมาณ 70,000 ตัวอย่างต่อวันและไม่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เดือน เม.ย. แล้ว รัฐบาลต้องมีการตรวจเชิงรุกและขยายศักยภาพในการตรวจมากกว่านี้”

พิธา ยังย้ำว่า การล็อกดาวน์ให้ไม่สูญเปล่า รัฐบาลต้องเยียวยาประชาชนให้ทั่วถึง จึงขอแสดงความกังวลต่อมาตรการเยียวยานายจ้างและลูกจ้างนอกระบบประกันสังคม โดยการให้นายจ้างมาเข้าระบบประกันสังคม เพราะจากแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายเงินเยียวยาตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ 26/2564 เมื่อ 23 ก.ค. 2564 นายจ้างที่มาขึ้นทะเบียนประกันสังคมรายใหม่จะต้องได้รับการตรวจสอบข้อมูลจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยจากตารางเวลาการดำเนินงาน อาจจะได้เงินเยียวยาล่าช้าถึงเดือนตุลาคม

“ผมขอย้ำอีกครั้ง ว่าปัญหาของรัฐบาลประยุทธ์ไม่ใช่ไม่มีงบประมาณมาใช้ในการเยียวยาประชาชนและแก้ปัญหาโควิด-19 จากดูตัวเลขการอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น และรายการแก้ปัญหาโควิด-19 ของปีงบ 64 ที่ตั้งเอาไว้รวมกัน 140,000 ล้านบาท จากที่สืบค้นได้ใน มติ ครม. (นอกจากนั้นจะมีเอาไปใช้ในทางลับอะไรอีกผมไม่ทราบ) พบว่ามีการอนุมัติแค่ 46,000 ล้านบาท หรือไม่ถึง 1 ใน 3 ของงบกลางที่ขอในปี 64 ไม่นับว่ามีเอกสารสำนักงบประมาณของรัฐสภารายงานว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย. 64 มีการเบิกจ่ายแค่ประมาณ 12,000 ล้านบาทเท่านั้น (ไม่ถึง 10%) นี่ยังไม่นับ พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลออกมาได้จะ 3 เดือนแล้ว แต่ยังเป็น black box หรือ “พื้นที่ดำมืด” ที่เรายังไม่ทราบว่ารัฐบาลเอางบไปทำอะไรบ้าง

“ทุกปัญหา เราต้องแก้ให้ตรงจุด ตอนนี้ปัญหาวิกฤตของประเทศไม่ใช่ปัญหางบประมาณ แต่เป็นปัญหาเรื่องความสามารถของผู้นำและคณะ ผมจึงขอเสนอไปยังทุกท่านว่า ถ้าเราอยากออกจากวิกฤตนี้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำและคณะ คืนอำนาจให้ประชาชนรวมถึงแก้ไขปัญหาโครงสร้างการเมืองไทยโดยเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจ แต่ไร้ความสามารถกลุ่มเดิมกลับมาได้อีก” พิธา ระบุ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พท.แถลงย้ำชัดตัดเงินเข้างบกลางเพื่อแก้โควิด ปชช.เท่านั้น ปัดให้ “ประยุทธ์” ถลุงตามอำเภอใจ ชี้มีกลไกตรวจสอบ ลั่นอย่าทำร้าย ปชช.

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รองประธานกรรมาธิการงบประมาณปี 65 และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรค พท.แถลงข่าวเรื่องงบกลางเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 ว่า เราตระหนักถึงสถานการณ์ การแพร่ระบาดส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังนั้นในส่วนของการปรับลดในชั้นอนุฯ จึงช่วยกันปรับลดโดยหลายพรรคช่วยกัน เห็นว่าควรนำมาใช้แก้ปัหาโควิด เพราะเงินจำนวนนี้รัฐบาลไม่ต้องไปกู้เงิน ประชาชนไม่ต้องแบกภาระหนี้ ทั้งนี้ มีคำถามเกี่ยวกับการใช้งบกลางช่วงที่ผ่านมา คือเอางบกลางไปให้พล.อ.ประยุทธ์ใช้ โดยสิ่งที่กรรมาธิการของพรรคพท.คิดและตัดสินใจนั้น คือเอางบกลางเป็นงบโควิด  เป็นงบให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ยืนยันได้จากคำขอในการใช้งบกลางของรัฐบาล และกรรมาธิการสามารถตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณได้ เราเห็นโดยสุจริตว่าการเอาไว้ในงบกลางจะปลอดภัยจากปัญหาการถูกกล่าวหาว่าการแปรญัตติ ทำให้ ส.ส.หรือกรรมาธิการมีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณตามข้อวิตกกังวลของหลายฝ่าย ซึ่งเป็นความผิดถึงขั้นมีโทษทางอาญา และเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่ง

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า การใช้งบกลางมีเหตุผลในกรณีฉุกเฉิน มีความจำเป็นเร่งด่วน ไม่ได้ตั้งงบปกติไว้ มีระเบียบการใช้งบกลางรองรับมิได้หมายความว่าจะสามารถใช้ได้โดยปราศจากการตรวจสอบ ในความเป็นจริงข้อเสนอว่าจะนำงบที่ปรับลดไปใช้อะไร ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกรรมาธิการแต่ละท่าน แม้ว่าพรรคพท.จะเห็นด้วยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านบางพรรคให้เอาไปใช้ในทางใด ในความเป็นจริงก็ไม่อาจที่จะเป็นมติของกรรมาธิการเสียงข้างมากได้อยู่แล้ว ดังนั้น ที่เถียงกันอยู่นี้ คือเถียงกันในประเด็นที่ไม่สามารถเอาชนะฝ่ายรัฐบาลได้ เป็นการทำลายตัวเองด้วยกันโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้ ขอย้ำการตัดสินใจของกรรมาธิการของพรรค พท. ไม่เกี่ยวกับสถานภาพการยอมรับในตัว พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล ซึ่งเรายังยืนยันว่าไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ และจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเร็วๆ นี้ เป็นการตัดสินใจโดยสุจริต ปราศจากผลประโยชน์ใดๆ อยู่บนพื้นฐานว่างบส่วนนี้ควรนำไปใช้ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนซึ่งกำลังลำบากแสนสาหัสจากพิษภัยของโควิด และมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อไม่อาจจบสิ้นไปได้โดยง่าย

“ส่วนคำกล่าวที่ว่าเอางบกลางไปให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้ จะเอาไปใช้อย่างไรก็ได้ เอาไปซื้ออาวุธมายิงประชาชน จึงเป็นคำกล่าวที่เกินเลยข้อเท็จจริงไปมาก เป็นไปไม่ได้ ส่วนที่อ้างว่าเอาไปไว้ในงบกลางคือการรื้อฟื้นงบส.ส.จะเกิดการวิ่งเต้นเหมือนในอดีต หรือแบ่งเค้กกันนั้น ท่ามกลางการมีมาตรา 144 ที่เอาผิดทั้ง ส.ส.กรรมาธิการ รวมไปถึง ครม.เจ้าหน้าที่ประจำ จะมีกรณีนั้นเกิดขึ้นได้หรือ เราไม่เคยคิดถึงประโยชน์ส่วนตัว แต่ต้องทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด ผมขอใช้คำว่างบกลางว่างบโควิดเพื่อประชาชน” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวว่า ส่วนที่มีคนกล่าวอ้างว่าเราไม่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่น หรือกระทรวงอื่นๆนั้น เราให้ความสำคัญกับท้องถิ่นตลอดมา แต่หากไปพิจารณาดูรายการในงบประมาณหน่วยงานต่างๆ ที่กล่าวมานั้นมิได้มีแผนงานหรือรายการงบประมาณที่จะนำไปใช้แก้ปัญหาโควิดไว้เลย และการนำงบประมาณส่วนนี้ไปไว้ในงบกลาง มิได้หมายความว่าหน่วยงานอื่นๆ จะไม่สามารถใช้งบประมาณในส่วนนี้ได้ ยังสามารถที่จะมีคำขอใช้งบประมาณในส่วนนี้ได้  เพียงแค่ต้องเป็นกรณีนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในกรณีโควิดเท่านั้น ทั้งนี้ พรรคพท.ยืนยันว่าการตัดสินใจของกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยเป็นไปโดยรอบคอบ สุจริต คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ระมัดระวังมิให้ตกเป็นเหยื่อทางการเมืองในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ เป็นการตัดสินใจที่อยู่บนสภาพความเป็นจริง บนสภาพที่เป็นฝ่ายค้านในรัฐสภา แยกมิตร แยกศัตรู ไม่ทำร้ายใคร สภาพความจริงคือการต่อสู้ไป ยืนยันไปก็ไม่ชนะ แทนที่จะหาทางเอาชนะ แต่ไม่อยากให้เรามาทะเลาะกันเองในเรื่องที่ไม่ชนะ เราต้องต่อสู้กับความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลอีก ทั้งนี้ เราสามารถตรวจสอบได้การใช้งบได้ ทั้งการยื่นญัตติ หรือการตั้งกระทู้ถามที่ฝ่ายค้านตรวจสอบได้ และงบกลางตามระเบียบที่เขียนไว้ชัด 

ด้านนายวรวัจน์ ​กล่าวว่า งบประมาณมีกฎเกณฑ์และระเบียบวิธีการค่อนข้างมาก วันนี้เราต้องยอมรับก่อนว่าวิกฤตจากสถานการณ์โควิดค่อนข้างมาก งบ 3.1 ล้านล้านบาทนั้น มาจากการที่หน่วยงานต่างๆทำเรื่องขอไปยังไปรัฐบาล กมธ.ทำการปรับลดงบประมาณจากส่วนที่เราเห็นว่ามีความจำเป็นน้อย หรือไม่เข้ากับสถานการณ์ การจัดงบประมาณปี 65 เป็นการจัดตามแผนเดิมที่ไม่มีเรื่องของโควิดอยู่เลย เพราะจัดทำงบฯตั้งแต่เดือนปลายปี 63 ซึ่งขณะนั้นสถานการณ์โควิดดีขึ้นจากการระบาดรอบแรก มีเพียงแผนงบกลางเท่านั้นที่เขียนให้ใช้เงินในเรื่องโควิดได้ เมื่อเราเห็นว่าสถานการณ์โควิดที่ทวีความรุนแรงขึ้น เราจึงตัดสินใจนำเงินไปใส่ไว้ในแผนที่สามารถนำมาใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับโควิดได้ นั้นคือแผนงานงบกลาง ที่ถามว่าทำไมให้งบกับท้องถิ่นนั้น ก็ไม่มีเรื่องของคำขอการแก้ปัญหาโควิดเช่นเดียวกัน ในส่วนของกองทุนประกันสังคมและกองทุนเพื่อการศึกษา หรือแม้แต่เรื่องหลักประกันสุขภาพ ก็ไม่มีคำขอเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 เลย ทั้งนี้ ที่บอกว่าตีเช็กเปล่านั้นไม่เป็นความจริง เพราะไม่สามารถใช้งบเป็นอย่างอื่นได้นอกเหนือคำขอ ต้องระบุรายการให้ชัดเจน 

“ต้องแยกความไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์กับสถานการณ์โควิด เราเลือกการแก้ปัญหาโควิดให้พี่น้องประชาชนก่อน อย่าตัดโอกาสประชาชน ถือเป็นความประมาท ผิดพลาดที่ไม่มีหน่วยงานใดที่จัดสรรงบเพื่อโควิดเลย ทั้งนี้ สี่ปีข้างหน้าอย่าเลือกคนที่เราไม่ไว้วางใจเข้ามาอีก” นายวรวัจน์ กล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ที่มีการกล่าวหาว่าพรรคพท.เอางบไปใส่งบกลางเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้ตามอำเภอใจ ใช้งบซื้อกระสุนยางมายิงประชาชนนั้น เป็นข้อหาที่รุนแรงจริงๆ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับงบก้อนนี้ เราไม่ได้ให้ พล.อ.ประยุทธ์เอางบไปยิงประชาชน ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องช่วยกันประณาม ทั้งนี้ ในส่วนของงบ 1.6 หมื่นล้าน คำอภิปรายของ ส.ส.ทุกคนในวาระแรก พูดตรงกันว่าต้องนำเงินมาใช้แก้ไขสถานกาณ์โควิดให้มากที่สุด ดังนั้นกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคพท.ระบุว่าเมื่อตัดงบแล้ว ต้องนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาโควิดโดยตรง เราพยายามหาช่องทางที่นำไปใช้ซึ่งก็คืองบกลางที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อแก้ปัญหาโคิดเท่านั้น เราจึงจัดงบเพื่อประชาชน แต่โชคร้าย คือนายกฯ เป็นผู้รับผิดชอบบริหารจัดการงบกลาง ส่วนจะว่าตีเช็กเปล่าหรือไม่นั้น หน้าที่ของกรรมาธิการฯ คืออนุมัติงบตามคำขอ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์จะใช้ตามอำเภอใจไม่ได้เพราะมีกฎหมายกำกับ เช่น พ.ร.บ.เงินคงคลัง หรือ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฯ  กำหนดไว้ชัดว่าต้องใช้ตามวิธีงบประมาณ และมีระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ.2562 ระเบียบนี้กำหนดแม้กระทั่งว่าหน่วยรับงบที่จะแก้โควิดต้องทำคำขอขึ้นมา จึงไม่ใช่การตีเช็กเปล่า ที่สำคัญสภาฯ มีบันทึกแนบท้ายร่างกฎหมายว่างบ 1.6 หมื่นล้านเพื่อแก้ปัญหาเยียวย่โควิดเท่านั้น นอกจากนี้มีระบบการตรวจสอบโดยกรรมาธิการสามัญ เช่น กรรมาธิการสาธารณสุข หรือกรรมาธิการแรงงานที่เกี่ยวข้อง ก็สามารถเรียกดูข้อมูลต่างๆ ได้ 

“แม้จะเป็นประเด็นระหว่างพรรคการเมือง แต่ก็เป็นการตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้แทนของเขา พรรคพท.อดทนเพื่อประชาชน เราทำถูกตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เราไม่ได้ให้งบกลางไปใช้ซื้ออาวุธทำร้ายประชาชน แต่โชคร้ายที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนใช้ ถามว่าทำไมเราไม่เอาคนไร้ความสามารถออกไป แล้วหาคนที่มีความสามารถมาบริหาร ช่วยกันทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ออกไป อย่าทำร้ายประชาชนด้วยการไม่ให้เงิน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดี เอา พล.อ.ประยุทธ์ออกไป เราต้องช่วยกัน แต่ไม่ใช่ทำร้ายพี่น้องประชาชนโดยการไม่ให้เงินเขา เขาไม่มีข้าวกิน ไม่มีออกซิเจน ไม่มีเครื่องตรวจ เงิน 1.6 หมื่นล้านบาทนี้มีประโยชน์ต่อเขามาก ที่จะทำให้เขาไม่ตาย การทำงานของ กมธ.พรรคพท. เรามั่นใจในความสุจริต” นพ.ชลน่าน กล่าวและว่า ในวาระสอง เราจะอภิปรายสนับสนุนกรรมาธิการฯ ว่าทำเพื่อประชาชน ใครที่หากินกับโรคระบาด คนๆ นั้นจะเป็นผู้เสียหายเองในที่สุด เพราะไปหากินกับซากศพประชาชน 

เมื่อถามว่าที่ผ่านมา เช่น งบประมาณปี 64 หลังจากที่ตัดแล้วเอาไปไว้ตรงส่วนไหน นายวรวัจน์​ กล่าวว่า มีการโอนงบฯไปไว้งบกลางเพื่อแก้ไขสถานการณ์โควิดบางส่วน เพราะปีที่แล้วเรามีแผนงบตรงนี้ตั้งไว้ แต่ปีนี้ งบฯ 3.1 ล้านล้านบาทไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับโควิดเลย ดังนั้นในส่วนนี้เราจึงตัดสินใจเอางบฯ 1.6 หมื่นล้านบาทนี้ไปไว้ที่งบฯกลาง เพื่อให้มีงบฯในส่วนของโควิด นี่คือความผิดพลาดของการจัดสรรงบฯ 65 ที่ไม่มีหน่วยงานใดจัดสรรงบฯ เพื่อแก้ไขปัญหาโควิดเลย เป็นความประมาทอย่างยิ่ง เราเพียงมาช่วยแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้นเอง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top