“องอาจ” ชี้ รัฐควรแยกให้ชัด“ข่าวปลอม-ข่าวจริง” จี้ต้องทบทวนไม่เปิดช่องใช้อำนาจเกินขอบเขต ระวังย้อนกลับเป็นมุมเมอแรง

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงข้อกำหนดฉบับที่ 27 และ 29 ที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อาจปิดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน  ว่า  เมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระของข้อกำหนดดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ระบุไม่ให้เผยแพร่ “ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว” พบว่าเป็นการให้อำนาจหน้าที่รัฐกว้างขวางมากจนอาจนำไปสู่การใช้อำนาจเกินขอบเขต และอาจใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้น การที่องค์กรสื่อเรียกร้องให้ทบทวนข้อกำหนดเหล่านี้จึงไม่ใช่การเคลื่อนไหวเกินกว่าเหตุหรือตีตนไปก่อนไข้ แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลที่อาจเกิดขึ้นได้ และอาจส่งผลกระทบกับสิทธิเสรีภาพของการทำงานของสื่อมวลชนและสิทธิ เสรีภาพของประชาชน แม้ภาครัฐอธิบายว่าข้อกำหนดมีจุดประสงค์จะจัดการกับข่าวปลอมเป็นหลัก ไม่ได้ปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชน แต่การออกข้อกำหนดที่ทำให้ตีความเพื่อใช้อำนาจได้กว้างขวาง อาจส่งผลต่อคนทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน  ภาครัฐจึงต้องแยกแยะระหว่างข่าวปลอมกับข่าวจริงให้ได้ ว่าคนทำข่าวปลอมมักมุ่งทำลายล้าง เพื่อผลประโยชน์มิชอบ ขณะที่คนทำข่าวจริงคือสื่อมวลชนอาชีพส่วนมากที่ทำงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพ เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และความคิดเห็นบนพื้นฐานของความเป็นจริง ภายใต้กรอบของกฎหมาย
             

“ผมจึงขอเสนอให้ภาครัฐรีบทบทวนข้อกำหนดนี้อย่างจริงจัง พร้อมกับแยกให้ออกระหว่างข่าวปลอมกับข่าวจริงว่าควรดำเนินการอย่างไรให้เกิดความพอดีที่จะไม่กระทบกับการทำงานของสื่อมวลชนโดยสุจริต และไม่ปิดกั้นการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญ ภาครัฐต้องพึงระมัดระวังอย่าให้เกิดการใช้อำนาจเกินขอบเขตจากข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจรัฐ เพราะอำนาจที่ใช้โดยไม่ถูกต้องจะเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาทำลาย และสร้างความเสียหายจนยากที่จะแก้ไขได้โดยไม่จำเป็น”นายองอาจ กล่าว