Thursday, 4 July 2024
NewsFeed

‘ผอ.iLaw’ แจงปมแชตไลน์หลุดบังคับโหวตตามสั่ง  ยัน!! ไม่ได้ส่งใครลง สว.-ไม่เกี่ยวข้องกับการลงคะแนน

(26 มิ.ย.67) จากกรณี แชตไลน์หลุด ผู้สมัคร สว.ประท้วง อ้าง 'ไอลอว์' บังคับให้โหวตเทคะแนนเสียงเลือกคนของตัวเอง นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการ iLaw หรือ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้แจงว่า…

“เมื่อ 13 วันก่อน ผมประกาศไว้ชัดเจนแล้วว่า ไม่มีผู้สมัครสว. สาย iLaw เราไม่ได้ส่งใครและเราไม่ได้ดันใคร สาเหตุที่ต้องโพสต์แบบนี้เพราะว่ามีพี่ผู้สมัครหลายคนมาเล่าให้ฟังว่า มีคนไปขอเขาลงคะแนนให้ตัวเอง โดยอ้างว่าตัวเองเป็นสาย iLaw วันนั้นก็เลยคิดว่าจำเป็นต้องประกาศให้ชัด เพื่อไม่ให้ใครเอาไปอ้างอะไรได้อีก”

“แต่ก็คิดว่าคงยังมีคนแอบอ้างอยู่บ้าง อาจจะป้องกันได้ไม่หมด แต่ได้ชี้แจงชัดแล้วเท่าที่ทำได้ ให้ทุกคนมีเครื่องมือ เอาไปยืนยันกันต่อได้”

“วันนี้ทั้งวัน เป็นวันสำคัญของการตกลงว่าใครจะลงคะแนนให้ใคร ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเหล่านั้นเลย วันนี้ทุกคนที่ iLaw นั่งทำงานอยู่ออฟฟิศ และกลับบ้านให้เร็วเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า แต่ปรากฏมีผู้สมัครส่งไลน์ไปด่ากันว่า ไอลอว์ไปบังคับให้โหวตตามสั่ง แล้วก็มีนักข่าวเอาไปออกข่าวกันตอนดึก ๆ”

“ผู้สมัครคนนั้นคือใครก็ไม่รู้ ส่ง LINE ไปให้ใครก็ไม่รู้ แล้วใครไปสั่งให้เขาโหวตก็ไม่รู้อีก…”

“แล้วจะให้เขาโหวตให้ใครก็ไม่รู้อีก อยู่ดี ๆ แม่งด่ากูเฉยเลย???...”

“นักข่าวก็เอาไปเขียนข่าวอีก ไม่มีใครโทรมาถามสักคำ แต่ตอนนี้ดึกแล้วไม่ต้องโทรมาถามแล้วล่ะ นักข่าวที่ไหนอยากถามไปเจอกันที่อิมแพ็คพรุ่งนี้เลยครับ แต่ผมไม่ไปเร็วนะ เพราะกลัวพรุ่งนี้เลิกดึกแล้วจะไม่ไหว ใครไหวรอบเช้าไปก่อนเลยครับ”

‘ตร.ปปป.’ แจ้งข้อหายกก๊วน ‘ผอ.-คณะผู้บริหาร’ รร.พื้นที่หาดใหญ่ ‘ทุจริตอาหารกลางวัน-อุปกรณ์การเรียนเด็ก’ เสียหายหลายล้านบาท

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัฒน์ ผกก.6 บก.ปปป. พ.ต.ท.สมนึก ห่านทองสุขศรี รอง ผกก. (สอบสวน) กก.6 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการแจ้งข้อกล่าวหาแก่คณะผู้บริหารโรงเรียนแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยนายพิพัตน์ อายุ 56 ปี ผอ.โรงเรียน นางอุบล อายุ 55 ปี นางอัญชลี อายุ 64 ปี รอง ผอ.โรงเรียน และ นางถิระนันท์ อายุ 65 ปี หัวหน้าฝ่ายบริหารงานงบประมาณ ในความผิดฐาน ‘ร่วมกันยักยอก’ และ ‘ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม’

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า สำหรับคดีดังกล่าวเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ได้มีคณะครูของโรงเรียนเข้ามายื่นเรื่องตำรวจ บก.ปปป ว่า มีการทุจริตภายในโรงเรียนเกิดขึ้น อาทิ งบอาหารกลางวัน รวมไปถึงอุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ หลังรับเรื่องจึงนำกำลังลงพื้นที่ พร้อมตรวจยึดเอกสารงบประมาณต่าง ๆ ของโรงเรียนมาตรวจสอบ ก่อนพบว่า มีการทุจริตหลายกรณี โดยเฉพาะโครงการอาหารกลางวัน ที่มีการหักเงินส่วนนี้มากถึง 25 เปอร์เซ็นต์ คงเหลือเงินที่จะใช้เป็นงบทำอาหารกลางวันเลี้ยงเด็กเพียงแค่ 70 กว่า เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในจำนวนที่เหลือนี้จะใช้เป็นค่าแรงแม่ครัวและค่าวัตถุดิบประกอบอาหาร

ส่วนต่อมาเป็นการทุจริต เงินสนับสนุนเครื่องแบบหรือ อุปกรณ์การเรียน หนังสือเรียน หลังพบว่ามีการนำเอกสารให้ผู้ปกครองเซ็นรับสิทธิ์ ก่อนนำไปเบิกหนังสือใหม่ตามปกติ แต่พอถึงเวลากลับนำหนังสือเก่ามาเวียนให้เด็กนักเรียนใช้ ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวมีเด็กนักเรียนประมาณ 1.7 พันคน แต่ละปีจะมีการทุจริตเงินงบสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนตกปีละ 1.2 ล้านบาท ขณะที่การทุจริตอาหารกลางวันจะอยู่ที่ปีละประมาณ 9 แสนกว่าบาท เชื่อว่าน่าจะทำมานานหลายปี เพียงแต่หลักฐานย้อนหลังที่เราตรวจพบมีอยู่เพียงแค่ 2-3 ปี

สำหรับเคสนี้เราสอบปากคำพยานมากกว่า 100 ปาก ค่อนข้างมีพยานหลักฐานแน่ชัด แต่เนื่องด้วยโรงเรียนดังกล่าวเป็นโรงเรียนเอกชน จึงไม่เข้าข่ายอำนาจหน้าที่ของ ตำรวจ บก.ปปป. จึงส่งสำนวนต่อให้ทาง บก.ป. เป็นผู้ดำเนินการ จนมีการแจ้งข้อกล่าวหา เบื้องต้นจากการสอบปากคำผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ราย ยังคงยืนกรานปฏิเสธ

อย่างไรก็ตามสำหรับปัญหาลักษณะดังกล่าว ทางเราให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาตำรวจ ปปป. เองก็เคยจับกุมมาแล้วในพื้นที่ กทม. โดยหลังจากนี้จะมีการจัดกำลังลงพื้นที่สุ่มตรวจตามโรงเรียนต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อเป็นการป้องปราม ทั้งนี้อยากฝากไปถึงกระทรวงการศึกษาให้ช่วยเข้มงวดตรวจสอบ นอกจากนี้อยากฝากไปถึง เจ้าอาวาสวัดโคกสมานคุณ ให้ช่วยดำเนินการปลด คณะผู้บริหารโรงเรียนคณะนี้ เพราะทราบว่าก่อนหน้านี้เคยปลดไปแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะมีการเจรจาขอกลับมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา หรือ ม็อบชาวบ้านประท้วงขึ้นมา
พล.ต.ต.ประสงค์ กล่าวว่า เคสดังกล่าวเคยมีการร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่มีหน่วยงานไหนแก้ไข นำมาสู่การร้องตำรวจ ปปป. จนมีการตรวจสอบพบการกระทำผิด อย่างไรก็ตามในส่วนของแม่ครัว เบื้องต้นให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี จึงกันไว้เป็นพยาน ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา

ด้าน พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า หลังกองปราบรับสำนวนต่อมาจาก บก.ปปป. ได้มีการสอบปากคำ พยาน ผู้ปกครอง นักเรียน ครู เจ้าหน้าที่รัฐ กว่า 150 ปาก จนพบว่ามีการให้ผู้ปกครองลงลายมือชื่อในเอกสารไว้ ว่าได้รับเงินตามที่ระบุภายในเอกสาร ซึ่งการกระทำเช่นนี้เข้าข่ายเป็นการปลอมเอกสาร ส่งผลต่อเรื่องการได้รับสิทธิ์ อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องเงินค่าอาหารกลางวัน ก็พบว่าเข้าข่ายความผิดฐาน ยักยอก ซึ่งอัตราโทษการทุจริตทั้ง 2 กรณีมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เพียงแค่เป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ

พ.ต.อ.สถาปนา กล่าวว่า สำหรับเอกสารหลักฐานที่ตรวจยึดมาได้นั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องจัดทำงบประมาณ เงินอุดหนุนรัฐบาล แต่ละโครงการมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไปอาทิ งบอุดหนุนรายบุคคล งบกลางวัน งบสนับสนุนอุปกรณ์ศึกษาและหนังสือเรียน อย่างรายละเอียดเงินอุดหนุนอาหารกลางวันเด็ก พบ มีการสนับสนุนงบให้นักเรียนตก 22 บาทต่อหัว แต่จากการสอบพยานต่างๆ พบว่ามีการหักส่วนต่างไป 5 บาท คงเหลือจ่ายแม่ครัว เพียงแค่ 17 บาท จนทำให้อาหารไม่ได้คุณภาพตามที่ควรจะเป็น 

คนไทยเฮ!! 'รัฐบาล' ยัน!! 'การแพทย์สะดวก' เพื่อคนไทยทุกกลุ่ม พร้อมแล้ว!! 'เอื้อผู้พิการ - ร้านยาใกล้บ้าน - 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรปชช.ใบเดียว'

(26 มิ.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล ขานรับนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้เข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งการอำนวยความสะดวกจัดทำโครงการพัฒนาระบบบริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว หรือ One Stop Service (OSS) รวมไปถึงเชิญชวนคลินิกและร้านขายยาเข้าร่วมโครงการ ‘30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว’ ตั้งเป้าหมายให้มีคลินิกและร้านขายยาเอกชนร่วมโครงการฯ 5,000 แห่ง ภายในปี 2568

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดแพลตฟอร์มสำหรับการตรวจประเมินและออกเอกสารรับรองความพิการแบบอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยระบบดิจิทัล ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ รวมไปถึงการดึงคลินิกและร้านขายยาเอกชนให้เข้าร่วมโครงการ ‘30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว’ เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเข้ารับบริการโดยไม่ต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาล 

นอกจากนี้ รัฐบาลร่วมกันบูรณาการส่งเสริมให้คนพิการสามารถเข้าถึงบัตรประจำตัวคนพิการ โดยจัดทำโครงการพัฒนาระบบบริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว หรือ One Stop Service (OSS) ภายใต้เเนวคิด ‘จุดเดียวจบครบถึงเบี้ย’ เพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการของคนพิการ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้พัฒนาฐานข้อมูลและแอปพลิเคชัน เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการขึ้นทะเบียน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้...

- ระยะที่ 1 คือ การพัฒนาแพลตฟอร์มการตรวจประเมินและออกเอกสารรับรองความพิการแบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้เชื่อมต่อกับระบบยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวคนพิการ 

- ระยะที่ 2 คือ ‘จุดเดียวจบครบถึงเบี้ย’ การเชื่อมโยงระบบบัตรประจำตัวคนพิการกับการยื่นขอสวัสดิการเบี้ยความพิการ โดย พม. จะได้หารือถึงแนวทางการพัฒนาระบบยื่นคำขอสวัสดิการเบี้ยความพิการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้พิการสามารถดำเนินการยื่นขอสวัสดิการเบี้ยความพิการ และเข้าถึงสวัสดิการได้มากขึ้น 

พร้อมกันนี้ สภาเภสัชกรรม ดึงให้คลินิกและร้านขายยาเอกชนเข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้ารับบริการทางการแพทย์กรณีที่มีอาการเจ็บป่วยไม่รุนแรงหรือไม่ซับซ้อน แบ่งเบาภาระโรงพยาบาล และลดความแออัด โดยร้านยาในโครงการนี้จะเป็นร้านยาคุณภาพที่ผ่านการรับรองจากสภาเภสัชกรรม นับเป็นโอกาสให้ร้านยามีส่วนในการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าถึงบริการได้น้อยก็สามารถเข้ามารับบริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการได้ที่ร้านยา ซึ่งจะเป็นการช่วยดูแลในเบื้องต้นได้มากขึ้นเช่นกัน 

นายชัย กล่าวว่า ปัจจุบันในโครงการฯ มีร้านยาเข้าร่วมแล้วกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ โดยให้การดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยไปแล้วกว่า 2 ล้านครั้ง และติดตามผลการให้บริการภายหลัง 3 วัน ซึ่งร้านยาเป็นหน่วยบริการเดียวที่มีการติดตามผลการให้บริการ โดยกว่าร้อยละ 90 หายจากอาการที่เป็นอยู่ ถือเป็นความสำเร็จเบื้องต้นที่น่าพอใจ พร้อมตั้งเป้าหมายให้มีร้านยาเข้าร่วมให้ถึง 5,000 แห่ง ภายในปี 2568 เพิ่มสัดส่วนร้านยาที่ร่วมโครงการฯ ต่อประชากรเป็น 1:10,000 

“นายกรัฐมนตรีมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อประชาชน ให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ เพื่อความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม จึงพร้อมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับคนด้อยโอกาสในสังคม ให้ได้รับการดูแลที่ทั่วถึง สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ระบบเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ เพียงแค่ใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถเข้าใช้บริการได้ใกล้บ้าน” นายชัย กล่าว

‘แม่หมู พิมพ์ผกา’ ไม่ทน!! มอบทนายส่งใบเตือนสื่อ หลังโยงข่าวเลิก ‘นาย-ใบเฟิร์น’ จนได้รับความเสียหาย

(26 มิ.ย.67) จากข่าวลือหนาหู ถึงความสัมพันธ์ของ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก และ นาย ณภัทร ว่าถึงทางตันมีบางส่วนยังโยงไปถึง แม่หมู พิมพ์ผกา หรือแม่ของนาย ณภัทร จนทำให้เกิดความสับสนตามมา

ล่าสุด ทนายเจมส์-นิติธร แก้วโต เปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊ก ‘ทนายเจมส์ LK’ ว่า คุณหมู พิมพ์ผกา สั่งดำเนินคดีให้ถึงที่สุดกับสื่อที่โยงเรื่องราวมั่ว

ทนายเจมส์โพสต์รูปภาพที่ระบุข้อความ “ควรแยกให้ออกระหว่าง Bio กับ Post Bio เขาอาจเขียนไว้นานแล้ว อย่าเพิ่งโยงมั่วนะสื่อ” แล้วกล่าวเพิ่มเติมว่า…

“คุณหมู พิมพ์ผกา สุดทนสั่งดำเนินคดีให้ถึงที่สุด”

“ข้อความใน Bio กับ Post แตกต่างกันนะครับ บางสื่อเอาไปปั่นว่าเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของคุณหมู พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ ทั้งที่ Bio เป็นข้อความที่โพสต์ไว้นานแล้ว ไม่ใช่การ post ในปัจจุบันแต่อย่างใด”

“บางข่าวนำเอาคอมเมนต์ที่ถูกบันทึกไว้ 9 ชม. มาปั่นกระแสข่าว ซึ่งเป็นคอมเมนต์ที่ตอบแฟนคลับในกระทู้ที่โพสต์เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว”

“การนำเสนอข่าวทั้ง 2 รูปแบบ ล้วนเป็นการนำข้อความเท็จมาเผยแพร่ทั้งสิ้น เป็นเหตุให้ คุณหมู พิมพ์ผกา ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง”

“กรุณาอย่าจับโยงกันมั่วจนลืมจรรยาบรรณนะครับ โดยเฉพาะเรื่องในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงจากบุคคลต้นเรื่องให้รอบด้าน ก่อนนำเสนอข่าวครับ”

“เคสนี้ คุณหมู พิมพ์ผกา มอบหมายให้ผมดำเนินการกับทุกสำนักข่าวที่โพสต์ ข้อความทั้ง 2 รูปแบบครับ”

“พรุ่งนี้โนติสออกเดินทางครับ…รอรับได้เลย…ขอบคุณเจ้าของโพสต์ที่เข้าใจครับ”

‘นายกฯ’ เปิดโครงการ ‘Phenix’ ศูนย์กลาง ‘อาหาร’ แบบครบวงจร เชื่อ!! ช่วยผลักดันไทยสู่ Hub ด้านอาหารของโลกอย่างแท้จริง

(26 มิ.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Phenix จุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลก โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่ได้รับเกียรติให้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ฟีนิกซ์” ศูนย์กลางด้านอาหารครบวงจรระดับโลกที่รวบรวมผู้ประกอบการและผู้บริโภคในอุตสาหกรรมอาหารจากทั่วทุกมุมโลกเข้าไว้ด้วยกัน  ซึ่งจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านอาหาร ตลอดจนเพิ่มโอกาสทางการค้าของไทยทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ  

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นับเป็นโอกาสที่ดีที่ AWC ได้ร่วมกับพันธมิตรส่งเสริมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอาหาร ที่ประกอบด้วย ศูนย์กลางการขายส่งอาหารของโลก และ International Pavilion (World’s Food Wholesale Hub และ International Pavilion) ตลอดจนฟูดเลานจ์ที่รวบรวมร้านอร่อยไว้ให้ผู้บริโภค พร้อมทั้งรองรับกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านอาหารต่าง ๆ ที่จะจัดขึ้นในอนาคต ฟีนิกซ์ จะเป็นสถานที่ที่มอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวนานาชาติ และเป็นอีกหนึ่งพลังของ Soft Powerด้านอาหารไทยที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Must Eatใน 5 Must Do in Thailand 

“ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งครับว่าโครงการฟีนิกซ์จะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย 
ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สอดคล้องกับโครงการ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” (Thai Kitchen to the World) ของรัฐบาล เพื่อทำให้ประเทศไทยเราเป็น Hub ด้านอาหารของโลกอย่างแท้จริง ขอแสดงความยินดีกับ AWC กับก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนโครงการฟีนิกซ์ และมีส่วนร่วมในการผลักดันอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้เป็นหมุดหมายด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลกต่อไป ผมขอเปิดโครงการฟีนิกซ์ จุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

‘อดีตเจ้าของร้านอาหาร’ ผันตัวตระเวนตัดขนหมาจรนาน 12 ปี เผย!! ดีใจ-มีความสุขที่ได้แปลงโฉมหมาเน่าให้เป็นหมาสวย

(26 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเกรียงไกร ธาตวากร หรือแอ็ดดี้ อายุ 48 ปีเจ้าของฉายาฮีโร่ของหมาจรจัด อดีตเจ้าของธุรกิจร้านอาหารโต๊ะจีนและร้านตัดขนสุนัขชื่อดังใน จ.ศรีสะเกษ ดีกรีปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1 ที่ผันตัวมาเป็นจิตอาสาตัดขนหมาจรจัดประเภทขนยาวฟรีทั่วประเทศ ด้วยเงินทุนส่วนตัว โดยตัดเฉพาะหมาที่มีขนยาว เป็นสังกะตัง เป็นกระจุก ที่อาศัยอยู่ตามวัด คอกพักพิงสุนัขจรจัด สถานที่ราชการ สวนสาธารณะหรือสถานที่ต่าง ๆ โดยไม่มีเจ้าของ

วันนี้ได้เดินทางถึง จ.ตรัง พร้อมเปิดตัดขนสุนัขจรจัด ที่มีชาวบ้านนำมาจากวัดต่าง ๆ จำนวนหลายตัว เน้นตัวที่ไม่ดุ สามารถจับอุ้มได้หรือเชื่อฟังคำสั่ง บางตัวเป็นขี้เรื้อน จึงต้องมีการแปลงโฉมจากหมาเน่าให้เป็นหมาสวย พร้อมสอนวิธีทำยาแก้โรคเรื้อน ซึ่งมีส่วนผสมของผงขมิ้นชัน น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าว ผลมะกรูด และกำมะถัน ผสมน้ำเปล่า ก่อนจะทาให้ทั่วตัวสุนัขทุก 3 วัน ไม่เกิน 1 เดือน ก็จะทำให้ทำสุนัขหายจากโรคเรื้อนและโรคผิวหนังได้อย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้ ยังแจกยาทาโรคเรื้อนให้กับชาวบ้าน นำไปรักษาสุนัขที่บ้านคนละ 1 กระปุกฟรีด้วย โดยสุนัขที่ตัดขนแล้ว มีหน้าตาที่สวยหล่อขึ้นผิดหู ผิดตาไปเลยทีเดียว ส่วนที่คอกพักพิงสุนัขจรจัดของเทศบาลนครตรัง พบมีสุนัขขนยาวเป็นสังกะตังจำนวน 5-6 ตัว แอ็ดดี้จึงจับมาแปลงโฉมใหม่ เพื่อเป็นหมาหล่อ หมาสวยขึ้นภายในเวลา 8-15 นาที เผื่อจะได้บ้านหลังใหม่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และได้รับความรัก ความอบอุ่นมากขึ้น

โดยปีนี้ ‘แอ็ดดี้’ ตระเวนตัดขนหมาจรจัดฟรีเป็นปีที่ 12 แล้ว เพื่ออุทิศส่วนกุศลจากการคิดดี ทำดีให้กับอดีตแฟนสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว และมีความสุขทุกครั้งที่เห็นหมาเน่า เป็นหมาสวย สุขภาพดีขึ้น จึงตั้งใจจะเป็นจิตอาสาตัดขนหมาฟรีต่อไปจนกว่าจะทำไม่ไหว โดยไม่ขอรับเงินบริจาคใด ๆ และอาศัยนอนวัดหรือคอกพักพิงสุนัข ไม่นอนโรงแรม เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับหมาจรจัดทุกที่ที่ไป ซึ่งเคยมีบ้างที่ถูกกัดจากการทำงาน แต่ไม่มากนัก

ขณะที่นางลาภมิตร สิทธิชัย อายุ 67 ปีชาวตำบลท่าสะบ้า อ.วังวิเศษ จ.ตรัง ชาวบ้านที่นำสุนัขจรจัดมาใช้บริการกล่าวว่า รู้สึกพอใจมาก และตนเพิ่งมาครั้งแรกหลังเห็นในโพสต์ โดยนำมา 2 ตัว ดูแล้วดี คนตัดได้บุญมากและอานิสงส์นี้ขอให้ไปถึงหมาจร เพราะตนดูแลอยู่ที่สวนสาธารณะ เอาข้าวให้กินทุกวัน พอเห็นโพสต์ก็ไปรับหมาจรที่สี่แยก อ.ต.ก ซึ่งตนเป็นคนให้ข้าวหมาจรอยู่ตลอดทุกวัน

ด้านนายเกรียงไกร ธาตวากร หรือแอ็ดดี้ จิตอาสาตัดขนสุนัขฟรี กล่าวว่า ตนเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือตัดขนหมาจรจัดที่เดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อตัดขนหมาสายพันธุ์ขนยาว ตามบ้านพักพิงหมาจรจัดและมูลนิธิหมาจรจัด ที่มีกระจายอยู่เกือบทั่วประเทศ ซึ่งที่เจอส่วนมากเป็นโรคผิวหนัง เป็นเชื้อรา เห็บหมัด แต่ละตัวใช้เวลาตัดอยู่ที่สภาพของขน ถ้าไม่ได้เสียมากอยู่ที่ 8 นาที ไม่เกิน 10 นาทีเสร็จ 

แอ็ดดี้ ยังบอกอีกว่า เขาทำมานาน 12 ปีแล้ว มาตัดขนแล้วได้เห็นสภาพของหมาที่เป็นสังกะตัง และต้องเร่ร่อนอยู่ข้างถนนหรือศูนย์พักพิงที่มีจำนวนมาก ๆ ถ้าเป็นกลุ่มสายพันธุ์ขนยาวจะมีขนเสีย เป็นสังกะตังเต็มไปด้วยขี้เยี่ยว พอไปตัดขนให้พวกเขา โอกาสจะหาบ้านใหม่ก็มีสูงมาก ส่วนใครสนใจติดต่อตนได้ทาง FB เกรียงไกร ธาตวากร แต่ตนจะช่วยเหลือเฉพาะคนที่ช่วยเหลือหมาจรจัด ถ้าเป็นหมามีเจ้าของก็ให้เขาไปใช้บริการตามร้านตัดขนในท้องที่บ้านเขา

ฮือฮา!! ทีเซอร์เพลงใหม่ 'LISA' เผยโฉม ‘เยาวราช - บางลำภู’ โชว์ชาวโลก ด้านแฟนคลับรอชม ROCKSTAR เต็มๆ เช้าวันศุกร์ที่ 28 มิ.ย.67 นี้

(26 มิ.ย. 67) สร้างความฮือฮาไปทั่ว เมื่อนักร้องดังระดับโลก ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ ปล่อย MV Teaser เพลง ROCKSTAR ความยาวเพียง 10 วินาทีออกมาเรียกนํ้าย่อย แล้วพบว่าเธอแอบมาซุ่มถ่ายทำมิวสิควีดิโอเพลงเดี่ยวเพลงแรกที่ทำภายใต้บริษัท LLOUD ของตัวเอง ที่บ้านเกิด ประเทศไทย

พร้อมเลือกสถานที่ยอดนิยมอย่าง เยาวราช และห้างนิวเวิลด์ บางลำพู ให้ปรากฏอยู่ในเพลงที่จะเผยแพร่ออกสู่สายตาชาวโลก

ในทีเซอร์เพลง ROCKSTAR มีฉากที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าถ่ายทำในประเทศไทย คือ ฉากลงมาจากบันไดเลื่อนในห้างที่มืดมิด มีเพียงแสงไฟสีแดงดวงเดียวส่องอยู่ด้านหลัง ซึ่งคนที่คุ้นเคยจะรู้ดีว่านั่นคือภายในของห้างสรรพสินค้า นิวเวิลด์ บางลำพู ที่ถูกทิ้งร้างมานานกว่าสิบปี แต่ล่าสุด ทางสำนักงานเขตพระนคร ได้เข้าปรับปรุงพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์

สถานที่อีกแห่งคือ ย่านเยาวราช โดยมีซีนที่ลิซ่ายืนตระหง่านอยู่กลางถนนยามค่ำคืน มีป้ายไฟนีออนเขียนชื่อร้านเป็นภาษาไทย ภาษาจีนปรากฏอยู่เป็นฉากหลังอย่างสวยงาม และซีนที่ลิซ่าเดินอยู่บนถนนท่ามกลางเหล่าแดนเซอร์ ทำให้จินตนาการถึงภาพการเต้นยับ กลางถนนเยาวราช ที่เราจะได้เห็นกันใน MV ตัวเต็ม

นอกจากนี้ยังมีซีนผู้ชาย 3 คนนั่งอยู่หน้าร้านสัก ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอีกอย่างของประเทศไทย ในสายตานักท่องเที่ยวเช่นกัน

ทั้งนี้ แม้ว่า Blackpink จะยังต่อสัญญากับต้นสังกัดเดิมในส่วนของงานวง แต่สมาชิกทั้ง 4 คนนั้นไม่ได้ต่อสัญญาเดี่ยวกับทาง YG Entertainment โดย ลิซ่า เลือกเปิดบริษัทของตัวเองที่ชื่อ บริษัท LLOUD Co. พร้อมจับมือทำสัญญากับค่ายเพลงระดับโลกอย่าง RCA Records ในการทำผลงานเพลงเดี่ยว ซึ่งเพลง ROCKSTAR นี้ถือเป็นผลงานเพลงชิ้นแรกภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว

ติดตามรับชม MV เพลง ROCKSTAR ของ ลิซ่า ได้เช้าวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2567 นี้ เวลา 07.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

‘กทม.’ โชว์ผลงาน 2 ปี ‘ทราฟฟี่ ฟองดูว์’ แก้ปัญหาคนกรุงฯ 79% ชาวเน็ตถามกลับ “แก้ได้ตรงจุด ปัญหาไม่เกิดซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์?”

(26 มิ.ย. 67) กรุงเทพมหานคร ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า "หลังจากเปิดการใช้งานมาแล้วกว่า 2 ปี วันนี้ ทราฟฟี่ ฟองดูว์ เปลี่ยนชีวิตของชาวกรุงเทพฯ ไปอย่างไรบ้าง?”

1. ดีขึ้น
- ทราฟฟี่ ฟองดูว์ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถแจ้งเรื่องได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแพลตฟอร์ม ทำให้ปัจจุบันมีสัดส่วนการแจ้งเรื่องนอกเวลาราชการ เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 เท่า หรือคิดเป็น 345,975 เรื่อง

2. ลาขาดความเชื่องช้าของการแก้ปัญหา
- ทราฟฟี่ ฟองดูว์ ช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเร็วขึ้น 31 เท่า หรือใช้เวลาแก้ปัญหาเฉลี่ย 2 วัน
- ใช้เวลาแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้น ลดลง 97% จากเดิม ในเดือน มิ.ย. 65 ใช้เวลาราว ๆ 1,375 ชั่วโมง หรือเกือบ 2 เดือน เหลือเวลาแก้ไขปัญหาเพียง 45 ชั่วโมง หรือ 2 วัน ในเดือน พ.ค. 67

3. แก้ไขปัญหาตรงจุด
- นับจากการเริ่มใช้งาน ทราฟฟี่ ฟองดูว์ ในกรุงเทพมหานคร มีจำนวนเรื่องกว่า 588,842 เรื่อง
- ทราฟฟี่ ฟองดูว์ สามารถช่วยแก้ปัญหาไปแล้วมากกว่า 465,291 เรื่อง หรือ 79% ของจำนวนเรื่องที่แจ้งทั้งหมด

ปรากฏว่ามีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นถึงประสิทธิภาพการให้บริการทราฟฟี่ ฟองดูว์ บ้างก็วิจารณ์ถึงการบริหารงานของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนปัจจุบัน อาทิ

"แรก ๆ ดีมากค่ะ หลัง ๆ ส่งต่อ ฝ่ายที่ได้รับ เงียบบอกหาที่ไม่เจอบ้าง ส่งพิกัดไปใหม่ก็เงียบ ส่วนที่แก้ไปแล้ว ก็กลับมาพังอีก เหมือนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปไม่ถาวรค่ะ"

"จุดที่แจ้งสภาพยังเหมือนเดิม"

"ถ้านับว่าการตอบว่า "เป็นหน้าที่ของหน่วยงาน...ได้ส่งเรื่องต่อให้แล้ว" เป็นการแก้ปัญหาแล้ว ก็เอาที่สบายใจนะ"

"ใช้ประจำครับ เรื่องที่ไวคือ ขยะข้างทาง ทางเท้าชำรุด ไฟดับ หาบเร่กินทางเท้า บางเรื่องที่นาน เช่น ถนน หรือสายไฟ คืออะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ตรง ๆ จะช้า แต่เข้าใจเลย คนที่เข้าใจว่าอะไร ๆ ก็ กทม. ต้องทำ ก็จะไม่เข้าใจต่อไป เพราะเขาไม่ได้คิดจะเข้าใจ หรือลงมือช่วยทำเพื่อการเปลี่ยนแปลง ผมก็ส่งตลอด ไม่ได้สำเร็จทุกเรื่อง แต่เราช่วยแจ้งและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นะ บางคนก็แจ้งปัญหาแบบบ่น หรือสเกลใหญ่มาก ซึ่งเกินขอบเขตหน่วยย่อยหน่วยเดียว ปัญหาที่เหมาะคือปัญหาที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ คน มีงบ รอนั่นละครับ อันไหน เป็น GAP คือ คนแจ้งแล้วปิดไม่ได้ก็วิเคราะห์แล้วก็จัดการไปเรื่อย ๆ "

"เคยแจ้งจนระอาทุกวันนี้คือ ทางเท้าน้ำดีดไม่ดีดแล้วกระเบื้องแตกน้ำขังเป็นปลักโคลน ขยะสะสมบนและข้างทางเท้าจนเปื่อยรอวันลอยไปกับน้ำรอการระบาย สวนหย่อมกลายเป็นทุ่งหญ้าพลิ้วไหวไปกับควันท่อไอเสีย ฝนมาพากันออกกำลังกิจกรรมเข้าจังหวะวิ่งหลบน้ำบนถนนที่สาดมาเวลารถวิ่งผ่าน ฮึบ ๆ ป้ายรถเมล์และใต้สะพานเป็นที่นอนถาวรคนจรจัด"

"หลาย ๆ อย่างที่แก้ไปแล้วคือไม่ได้แก้ โยธาห้วยขวางนี่ดองเรื่อง 6 เดือนแล้วแอบแปะว่าแก้แล้ว ระบบที่ไม่มีคนตาม ไม่ได้วัดผล และไม่มีคนตรวจสอบว่าที่แก้ไปแล้วแก้จริงมั้ย"

"ช่วยหน่อยค่ะ ตั้งเเต่เดือน 1 กราฟิกไม่เคลื่อนไหวเลย 6 เดือนละค่า"

"หลัง ๆ เริ่มเกินเวลา ถามอัปเดตไม่มีใครตอบอีก"

"แน่ใจนะคะ ถ้าแจ้งแล้วแค่ถ่ายรูป ว่าจัดการแล้ว แต่ปัญหายังเกิดเหมือนเดิมถือว่ายังไม่ได้แก้ค่ะ"

"แจ้งฟองดูว์ก่อนเกิดเรื่องตกท่อตายที่ลาดพร้าว รวมในผลงานด้วยไหมครับ"

"เน้นจำนวนไม่เน้นคุณภาพ"

"แก้ปัญหาที่ปัญหามีเท่าเดิม เรื่องหลัก ๆ ก็เหมือนเดิม เลขโง่ ๆ ใครก็ใส่ให้เยอะได้ แต่หลักฐานมันก็ไม่เปลี่ยน"

"แจ้งไป 2 ปีที่แล้ว ฟองดูไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยค่ะ มีรูปถ่ายพร้อม สถานที่ชัด แต่"

"79% แก้ตรงจุด ปัญหาไม่เกิดซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์ครับ"

"หลายเรื่องได้รับการแก้ไข แต่ปัญหากลับมาเหมือนเดิมหลังจากนั้น 3 วัน อันนี้ถือว่าได้รับการแก้ไขมั้ย"

"อย่าอวยตัวเองน่า บางงานเป็นปีแล้วยังไม่มีคนตาม ไม่มีคนทำ กทม.มีตรงไหนดีขึ้น?? ฟุตบาท ทางข้าม จราจร เหมือนเดิม แย่ลงก็มีอีกเยอะ อะที่ดีขึ้นก็มีบ้างนิดนึงแล้วกัน เช่นทาสี ไฟฟุตบาท แค่นี้"

"แรก ๆ พอส่งเรื่องต่อคนรับผิดชอบดีมาก แต่หลัง ๆ คงทำงานเช้าชามเย็นชามเหมือนแต่ก่อน แอปไม่ผิดแต่ผิดที่เจ้าหน้าที่คนที่ต้องรับผิดชอบงานไม่ทำหน้าที่ไม่แก้ไขปัญหาค่ะ"

"บางหน่วยงานทำงานไวมาก ดีมาก เช่น เขตดินแดงส่วนที่รับผิดชอบเรื่องความสะอาด เต็มสิบไม่หัก บางหน่วยงานกดปิดงานแบบดื้อ ๆ เลยค่ะ (รายงานเกี่ยวกับพื้นถนนในซอย/ไฟส่องทางตรงพระราม 9) "

"ตอนแรก ๆ เราชอบ platform กับหน่วยงานใน กทม. พอตอนหลัง ๆ มีเยอะมากขึ้น ดังนั้นการส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบและการตามงานมันยากกว่าเดิม สำหรับบางเขต ส่งปัญหาไป แก้ปัญหาโดยการแค่ฟังคำแก้ตัวแล้วบอกปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว บางเขตก็แก้ไขจริง ๆ แต่พอต้องดีลกับหน่วยงานอื่นมักเชื่อแค่คำชี้แจงโดยไม่ดูหลักฐานจากประชาชน"

"ยังมีเรื่องค้างเติ่งที่หน่วยงานแก้ไขให้ไม่ได้ แถมยังขอจบเรื่องเองโดยที่ไม่ทำการแก้ไข ขอฝากไว้ด้วยนะคะ"

"รถติด น้ำท่วม ปัญหาหลัก ทำไมไม่แก้ แก้แต่ปัญหาเล็ก ๆ แล้วชมตัวเองว่าทำงานได้ดี "

"เปลี่ยนชีวิตหลายคนให้ร่ำรวยขึ้นจากการขายเครื่องออกกำลังกายได้ราคาแพงกว่าปกติหลายเท่า (ผลสอบหาคนผิดยังไม่มีเลย 20 กว่าวันแล้ว) "

"ว่าแล้ว เวลามีเรื่องแย่ ๆ ของ กทม. โดยเฉพาะกับผู้ว่า ก็จะต้องมีการทำโพลหรือทำตัวเลขออกมาให้ดูว่ามีความพึงพอใจ หรือมีผลงาน ... ว่าแต่เรื่องลู่วิ่งนี่ผลสอบออกมารึยังนะ"

"เหมือนเดิมครับ อะไรที่คิดว่าจะแก้ไขให้ดี ก็เหมือนแก้ไข ผ่าน ๆ ไป"

"สงสัย หน้าที่ที่ต้องทำประจำในทุก ๆ วัน นับรวมด้วยหรือ"

"ถ้ารับตำแหน่งกับวิ่งในสวนเป็นผลงาน ก็ไม่แปลกที่ผลงานจะเยอะขนาดนั้น"

"ส่วนปัญหาที่ด่าอัศวินไว้ยังแก้ไม่ได้สักอัน"

"พอเถอะ ศึกษามา 2 ปี ฝึกงานอีก 4 ปี พอเสร็จแล้วจะไปไหนก็ไปนะครับ"

‘ศิริวัฒน์ แซนด์วิช’ ร่วมก๊วนปั่นหุ้น ‘PRINC’ บดขยี้ภาพลักษณ์ ‘ฮีโร่นักธุรกิจสู้ชีวิต’

(26 มิ.ย.67) สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานข่าวใหญ่ที่เรียกความสนใจจากนักลงทุนทั้งตลาดหุ้น โดยประกาศใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ผู้กระทำความผิดร่วมกันสร้างราคาหุ้นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC สั่งปรับเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 426.79 ล้านบาท

ผู้ร่วมขบวนการปั่นหุ้น PRINC ประกอบด้วย นายสาธิต วิทยากร นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ น ส.พัลลภา วิทยากร นางพเยาว์ ชลาชีพ นางสมปอง ศรีสุภรวงศ์ และ น.ส.ภีชญา กริ่มวงศ์รัตน์

บุคคลทั้ง 6 ได้ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น PRINC ในลักษณะสร้างราคาหลักทรัพย์ ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2560 จนถึงเดือนมิถุนายน 2561 โดยมีความสัมพันธ์กันในทางส่วนตัว เส้นทางการเงิน ทางหุ้นหรือธุรกิจ หรือผ่านการเชื่อมโยงกับบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกัน

และร่วมกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำในการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น PRINC ในลักษณะสร้างราคา ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะต่อเนื่องกัน โดยมุ่งหมายให้ราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด เช่น ผลักดันราคาต่อเนื่อง สลับขายทำกำไรระหว่างวัน และครองคำสั่งเสนอซื้อ (Bid) ทำราคาปิด

ก.ล.ต.สั่งลงโทษนายสาธิต และนายศิริวัฒน์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รายละ 1,052,733 บาท ห้ามนายสาธิต ซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 33.5 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 67 เดือน

ห้ามนายศิริวัฒน์ ซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นเวลา 28 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 56 เดือน

สั่ง น.ส.พัลลภา ชำระค่าปรับจำนวน 287.24 ล้านบาท นางพเยาว์ ชำระค่าปรับ 81.53 ล้านบาท นางสมปอง ชำระค่าปรับ 3.13 ล้านบาท และ น ส.ภีชญา ชำระค่าปรับ 52.77 ล้านบาท และห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ ห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์หรือผู้ออกหลักทรัพย์ตามที่เงื่อนเวลาที่ ก.ล.ต.กำหนด

คดีปั่นหุ้น PRINC ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ค่าปรับจำนวน 426.79 ล้านบาท เพราะแม้จะเป็นวงเงินสูง แต่คดีปั่นหุ้นบริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA ซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการ 40 คน นำโดย นายอมร มีมะโน อดีตผู้บริหารบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่ ก.ล.ต.ฟ้องบังคับชำระค่าปรับเป็นเงินจำนวน 2.3 พันล้านบาท

แต่ความน่าสนใจคดีปั่นหุ้น PRINC อยู่ที่มีคนชื่อดังเข้าร่วมขบวนการปั่นหุ้น สมคบคิดกันหลอกต้มเงินนักลงทุนด้วย คือ นายสาธิต และนายศิริวัฒน์

นายสาธิต เป็นประธานกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ PRINC โดยชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในตลาดหุ้น หลังขายหุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH จำนวน 71.94 ล้านหุ้น หรือ 9.04% ของทุนจดทะเบียน ให้กลุ่มธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในราคาหุ้นละ 151.50 บาท รวมเป็นเงิน 10,900 ล้านบาท เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565

คนที่เป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียน เจ้าของโรงพยาบาล มีเงินจนอยู่ในฐานะมหาเศรษฐี ใครจะคิดว่าจะเข้าร่วมแก๊งปั่นหุ้น หากินกับการสร้างภาพลวงตาหลอกนักลงทุนรายย่อย ได้เงินไม่กี่สิบกี่ร้อยล้านบาท

ค่าปรับที่ ก.ล.ต.เรียกชำระ นายสาธิต จ่ายได้สบายอยู่แล้ว แต่ชื่อเสียงที่เสียหาย กลายเป็นนักปั่นหุ้น จะลบล้างอย่างไร

ส่วนนายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ วนเวียนในตลาดหุ้นมายาวนานประมาณ 40 ปี เคยเป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ ก่อนผันตัวเองเป็นนักลงทุน และมักอ้างเป็นตัวแทนของนักลงทุน ปกป้องผลประโยชน์ของรายย่อย ในการเคลื่อนไหวเรียกร้องการแก้ปัญหาตลาดหุ้น และการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ

ชื่อเสียงของนายศิริวัฒน์ ดังกึกก้อง หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ในฐานะนักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ มีหนี้สินล้นพ้นตัว จนต้องลงมาขายแซนด์วิช และประกาศจะนำบริษัทที่ผลิตและขายแซนด์วิชเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น แต่ไม่บรรลุเป้าหมายการนำหุ้นแซนด์วิชเข้าระดมทุน

ชะตากรรมของนายศิริวัฒน์ ในปี 2540 เรียกความสนใจไปทั่วโลก จนสื่อดังจาก บี.บี.ซี.เข้ามาสัมภาษณ์ มีการนำเรื่องราวของนักธุรกิจที่ตกอับลงมาขายแซนด์วิช สร้างเป็นภาพยนตร์

ภาพนายศิริวัฒน์ ถูกวาดไว้สวยหรู ในฐานะนักธุรกิจสู้ชีวิต

แต่แม้จะตกอับจนต้องขายแซนด์วิช นายศิริวัฒน์ ก็ไม่ได้เหินห่างจากตลาดหุ้นเท่าใดนัก ยังโผล่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนอยู่หลายครั้ง

ภาพลักษณ์การเป็นฮีโร่นักสู้ชีวิตที่สวยหรูของนายศิริวัฒน์ ดำรงมาหลายสิบปี แต่การเข้าร่วมขบวนการปั่นหุ้น PRINC กำลังทำลายภาพลักษณ์ที่ดีจนหมดสิ้น

‘อุ๊งอิ๊ง’ เปิดตัวศูนย์ ‘TCDC’ แห่งใหม่ นำร่อง 10 จังหวัด หนุนทุนวัฒนธรรม-ความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันสู่ซอฟต์พาวเวอร์

(26 มิ.ย. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ร่วมเปิดงานประกาศจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ (New TCDC) ใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย นครราชสีมา ปัตตานี พิษณุโลก แพร่ ภูเก็ต ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุตรดิตถ์ และอุบลราชธานี โดยมีสมาชิกพรรคเพื่อไทยในแต่ละจังหวัดเข้าร่วมงาน อาทิ น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายพชร จันทรรวงทอง สส. นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายนิกร โสมกลาง สส. ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย เป็นต้น 

น.ส.แพทองธาร กล่าวเปิดงานว่า งานนี้เป็นการประกาศจุดเริ่มต้นของนโยบายการยกระดับทุนวัฒนธรรม เสริมทักษะและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ให้เป็นพลังขับเคลื่อนกระบวนการ Soft Power ที่สำคัญของประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน ทุนทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นหนึ่งปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่ประเทศไทยมีภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่ามากมาย แต่ยังขาดการบูรณาการและกลไกที่เหมาะสมในการนำมาพัฒนา และต่อยอดให้กลายเป็นทรัพยากรหลักของประเทศ

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รัฐบาลจึงมีนโยบาย "สร้างคน เพิ่มทักษะ" ผ่านการจัดตั้ง "ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ" หรือ TCDC แห่งใหม่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ที่เป็นภูมิปัญญาสำคัญในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ดนตรี การออกแบบ ศิลปะ และวิถีชีวิตอื่น ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอดคล้องกับนโยบาย “1 ครอบครัว 1 Soft Power” (OFOS) ที่จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกบ้าน ทุกครัวเรือนอย่างแท้จริง เปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าฝึกอบรมผ่าน TCDC โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งค่ายมวย 400 แห่งที่จะร่วมอบรมมวยไทยด้วย เพื่อให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงได้ ตั้งแต่ระดับตำบล จังหวัด จนถึงระดับประเทศ 

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า นโยบายการสร้างคนผ่านการ Upskill-Reskill จะสำเร็จได้ผ่านความร่วมมือของหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานอย่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) ที่เป็นจุดตั้งต้นในการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ ใน 10 จังหวัดขึ้นในระยะแรก รวมถึงการผนึกกำลังขององค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐส่วนท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ ที่มาร่วมอำนวยความสะดวกในการจัดหาทรัพยากรพื้นฐานและความร่วมมือ ไปจนถึงหน่วยงานสนับสนุนอย่างสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ในการจัดหาหลักสูตรในการอบรม พัฒนาทักษะ พร้อมออกใบรับรองศักยภาพ ทั้งหน่วยงานที่รับช่วงต่อในการสร้างงาน เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานเหล่านี้ได้เข้าถึงตลาดงานที่สำคัญ ที่จะเชื่อมต่อความสำเร็จทั้งระบบไปสู่ตลาดระดับประเทศและตลาดโลกได้

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานหลักกับองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐส่วนท้องถิ่น ที่ได้รับการคัดเลือกจัดตั้ง TCDC แห่งใหม่ ใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทุนวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ในระดับภูมิภาค การสร้างเครือข่ายและกลไกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะและศักยภาพของคนในพื้นที่ และการส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ระดับท้องถิ่น โดยทั้ง 3 เป้าหมาย จะเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถนำทุนทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของเรา ไปสู่การสร้าง Soft Power ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป

ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวว่า ศูนย์ 10 จังหวัดคัดเลือกมาจาก 24 จังหวัด ซึ่งดูจากความพร้อม เมื่อมีการจัดตั้งแล้ว 10 จังหวัดนี้จะเป็นการพัฒนาทั้งต้นน้ำและกลางน้ำ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในช่วงปีหน้า ส่วนการเดินสายไปเยี่ยมชมศูนย์ต่าง ๆ นั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน นอกจากนี้ในอนาคตเราอยากให้มีศูนย์ระดับนานาชาติตามมหานครใหญ่ ๆ ทั่วโลก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top