Tuesday, 2 July 2024
NewsFeed

🔎เปิด 10 ธุรกิจสร้างรายได้มากที่สุดในไทย ประจำปี 2566 💸

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย. 67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2566 และได้ส่งงบการเงินภายในวันที่ 31 พ.ค. 2567 จำนวน 581,856 ราย คิดเป็น 86.6% จากนิติบุคคลที่ต้องส่งงบการเงินทั้งหมด 671,823 ราย และคงเหลือนิติบุคคลที่ไม่ได้นำส่งอีกจำนวน 89,967 ราย คิดเป็น 13.4% 

โดยได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่ส่งงบการเงินมาวิเคราะห์ในเชิงธุรกิจ พบว่า รายได้ของนิติบุคคลทั่วประเทศมีจำนวนกว่า 57.86 ล้านล้านบาท และมีผลกำไรกว่า 2.34 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มภาคการผลิต สามารถทำรายได้สูงสุดจำนวน 23.72 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.00% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 1.10 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.03% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

รองลงมาคือกลุ่มภาคขายส่ง/ปลีก ทำรายได้ 23.32 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40.30% ของรายได้ทั้งหมด ทำกำไรอยู่ที่ 0.46 ล้านล้านบาท คิดเป็น 19.57% ของกำไรสุทธิทั้งหมด และกลุ่มภาคบริการ ทำรายได้จำนวน 10.82 ล้านล้านบาท คิดเป็น 18.70% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 0.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 33.40% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

นอกจากนี้กรมฯ ยังได้วิเคราะห์รายธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้สูงสุด 10 อันดับแรกใน ปี 66 ได้แก่

1.ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำรายได้ 3.84 ล้านล้านบาท
2. ธุรกิจขายส่งนาฬิกาและเครื่องประดับ ทำรายได้ 3.12 ล้านล้านบาท
3. ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ ทำรายได้ 2.39 ล้านล้านบาท   

4. ธุรกิจผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล ทำรายได้ 1.56 ล้านล้านบาท
5. ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ ทำรายได้ 1.55 ล้านล้านบาท
6.ธุรกิจขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถนั่งส่วนบุคคลฯ ทำรายได้ 1.45 ล้านล้านบาท

7. ธนาคารพาณิชย์ ทำรายได้ 1.11 ล้านล้านบาท
8. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำรายได้ 1.07 ล้านล้านบาท
9. ธุรกิจขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน ทำรายได้ 1.02 ล้านล้านบาท
10. ธุรกิจขายส่งเชื้อเพลิงเหลว ทำรายได้ 0.96 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ธุรกิจทั้ง 10 อันดับที่กล่าวมาข้างต้นส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดไซซ์ L ที่สามารถทำรายได้สูงสุดในธุรกิจแต่ละประเภท

นางอรมน กล่าวว่า สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือน พ.ค. 2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 7,499 ราย เพิ่มขึ้น 969 ราย เพิ่มขึ้น 0.83% เมื่อเทียบกับ พ.ค. 66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 21,887.12 ล้านบาท ลดลง 22.97% การที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น โดยประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร

ในขณะที่จำนวนการจดทะเบียนเลิก 1,004 ราย เพิ่มขึ้น 194 ราย คิดเป็น 23.95% เมื่อเทียบกับ เม.ย. 67 และลดลง 230 ราย คิดเป็น 18.64% เมื่อเทียบกับ พ.ค. 66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 54,804.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49,707.54 ล้านบาท 

ทั้งนี้ มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกสูงผิดปกติเป็นผลมาจากการเลิกประกอบกิจการของ 2 บริษัทขนาดใหญ่ ได้แก่ บริษัทกรุงเทพอินเตอร์เทเลเทค จำกัด (มหาชน ) และบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา เรียลตี้ จำกัด เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของธุรกิจให้คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 98 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 59 ราย และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการอื่น ๆ 25 ราย

สำหรับภาพรวมการจดทะเบียนจัดตั้ง 5 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวน 39,032 ราย ลดลง 1.58 % ทุนจดทะเบียน 117,099 ล้านบาท ลดลง 69.89 ซึ่งมีอัตราการจัดตั้งลดลงเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการ 5 เดือนแรกมีจำนวน 4,623 ราย ลดลง 14.99 % ทุนจดทะเบียนเลิก  71,844 ล้านบาท เพิ่ม 65.89% 

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า เสถียรภาพทางการเมือง และความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้การคาดการณ์ยอดจดทะเบียนธุรกิจ ทั้งปี 2567 มีอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ปี 2566) 

ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้คาดการณ์ตัวเลข การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 44,000 - 47,000 ราย และทั้งปี 90,000 - 98,000 ราย

ปัจจุบัน (31 พ.ค. 2567) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,916,267 ราย โดยจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวน 916,634 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 22.26 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัดจำนวน 714,143 ราย คิดเป็น 77.91% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 16.02 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 201,031 ราย คิดเป็น 21.93% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 0.47 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,460 ราย คิดเป็น 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 5.77 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้กรมยังได้วิเคราะห์ธุรกิจที่ต้องจับตามอง โดยเห็นว่า กระแส Art Toy ของเล่นสะสมที่สร้างสรรค์งานศิลปะโดยศิลปินจากต่างประเทศและศิลปินไทยก็กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก ส่งผลให้ ‘ธุรกิจของเล่น’ กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามอง แม้ในช่วง 5 ปี ย้อนหลังที่ผ่านมา (พ.ศ. 2562-2566) ธุรกิจของเล่นจะมีการเติบโตที่ผันผวนเพราะมีปัจจัยด้านการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาส่งผลกระทบเชิงลบ แต่เมื่อสถานการณ์สงบลงธุรกิจของเล่นก็ใช้เวลาไม่นานที่สามารถกลับมาพลิกฟื้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก (S) ที่ครองตลาดส่วนใหญ่มากถึง 1,024 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 220 ราย และกลุ่มขายจำนวน 804 ราย คิดเป็น 93.7% จากจำนวนธุรกิจของเล่นที่มีจำนวน 1,093 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 238 ราย และกลุ่มขายจำนวน 855 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 5,692.21 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มผลิตจำนวน 2,909.61 ล้านบาท และกลุ่มขายจำนวน 2,782.60 ล้านบาท สำหรับปี 2566 ธุรกิจของเล่นสามารถสร้างรายได้รวมถึง 19,677.21 ล้านบาท และทำกำไรได้ 467.62 ล้านบาท การเติบโตของธุรกิจของเล่น ส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการเกิดกลุ่มในวงการของเล่นที่เรียกว่า Kidult ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีความนิยมในการสะสมของเล่นและมีกำลังการซื้อสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองในวัยเด็ก การสะสมเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต

เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ให้เกียรติเป็นประธาน กล่าวเปิดและตัดริบบิ้น เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ พร้อมกันนี้ ได้ปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติงาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปี งบประมาณ 2567 เรื่อง การเพิ่มขีดความสามารถการกู้ชีพขั้นพื้นฐานให้กับ กำลังพลกองทัพเรือ และนโยบายเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2567 เรื่อง การพัฒนาศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการด้านการแพทย์ฉุกเฉินทาง ทะเล ให้สมบูรณ์ ได้มาตรฐาน มีความยั่งยืน และต่อยอดการพัฒนางานด้าน เวชศาสตร์ทางทะเลอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายดังกล่าว พลเรือตรี สรรชัย เลิศวีระศิริกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากร เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มีดำริให้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะการกู้ชีพโรงพยาบาล อาภากรณ์เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เพื่อดำเนินการฝึกอบรมการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) และการใช้เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ (AED) ให้แก่กำลังพลกองทัพเรือ และประชาชน ตั้งแต่ วันที่ 6 ตุลาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน

เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เป็นการรองรับการพัฒนากำลังพลกองทัพเรือ และเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉิน พื้นที่ชายฝั่งและอ่าวไทยตอนบน 11 จังหวัดชายทะเล เพื่อให้เกิดความเหมาะสมตรงตามวัตถุประสงค์สอดคล้องกับภารกิจที่หน่วยดำเนินการ จึงได้ขออนุมัติ เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ซึ่งได้ดำเนินการฝึกอบรมให้แก่กำลังพลกองทัพเรือ เกินค่าเป้าหมาย 10,000 คน ในการนี้ กรมแพทย์ทหารเรือ ขอชื่นชมและแสดงความภาคภูมิใจ จากกรณีที่กำลังพลกองทัพเรือได้ช่วยชีวิตชาวต่างชาติโดยการทำ CPR ทำให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีและทำการส่งต่อ เพื่อทำการรักษาจนปลอดภัย และได้มีการมอบโล่ห์ประกาศเกียรติคุณให้กับ พันจ่าเอก นิวัฒน์ กังหัน ผู้ให้การช่วยเหลือชาวต่างชาติจนปลอดภัย และมอบใบประกาศนียบัตรให้กับหน่วยที่ผ่านการอบรม โดยได้กระทำพิธีดังกล่าว ณ ห้องศูนย์ฝึกอบรม ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โรงพยาบาล อาภากรณ์เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เปิดมูลนิธิ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์

พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดพร้อมทั้งตัดริบบิ้น ในพิธีเปิดมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ พลเรือตรี ประทีป ตังติสานนท์ รองเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ในฐานะประธานมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ กล่าวถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์การจัดตั้งมูลนิธิในครั้งนี้ว่า เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสวัสดิการบุคลากรรวมถึงพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และกิจกรรมต่างๆ ของโรงพยาบาล  เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ให้มีประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลดียิ่งขึ้น และเพื่อดำเนินการด้านสาธารณประโยชน์และให้ความร่วมมือกับองค์การการกุศล โดยไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด โดยมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ได้จดทะเบียนถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งในการนี้ ได้มีหน่วยงานราชการ พ่อค้า ประชาชน รวมถึงผู้มีจิตอันเป็นกุศล ได้ร่วมในพิธีดังกล่าวและได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อเป็นสายธารบุญให้แก่มูลนิธิ โดยได้จัดพิธีรับมอบเงินบริจาค ณ ห้องประชุมลุมพิกานนท์ และ จัดพิธีเปิดมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ณ ห้องมูลนิธิฯ บริเวณส่วนตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

‘ต่างชาติ’ แห่ลงทุนไทย 5 เดือนแรกปี 67 เพิ่มขึ้น 16% สร้างเม็ดเงินทะลุ 71,702 ล้านบาท ‘ญี่ปุ่น’ ครองแชมป์

(27 มิ.ย. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 317 ราย เพิ่มขึ้น 16% เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 85 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 232 ราย มีเม็ดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 71,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% 

นายคารม กล่าวว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น จำนวน 84 ราย คิดเป็น 26% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุนรวม 40,214 ล้านบาท 2.สิงคโปร์ จำนวน 51 ราย คิดเป็น 16% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย มีเงินลงทุน 5,189 ล้านบาท 3.สหรัฐฯ จำนวน 50 ราย คิดเป็น 16% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ มีเงินลงทุน 1,196 ล้านบาท 4.จีน จำนวน 38 ราย คิดเป็น 12% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ มีเงินลงทุน 5,485 ล้านบาท และ 5.ฮ่องกง จำนวน 28 ราย คิดเป็น 9% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย มีเงินลงทุน 12,048 ล้านบาท

“สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนชาวต่างชาติในช่วง 5 เดือนของปี 2567 มีชาวต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 99 ราย คิดเป็น 31% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้น 106% และมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 18,224 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้น 93% โดยเป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 31 ราย ลงทุน 3,523 ล้านบาท จีน 19 ราย ลงทุน 1,803 ล้านบาท ฮ่องกง 11 ราย ลงทุน 5,005 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 38 ราย ลงทุน 7,893 ล้านบาท” นายคารม กล่าว

เปิด 200 รายชื่อ ว่าที่ สว.ชุดใหม่ จาก 20 กลุ่มอาชีพ พร้อมชื่อสำรอง 100 คน

(27 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับผลการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา 200 คนอย่างไม่เป็นทางการใน 20 กลุ่มอาชีพ กลุ่มอาชีพละ 10 คนและสำรองกลุ่มอาชีพละ 5 คนประกอบด้วย

กลุ่ม1 กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง
1.พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์
2.นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี
3.นายมงคล สุระสัจจะ
4.นายธวัช สุระบาล
5.นายวร หินดี
6.พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา
7.พล.ท.สุกิจ ทั่งทอง
8.นายอภิชาติ งามกมล
9.พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร
10.นายอภินันท์ เผือกผ่อง

สำรองได้แก่
1.พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล
2.นายภิญโญ ประกอบผล
3.พ.อ.ไพบูลย์ พัสดร
4.พล อ.นุชิต ศรีบุญส่ง
5.นายสมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ

กลุ่ม 2 กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
1.พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย
2.พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร
3.นายเศก จุลเกษร
3.นายสืบศักดิ์ แววแก้ว
5.พล.ต.ต.สุนทร ขวัญเพ็ชร
6.พ.ต.ท.สุริยา บาราสัน
7.นายบุญส่ง น้อยโสภณ
8.นายฉลอง ทองนะ
9.พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง
10.พล.ต.ท.วันไชย เอกพรพิชญ์

สำรองได้แก่
1.นายอุลิช ดิษฐปราณีต
2.พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว
3.นายชำนาญพัฒน์ หาญแก้ว
4.นายพงศกรณ์ ตั้งกิตติ์ตระกูล
5.น.ส.วิยะดา มุ่งผล

กลุ่ม 3 กลุ่มการศึกษา
1.นายอัษฎางค์ แสวงการ
2.นายสมทบ ถีระพันธ์
3.นายวิวัฒน์ รุ้งแก้ว
4.นายสุเทพ สังข์วิเศษ
5.นายโสภณ ผาสุข
6.นายสามารถ รังสรรค์
7.นายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด
8.นายสุทิน แก้วพนา
9.นายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ
10.นายกมล รอดคล้าย

สำรองได้แก่
1.นางอรทัย มูลคำ
2.น.ส.จิตรา พีชะพัฒน์
3. นายธนชน มุทาพร
4.นายบุญรักษ์ยอดเพชร
5.นายสมจิต สุวรรณบุษย์

กลุ่ม 4 สาธารณสุข
1.นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล
2.นายสมบูรณ์ หนูนวล
3.นายบุญชอบ สระสมทรัพย์
4.นางนงลักษณ์ ก้านเขียว
5.นายฤชุ แก้วลาย
6.นางพลินจิต ขันแก้ว
7.นายวันชัย แข็งการเขตร
8.นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ
9.น.ส.วิธาวีร์ ประทุมสวัสดิ์
10.นายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย

สำรองได้แก่
1. นายชัยรัตน์ ธรรมสุภาพงศ์
2.นายประชา กัญญาประสิทธิ์
3.นางศิรินทร สนธิศิริกฤตย์
4.นายสุชาติ เอื้อพันธุ์พงศ์
5.นายไพโรจน์ บุญศิริคำชัย

กลุ่ม 5 กลุ่มอาชีพทำนา ปลูกพืชล้มลุก
1.นายสมศักดิ์ จันทร์แก้ว
2.น.ส.อมร ศรีบุญนาค
3.นางปวีณา สาระรัมย์
4.นายสมชาย นุ่มพูล
5.นายพิมาย คงทัน
6.นายสาลี สิงห์คำ
7.นางกัลยา ใหญ่ประสาน
8.นายเดชา นุตาลัย
9.น.ส.นิชาภา สุวรรณนาค
10.นายชูชาติ อินสว่าง

สำรองได้แก่
1.นายทรงพลพู ลสวัสดิ์
2.นายมนัส ไหวพริบ
3.น.ส.ณัฐนันท์ ทองดีวงศ์
4.นายโกเมท เกิดสมบัติ
5.นายธนกฤต ทองเต็ม

กลุ่ม 6 กลุ่มอาชีพทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง
1.นายเตชสิทธิ์ ชูแก้ว
2.นายวิรัตน์ ธรรมบำรุง
3.น.ส.มาเรีย เผ่าประทาน
4.นายยะโก๊ป หีมละ
5.นายนิสิทธิ์ ปนกลิ่น
6.นายจรุณ กลิ่นตลบ
7.นายธนกร ถาวรชินโชติ
8.นายโชติชัย บัวดิษ
9.นายอิสระ บุญสองชั้น
10.นายเศรณี อนิลบล

สำรองได้แก่
1.นายสมศักดิ์ คงเทศ
2.นายสง่า มังคละ
3.นายนำศักดิ์ อุทัยศรีสม
4.นายวิถี สุพิทักษ์
5.นายตรีพล เจาะจิตต์

กลุ่ม 7.กลุ่มพนักงานหรือลูกจ้าง ที่ไม่ใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ผู้ใช้แรงงาน
1.นายชินโชติ แสงสังข์
2.น.ส.เข็มรัตน์ สุรเมธีมาณพ
3.น.ส.วิภาพร ทองโสด
4.นายประกาสิทธิ์ พลซา
5.นายจตุพร เรียงเงิน
6.นางสมพร วรรณชาติ
7.นายชวภณ วัธนเวคิน
8.นายแล ดิลกวิทยรัตน์
9.นายปิยพัฒน์ สุภาวรรณ
10.นายอมรศักดิ์ กิจธนานันท์

สำรองได้แก่
1.นายร่มไทร ทิพยเศวต
2.นายอุทัย อัตถาพร
3 น.ส.ศรีไพร นนทรีย์
4.นายจารุดล เขมิการัศมีกุล
5.นายภัทรพล เพชรพรหม

กลุ่ม 8 กลุ่มอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน
1.นายจิระศักดิ์ ชูความดี
2.นายชีวะภาพ ชีวะธรรม
3.นายสัมพันธ์ ชัยวิเศษจินดา
4.นายไพบูลย์ ณะบุตรจอม
5.นายนิรัตน์ อยู่ภักดี
6.นายอภิชา เศรษฐวราธร
7.นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์
8.นายนพดล อินนา
9.นายวิรัตน์ ลิ้มสุวัฒน์
10.นายปฏิมา จีระแพทย์

สำรองได้แก่
1.นายไตรวินิจ ตู้จินดา
2.น.ส.เพียงพร ดีเทศน์
3.นายปัญญา โตกทอง
4.นายดิเรก เหมนคร
5.นายโองการ ยาสิงห์ทอง

กลุ่ม 9 กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม
1.นายนิพนธ์ เอกวานิช
2.นางวรรษมนต์ คุณแสน
3.นายพิชาญ พรศิริประทาน
4.นางสุมิตรา จารุกำเนิดกนก
5.นางสมศรี อุรามา
6.นางเบ็ญจมาศ อภัยทอง
7.นายชัยธัช เพราะสุนทร
8.น.ส.มณีรัฐ เขมะวงค์
9.น.ส.ชญาน์นันท์ ติยะตระการชัย 
10.นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร

สำรองได้แก่
1.นายสมชาย สาโรวาท
2.นางสุจิตรา ผาลีพัฒน์
3.นายชัยณรงค์ เยาวลักษณ์
4.นายอารักษ์ พลอยพาณิชย์
5.นายธนาธิป พรหมมชื่น

กลุ่ม 10 กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่นนอกจากกลุ่ม 9
1.นายโสภณ มะโนมะยา
2.นายรุจิภาส มีกุศล
3.พ.ต.ท.สง่า ส่งมหาชัย
4.นางแดง กองมา
5.นายสมพาน พละศักดิ์
6.นายสุนทร เชาว์กิจค้า
7.นายนิคม มากรุ่งแจ้ง
8.นายสหพันธ์ รุ่งโรจน์พณิชย์
9.นายนิทัศน์ อารีย์วงศ์สกุล
10.นายมังกร ศรีเจริญกุล

สำรองได้แก่
1.นายภิญโญ ขันติยู
2.นายสามารถ รัตนประทีปพร
3.ส.อ.อัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล
4.นางฉัฐสุภา พงษ์เสนา
5.นายปฏิมา เหล่าชัย

กลุ่ม 11 กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว
1.นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร
2.นายกัมพล สุภาแพ่ง
3.นายพิศูจน์ รัตนวงศ์
4.น.ส.ภาวนา ว่องอมรนิธิ
5.นายอัครวินท์ ขำขุด
6.นายสุวิทย์ ขาวดี
7.นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์
8.นายณภพ ลายวิเศษกุล
9.นางประทุม วงศ์สวัสดิ์
10.นายกมล สุขคะสมบัติ

สำรองได้แก่
1.นางชโลมใจ ชยพันธนาการ
2.นายกฤษฎนันต์ ทองวิภาวรรณ
3.นายธัญยะ พูลสวัสดิ์
4.นายพันธ์เลิศ ใบหยก
5.นางสริญทิพญ ทัพมงคลทรัพย์

กลุ่ม 12 กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม
1.นางวราภัสร์ ไพพรรณรัตน์
2.นางธารนี ปรีดาสันติ์
3.นางรจนา เพิ่มพูล
4.น.ส.ปุณณภา จินดาพงษ์
5.นายพละวัต ตันศิริ
6.นายณรงค์ จิตราช
7.นาย ธนชัย แซ่จึง
8.นายวีรยุทธ สร้อยทอง
9.น.ส.ตวงคุณ ทรงธรรมวัฒน์
10.นายพงษ์ศักดิ์ เกิดวงศ์บัณฑิต

สำรองได้แก่
1.นายสาโรจน์ สุวรรณวงศ์
2.นายชัชชัย ชินธรรมมิตร
3.นายรังสรรค์ สบายเมือง
4.นายนิพนธ์จิระนรวิชช์
5.นายวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล

กลุ่ม 13 กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตกรรม
1.นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม
2.นายพรเพิ่ม ทองศรี
3.นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์
4.นายกัมพล ทองชิว
5.นายสิทธิรัชต์ จารุไชยกุล
6.นายสุพัตรชัย เตียวเจริญโสภา
7.นายขวัญชัย แสนหิรัณย์
8.นายนพดล พริ้งสกุล
9.นายชาญวิศว์ บรรจงการ
10.นายมานะ มหาสุวีระชัย

สำรองได้แก่
1. น.ส.ศิริวรรณ คูอัมพร
2.พ.ต.นฤต รัตนพิเชฎฐชัย
3.นายธนวัฒน์ ศรีสุข
4.นายศรีเมืองเจริญศิริ
5.นายนันทวัฒน์ จรัสโรจน์ธนเดช

กลุ่ม 14 กลุ่มสตรี
1.นางมยุรี โพธิแสน
2.นางเจียระนัย ตั้งกีรติ
3.น.ส.จารุณี ฤกษ์ปราณี
4.น.ส. อัจฉรพรรณ หอมรส
5.นางอจลา ณ ระนอง
6.นางจุฑารัตน์ นิลเปรม
7.นางกานต์เปรมปรีด์ ชิตานนท์
8.พ.อ.หญิงธณตศกร บุราคม
9.นางณัฏฐินีภรณ์ จันทรโณทัย
10.นางวาสนา ยศสอน

สำรองได้แก่
1.น.ส.นฤมล ปิตาทานันท์
2.ณัฐมน ชื่นดวง
3.นางพาณิช แต้กิจพัฒนา
4.นางรุ่งนภา พุฒแก้ว
5.น.ส.พรรณรัตน์ จงอมรรัตน์

กลุ่ม 15 กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น
1.นายกฤษณุ เหลืองพิบูลกิจ
2.นายกิตติพันธ์ อนันตกูลจิรโชติ
3.นายประเทือง มนตรี
4.นายนิเวศ พันธ์เจริญวรกุล
5.นายสมดุลย์ บุญไชย
6.นายสมหมาย ศรีจันทร์
7.นายชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์
8.นายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา
9.นายธนภัทร ตวงวิไล
10.นาย ศรายุทธ ยิ้มยวน

สำรองได้แก่
1.นายชูเกียรติ สิงห์สูง
2.นายปิยวิทย์ โกฎเพชร
3 นายขวัญชัย บุญเพ็ชร
4.นายอานันท์ รองพล
5.นายวีระ เขนย

กลุ่ม 16 กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา
1.นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล
2.นายสุวิช จำปานนท์
3.นายนฤพล สุคนธชาติ
4.นายพิบูลย์อัฑฒ์ หฤหรรษ์ปราการ
5.นายวิเชียร ชัยสถาพร
6.นายปราณีต เกรัมย์
7.น.ส.รัชนีกร ทองทิพย์
8.นายอะมัด อายุเคน
9.นายชวพล วัฒนพรมงคล
10.นางเอมอร ศรีกงพาน

สำรองได้แก่
1.นายพิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร
2.นายณพลเดช มณีลังกา
3.น.ส.ณภัทร โชติพฤกษ์ชูกุล
4.นายศุภชัย มั่นใจตน
5.นายปัญญา หาญลำยวง

กลุ่ม 17 กลุ่มประชาสังคม องค์กรสาธารณประโยชน์
1.นายนิรุตติ สุทธินนท์
2.นางประไม หอมเทียม
3.นายชาญชัย ไชยพิศ
4.นายสากล ภูลศิริกุล
5.นายภาณุพงษ์ เต็งวงษ์วัฒนะ
6.น.ส.สายฝน กองแก้ว
7.นายศุภโชค ศาลากิจ
8.นายประภาส ปิ่นตบแต่ง
9.นางอังคณา นีละไพจิตร
10.นายประหยัด จตุพรพิทักษ์กุล

สำรองได้แก่
1.พล.อ.สุรชาติ จิตต์แจ้ง
2.นางนุชนารถ แท่นทอง
3.นายสงบ จินะแปง
4.นายษิทธา เบี้ยบังเกิด
5 นายธัชพงศ์ แกดำ

กลุ่ม 18 สื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม
1.นายสุทนต์ กล้าการขาย
2.นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล
3.นายสุพรรณ์ ศรชัย
4.น.ส.คอดียะฮ์ ทรงงาม
5.นายศุภชัย กิตติภูติกุล
6.นางอารีย์ บรรจงธุระการ
7.นายจำลอง อนันตสุข
8.นายชิบ จิตนิยม
9.น.ส.นันทนา นันทวโรภาส
10.นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย

สำรองได้แก่
1.ว่าที่ พ.ต.กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์
2.น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนีย์ชีวิน
3.นายประทีป คงสิบ
4.นางวราภรณ์ คัตตะพันธ์
5.นายสฤษดิ์ ไพรทอง

กลุ่ม 19 กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ
1.น.ส.เกศกมล เปลี่ยนสมัย
2.นายขจรศักดิ์ ศรีวิราช
3.นายสิทธิกร ธงยศ
4.นายโชคชัย กิตติธเนศวร
5.นายกิติศักดิ์ หมื่นศรี
6.นายเอนก วีระพจนานันท์
7.นายสมชาย เล่งหลัก
8.น.ส.นวลนิจ หงษ์วิวัฒน์
9.นายพรชัย วิทยเลิศพันธุ์
10.นายสุนทร พฤกษพิพัฒน์

สำรองได้แก่
1.นายธนัชญ์พงศ์ วงศ์มุลาลี
2.นายธีระศักดิ์ อรัญพิทักษ์
3.นายแดน ปรีชา
4.นายธนากร แหวกวารี
5.นายสุรชัย พรจินดาโชติ

กลุ่ม 20 อื่น ๆ
1.พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี
2.นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์
3.นายอลงกต วรกี
4.นายณัฐกิตติ์ หนูรอด
5.นายภมร เชาว์ศิริกุล
6.พ.ต.อ.กอบ อัจนากิตติ
7.นายชูชีพ เอื้อการณ์
8.นายวราวุธ ตีระนันทน์
9.นางวลีรักษ์ พัชระเมธาพัฒน์
10.นายเอกชัย เรืองรัตน์

สำรองได้แก่
1.นายปภัชเดช เกตุพันธ์
2.น.ส.ภัทราภรณ์ คิดซ้าย
3. น.ส.ชนัดดา สงพัฒน์แก้ว
4.นายสุชพงศ์ บุญเสริม
5.นายดิชฐ์พิเชษ สุวรรณโพธิ์

ทั้งนี้ เมื่อทราบผลการเลือกแล้วกฎหมายกำหนดให้กกต.รอไว้ไม่น้อยกว่า 5 วัน เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว กกต.เห็นว่าการเลือกเป็นไปโดยถูกต้อง สุจริต และเที่ยงธรรม ให้ประกาศผลการเลือกในราชกิจจานุเบกษา และแจ้งรายชื่อให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป

‘ปู พงษ์สิทธิ์’ ลั่น!! หลานคลอดพร้อมดูแลเต็มที่ รับ!! ยังโกรธ 'เมรี' แต่ไม่ได้เกลียด ยังไงก็ลูก

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.67) หลังจากที่ ‘เมรี คำภีร์’ ลูกสาว ‘ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์’ ออกมาเผยว่าพ่อยังไม่คุยด้วยเพราะยังโกรธอยู่ ล่าสุดในงานแถลงข่าว ‘ลีโอ พรีเซนต์ คอนเสิร์ต พี่น้องส้นตีน ไลฟ์’ ผู้สื่อข่าวได้เจอตัวปู พงษ์สิทธิ์ เจ้าตัวก็เผยถึงเรื่องนี้ ลั่นมันน่าโกรธไหม แต่เรื่องหลาน เกิดมาแล้วยังไงก็ต้องเลี้ยง

>> เห็นว่าจะคลอดแล้ว (เตรียมรับขวัญหลานไหม?)
“ไม่เป็นไรครับ เด็กเกิดมาแล้ว ถ้าไม่มีใครดูแลมัน เราก็ดูแล มันก็เป็นหลาน ไม่เป็นไรดูแลได้ ถามว่าเด็กตัวน้อย ๆ จะทำให้เรามีกำลังใจไหม ไม่รู้สิครับ ต้องดูก่อน ไม่เคยมี เป็นหลานคนแรก ลูกผม ผมยังไม่เคยอุ้มเลย กลัวเด็กเล็ก เวลาอุ้มเขา ส่วนจะได้อุ้มเขาไหม ต้องได้เห็นก่อน”

>> ถามว่าได้คุยกับลูกสาวเรื่องหลานไหม 
“ไม่ได้คุยมานานแล้ว คุยกับคุณเขาเป็นหลัก แต่ไม่ได้มีอะไร ยังไงก็เป็นลูก ไม่ได้เกลียดชัง เดี๋ยวนี้สมัยใหม่แล้ว แม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งเยอะ สมัยนี้ผู้หญิงออกมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเยอะกว่าเมื่อก่อน จะเยอะกว่าผู้ชายอีก ไม่มีอะไรแปลก อย่าไปตื่นเต้นเลย หมาก็มีลูก ส่วนที่เขาบอกว่าพ่อยังโกรธอยู่ มันก็น่าโกรธไหมล่ะ ยังพอได้ แต่ยังไงก็ดูแลเด็กน้อย ออกมาก็ดูแลเต็มที่”

>> งดดื่ม 2 อาทิตย์กว่า ค่าตับไม่ดี ไม่อยากตาย

“ก็ลองดูจะทำได้ไหม ตอนนี้เพิ่งทำได้มา 2 อาทิตย์กว่า ก็เลี่ยง ๆ อยู่ ยังไม่แตะเลย แต่ก็ไม่กล้าบอกว่าจะเลิกนะ ตอนนี้หยุดมาได้ 2 อาทิตย์ หมอบอกว่าหลัก ๆ เป็นเรื่องของตับอ่อน มันเคยเป็นมาแล้ว ตอนนั้นก็หนัก พอมันฟื้นตัวผมก็กลับมาดื่มใหม่ พอไปตรวจใหม่มันก็เหมือนตุ่ย ๆ ดูไม่ค่อยดี เอาจริง ๆ ไม่มีใครอยากตาย ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ให้เลิกเหล้าเลยผมก็ไม่กล้าบอกว่าผมจะทำได้ อาจจะลดลงไปเรื่อย ๆ หรือบางช่วงไม่ต้องดื่ม อย่างช่วงนี้ไม่ดื่มก็ไม่เป็นไร”

“ก่อนไปตรวจ ค่าตับสูงมาก ตับอ่อนเหมือนจะสะบักสะบอม แต่ยังไม่ได้ล้มหมอนนอนเสื่อ ถ้าไม่ไปตรวจก็ไม่รู้หรอก เราหวังดีกับตัวเองก็ไปตรวจร่างกาย ก็เลยต้องซัปพอร์ตตัวเองเพราะก็กลัวตายเหมือนกัน”

>> ไม่ออกกำลังกายหลายปีแล้ว ติดเตียง ชอบอยู่บนเตียง
“ปัญหาผมคือผมเป็นคนไม่ออกกำลังกาย ไม่ออกมาหลายปีแล้ว ทำไมก็ไม่รู้ ผมติดเตียง ชอบอยู่บนเตียงดูหนังดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนหน้านี้ผมก็เตะฟุตบอลนะ แล้วหยุดไป ไม่รู้หยุดทำไมเหมือนกัน(หัวเราะ)”

>> ลูกเต้าเป็นห่วง กลัวพ่อตาย
“เขาก็เป็นห่วง ลูกเต้าก็กลัวพ่อตาย เวลาหมออธิบายมันน่ากลัว หมอพูดอะไรออกมาน่ากลัวไปหมด เหล้ายังอยู่ที่เดิม แอลกอฮอล์สำหรับผมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แตะต้องไม่ได้ ก็ยังไม่ดื้อกับหมอนะ ตอนนี้ยังไม่ดื่ม ถ้าดื่มแล้วจะบอก เราก็กลัวไง กลัวจะตายไปโรงพยาบาลที เขาแหย่อะไรเข้าไป นอนก็นอนดูตับไตไส้พุงตัวเอง นอนในอุโมงค์ ก็ปลงอนิจจัง แต่ว่าตับผมหล่อมากครับ ตับสวย น่ากิน”

‘CATL’ พัฒนาแบตเตอรี่ EV ขนาด 500 Wh/kg ‘น้ำหนักเบา-วิ่งไกลขึ้น’ เริ่มทดสอบในเครื่องบินแล้ว

(27 มิ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความถึงกรณี ‘CATL’ กำลังซุ่มพัฒนาแบตเตอรี่ EV ที่มีความหนาแน่น 500 Wh/kg พร้อมเริ่มการทดสอบแล้วบนเครื่องบิน โดยระบุว่า…

Dr. Robin Zeng ผู้ก่อตั้ง และประธานของบริษัท Contemporary Amperex Technology (CATL) ผู้พัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ Lithium-ion สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเปิดเผยว่าบริษัทกำลังสนใจพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ไปอีกขั้น โดยจะพัฒนาแบตเตอรี่ EV ที่มีความหนาแน่น 500 Wh/kg 

>> ความหนาแน่นแบตเตอรี่เยอะดีอย่างไร ?
ปัจจุบันยิ่งความหนาแน่นของพลังงานของแบตเตอรี่สูงขึ้นเท่าใด พลังงานก็จะยิ่งสามารถจัดเก็บต่อหน่วยปริมาตรหรือน้ำหนักได้มากเท่านั้น

นั่นหมายความว่า CATL จะสามารถทำแบตเตอรี่ที่ ‘เบา’ กว่าเดิม แต่สามารถวิ่งได้ ‘ระยะทาง’ ที่ไกลมากยิ่งขึ้น หรือ Shenxing Battery ที่จะสามารถวิ่งได้ไกล 1,000 กิโลเมตรอาจกำลังเป็นจริงเข้ามาเรื่อย ๆ 

อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่การพัฒนาแบตเตอรี่เท่านั้น แต่การพัฒนาเครื่องชาร์จแบตเตอรี่อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้ CATL เหนือยิ่งกว่าบริษัทผลิตแบตเตอรี่อื่น ๆ ทั่วโลก

>> CATL ทดสอบแบตเตอรี่กับเครื่องบิน
ทั้งนี้แบตเตอรี่ความหนาแน่นสูงของ CATL กำลังถูกทดสอบบนเครื่องบินขนาด 4 ตัน โดยสามารถทำให้เครื่องบินบินขึ้นสูงได้อย่างน่าประหลาดใจ และในอนาคต CATL ตั้งเป้าหมายที่จะขยับการทดสอบไปสู่เครื่องบินขนาด 8.8 ตัน หรือเทียบเท่ากับ 1 ใน 5 ของน้ำหนักเครื่องบิน Boeing เฉลี่ย โดยตั้งเป้าเริ่มทดสอบภายในปี 2570

ในเร็ว ๆ นี้นักวิเคราะห์คาดว่าจะเห็นแบตเตอรี่ของ CATL ถูกใช้บนเครื่องบินขนาด 4 ที่นั่ง ซึ่งสามารถบินได้ไกลถึง 2,000-3,000 กิโลเมตร แต่ปัจจุบันยังเรียกได้ว่าห่างไกลจากเครื่องบินเชิงพาณิชย์ยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม CATL กำลังผลิตแบตเตอรี่ Shenxing เริ่มผลิตช่วงสิ้นปีนี้และจะส่งมอบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ ในปี 2024 เตรียมใช้งานกับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ NETA, CHERY, BAIC, BJEV, JIDU และ VOYAH ซึ่งอาจเป็นแบตเตอรี่ที่กำลังทดสอบอยู่นี้ก็เป็นได้

‘รร.สาธิต มศว.ปทุมวัน’ เริ่มแล้ว!! จัดกิจกรรม ‘OPEN HOUSE 2024’ เตรียมพบปะศิษย์เก่า 4 อาชีพ มาแลกเปลี่ยนความรู้ 30 มิ.ย. - 1 ก.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘เปิดบ้านสาธิตปทุมวัน - PDS Open House’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ขอเชิญชวนนักเรียน ผู้ปกครอง และผู้สนใจทุกท่าน ร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับศิษย์เก่าสาธิตปทุมวันในกิจกรรม ‘พบศิษย์เก่าสาธิตปทุมวัน’ จัดโดยสมาคมศิษย์เก่าสาธิตปทุมวัน”

“พบปะพูดคุยกับพี่ ๆ ศิษย์เก่าสาธิตปทุมวันหลากหลายอาชีพที่จะมาถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานให้แก่น้อง ๆ และผู้ที่สนใจทุกคน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 15.30 น. ในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ณ ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ I ชั้น 2 อาคารสาธิตปทุมวัน 4 ในงานเปิดบ้านวิชาการสาธิตปทุมวัน : PDS OPEN HOUSE 2024 ‘สนุกรู้ สนุกคิด สไตล์สาธิตปทุมวัน’ ณ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน”

“ลุ้นรับของรางวัลจากพี่ ๆ ศิษย์เก่าและสมาคมศิษย์เก่าสาธิตปทุมวัน”

อย่างไรก็ตาม สำหรับในกิจกรรม ‘พบศิษย์เก่าสาธิตปทุมวัน’ จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับ 4 ข้อหัวที่มีทั้งหมด 4 อาชีพที่น่าสนใจ เช่น พี่หมอขอเล่า, นักกฎหมายเราทำอะไรกันบ้าง, คุยง่ายง่าย Style เด็กการเงิน, โลกยุคใหม่กับอาชีพที่น่าสนใจ เป็นต้น

‘ดร.จ๊ะ ชญณา’ ปั้น ‘Chayanna’ แบรนด์ผ้าไหมไทยธรรมชาติ สืบสานอัตลักษณ์-ภูมิปัญญาไทย มุ่งดันสู่สายตานานาชาติ

ชื่อของ ‘ดร.ชญณา ศิริภิรมย์’ หรือ คุณจ๊ะ โดดเด่นอยู่ในธุรกิจประกันภัย ในฐานะซีอีโอบริษัทประกันยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ก่อนจะตัดสินใจลาออกมาทำตามความฝันของตัวเอง คือทำแบรนด์ผ้าไหมไทย ให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

แม้ความฝันจะดูแตกต่างจากอาชีพที่ทำมานานเกือบ 30 ปี แต่ ดร.ชญณา บอกว่า เราสามารถนำประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานบริษัทญี่ปุ่น มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะปรัชญาการทำงานของคนญี่ปุ่น นั่นคือหลัก ‘ikigai’ คือคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ที่แท้จริง คือรู้ว่า ตื่นเช้ามาเราต้องทำอะไรเพื่อให้ชีวิตที่เหลืออยู่ หรือต้องรู้ว่ามีชีวิตเพื่ออะไร โดยทำใน 4 สิ่ง ต่อไปนี้คือ 

1.ทำในสิ่งที่ชอบ 
2.ทำในสิ่งที่ถนัด 
3.ทำในสิ่งที่มีรายได้เลี้ยงชีพเพียงพอ 
และ 4.ทำในสิ่งมีประโยชน์กับโลกใบนี้ หากครบ 4 สิ่งนี้ ikigai เกิดแน่นอน

ดร.ชญณา เล่าว่า การที่ตัดสินใจออกมาทำแบรนด์ผ้าไหม เป็นของตัวเอง หลายคนก็เตือนว่า เราจะทำได้เหรอ ไม่ใช่ผ้าไหมทั่วไปด้วย แต่เป็นผ้าไหมธรรมชาติ ที่หาคนทำยาก ใช้เวลาในการทำงาน และต้นทุนค่อนข้างสูง แต่ด้วยความที่เราเองก็ผูกพันกับผ้าไหม ด้วยการซึมซับจากความรักในผ้าไหมของคุณแม่ ที่เก็บสะสมไว้นับร้อยผืน ผ่านกาลเวลามากว่า 40 ปี ในวันที่เราได้มีโอกาสสัมผัส ทำให้เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ถึงรักผ้าไหม เพราะเราเองก็ตกหลุมรักในทันที เพราะผ้าไหมมีความพิเศษคือมีชีวิตชีวา ซึ่งนอกจากงดงามด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว เนื้อผ้ายังสามารถปรับอุณหภูมิได้อย่างน่าอัศจรรย์ และเมื่อนำมาออกแบบตัดเย็บเป็นชุด ในแบบที่ทันสมัย ก็สามารถสวมใส่ออกงานได้ ใช้ในชีวิตประจำวันก็โก้เก๋ ไม่ซ้ำใคร คนเห็นต่างทักว่าสวย หลายคนขอซื้อ จนตอนนี้แทบจะไม่เหลือแล้ว

“จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่คิดว่า เราควรจะนำผ้าไหม ซึ่งเป็น ‘ศิลปะแห่งภูมิปัญญา’ ออกแบบโดย ‘ศิลปินพื้นบ้าน’ มีเรื่องราวในทุกผืนผ้า มาพัฒนาเป็นแฟชั่น ที่สามารถสวมใส่ได้หลากสไตล์ ลงตัวในทุกโอกาส ในแบบที่เป็นตัวเอง และสามารถทำตลาดได้ทั่วโลก” คุณจ๊ะ กล่าว 

>>หากันจนเจอคนทอผ้าไหมธรรมชาติ 

จนกระทั่งได้มีโอกาสได้เจอกับคุณสุวลักษณ์ มาศยะ หรือคุณเอ๋ เจ้าของแบรนด์ผ้าไหม ‘โชติกา’ ซึ่งมีชื่อเสียงมากใน อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ครอบครัวของคุณเอ๋ ในอดีตเคยทอผ้าไหมแบบธรรมชาติ แต่ด้วยความนิยมที่ลดลง เพราะต้องใช้เวลาในการทอนาน หาคนทอยาก และขายก็ยากด้วย ทำให้ครอบครัวต้องปรับตัวไปใช้เคมี และจะย้อมธรรมชาติสำหรับการประกวดเท่านั้น และมือทออย่าง คุณเอ๋ และคุณย่าบัวตอง (แม่สามีของคุณเอ๋) แพ้สารเคมี จึงหันไปทำอาชีพอื่น

ด้วยความเสียดายฝีมือและภูมิปัญญาจะตกหาย คุณจ๊ะเลยสั่งครอบครัวของคุณเอ๋ ทำเฉพาะผ้าสีธรรมชาติ เดือนละเป็นร้อยเมตร ในแบรนด์ของ ‘Chayanna’ และขอให้คุณเอ๋ และคุณย่าบัวตอง กลับคืนสู่กี่ทออีกครั้ง ซึ่งทั้งสองมีความสุขกับการได้ทอผ้าไหม เพราะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ได้สัมผัสทั้งกลิ่นใบไม้ กลิ่นดิน และความนุ่มนวลของเส้นไหม ที่ส่องประกายแวววาว ยามต้องแสงยามเช้า และแสงสุดท้ายของวัน

ส่วนลายที่ย่าบัวตองหลงใหลและทอเป็นหลักคือลายดอกบัว ที่มีความงดงาม วิจิตร ส่วน คุณเอ๋ เป็นผู้ที่มีฝีมือในการให้สี จึงเป็นคนคุม ซึ่งคุณจ๊ะบอกว่า เรื่องแบบนี้สอนกันไม่ได้ ต่อให้ได้โจทย์เดียวกัน และเรียนมาเหมือนกัน คุณเอ๋ สามารถกำหนดสี ให้กลมกลืน สวยงาม ยากต่อการเลียนแบบ กลายเป็นจุดเด่นของแบรนด์ ‘Chayanna’  (ชะ-ยัน-น่า)

>> กว่าจะเป็นแบรนด์ ‘Chayanna’

ในช่วงของการเริ่มต้น คุณจ๊ะ ซื้อเส้นไหมคุณภาพพรีเมี่ยมเกรด 3A จากพ่อค้าคนกลาง เพื่อให้ได้เส้นไหมที่มีคุณภาพ และในอนาคตจะประสานกับทางกลุ่มผ้าไหมที่ อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่งปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและผลิตเส้นไหมคุณภาพดีแหล่งใหญ่ ให้มาเป็นต้นน้ำสำหรับการผลิตผ้าไหม Chayanna 

และนับเป็นความโชคดีที่ครอบครัวคุณเอ๋ มีคนรุ่นใหม่อย่าง ‘น้องนาเดีย’ สาวสองที่รักการทอผ้าไหม และมีร่างกายที่แข็งแรง เป็นแรงงานคนสำคัญ อดีตเธอเคยย้อมผ้าไหมด้วยเคมี แต่หันมาย้อมสีธรรมชาติ และถูกวางตัวให้ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ไปหาโคลนจากหนองน้ำกองแก้ว ซึ่งอยู่หน้าบ้าน ตัดกิ่งไม้เพื่อทำฟืน ตัดใบไม้หลากหลายชนิดในท้องถิ่น เพื่อนำมาต้มให้เกิดสีที่แตกต่างกันไปตามชนิดของใบไม้ ในแต่ละฤดู  

“นอกจากจะได้ความรู้ในการเลือกวัสดุธรรมชาติจากประสบการณ์ตรงแล้ว ยังได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากหนังสือ มาจากหนังสือ ‘สีสร้างสรรค์ Color Creation’ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารัตนราชกัญญา ทรงพระกรุณาพระราชทานให้ไว้ศึกษา นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างที่สุดของครอบครัว” คุณเอ๋ กล่าวอย่างภูมิใจ

ส่วนกรรมวิธีกว่าจะเป็นผ้าไหม คุณเอ๋ เล่าว่า ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่พิถีพิถันละเอียดอ่อน ต้องเริ่มจากการเลือกเส้นไหมคุณภาพดี ซึ่งถือเป็นต้นน้ำสำคัญในการผลิตผ้าไหม โดยเริ่มจากการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จนได้ฝักเหลือง จากนั้นนำมาสาวเพื่อให้ได้เส้นไหม แล้วนำมากวักแยกเส้นไม่ให้พันกัน เสร็จแล้วนำมาต้มเพื่อลอกกาวไหม และกวักอีกรอบ ก่อนจะนำไปค้นลำหมี่ให้เป็นไปตามลวดลายที่วางไว้ แล้วนำมามัดลวดลายตามที่ต้องการลงย้อมสี 

สำหรับสีธรรมชาติ ที่ใช้ในการย้อมสี คุณเอ๋จะเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติตามฤดูกาล และหาได้ในท้องถิ่น ได้แก่ ใบสัก ถ้าเป็นใบอ่อน ให้สีชมพูอ่อน แต่ถ้าใบแก่ จะให้สีน้ำตาลทอง, ใบสบู่เลือด (หรือท้องถิ่นเรียกว่าใบตุ๊กตา) ให้สีเขียว, ฝักคูณดิบ ให้สีโทนเหลือง ฝักแก่ให้สีโทนน้ำตาล, ตัวครั่ง ให้สีแดง ชมพู และโอลด์โรส แล้วแต่จำนวนครั้งของการย้อม, มะเกลือดิบ ให้สีเขียวเข้ม ถ้านำมาตากแดดหลาย ๆ ครั้ง จะให้สีโทนน้ำตาล, เปลือกมะพร้าวน้ำหอม ให้โทนสีเทา, ใบหูกวาง ใบอ่อนให้สีน้ำตาลอ่อน ใบแก่ให้โทนสีน้ำตาลแก่ 

นอกจากนี้ กรรมวิธีการย้อมสีธรรมชาติ ยังมีความมหัศจรรย์ คือ ถ้านำสีที่ได้จากธรรมชาติ ไปผสมกับโคลน ก็จะให้สีที่เข้มขึ้น เช่น ครั่งผสมกับโคลนจะให้สีม่วงกะปิ มะเกลือผสมโคลนจะให้สีเทาเขียว เป็นต้น และถ้านำมาผสมกับปูนขาวก็จะเปลี่ยนสีที่สวยไปอีกแบบ เช่น ผสมกับครั่ง จะได้โทนน้ำตาลชมพู

เมื่อได้สีตามที่ต้องการแล้ว ก็เป็นช่วงของการโอบสี โดยนำเชือกฟางมาโอบไว้ให้แน่น เพื่อแยกให้ได้สีตามที่ต้องการ จากนั้นก็นำมาย้อมสีพื้น แล้วแก้เชือกฟางที่โอบอยู่ออกทั้งหมดก่อนนำไปกวักอีกครั้ง แล้วปั่นใส่หลอดนำไปทอ ซึ่งกระบวนการนี้สำคัญมากเพราะมีการวางลวดลายไว้แล้ว หากเส้นไหมขาดก็ต้องต่อให้สนิท

“ผ้าไหมธรรมชาติแต่ละผืน มีความยาว 4 เมตร ใช้เวลาทอเป็นเดือน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวบ้านจึงไม่นิยมทำกันนัก แต่ถ้าไหมธรรมชาติ จะโดดเด่นคือมีความแวววาวสะท้อนแสง เหมือนเพชรร้อยเหลี่ยมที่มองมุมไหนก็สวย ไหมทุกผืนจะแตกต่างกันด้วยสีสันและลวดลาย เนื่องจากเป็นการทำมือ และใช้วัสดุจากธรรมชาติ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ความสวยงาม มีชีวิตชีวา และความมหัศจรรย์ของผ้าไหมคือ ปรับอุณหภูมิตามสภาพอากาศ ฉ่ำเย็นเมื่ออากาศร้อน และจะอบอุ่นเมื่ออากาศเย็น”

หลายคนถามว่า ไหมธรรมชาติสีตกไหม และจะซีดเร็วหรือเปล่า ซึ่งเป็นคำถามยอดฮิตของคนขายผ้าไหมมักเจอเสมอ ซึ่งคุณเอ๋ ที่คลุกคลีกับผ้าไหมมาทั้งชีวิตบอกว่า สีสันที่มาจากธรรมชาติฆ่าไม่ตาย สมัยก่อนคนโบราณ ก็ใช้ยางกล้วยผสมกับการย้อมผ้า ทำให้เกิดความคงทนของสี และไม่ตกสี ยิ่งซักยิ่งสวย ยิ่งเก่า ยิ่งมีคุณค่า ผ้าไหมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ยังมีการเก็บไว้อย่างดี สวยงาม เป็นมรดกที่ล้ำค่าของหลาย ๆ ตระกูล 

>> 4 ลวดลายบนผืนผ้าไหม ‘Chayanna’

แบรนด์ ‘Chayanna’ มีทั้งผ้าทอเต็มผืน และชุดสำเร็จ ที่ถูกออกแบบตัดเย็บอย่างประณีตทุกขั้นตอน จากช่างผู้ชำนาญ เพื่อให้ผู้ที่สวมใส่ สวย เรียบหรู มีความร่วมสมัย มีรสนิยม สวมใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกโอกาส ฉีกทุกข้อจำกัดที่เคยมีมา มี 4 ลวดลายที่สร้างสรรค์จากลายโบราณนำมาประยุกต์เพิ่มเติมให้มีเอกลักษณ์และเรื่องราว คือ

-ลายดวงใจดอกแก้ว ประยุกต์จากลายประจำกระทรวงมหาดไทยให้ละมุนอ่อนช้อยสะดุดตาขึ้น 

-ลายบัวหลวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการบูชาคุณความดี 

-ลายกุหลาบเล่นไฟ ที่มีความสวยสะดุดตา 

-ลายคั่นนาคพิง ประยุกต์การใส่เทคนิคหมี่คั่นโบราณให้เห็นถึงความมีสไตล์ผู้มาก่อนกาลของคนโบราณ

และได้นำลายทั้ง 4 มาออกแบบเป็น 3 คอลเล็กชันให้เหมาะกับทุกคน คือ
1. Nirvana หรือ นิพพาน สะท้อนถึงความอิ่มเอมในชีวิต ให้ความหมายของชีวิตตัวเองด้วยตัวเอง สงบเย็นสบายชุดจึงถูกออกแบบให้เป็น ‘KIMONO ROBE’ บ่งบอกถึง Unisex Dress มีความทันสมัย โดดเด่น ในแบบที่เป็นตัวเอง

2. Diplomat เป็นการนำคุณค่าของผ้าไหมไทย มาออกแบบให้เป็น Luxury Dress สุภาพ เรียบหรู สามารถสวมใส่เป็นทางการได้ ให้ความรู้สึก Business ที่ยังคงความ Friendly เข้าถึงได้

และ 3. MetrOriental นำความเป็นไทยของผ้าไหม มาออกแบบให้มีกลิ่นอายของความเป็นคนเมืองในแบบเอเชีย หรือ Oriental ใส่ความมีชีวิตชีวา สามารถสวมใส่ได้ทุกวัน 

สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ www.chayannasilk.com โดย Chayanna มีวางจำหน่ายที่ Thimian Shop โรงแรมสุโขทัย แบงค์คอก ถนนสาทร / O.P. Garden ซอยเจริญกรุง 36 บางรัก และกำลังจะวางขายที่พราวไทย บลูพอร์ต หัวหิน แล้ว เนื่องจากเป็นงานฝีมือพิถีพิถันที่มีเรื่องราวน่าสนใจ ก็มีติดต่อให้จัดแสดง Silk walk & Talk และจัดจำหน่ายในรูปแบบของ pop up closet งาน exclusive ต่าง ๆ โดยเฉพาะงานนานาชาติ

‘ครม.’ มีมติปรับเงื่อนไขชดใช้ทุน ‘นักเรียนทุน จ.ภ.’ สถาบันโคเซ็น ญี่ปุ่น เตรียมปฏิบัติงานตามผู้ให้ทุนกำหนด หลังสำเร็จการศึกษา

(27 มิ.ย. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอดังนี้...

1. เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย (นักเรียนทุน จ.ภ.) ระยะที่ 2 โดยผู้รับทุนจะเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานชดใช้ทุน หรือหน่วยงานของรัฐที่ผู้ให้ทุนกำหนด และรับเดือนตามที่หน่วยงานนั้น ๆ กำหนด เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของระยะเวลาที่ได้รับทุนตามสัญญา โดยหน่วยงานชดใช้ทุน ให้หมายความรวมถึงภาคอุตสาหกรรมสถาบันไทยโคเซ็น และหน่วยงานของรัฐ ภาคอุตสาหกรรมให้หมายความถึง ภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพและกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคตในประเทศไทย โดยไม่จำกัดภูมิภาคในประเทศไทยและไม่จำกัดสัญชาติของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ให้หมายความถึง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่เป็นอิสระ กองทุนที่เป็นนิติบุคคล หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ และหน่วยงานที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐ

2. เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน จ.ภ. ระยะที่ 1 โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน จ.ภ. ระยะที่ 2 ตามข้อ 1. เนื่องจากเป็นการให้ทุนการศึกษาในลักษณะเดียวกันกับการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาต่อสำหรับนักเรียนทุน จ.ภ. ไปศึกษาต่อ ณ National Institute of Technology (KOSEN) ของประเทศญี่ปุ่น (สถาบันโคเซ็น)

“คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย (นักเรียนทุน จ.ภ.) ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ซึ่งผู้รับทุนจะเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานชดใช้ทุนหรือหน่วยงานของรัฐที่ผู้ให้ทุนกำหนดและรับเงินเดือนตามที่หน่วยงานนั้น ๆ กำหนด เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของระยะเวลาที่ได้รับทุนตามสัญญา โดยหน่วยงานชดใช้ทุน ให้หมายความรวมถึงภาคอุตสาหกรรม สถาบันไทยโคเซ็น และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้เพื่อให้เงื่อนไขการชดใช้ทุนของนักเรียนทุน จ.ภ. ทั้ง 2 ระยะ ซึ่งเป็นทุนประเภทเดียวกันมีแนวทางเหมือนกันและเป็นการขยายสถานที่การปฏิบัติงานเพื่อรองรับนักเรียนทุน จ.ภ. ที่สำเร็จการศึกษาให้สามารถเข้าปฏิบัติงานได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งเพื่อให้การจัดสรรทุนดังกล่าวเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีความต้องการกำลังคนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่มีความรู้ ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ” นายคารม กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top