คนไทยเฮ!! 'รัฐบาล' ยัน!! 'การแพทย์สะดวก' เพื่อคนไทยทุกกลุ่ม พร้อมแล้ว!! 'เอื้อผู้พิการ - ร้านยาใกล้บ้าน - 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรปชช.ใบเดียว'

(26 มิ.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล ขานรับนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้เข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งการอำนวยความสะดวกจัดทำโครงการพัฒนาระบบบริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว หรือ One Stop Service (OSS) รวมไปถึงเชิญชวนคลินิกและร้านขายยาเข้าร่วมโครงการ ‘30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว’ ตั้งเป้าหมายให้มีคลินิกและร้านขายยาเอกชนร่วมโครงการฯ 5,000 แห่ง ภายในปี 2568

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดแพลตฟอร์มสำหรับการตรวจประเมินและออกเอกสารรับรองความพิการแบบอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยระบบดิจิทัล ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ รวมไปถึงการดึงคลินิกและร้านขายยาเอกชนให้เข้าร่วมโครงการ ‘30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว’ เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเข้ารับบริการโดยไม่ต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาล 

นอกจากนี้ รัฐบาลร่วมกันบูรณาการส่งเสริมให้คนพิการสามารถเข้าถึงบัตรประจำตัวคนพิการ โดยจัดทำโครงการพัฒนาระบบบริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว หรือ One Stop Service (OSS) ภายใต้เเนวคิด ‘จุดเดียวจบครบถึงเบี้ย’ เพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการของคนพิการ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้พัฒนาฐานข้อมูลและแอปพลิเคชัน เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการขึ้นทะเบียน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้...

- ระยะที่ 1 คือ การพัฒนาแพลตฟอร์มการตรวจประเมินและออกเอกสารรับรองความพิการแบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้เชื่อมต่อกับระบบยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวคนพิการ 

- ระยะที่ 2 คือ ‘จุดเดียวจบครบถึงเบี้ย’ การเชื่อมโยงระบบบัตรประจำตัวคนพิการกับการยื่นขอสวัสดิการเบี้ยความพิการ โดย พม. จะได้หารือถึงแนวทางการพัฒนาระบบยื่นคำขอสวัสดิการเบี้ยความพิการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้พิการสามารถดำเนินการยื่นขอสวัสดิการเบี้ยความพิการ และเข้าถึงสวัสดิการได้มากขึ้น 

พร้อมกันนี้ สภาเภสัชกรรม ดึงให้คลินิกและร้านขายยาเอกชนเข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้ารับบริการทางการแพทย์กรณีที่มีอาการเจ็บป่วยไม่รุนแรงหรือไม่ซับซ้อน แบ่งเบาภาระโรงพยาบาล และลดความแออัด โดยร้านยาในโครงการนี้จะเป็นร้านยาคุณภาพที่ผ่านการรับรองจากสภาเภสัชกรรม นับเป็นโอกาสให้ร้านยามีส่วนในการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าถึงบริการได้น้อยก็สามารถเข้ามารับบริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการได้ที่ร้านยา ซึ่งจะเป็นการช่วยดูแลในเบื้องต้นได้มากขึ้นเช่นกัน 

นายชัย กล่าวว่า ปัจจุบันในโครงการฯ มีร้านยาเข้าร่วมแล้วกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ โดยให้การดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยไปแล้วกว่า 2 ล้านครั้ง และติดตามผลการให้บริการภายหลัง 3 วัน ซึ่งร้านยาเป็นหน่วยบริการเดียวที่มีการติดตามผลการให้บริการ โดยกว่าร้อยละ 90 หายจากอาการที่เป็นอยู่ ถือเป็นความสำเร็จเบื้องต้นที่น่าพอใจ พร้อมตั้งเป้าหมายให้มีร้านยาเข้าร่วมให้ถึง 5,000 แห่ง ภายในปี 2568 เพิ่มสัดส่วนร้านยาที่ร่วมโครงการฯ ต่อประชากรเป็น 1:10,000 

“นายกรัฐมนตรีมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อประชาชน ให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ เพื่อความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม จึงพร้อมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับคนด้อยโอกาสในสังคม ให้ได้รับการดูแลที่ทั่วถึง สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ระบบเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ เพียงแค่ใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถเข้าใช้บริการได้ใกล้บ้าน” นายชัย กล่าว