Friday, 26 April 2024
GoodsVoice

‘คนละครึ่ง’ ดึงเงินได้เกินคาด

แม้ช่วงแรกที่โครงการของรัฐอย่าง ‘คนละครึ่ง’ จะถูกสบประมาทเบาๆ ว่าไม่น่ากระตุ้นกำลังซื้อคนไทยได้มากนัก แต่กลับกันโครงการนี้ เริ่มดูดเงินจากกระเป๋าประชาชนให้ออกมาใช้จ่ายกันได้เยอะเกินคาด

แล้วตอนนี้โครงการคนละครึ่งเดินหน้าไปถึงไหน?

อัพเดทข้อมูลของกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2563

มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 5.7 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิ์จำนวน 7,387,647 คน

มียอดการใช้จ่ายผ่านแอพฯ เป๋าตังของธนาคารกรุงไทยราว 1.1 หมื่นล้านบาท เงินที่ประชาชนใช้จ่ายเองอยู่ที่ 5.61 พันล้านบาท ภาครัฐร่วมจ่ายไป 5.40 พันล้านบาท คิดเป็น 18.01% จากกรอบงบ 30,000 ล้านบาท มียอดการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 212 บาทต่อครั้ง

แต่ส่วนใหญ่ใช้ต่อบิลทะลุเกิน 300 บาท จังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด คือ กรุงเทพ / สงขลา / นครศรีธรรมราช / สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่

สำหรับโครงการคนละครึ่ง ของกระทรวงการคลัง เป็นโครงการเพื่อร้านค้ารายเล็ก และจำกัดสิทธิ์ไม่ให้ร้านค้ารายใหญ่เข้าร่วม โดยรัฐบาลจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ประชาชนครึ่งหนึ่ง คิดเป็นวงเงินคนละไม่เกิน 3 พันบาท และใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าได้ไม่เกินวันละ 300 บาท

ฉะนั้นหากคิดจากฐานผู้รับสิทธิ์ที่กำหนดไว้ทั้งหมดที่ 10 ล้านคน จะทำให้เกิดเม็ดเงินไหลเวียนจากฝั่งประชาชน 3 หมื่นล้านบาท และพอมาบวกกับอีกครึ่งจากรัฐบาล จะทำให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินไปสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยไหลไปร้านค่าย่อยๆ ได้ราว 6 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

ส่วนใครที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ยังเหลือพื้นที่อีกราว 2.3 ล้านคนที่สามารถลงรอบใหม่ได้ในวันนี้ (11 พฤศจิกายน พ.ศ.2563)

งานงอก!! เจ้าหนี้หน้าเลือด

สารพัดวิกฤติกำลังทำให้คนไทยขาดสภาพคล่อง ทางออกเร่งด่วนที่คิดออกไวๆ เลยไม่พ้น ‘แหล่งเงินกู้’ ที่ส่วนใหญ่มักมาเงินกู้นอกระบบ
.
หนี้นอกระบบ เป็นปัญหาที่ยิ่งทำให้คนจน ยิ่งจนหนักกว่าเดิมจากดอกเบี้ยมหาโหด และตามมาสู่ปัญหาสังคมมากมาย
.
เมื่อเป็นปัญหามากกว่าทางออก นายกรัฐมนตรี ‘บิ๊กตู่’ เลยสั่งให้มีการเอาผิดเจ้าหนี้นอกระบบกฎหมายอย่างจริงจัง
.
โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2559 จนถึงสิ้นเดือนกันยายน พ.ศ.2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จับเงินกู้ผิดกฎหมายสะสม 7,476 ราย
.
เมื่อปิดกั้นเงินผิดกฎหมาย ก็ต้องหาทางออกเงินถูกกฎหมายให้ประชาชน ซึ่ง ‘บิ๊กตู่’ ได้เข็นเงินกู้ที่เรียกว่า ‘พิโกไฟแนนซ์’ (PICO Finance) ออกมา
.
‘พิโกไฟแนนซ์’ นี้เป็นสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง ถูกออกแบบมาเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
.
สำหรับผู้ประกอบการที่จะดำเนินธุรกิจ ‘พิโกไฟแนนซ์’ ถูกกำหนดให้ปล่อยกู้เรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ ได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี ส่วนผู้กู้จะกู้เงินในระบบได้ง่ายกว่าเดิม รายละไม่เกิน 50,000 บาท
.
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อดีของ ‘พิโกไฟแนนซ์’ คือ ผู้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันสามารถเข้าถึงได้หมด แถมเงินต้นและดอกเบี้ยลดลงเรื่อยๆ
.
นับแต่ปี พ.ศ.2559 ที่เริ่มเปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ก็มีผู้สนใจจำนวนมาก มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อนี้รวม 858 ราย ใน 72 จังหวัด
.
ส่วนคนที่สนใจและได้รับอนุมัติสินเชื่อก็มีจำนวนทั้งสิ้น 328,300 บัญชี คิดเป็นวงเงิน 8,250.38 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 25,130 บาทต่อบัญชี

ขอแรงหน่อย!! ‘หัวเว่ย’ ออกตัวอัพเวล ‘ไทยแลนด์ 4.0’

ถ้าจะก้าวไปสู่ ‘ไทยเแลนด์ 4.0’ ได้แบบเต็มตัว ก็ควรต้องมีเทคโนโลยีที่พร้อมดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลออกตัวได้แบบเนียน ๆ

การมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง จึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกของไทย ซึ่งหนึ่งในทางเลือกนั้น มีชื่อ ‘หัวเว่ย’ ลอยมาใกล้ ๆ

อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้พูดถึงเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในงาน POWERING DIGITAL THAILAND 2021 โดย ‘หัวเว่ย’ ตั้งใจที่จะมาเป็นหัวหอกช่วยดัน

เนื่องจาก ‘หัวเว่ย’ เอง ก็เป็นองค์กรด้านเทคโนโลยีจากจีนที่อยู่กับประเทศไทยมานานกว่า 21 ปี และตลอดเวลาก็มองออกว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่เหนือกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้

สังเกตุได้ถึงการที่ไทยพยายามให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CLOUD, AI และ 5G มาประยุกต์กับเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นอันดับต้น ๆ

แต่ถ้าอยากเดินหน้าได้ไว ๆ ก็อาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเสริมแกร่ง ซึ่งนั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลหนึ่งที่หัวเว่ยจะถูกดึงเข้ามาหนุนตรงจุดนี้

โดยเป้าหมายหลักในการดัน ‘ไทยแลนด์ 4.0’ นั้น คือ การอัพเลเวลไทยให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยมีสัดส่วนใน GDP ของประเทศให้ถึง 30% ภายในปี 2573

ขณะเดียวกันก็ต้องการสร้างผลบวกระยะยาวไปถึงการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล (Digital Hub) ของอาเซียนได้อีกด้วย

“เบื้องต้นทางหัวเว่ยจะเข้าช่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพื่อฟื้นตัวไทยหลังโควิด-19 ในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี Cloud, Al และ 5G ตรงนี้จะช่วยเสริมศักยภาพทั้ง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และการศึกษา ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวไปแข่งขันได้ในทุกมิติของเวทีโลก” อาเบล กล่าว

หยุดกร่างได้ละ ลุงแซม!!

หลังโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีการคาดเดาถึงภาพเศรษฐกิจโลกที่จะลดความตึงตัวลง

ผลดีในเชิงเศรษฐกิจที่อเมริกาเคยระรายไปทั่ว ก็น่าจะผ่อนคลายในยุคของเขา ซึ่งหนึ่งในประเทศที่จะยืดตัวคุยได้มากขึ้น ก็คงมีไทยรวมอยู่ด้วย

"จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่า ต่อจากนี้ ไบเดน น่าจะหันมาใช้เวทีพหุภาคีหรือการทำข้อตกลงระหว่างประเทศมากกว่าสองประเทศ

ไม่ทำตัวลับๆ แบบเดิมที่มักใช้เงื่อนไขระหว่าง 2 ประเทศ คือ สหรัฐ และประเทศคู่ค้าทีละประเทศในการเจรจาทางการค้า

ฉะนั้นถ้าภาพไปในแนวดังกล่าว ก็จะเป็นเวทีให้ประเทศไทยสามารถร่วมกับอาเซียนในการเจรจาต่อรองทางการค้ากันได้มากขึ้น

รวมไปถึงใช้กลไกขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งถือเป็นเวทีการค้าพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในโลก

...ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ไบเดน จะให้ความสำคัญ

เพราะให้ความสำคัญกับ WTO พร้อมๆ กับให้ความสำคัญกับนโยบายอินโด-แปซิฟิกที่มีประเทศไทยร่วมอยู่ด้วย จะทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองไม่ด้อยไปกว่าจีน

ภาพนี้จะช่วยกระตุ้นตัวเลขทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ ให้มีโอกาสบวกเพิ่มสูงขึ้นอีกถึงร้อยละ 7 จากเดิมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าการค้าไทย - สหรัฐ บวกถึง 20% ตามมุมมองของจุรินทร์

เรียกว่าผลลัพธ์จากการได้ โจ ไบเดน มานั่งแท่นผู้นำมะกันในตอนนี้ ดูจะมีแต่สัญญาณบวกสำหรับการค้าโลก และประเทศไทยเสียเหลือเกิน

สัญญาณบวก!! จาก ‘โจ ไบเดน’

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ได้นายโจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต มาเป็นผู้นำมะกัน ด้วยผลคะแนนโหวตท่วมท้นเหนือ ทรัมป์ 290 ต่อ 214

.

คำถามต่อมาที่หลายๆ คนรอลุ้น คือ โจ ไบเดน จะทำให้อุณหภูมิโลกร้อนระอุขึ้นกว่าเดิม หรือเบาบางลง โดยเฉพาะกับประเทศไทย

.

พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ เชื่อว่า โจ ไบเดน จะทำให้การค้าโลกและเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น จากการดำเนินนโยบายที่เป็นระบบ

.

โดยไบเดนจะดำเนินการให้การค้าระหว่างประเทศกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง และนั่นจะเป็นผลดีต่อ ‘ประเทศไทย’ ในด้าน ‘การค้าการส่งออก’ ที่เป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญกับสหรัฐฯ

.

สอดคล้องกับ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก ที่มองว่า ไบเดนจะทำให้ความสงบเรียบร้อยของโลกดีขึ้น

.

เพราะไบเดนมีแนวโน้มในการดึงบรรยากาศการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าของเอเชียในตลาดอเมริกาให้ค่อยๆ กลับมาดี เหมือนสมัยที่ นายบารัก โอบาม่า ได้ทำไว้

 

ยิ่งไปกว่านั้น ไบเดนน่าจะหลีกเลี่ยงการทำสงครามการค้ากับจีน และหันมาผูกมิตรกับจีนและประเทศใกล้เคียง ซึ่งก็รวมถึงไทยด้วย ให้กลายเป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้น

.

แต่นายศุภชัย ทิ้งมุมมองที่น่าสนใจไว้ว่า ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวในเรื่องสิ่งแวดล้อมให้มาก เพราะพรรคเดโมแครต จะเน้นย้ำนโยบายด้านนี้เป็นหลัก โดยไม่คิดกีดกันทางการค้าในเชิงของภาษีอากร

.

พูดง่าย ๆ ก็คือ เดโมแครตจะให้ความสนใจกับทุกประเทศที่มีการลงทุนเกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมชาติที่สะท้อนไปถึงความปลอดภัยในชีวิตคนอเมริกันมากขึ้น

.

ตรงนี้จึงเป็นสัญญาณบวกต่อภาคส่งออกไทย เช่น ภาคการผลิตอาหารที่มีมาตรฐานความปลอดภัยที่จะสร้างโอกาสในตลาดส่งออกไทย-สหรัฐฯ ได้ชัดกว่ายุคทรัมป์ บนแต้มต่อจากการรับมือได้ดีกับโควิด-19 มาก่อนหน้านี้

Netflix คลิกอินเดีย เคลียร์ทาง "ตลาดใหม่"

เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้ Netflix สตรีมมิ่งคอนเท้นท์รายใหญ่จากอเมริกา กำลังให้ความสนใจกับการทำตลาดในพื้นที่เอเชียมากขึ้น

หลังใช้เงินลงทุนจำนวนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ไล่ซื้อลิขสิทธิ์ พร้อมสร้าง Original Content เฉพาะขึ้นมา เพื่อไปไล่ออกอากาศภายในประเทศกลุ่มเอเชียอย่างต่อเนื่อง

ถ้าดูจากรายงานของ Netflix ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งานที่เติบโตขึ้น "เกือบครึ่ง" มาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เรียกว่าเป็นสัดส่วนการเติบโตของผู้ใช้งานที่มากที่สุด นับจากที่ Netflix ขยายฐานผู้ใช้ไปตลาดนอกอเมริกาตั้งแต่ปี 2016

นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Netflix หันมาเคลียร์ทางสู่ตลาดนี้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามประเทศในเอเชียที่ Netflix กำลังสนใจอย่างมากดูจะเป็น "อินเดีย"

เพราะหากมองในเชิงสถิติแล้ว อินเดียมีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือถึง 570 ล้านราย อีกทั้งยังมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตปีละ 13%

ทว่ากำลังซื้อของคนอินเดีย อาจจะยังมีไม่มากนัก Netflix จึงออกแพ็คเกจบนมือถือในราคาต่ำกว่า 5 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 152 บาท) (ไทย 99 บาท) ถูกกว่าที่อเมริกา ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 14 ดอลลาร์สหรัฐ (426 บาท)

นอกจากนี้ยังมีการลงทุนสร้างคอนเท้นท์เพื่อคนอินเดียเฉพาะราว 40 เรื่อง และซื้อลิขสิทธิ์ต่างๆ ด้วยมูลค่าการลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.21 หมื่นล้านบาท) ตลอดช่วงปี 2019 - 2020 มานี้

แต่ก็ไม่ใช่แค่อินเดียเท่านั้น ในประเทศเอเชียอื่นๆ ก็มีแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น...

- การสร้าง Original Content เฉพาะจำนวน 200 เรื่อง เพื่อเจาะเอเชีย

- 70 จาก 200 เรื่อง จะเป็นคอนเทนท์แบบ Live Action และ Anime จากประเทศเกาหลีใต้

- ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่น่าสนใจเช่นกัน ก็กำลังทยอยเพิ่มภาพยนตร์เสริมเข้าไปอีกกว่า 500 เรื่อง

"Tony Zameczkowski" ผู้บริหารด้านการพัฒนาธุรกิจของ Netflix เล่าว่า "Netflix จะทำคอนเท้นท์ให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาคและให้ความสำคัญกับการทำเมนู คำบรรยาย และพากษ์เสียงในแต่ละภาษา เช่น ภาษาฮินดี มาเลย์ เกาหลี ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และไทย อีกด้วย"

.

ที่มา: https://www.cnbc.com/2020/11/09/netflix-nflx-its-strategy-in-asian-markets-like-india-indonesia.html

.

ที่มาภาพ: https://officechai.com/startups/netflix-spend-rs-3000-crore-create-content-india-roughly-100-bollywood-movies/

วัคซีนมา พา ZOOM เซ็ง

หลังข่าวสะพัดเกี่ยวกับผลทดสอบวัคซีนต้านโควิด19 ของ Pfizer (บริษัท ยา ไฟเซอร์) ในเฟส 3 ได้ประสบผลสำเร็จมากกว่า 90%

ก็ทำให้วิกฤติของประเทศที่กำลังเจอพายุโควิด-19 แบบหาทางหยุดไม่อยู่ เริ่มดูมีหวังขึ้น

และทันทีที่ข่าวนี้เล็ดหลุดออกมา ก็ส่งแรงดีดให้ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ รวมถึงอีกหลาย ๆ ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งตัวสูงขึ้น

แม้จะเป็นข่าวดีของมนุษยชาติ แต่กลับกันข่าวนี้กำลังกลายเป็นวิกฤติและไม่ส่งผลดีต่อต่อหุ้นของบริการวิดีโอประชุมออนไลน์ที่มาแรงแห่งยุคโควิดอย่าง "ZOOM" สักเท่าไรนัก

เพราะหลังจากข่าวความคืบหน้าของ Pfizer ออกมา ก็ทำให้มูลค่าหุ้นของ Zoom ดิ่งลดลงถึง 20%

เนื่องจากนักลงทุนมองว่า วัคซีนต้านโควิด-19 จะทำให้ผู้คนจะกลับไปทำงานในออฟฟิศได้แบบเดิมเสมือนก่อนหน้ายุคโควิด-19 ระบาดหนัก

และนั่นก็หมายความว่า Zoom จะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปในโลกของการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ZOOM ก็กอบโกยโอกาสจากสงครามเชื้อไวรัสสยองในครั้งนี้ไปได้มาก เพราะราคาหุ้นจนถึงวันนี้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 650% ไปแล้ว

พร้อมทั้งดันมูลค่าตลาด (Market Cap) ของ ZOOM ที่มีการประเมินกันก่อนโควิด-19 ระบาดจาก 9.2 พันล้านดอลลาร์ พุ่งมาอยู่ที่ 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้

ฉะนั้น หาก 20% ที่หายไป ถูกประคองไว้ได้ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ๆ ก็อาจจะไม่ก่อให้เกิดความเลวร้ายต่อผู้ก่อตั้งอย่าง Eric Yuan (อีริค หยวน) กระมัง...

.

ที่มา – Business Insider

https://markets.businessinsider.com/news/stocks/zoom-video-stock-price-pfizer-coronavirus-vaccine-success-telework-zm-2020-11-1029781479

ปีนี้ 'อาลีบาบา' โกยไปเท่าไหร่!?

ยังเฉียบเหมือนเดิม หลังจาก Alibaba รักษาฟอร์มยอดขายของวันเทศกาล 11.11.2020 ได้อย่างคงเส้นคงวา โดยปีนี้กวาดยอดขายตั้งแต่ช่วงนาฬิกาเริ่มหมุนไปถึง 1.71 ล้านล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่ทำไว้ 1.16 ล้านล้านบาท

 

ทัวร์นอกบุกไทย...เท่าไรละ?

สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้นตัวกลับมาบ้างแล้ว หลังจากรัฐบาลออกมาตรการผ่อนคลายให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทยได้มากขึ้น  

แล้วตอนนี้จำนวนคนที่เข้ามามีมากน้อยแค่ไหน?

 

ส่องซีรีส์...ที่ดวงจันทร์

เคยแอบคิดแบบเพ้อ ๆ ว่า…

ถ้าวันหนึ่งอยากจะเปลี่ยน Feel ไปส่องซีรีส์เกาหลีที่มี ‘หลัว’ แห่งชาตินั่งส่งตาหวานให้ จนอิชั้นอดยิ้มหวานให้เหงือกเปิดไม่ได้

มันจะมีที่ไหนที่ทำให้ฉีกหนีไปแอบฟินได้แบบไม่ต้องอาย เวลาปะป๊า หม่าม้า หรือน้องชายตัวแสบแว่บมาแซวจนหุบเหงือกไม่ทัน

เอาให้สุด!! ก็อยากหนีไปนอกโลกเลยมะ (555+) เอาแบบมีวิวเป็นโลก แล้วมีดวงจันทร์เป็นที่เอนกาย นี่อาจจะเป็นไอเดียเพ้อ ๆ แต่เด๋วก่อน!! ถ้าเกิดมีใครกำลังคิดจะช่วยให้พฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงล่ะ!!

ในระหว่างที่ อิลอน มัสก์ วางแผนยึดดาวอังคาร เพื่อเป็นฐานที่มั่นใหม่ของมนุษยชาติทาง NASA ก็ได้ตั้งโครงการ Lunex เพื่อวางแผนให้มนุษยชาติไปตั้งรกรากนอกโลก โดยเลือกปักหมุดไว้ที่ ‘ดวงจันทร์’

ในปี 2024 NASA ได้วางแผนจะส่งมนุษย์ไปเยือนดวงจันทร์อีกครั้งหลังปล่อยโปรเจ็กต์เว้นว่างมาหลายปี NASA ต้องการที่จะทำให้คนเริ่มอยู่อาศัยบนดวงจันทร์ได้ภายในปี 2028 โดยมีการทุ่มเงินกว่า 370 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท)

เงินก้อนนี้ถูกจ้างให้บริษัทไอทีชั้นนำ เพื่อไปคิดระบบที่จะทำให้คนอยู่ใช้ชีวิตอยู่ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสร้างพลังงานระยะไกล และกลไกสำหรับการลงจอดอย่างปลอดภัย (ของกระสวยอวกาศ) แต่สิ่งหนึ่งที่ดูมีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ การนำระบบเครือข่ายสัญญาณ 4G นำร่องไปก่อน เพื่อใช้เป็นตัวช่วยสื่อสารจากดวงจันทร์กลับมาที่โลก

อันที่จริงแล้ว มาตรฐานที่ยอมรับในการสื่อสารสำหรับนักบินอวกาศ คือ คลื่นวิทยุ (Radio) แต่การนำเทคโนโลยี 4G มาแทนที่จะช่วยให้นักบินอวกาศสามารถสื่อสารได้อย่างราบรื่นกว่าและไกลกว่าเมื่อเทียบกับคลื่นวิทยุ

ที่สำคัญในทางทฤษฎีเครือข่าย 4G บนดวงจันทร์น่าจะมีความเสถียรและดีกว่าเครือข่ายบนโลกมนุษย์ เพราะไม่มีต้นไม้ สถานที่ และระบบรบกวนคลื่น เช่น คลื่นสัญญาณทีวีและวิทยุ

แล้วใครรับหน้าที่พัฒนาเครือข่าย 4G บนดวงจันทร์?

NASA ได้ประกาศให้ Bell Labs เป็นผู้ผลิตที่จะเข้ามาสร้างและวางระบบ 4G บนดวงจันทร์ ซึ่ง Bell Labs เป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาเครือข่ายสัญญาณอินเตอร์เน็ตของ ‘Nokia’ ที่ได้รับเงินทุนไปพัฒนากว่า 14.1 ล้านเหรียญ

โดยตัวส่งสัญญาณ 4G ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้ความทนทานเหนือล้ำกว่าอุปกรณ์บนโลกมากมายหลายเท่า

ข้อดีมาก ๆ คือ ตัวส่งสัญญาณของทาง Bell Lab จะมีขนาดเล็กว่าเสาส่งสัญญาณบนโลก สามารถขนส่งไปกับยานอวกาศได้และสามารถอัพเกรดเป็น 5G ได้ด้วย

แต่ข้อเสียก็คือไม่สามารถส่งสัญญาณได้ไกลเหมือนตัวส่งสัญญาณทั่วๆ ไป แต่ก็เพียงพอต่อความต้องการของการตั้งรกรากบนดวงจันทร์แล้วแหละ

เห็นความเอาจริงเอาจังของการคิดใหญ่ไปตั้งถิ่นฐานนอกโลกชัดขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าฝันเพ้อๆ อาจะกลายเป็นเรื่องจริงได้แบบไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว...

.

ที่มา: Unbox your thinking

อ้างอิง: https://www.nokia.com/about-us/news/releases/2020/10/19/nokia-selected-by-nasa-to-build-first-ever-cellular-network-on-the-moon/

ที่มาภาพ: https://see.news/nasas-surprising-4g-network-development-on-moon-with-nok/


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top