Wednesday, 25 June 2025
NewsFeed

‘สุทิน’​ เผย ‘นายกฯ’ กำลังดูข้อกฎหมายเรือดำน้ำ ยัน!! หากแล้วเสร็จ จะเร่งนำเข้า ครม. ให้เร็วที่สุด

(25 มิ.ย. 67) นายสุทิน​ คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดซื้อเรือดำน้ำ ที่ขณะนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อยู่ระหว่างการดูข้อกฎหมายและจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เมื่อใด ว่า หากพิจารณาเสร็จ ก็จะพยายามนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เร็วที่สุด

ส่วนเรื่องความคืบหน้านโยบายให้เหล่าทัพ จัดซื้อยุทโธปกรณ์แบบแพ็กเกจ มีความคืบหน้าอย่างไร นายสุทิน กล่าวว่า จะมีการประชุมภายในสัปดาห์นี้พร้อมจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา ซึ่งความจริงแล้วได้มีการพูดคุยกันนอกรอบกับผู้บัญชาการเหล่าทัพแล้ว โดยทุกคนมีความเห็นพ้องต้องกัน แต่เพื่อให้มีความละเอียด แต่จะทำอย่างไรให้ออกมาเป็นมาตรฐานเดียวกันในทางปฏิบัติ จึงให้มีการไปศึกษาดู เช่น การแก้กฎหมายหรือออกเป็นคำสั่งหรือตั้งคณะทำงานพิเศษ ซึ่งคิดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในช่วงของปีงบประมาณ 2569 โดยได้มอบหมายให้พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานคณะทำงาน และปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นคณะทำงานพร้อมจะมีการเชิญเหล่าทัพต่าง ๆ เข้ามาร่วมพูดคุยว่าอะไรทำได้เลย และอะไรต้องแก้

'ภูมิธรรม' ตอกกลับ 'สุดารัตน์' ปูดแก้ รธน.ไม่มีปาร์ตี้ลิสต์ สวน!! ไปฟังใครมา วอน!! สื่ออย่าเต้าข่าว ควรให้ค่าความจริง

(25 มิ.ย. 67) นายภูมิธรรม เวชชชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากรรระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ออกมาเปิดเผยว่ามีข่าวจากคนในพรรคเพื่อไทย จะการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้จะให้ไม่มี สส.แบบบัญชีรายชื่อ ว่า หากตนเองได้รับผิดชอบเป็นเรื่องประธาน คณะกรรมาธิการการประชามติ 

ตนเองพูดหลายครั้งว่าการทำประชามติในครั้งนี้ ก็เพื่อหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีข้อจำกัด ซึ่งหากแก้ไขต้องแก้ไขให้ได้ร้อยละ 20 ของฝ่ายค้านและร้อยละ 20 ของวุฒิสภา แล้วจะมาบอกว่าเราจะแก้เพื่อทำร้ายพรรคก้าวไกลนั้น แล้วคะแนนร้อยละ 20 ของพรรคก้าวไกลมาจากไหน ซึ่งรัฐธรรมนูญก็ตกแน่นอน นั่นหมายความว่าไม่มีมูลความจริง และตนเองพูดมาตลอดว่าต้องทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดขึ้นได้

“ที่คุณหญิงสุดารัตน์ ได้ฟังมาจากพวกจริง ๆ หรือฝันไป ผมสงสัย” 

นายภูมิธรรม ยังกล่าวอีกว่า ขออย่าไปทำข่าวที่ไม่มีพื้นฐานของความจริง พร้อมถามกลับสื่อมวลชน ทำข่าวที่ไม่เป็นความจริง คืออะไร ข่าวเต้า หรือเต้าข่าว อย่าไปทำเลย ทำงานสร้างพรรคให้แข็งแรงและเป็นกำลังสร้างประชาธิปไตยให้ได้ หากทำแบบนี้จะเป็นปัญหากับตัวเอง

โปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญลูกเสือสรรเสริญ ปี 66 ‘2 นักเรียนฮีโร่’ ช่วยชีวิตผู้อื่นให้รอดพ้นจากเหตุร้าย

(25 มิ.ย.67) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศพระบรมราชโองการ พระราชทานเหรียญลูกเสือสรรเสริญ ประจำปี 2566 ให้แก่ลูกเสือที่ประกอบความดีความชอบ ตามพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ.2551 รวม 2 ราย

ประกอบด้วย เหรียญลูกเสือสรรเสริญ ชั้นที่ 2 นายวุฒิศักดิ์ มั่งคั่ง ลูกเสือวิสามัญ โรงเรียนนครนายกวิทยาคม จ.นครนายก

เหรียญลูกเสือสรรเสริญ ชั้นที่ 3 เด็กชายศิราพัช ศรีงาม ลูกเสือสามัญ โรงเรียนศาลาคู้ กรุงเทพมหานคร

สำหรับ นายวุฒิศักดิ์ หรือ ยูโร เมื่อครั้งเป็นนักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนนครนายกวิทยาคม เคยให้การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจมน้ำ 3 ราย เป็นพ่อ แม่ ลูก ที่ อ.เมือง จ.นครนายก นายวุฒิศักดิ์จึงกระโดดเข้าไปช่วยเหลือจนทั้ง 3 รายปลอดภัย แต่นายวุฒิศักดิ์มีอาการสำลักน้ำ ทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดและเลือดเป็นกรด กระทั่งพักรักษาจนหายเป็นปกติ เหตุเกิดวันที่ 7 พฤษภาคม 2566

ขณะที่ ด.ช.ศิราพัช เมื่อครั้งเป็นนักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนศาลาคู้ ใช้ความรู้ในการปฐมพยาบาลช่วยชีวิตเด็กอายุ 6 ขวบที่จมนํ้า เหตุเกิดวันที่ 22 ตุลาคม 2565

'ดร.สุวินัย' โพสต์อาลัยถึง 'บำรุง คะโยธา' หลังจากไปด้วยอาการสงบ ภูมิใจและดีใจที่เคยเป็น 'สหายร่วมรบ' กันในสมัยกลุ่มพันธมิตรฯ

(25 มิ.ย.67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กไว้อาลัยแด่ คุณบำรุง คะโยธา โดยระบุว่า…

“หมากนิพพานของผู้บำเพ็ญอภิมรรค (2) : ไม่เสพอารมณ์ทั้ง 7”

“หลังจากที่เขาฝึกเคล็ด ‘กรรมฐานของมหาเทพ’ หรือเคล็ดลมปราณกรรมฐานเพื่อจิตอมตะที่คุรุเทพถ่ายทอดให้เขา ตัวเขาก็ทุ่มเทชีวิตจิตใจของเขาเข้าสู่มรรควิถีโพธิสัตว์อย่างเต็มตัว

“นี่เป็นการแสวงหาส่วนบุคคล เพื่อความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณอย่างก้าวกระโดดใหญ่ของตัวเขาเอง”

“ทุกค่ำคืนที่เขาล้มตัวลงนอน เขาก็พาตัวเองเข้าสู่โลกแห่ง ‘การตายก่อนตาย’ ”

“เมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็เข้าสู่ ‘โลกแห่งความรู้ตัว’ บางครั้งความคิดต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตแวบเข้ามา แต่เขาก็ตัดความอาลัยเหล่านั้นลงโดยเร็ว”

“มีแต่การฝึกลมปราณกรรมฐานเท่านั้นที่นำความพึงพอใจอย่างใหญ่หลวงให้แก่ตัวเขา ทำให้ตัวเขาไม่มุ่งมาดปรารถนาอื่นใดอีกในชีวิตที่เหลือ”

“สิ่งที่ผู้บำเพ็ญลมปราณกรรมฐานต้องระมัดระวังมากที่สุดคือ การเกิดอารมณ์ 7 ชนิด ซึ่งได้แก่
(1) ความแตกตื่น (驚)
(2) ความกลัว (慴)
(3) ความลังเลสงสัย (疑)
(4) ความฟุ้งซ่านสับสน (惑)
(5) ความประมาท (緩)
(6) ความโกรธ (怒)
(7) ความใจร้อนหงุดหงิด (焦)”

“เพราะอารมณ์ทั้ง 7 นี้คือข้อห้ามในการฝึกลมปราณกรรมฐาน และเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การฝึกจิตของผู้บำเพ็ญไม่ประสบความสำเร็จ”

“การบำเพ็ญลมปราณกรรมฐานทุกวัน คือการบ่มเพาะถนอมบำรุงพลังชีวิตควบคู่ไปกับการ "ดูจิต" เจริญวิปัสสนา โดยไม่เสพอารมณ์ใด ๆ โดยเฉพาะอารมณ์ทั้ง 7 จนกระทั่งจิตของผู้บำเพ็ญนิ่งเองดุจบ่อน้ำที่สงบงันจนสามารถสะท้อนดวงจันทร์ได้อย่างสวยงามหมดจด ผลที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือตัวผู้บำเพ็ญสามารถจดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างมีสติรู้ตัวบ่อย ๆ ได้”

“ผู้บำเพ็ญอภิมรรคย่อมใช้การฝึกลมปราณกรรมฐานเพื่อเข้าถึงตัวตนที่แท้จริง (真我) ได้อย่างล้ำลึก ด้วยวิธีการนี้เอง เขาย่อมสามารถมีอิทธิพลต่อจักรวาลรอบตัวเขา และจะไม่ถูกกระทบใด ๆ จากความเป็นอนิจจังของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางโลก”

“ตบะและขันติของเขาย่อมมีขึ้นเอง เพราะมีขันติ เขาจึงเป็นผู้เที่ยงธรรม มีใจเป็นธรรมได้ และเพราะเขามีใจเป็นธรรม เขาจึงมีใจที่เปิดกว้าง เป็นคนที่ใจกว้าง และเพราะเขาเป็นคนที่ใจกว้าง เขาจึงสามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างงามสง่า”

“ความใจกว้างและวัตรปฏิบัติที่งดงามของเขา ทำให้ตัวเขาสามารถเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตที่เปี่ยมพร้อมไปด้วยความจริง ความดีและความงามได้”

“เพราะฉะนั้น เขาจึงกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอภิมรรค (道) ในที่สุด มันเป็นแค่เรื่องของเวลาว่าเมื่อไรเท่านั้น”

“คติประจำใจของผู้บำเพ็ญอภิมรรค
- ไม่แสวงหาความรุ่งโรจน์บนความเจ็บปวดของผู้อื่น
- ยอมละทิ้งตนเอง ผ่อนตามคนอื่นเสมอ
- ถนอมรักกับทุกสิ่ง สามารถรักโลกใบนี้ดุจรักตัวเอง
- ไม่ยึดติดในวัตถุ ไม่หลงใหลในอำนาจลาภยศสรรเสริญทางโลก
- แสวงหาทุกสิ่งจากภายในตัวเองด้วยการเจริญลมปราณกรรมฐาน
- มุ่งบ่มเพาะคุณธรรมต่าง ๆ ภายในตัวเอง จนกระทั่งมีจิตบริสุทธิ์ดุจทารกอีกครั้ง”

“ด้วยความปรารถนาดี
สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai

“หมายเหตุ : คุณบำรุง คะโยธา เดินทางไกลครั้งสุดท้าย ด้วยอาการสงบ ณ บ้านกุดตาใกล้ ต.สายนาวัง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ วันที่ 24 มิถุนายน 2567 เวลา 16.25 น.”

“ขอน้อมส่งดวงวิญญาณของคุณบำรุงกลับสู่ ‘ดาวนักสู้’ ภูมิใจและดีใจที่เราเคยเป็น ‘สหายร่วมรบ’ กันในสมัยการต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรฯ (ปี พ.ศ. 2549-2556)”

10 เหตุผล 'คนเมียนมา' แห่หากินในไทยง่ายๆ เพราะเมืองไทยอะไรก็ได้ ใต้คอร์รัปชันไทย เอื้อต่างชาติด้อยคุณภาพ ถือครองทรัพย์สินแผ่นดิน

บ่อยครั้งกับหลายเรื่องในรัฐบาลก่อนที่ เอย่า เคยนำเสนออะไรไป สุดท้ายแล้วในยุครัฐบาลที่ใครเขาก็ว่าเป็นยุคเผด็จการ เขาก็รับฟังและพยายามนำไปปรับแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดคำครหา หากทุกอย่างเป็นผลประโยชน์ของคนไทย

แต่กลับกันกับรัฐบาลปัจจุบัน แม้ เอย่า จะเคยแจ้งแถลงไขออกสื่ออะไรไป อย่างเช่นเรื่อง VIP Pass ที่จ่ายเพียงหลักพัน ไม่ต้องสำแดงเงิน-ตั๋วขากลับและโรงแรมที่พัก แถมบางเอเย่นต์บอกว่าถึงไทยมีรถมารับหน้า Gate ด้วย อะไรจะ Privilege ปานนั้น ก็ไม่เกิดแรงกระเพื่อมใด ๆ ทางสังคม

ล่าสุดในกลุ่มโซเชียลชาวเมียนมา เริ่มโพสต์บอกกันแล้วว่า ‘ย้ายมาอยู่ไทยกันเถอะ’ พร้อมยกข้อดีในการย้ายมาอยู่ไทยที่อ่านดูแล้วคนไทยจะรู้สึกภูมิใจหรือไม่ ก็สุดแท้...โดย เอย่า ได้รวบรวมมุมมองเมืองไทยในมุมของพวกเขามาไว้ให้ทราบกัน ดังนี้...

1. ไทยเดินทางไปกลับเมียนมาสะดวก ทั้งทางบกและทางอากาศ มีหลายช่องทางให้เลือก

2. ค่าครองชีพต่ำ เมื่อเทียบกับหลายประเทศรอบข้าง

3. สาธารณูปโภคดีทั้งน้ำ-ไฟ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทุกที่ในราคาไม่แพง

4. รักษาพยาบาลรัฐได้ฟรี ค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรไม่แพง สามารถซื้อประกันสุขภาพได้หากมีบัตรแรงงาน

5. เข้ามาเป็นแรงงาน ไม่มีการตรวจสอบ ทำประวัติไม่ดี มีคดีติดตัวหรือหลบหนีเข้าเมือง ก็ทำบัตรแรงงานได้ เพราะทางราชการไทยเปิดให้ทำเรื่อยๆ

7. อาหารการกินหาง่าย สะอาด ราคาเป็นมิตรและถูกปากชาวเมียนมา

8. งานหาได้ไม่ยาก ถ้ายิ่งพูดภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ยิ่งมีโอกาสได้งานสูง ภาคเอกชนของไทยไม่ได้เช็กภูมิหลังว่าเดินทางมาด้วยสาเหตุอะไร

9. หากคลอดลูกในไทย โรงพยาบาลของไทยออกสูติบัตรได้ ทำให้ลูกต่างด้าวมีสิทธิ์เรียนฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลายในประเทศไทย เมื่อเรียนจบปริญญาตรีและอายุ 20 ปี บริบูรณ์สามารถโอนสัญชาติเป็นไทยได้ อันจะทำให้ต่างชาติที่ซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นใดที่เคยถือครองด้วยนอมินีคนไทยสามารถโอนเป็นชื่อของลูกหลานตนได้

10. ด้วยนิสัยคนไทยที่เป็นมิตรกับคนต่างชาติ ต่างภาษา ทำไมคนต่างชาติอยู่ในไทยแล้วรู้สึกถึงความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจ อีกทั้งไทยยังเปิดกว้างด้านเพศที่ทำให้ไม่ว่ารสนิยมทางเพศเป็นแบบไหนอยู่ในไทยก็ไม่รู้สึกแปลกแยก

นี่อาจจะเป็นเสียงสะท้อนแค่ฝั่งคนพม่า แต่ เอย่า มองว่านี่คือ สิ่งที่คนต่างชาติหลายคนรู้สึกถึงสาเหตุว่า ทำไมประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ในอีกมุมหนึ่งความหละหลวมและคอร์รัปชันของไทยที่ส่งผลให้ต่างชาติที่ไม่ได้มีคุณภาพตามเกณฑ์ของไทยมาถือครองทรัพย์สิน หากินบนแผ่นดินไทยและสร้างความเดือดร้อนให้กับแผ่นดินไทยเช่นกัน

สุดท้าย เอย่า คงต้องฝากบอกว่า 'ไทย' จะเป็นประเทศไม่ได้ หากคนไทยไม่ร่วมช่วยกันสร้างให้เจริญ แต่กลับขายมันให้กับคนต่างชาติ 

จะเอาแบบไหน? นั่นเป็นสิ่งที่คนไทยเราต้องเลือกเอง!!

'นักวิจัย' เผย AI รู้จักวิธีโกหก 'มนุษย์' ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แนะโลกต้องเร่งสร้างกฎระเบียบที่เข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงนี้

(25 มิ.ย.67) เพจ ‘Business Tomorrow’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการพัฒนาของ AI ที่ก้าวหน้าจนน่าหวาดกลัว โดยระบุว่า…

“นักวิจัยเผย AI รู้จักวิธีที่จะโกหก ‘มนุษย์’ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“นักวิจัยได้เปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดที่น่าตกใจ โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเรียนรู้วิธีการโกหกมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความทบทวนที่ตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ในวารสารPatternsนักวิจัยเน้นย้ำถึงอันตรายของการหลอกลวง AI และกระตุ้นให้รัฐบาลสร้างกฎระเบียบที่เข้มงวดอย่างรวดเร็วเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้”

“ในการทดลอง นักวิจัยพบว่า AI สามารถสร้างข้อความที่มีความน่าเชื่อถือแต่เป็นเท็จ โดยปรับแต่งการตอบสนองให้เหมาะสมกับบริบทและความคาดหวังของมนุษย์ ความสามารถนี้ไม่เพียงแค่การสร้างข้อมูลผิด ๆ แต่ยังรวมถึงการปกปิดข้อมูลบางส่วนและการบิดเบือนความจริงอย่างแยบยล”

“ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความสามารถนี้อาจนำไปสู่การใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การสร้างข่าวปลอม การหลอกลวงทางการเงิน หรือการบิดเบือนข้อมูลทางการเมือง อย่างไรก็ตาม บางคนเสนอว่าความเข้าใจนี้อาจช่วยในการพัฒนาระบบตรวจจับการหลอกลวงที่ดีขึ้น”

“นักวิจัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลและการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับ AI”

>> ตัวอย่างการหลอกลวง

“ตัวอย่างของ CICERO ที่สามารถเอาชนะเกม Diplomacy บอร์ดเกมผู้เล่น 7 คนที่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือการควบคุมพื้นที่ส่วนมากของโลก หรือเป็นผู้นำของโลก ผ่านการเจรจาทางการทูตเพื่อหาพันธมิตรให้มากที่สุด แต่ในการทำข้อตกลงต่าง ๆ ผู้เล่นสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมของตนเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ได้เต็มที่”

“ในเกมนี้จะมี AI ตัวหนึ่งชื่อว่า CICERO คิดค้นโดย Meta เปรียบเสมือนตัวช่วย คอยแนะแนวทางผู้เล่นให้สามารถเอาชนะในเกมได้ แต่ปรากฏว่า CICERO สามารถหลอกให้ผู้เล่นเชื่ออย่างอยู่หมัดผ่านการโกหกและหักหลังพวกเดียวกัน พร้อมขึ้นเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว”

“นั่นหมายความว่า AI ได้พัฒนาตนเองเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในเกม จนกลายเป็นนกสองหัว และอาจบ่งบอกได้ว่า AI ไม่เพียงแต่กำลังโกหกมนุษย์ แต่หมายถึง AI กำลังมีความคิดเหนือยิ่งกว่านั้น โดยโกหกเพื่อสร้างความเชื่อใจและหักหลังอย่างไร้ความปรานี”

'สมาคมโรงแรมไทย' ชี้!! นทท.ต่างชาติแตะ 16 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 7 แสนล้านบาท อานิสงส์ 'ฟรีวีซ่า'

(25 มิ.ย.67) นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวว่า การทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวตลาดหลัก ส่งผลให้สถานการณ์ภาคการท่องเที่ยวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมล่าสุด ตั้งแต่ 1 มกราคม -16 มิถุนายน 2567 มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้วถึง 16,200,706 คน เพิ่มขึ้น 37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 765,584 ล้านบาท

กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งมาตรการภาครัฐหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นวีซ่าไทย-จีน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง การกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือ วีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน รวมถึงการโรดโชว์ของหน่วยงานการท่องเที่ยวไทยที่มีเป้าหมายในการขยายตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง มีส่วนช่วยผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

'เนติบริกร' สะกิด!! 'บิ๊กโจ๊ก' ไม่ควรฟ้องนายกฯ ควรรอ 'ก.พ.ค.ตร.' ถ้าไม่พอใจค่อยไปศาลปกครอง

(25 มิ.ย.67) นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. จะยื่นฟ้อง ม.157 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หากไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ว่า มีสิทธิฟ้อง เพราะเป็นการฟ้องส่วนตัว แต่ไม่ควรฟ้อง ที่สำคัญ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังมีช่องทางที่จะบำบัดหรือได้รับการเยียวยาหลายช่องทาง ซึ่งควรจะไปใช้ช่องทางปกติ โดยสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ยื่นฟ้องเช่นกัน เช่น ทางคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ที่ได้เขียนเอาไว้ว่า หากใครได้รับความเดือดร้อนจากผู้บังคับบัญชาก็สามารถยื่นร้องทุกข์ได้ ต้องปล่อยให้หน้าที่ ก.พ.ค.ตร.ในการตัดสิน หากตัดสินอย่างไรให้เป็นไปตามนั้น เวลานี้เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ ก.พ.ค.ตร. ฉะนั้น ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุว่า อนุ ก.ตร.ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ต้องถูกส่งไป ก.พ.ค.ตร. เพื่อวินิจฉัยในเร็ววันนี้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ควรรอคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกคนควรจะรอ เว้นแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปแก้ไขเยียวยาเอง ส่วนจะนานหรือไม่นั้น มันนาน แต่ว่า ก.พ.ค.ตร.ได้รับเรื่องไว้นานแล้ว ฉะนั้น เวลาน่าจะเหลือจะประมาณ 1 เดือน เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มีการอ้างมติ ครม.ปี 2482 ว่า หน่วยงานใดที่หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานนั้นต้องทำตามนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า มีอยู่จริง ออกมาตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม และใช้ตั้งแต่นั้นมา 

เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะยึดความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในการต่อสู้ และมีสิทธิจะชนะใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด ยิ่งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธาน ยิ่งไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด และในวันที่ตนแถลงข่าวก็ไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด แค่มาเล่าให้ฟังเท่านั้นว่าคณะกรรมการทั้งสองชุดว่าอย่างไร ซึ่งในวันนั้นมีผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังเป็นแคนดิเดตผบ.ตร.ได้อยู่หรือไม่ ตนจึงตอบว่าใครก็ตามที่ดำรงตำแหน่ง พล.ต.อ. และเป็นรองผบ.ตร. ก็มีโอกาสทั้งนั้น แต่สุดท้ายจะได้เป็นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งมติ ก.ตร. และอยู่ที่นายกฯจะเสนอชื่อใคร เหมือนเช่นตอนที่เสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เมื่อถามว่า แต่เป็นเหตุผลที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์หยิบขึ้นมาอ้าง นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกคนก็เอาสิ่งที่ตนได้ประโยชน์มาอ้าง ไม่มีใครอ้างในสิ่งที่เป็นโทษ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้กลายเป็นว่า มีการเอาผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ ที่มีนายฉัตรชัย เป็นประธาน ที่ทำท่าจะจบ แต่ไม่จบ เพราะมีการไปต่อยอด ฟ้องร้องกัน นายวิษณุ กล่าวว่า ก็เป็นคดีใหม่ ส่วนคดีเก่าคือ คดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเรื่องจบไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปยื่นฟ้อง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผบ.ตร. และคนอื่น ๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นธรรมดาเหมือนคดีทั่วไป ที่จบอีกเรื่องก็มีอีกเรื่องหนึ่งขึ้นไป และถือเป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับองค์กร ไม่เกี่ยวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขอย้ำประโยคนี้ว่า เขาออกแบบไว้ให้ ก.พ.ค.ตร.เป็นผู้ตัดสินปัญหา ก็ต้องใช้ช่องทางนี้ หากผลตัดสินของ ก.พ.ค.ตร.ไม่เป็นที่พอใจ ก็ไปร้องศาลปกครองได้อีก 

เมื่อถามว่า ตอนนี้ตกลง พล.ต.อ.สุรเชษ์ฐ สามารถกลับเข้ามาเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าดูจากวันนี้เดี๋ยวนี้ตอบได้ว่ามี แต่ถ้าต่อไป อาจมีการแก้เกมอย่างอื่นจนไม่ได้เป็นก็ได้ เพราะมันยังมีช่องกฎหมายอีกเยอะ ซึ่งตามช่องที่คณะกรรมการกฤษฎีกาบอกว่ากระบวนการไม่ชอบ และเป็นเอกฉันท์ด้วย

เมื่อถามย้ำว่า กระบวนการทั้งหมดจะไม่สามารถดำเนินการได้หากยังไม่มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ใช่ เมื่อถามอีกว่า มีโอกาสที่จะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เขาจะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ แน่ เว้นแต่ ก.พ.ค.ตร.จะสั่งลงมา แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่เขาบอกว่า หนังสือที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ นั้นมีข้อสังเกตว่า ควรจะถูกต้องตามกระบวนการ เพราะมีตัวอย่างมาแล้วนับ 10 เรื่องที่กระบวนการไม่ถูก แล้วถูกส่งกลับมาดังนั้น ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ ก.พ.ค.ตร.และรัฐบาลเองก็ฟัง ก.พ.ค.ตร. จะเอาอย่างไรก็เอาตามนั้น

'สำนักข่าวอิศรา' ขุดเจอ 'อดีต ผอ.สำนัก กทม.' โพสต์ภาพลูกชายบวช แต่ซูมเสื้อเจอปักชื่อ บ.วาล็อคฯ คู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกายให้ 'กทม.'

(25 มิ.ย. 67) สำนักข่าวอิศรา เปิดเผยว่า บริษัท ชนะพัฒน์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ธุรกิจแห่งที่ 2 ของ นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์ กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ที่ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกาย ให้กับกรุงเทพมหานคร จำนวนหลายสัญญา มูลค่างานหลายสิบล้านบาท เพื่อขอสัมภาษณ์เป็นทางการ แต่ไม่สามารถติดต่อใครได้

ขณะที่ จากการสอบถามข้อมูลเพื่อนบ้านที่พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง หลายรายยืนยันตรงกันว่า ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ เป็นข้าราชการเกษียณอายุแล้ว เคยทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ย้อนกลับไปตรวจสอบข้อมูลอดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. ในช่วงปี 2564 ที่มีนามสกุล ศรีรัตนพัฒน์ เหมือน นายสรวิชญ์ ที่มีการตรวจสอบพบข้อมูลไปก่อนหน้านี้

โดยจากการใช้วิธีตามรอยข้อมูลบุคคลในโลกออนไลน์ หรือ Digital Footprint พบว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ และนามสกุล อดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. รายนี้อยู่

เมื่อสืบค้นโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กดังกล่าว ย้อนหลัง ไปถึงเดือน ก.พ.2566 พบว่า มีการโพสต์ข้อความขอบพระคุณ ผู้ที่มีร่วมงานบวชลูกชาย พร้อมภาพจำนวนหนึ่งไว้

ในภาพมีผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว ถือพานเตรียมเข้าพิธีอุปสมบท แต่เมื่อสังเกตตัวอักษรที่ปักอยู่ตรงอกบนเสื้อสีขาว พบว่า มีการปักเป็นชื่อของบริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เอาไว้

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ได้พยายามติดต่อไปยังกรุงเทพมหานคร เพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่ออดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. รายนี้ อีกครั้ง แต่ไม่มีใครให้ข้อมูลได้

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เคยติดต่อไปยังสำนักแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ที่ปรากฏชื่อผู้บริหารรายที่มี นามสกุลเหมือนกับ นายสรวิชญ์ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า ผู้บริหารรายนี้เกษียณอายุราชการไป 2-3 ปีแล้ว และไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน

จึงทำให้ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า อดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. รายนี้ มีความสัมพันธ์อย่างไร นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์? รวมไปถึงความสัมพันธ์กับผู้ชายในภาพ ที่ใส่เสื้อสีขาว ปักอักษรชื่อ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ตามข้อมูลที่ตรวจสอบพบล่าสุดด้วย

สำหรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกรณีนี้ ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบไปแล้ว สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

>> ข้อมูลบริษัท จำนวนโครงการฯ ที่ได้รับ

- นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์ เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ที่ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกาย ให้กับกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ช่วงปี 2564 - 2567 รวมจำนวน 9 โครงการ คิดเป็นวงเงินกว่า 65,394,600.00 บาท (เท่าที่ตรวจสอบพบ) และขายทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ จำนวน 2 ชุด วงเงิน 4,998,000 บาท กับ กทม.ในช่วงปี 2566 ด้วย

- นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์ ยังเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ชนะพัฒน์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ที่ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญางานซ่อมแซม และขายครุภัณฑ์ตู้เสริมโครงสร้างสำหรับวางเครื่องออกกำลังกาย ให้กับ กทม. รวม 4 สัญญา เป็นเงินทั้งสิ้น 1,656,919.19 บาท ใช้วิธีเฉพาะเจาะจงทั้งหมด วงเงินจัดซื้อไม่เกิน 5 แสนบาท /โครงการ

>> ข้อสังเกตการณ์จัดซื้อจัดจ้าง

ขณะที่งานในส่วนของ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด นั้น สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบข้อสังเกตสำคัญ คือ

- โครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้งพร้อมติดตั้ง 2 ชุด โดยวิธีคัดเลือก วงเงินตามสัญญา 3,495,000 บาท ปีงบประมาณ 2565 กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กำหนดราคากลางจัดซื้อ เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 4 ต.ค.2564 หรือเป็นช่วงเวลาห่างกันเพียงแค่ 14 วันเท่านั้น ขณะที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เป็นหนึ่งในเอกชนที่ถูกใช้เป็นแหล่งสืบราคากลางด้วย

หลังจากนั้น บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ก็ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกาย ให้กับกรุงเทพมหานคร จนถึงปี 2567 รวมจำนวน 9 โครงการ คิดเป็นวงเงินกว่า 65,394,600.00 บาท

- ซื้อทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ กทม. สืบราคากลาง จากบริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด วันที่ 13 ก.ค.2566 ขณะที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด แจ้งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แก้ไขวัตถุประสงค์ทำธุรกิจขายทุ่นลอยน้ำ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.2566 หรือห่างกันประมาณ 5 เดือนเท่านั้น

>> ข้อมูลส่วนตัว

- จากการตรวจสอบพบว่า ในช่วงจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2564 แจ้งมีอายุ 28 ปี ระบุอาชีพเป็นนักธุรกิจ

- เมื่อตรวจสอบข้อมูลนามสกุล ‘ศรีรัตนพัฒน์’ ของ นายสรวิชญ์ พบว่า เหมือนกันนามสกุล ของอดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. ในช่วงปี 2564

ส่วนข้อมูลเชิงลึกๆ อื่นหากตรวจสอบพบเพิ่มเติม จะนำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของกทม. ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานตรวจสอบ สรุปผลการตรวจสอบว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายเกิดขึ้นแต่อย่างใด

ผู้เกี่ยวข้องทุกรายถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่

ก.แรงงานอัพสกิลผู้ฝึกสอนมวยไทย รองรับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ เพิ่มทักษะให้เป็นมืออาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ให้ชุมชนในท้องถิ่น

วันที่ 25 มิถุนายน 2567 นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานภายใต้การนำของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรสำหรับการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) เพื่อรองรับการให้บริการนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมวยไทยเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นับเป็นศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่งที่สร้างความภาคภูมิใจของประเทศไทย ด้วยเป็นกีฬาที่มีรูปแบบการต่อสู้ที่สวยงาม มีความโดดเด่น ด้านเทคนิคการกอดคอต่อสู้ ซึ่งเป็นการใช้ทั้งกายและใจ สำหรับการต่อสู้ที่ใช้ร่างกายเป็นอาวุธ โดยเป็นที่รู้จักว่าเป็นนวอาวุธ ซึ่งประกอบด้วย การโจมตีจากร่างกาย ทั้ง หมัด ศอด เข่า และเท้า ในมวยไทย ก่อให้เกิดอาวุธที่มีอานุภาพ  รูปแบบการไหว้ครูที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ท่วงท่าซึ่งประกอบไปด้วยแม่ไม้มวยไทยที่มีความหลากหลายและน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ มวยไทยจึงเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในชาวต่างชาติในฐานะกีฬาและสื่อทางวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเหตุผลเหล่านี้อาชีพนักกีฬามวยไทยจริงสามารถสร้างอาชีพ และรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นจำนวนมาก ส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจ ในเขตพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีศิลปะการต่อสู้ประเภทมวยไทยที่มีชื่อเสียงโดนเด่นสวยงามในนาม “มวยไชยา” มีเอกลักษณ์พิเศษ 7 ด้าน คือ 1) การตั้งท่ามวยหรือการจดมวย 2) ท่าครูหรือท่าย่างสามขุม 3) การว่ายครูร่ายรำ 4) การคาดเชือก จะพันมือด้วยเชือกด้ายดิบหรือเชือกหลักแจวตั้งแต่ข้อมือจนถึงสันหมัด 5) การแต่งกาย 6) การฝึกซ้อมมวยไชยา 7) แม่ไม้มวยไชยา กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจึงเร่งพัฒนาหลักสูตรสำหรับการฝึกอบรมยกระดับฝีมือ สาขาผู้ฝึกสอนมวยไทย ระดับ 1 เพื่อเพิ่มทักษะ (Up Skill) เสริมสร้างความรู้ พัฒนาการให้บริการ สร้างงานสร้างรายได้

นางสาวสุขศรี ไล่กสิกรรม ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เล็งเห็นศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของผู้ให้บริการสนามมวยที่มีจำนวนมากและมีความสามารถในการให้บริการที่มีชื่อเสียงประดับประเทศทั้งพื้นที่เกาะสมุย และอำเภอไชยา อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์มวยไทยไชยาที่มีความโด่ดเด่น จึงมอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานีดำเนินการจัดฝึกอบรมหลักสูตร ผู้ฝึกสอนมวยไทย ระดับ 1 จำนวน 30 ชั่วโมง กำหนดการจัดฝึกอบรมระหว่าง 22 – 26 มิถุนายน 2567 ณ วิทยาลัยการอาชีพไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยวิทยากรวีรบุรุษเหรียญเงินโอลิมปิกเกมส์ สาขามวยสากลสมัครเล่น ชาวสุราษฎร์ธานี ร้อยตรีวรพจ เพชรขุ้ม ทำหน้าที่วิทยากร ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้รับความรู้และพัฒนาทักษะ ด้านการสอนมวยไทย วิทยาศาสตร์การกีฬาสำหรับมวยไทย การสอนทักษะมวยไทย และองค์ความรู้เรื่องมวยไทยและแนวทางการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาผู้ฝึกสอนมวยไทย เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ ส่งเสริมให้แรงงานในท้องถิ่นเป็นแรงงานฝีมือ สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฝึกกีฬามวยไทยและนักท่องเที่ยว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top