Thursday, 4 July 2024
NewsFeed

‘อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ’ ไม่เห็นด้วยตัด สส.ปาร์ตี้ลิสต์ทิ้ง ชี้!! สส. 2 ระบบดีอยู่แล้ว ช่วยกันดูแล ปชช. เชิงนโยบาย-ลงพื้นที่

(25 มิ.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ยกเลิก สส.ระบบบัญชีรายชื่อ เหลือเพียง สส.ระบบแบ่งเขต ว่า การมี สส.ทั้ง 2 ระบบเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว และเป็นระบบที่อยู่กับการเมืองไทยมายาวนาน ถือว่าเป็นพัฒนาการทางการเมือง 

ซึ่ง สส.ระบบบัญชีก็มีข้อดีอย่างหนึ่งในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนในภาพรวมเชิงนโยบาย โดยไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่หนักในเชิงลึกแต่ทำพื้นที่ในภาพกว้าง ส่วน สส.แบ่งเขตก็มีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง มีความใกล้ชิดพี่น้องประชาชน นำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่มาสะท้อนให้ฝ่ายบริหารได้เร่งแก้ปัญหา นอกจากทำหน้าที่นิติบัญญัติ ดังนั้น สส.เขตจึงต้องทำพื้นที่อย่างหนักในการเข้าถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ

“การมี สส.ทั้ง 2 ระบบ มีความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ผมไม่เห็นด้วยที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เหลือระบบเดียว แต่ทั้งนี้พรรครวมไทยสร้างชาติก็พร้อมที่จะสู้กับทุกกติกาที่รัฐธรรมนูญกำหนด ภายใต้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม“ นายอัครเดช กล่าว

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่ออีกว่า การที่มีการออกมาให้ข่าวลักษณะนี้ส่งผลกระทบกับพรรคการเมืองที่มีอยู่ ทำให้เป็นประเด็นการเมือง ตนไม่อยากให้มีข่าวลักษณะแบบนี้เกิดขึ้น เพราะเป็นข่าวที่ไม่มีมูลเหตุ และขณะนี้ไม่ได้อยู่ในช่วงที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกำลังทำกฎหมายประชามติอยู่ในวาระ 2 ทำให้เกิดความสับสนทางการเมือง และยังจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การเมือง จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายได้หยุดประเด็นทางการเมือง ช่วยกันทำให้การเมืองนิ่ง เพื่อให้รัฐบาลได้เดินหน้าแก้ปัญหาความเดือดร้อนเศรษฐกิจปากท้องให้กับประชาชน

มุมมอง 'คนรุ่นใหม่' หลังรับชม '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ'  ในหลวงของปวงชนทุกยุคสมัย ล้วนทำเพื่อคนไทยทั้งสิ้น

(25 มิ.ย.67) จากกรณีพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้จัดกิจกรรมดูภาพยนตร์แอนิเมชัน เรื่อง '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' ณ โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ทั้ง 2 โรง คือ โรงที่ 9 และโรงที่ 13 เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 67 ที่ผ่านมา ล่าสุดจากช่องติ๊กต็อก ‘modernizationnetwork’ ได้สอบถามความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ 2 ราย หลังจากที่ได้รับชมแล้วว่ารู้สึกกันอย่างไรบ้าง

โดยท่านแรก ชื่อว่า ‘น้องหนุงหนิง’ ได้เปิดเผยว่า ตนรู้สึกประทับใจมาก และได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่ในหนังสือเราไม่เคยได้รู้มาก่อน พร้อมบอกอีกว่า ภูมิใจในพระมหากษัตริย์ของเรา ไม่ว่าจะพระองค์ไหน ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าท่านเต็มที่มาก ไม่ว่าจะสมัยไหน จึงอยากจะเชิญชวนทุกคนให้ไปเรียนรู้และรับชมกันเยอะ ๆ จะได้รู้อะไรที่เราไม่เคยรู้ในหนังสือ ซึ่งเราสามารถดูได้จากที่นี่ และภูมิใจไปด้วยกัน

ถัดมาท่านที่สอง ชื่อว่า ‘น้องเปา’ อายุ 23 ปี ได้เปิดเผยว่า ตนรู้สึกประทับใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ไทย ได้รู้ในความเป็นมาว่ากว่าจะมาเป็นทุกวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง พร้อมย้ำว่ารู้สึกประทับใจในหลาย ๆ ฉาก ที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เพราะตนก็ไม่ค่อยมาดูหนังแนวแอนิเมชันที่เป็นประวัติศาสตร์ และเผยสาเหตุที่มาดูนั้น มาดูเพราะในฐานะที่เป็นแฟนคลับลุงตู่และอาจารย์พีระพันธุ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยบอกอีกว่า ตนติดตามผลงานของลุงตู่มาโดยตลอด และชื่นชอบเพราะตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคอร์รัปชัน หรือพวกโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม ก่อสร้างมาดีมาก ๆ จึงรู้สึกประทับใจที่ประเทศไทยเรามีนายกฯ อย่างลุงตู่ ที่อยู่มา 8-9 ปี สร้างผลงานให้กับประชาชนมาให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง หรือเราชนะ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ช่วยเหลือประชาชนชาวรากหญ้า ที่สามารถซื้อข้าวกินได้ในราคาประหยัดขึ้นโดยให้รัฐบาลช่วยออก จึงถือเป็นโครงการที่น่าประทับใจอย่างมาก ส่วนอาจารย์พีระพันธุ์ ตนรู้สึกชื่นชอบในผลงานอย่างการแก้ปัญหาลดราคาน้ำมันให้กับประชาชน

นอกจากนี้ น้องเปา ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่า ถ้าหากเอาโครงการที่รัฐบาลช่วยออกครึ่งหนึ่ง ประชาชนช่วยออกครึ่งหนึ่งแบบลุงตู่ น่าจะมีประโยชน์ร่วมกันกับพ่อค้าแม่ค้า รัฐบาล และประเทศชาติ ส่วนพรรคก้าวไกลตนคิดว่า ขออย่างเดียว ถ้าพรรคก้าวไกลไม่มีการแตะต้องสถาบันจะเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เพราะคนรุ่นใหม่ โดนปลูกฝังมากับพรรคก้าวไกลเรื่องเกี่ยวกับ ม.112 กันเยอะมาก ซึ่งคิดว่าถ้าพรรคก้าวไกลถอยเรื่อง ม.112 ได้จะดีมาก ๆ

ทั้งนี้ แม้ตนจะเกิดไม่ทัน ในหลวง ร.9 และ ในหลวง ร.10 ในการทรงงาน แต่ตนเคยไปรับเสด็จเพราะคุณพ่อเคยพาไปที่สนามหลวง และวันที่ในหลวง ร.9 สวรรคต ก็ได้มีโอกาสไปไหว้ และรับเสด็จในหลวง ร.10 มาแล้วหลาย ๆ ครั้ง

‘ทนายอนันต์ชัย’ นำทัพ บุกแจ้งความ ‘กลุ่มเชื่อมจิต’ เอาผิดอีก 6 ข้อหา หลังไลฟ์ขู่!! จะเอาพวกตนติดคุก

(25 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงาน ความคืบหน้าล่าสุด ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วย นางชลิดา พะละมาตย์ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ได้เดินทางเข้ามาเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มเชื่อมจิตเพิ่มเติม โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มประกอบด้วย 1.เด็กเชื่อมจิต 2.กลุ่มแอดมิน จำนวน 60 คน และ 3.ทนายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความของกลุ่มเชื่อมจิต

ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า สำหรับวันนี้ที่ตนเดินทางมาเพราะต้องการแจ้งความเอาผิดกับเด็กเชื่อมจิต, ทนายธรรมราชและแอดมิน 60 คน โดยที่ผ่านมาไม่เคยมีใครแจ้ง แต่เมื่อวานนี้ทางเด็ก เชื่อมจิตได้มีการไลฟ์สดเปิดหน้า และได้มีการขู่ว่าจะแจ้งความดำเนินคดีและให้พวกเราติดคุก ในวันนี้ตนจึงนำหลักฐานต่าง ๆ มาเอาผิดทางกลุ่มเชื่อมจิตรวมทั้งสิ้น 6 ข้อหา คือ ตามพ.ร.บ.คอมฯ / ประมวลกฎหมายอาญา ม.341,343,83,84,86,90,91 / พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน / พ.ร.บ. ควบคุมการเรี่ยไร มาตรา 5 และมาตรา 8 / พ.ร.บ. ควบคุมการขอทาน มาตรา 13 / และประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 40 (8), 37 ทวิ / เอาผิดเด็กเชื่อมจิต ทั้งหมด 19 กรรม

‘ทั้งนี้แม้กฎหมายระบุว่าเด็กกระทำผิดไม่ต้องรับโทษ แต่หากมีการตรวจสอบและพบว่าพ่อแม่ของเด็กกระทำผิด ก็จะต้องมีหน่วยงานเข้ามาควบคุมและแยกตัวของผู้ปกครองออกจากเด็ก โดยจะต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ พม.’

‘นักวิจารณ์หนัง’ แนะ!! 'เพจดัง' ควรใช้คำอื่นมากกว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย ชี้!! ทุกวันนี้ 'วงการพากย์ไทย' ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตนไม่ต่างกับงานแสดง

(25 มิ.ย.67) จากประเด็นดรามาในโลกโซเชียลขณะนี้ ทำเอาชาวเน็ตถกกันสนั่นจนเกิดแฮชแท็ก ‘#ไม่ควรดูพากย์ไทย’ โดยย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 67 เพจเฟซบุ๊กวิจารณ์ภาพยนตร์หนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า “Ultraman Rising ควรดูเสียง Eng หรือ JP?” หรือแปลได้ว่า ‘Ultraman Rising ควรดูเสียงอังกฤษ หรือ เสียงญี่ปุ่น?’ 

ซึ่งในคอมเมนต์ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันหลากหลายว่าควรฟังเสียงต้นฉบับ หรือ เสียงพากย์ ท่ามกลางคอมเมนต์ จนนำไปสู่ดรามา #ไม่ควรดูพากย์ไทย

ล่าสุด ดรามา #ไม่ควรดูพากย์ไทย ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง จนสร้างความไม่พอใจให้กับนักพากย์ไทย และเหล่าคนชอบดูภาพยนตร์พากย์ไทย ทางเพจดังกล่าวจึงได้ออกมาโพสต์อีกครั้งว่า “มีอินบ็อกซ์แจ้งว่า คนในวงการนักพากย์ไทย ไม่พอใจในคอมเมนต์ที่บอกว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย”

“จึงอยากจะพูดอย่างเปิดอกว่า #ผมไม่มีปัญหาอะไรกับนักพากย์ไทย #ไม่มีปัญหาอะไรคนดูพากย์ไทย”

พร้อมเสริมว่า “แต่ถ้าถามว่า หนังฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือหนังที่ไม่ได้พูดภาษาไทย ก็ยังคงต้องเน้นย้ำว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย ด้วยเหตุผล ภาพยนตร์ เสียงเองก็เป็นปัจจัยสำคัญ เช่นเดียวกับภาพ การได้รับฟังเสียงของต้นฉบับ ของนักแสดงที่เล่น ที่ผู้กำกับเลือกคัตนั้น คือการเสพงานแบบที่เต็มอรรถรสที่สุด”

“เช่นเดียวกับหนังไทย ต่อให้ได้ วาคีน ฟีนิกซ์ มาพากย์เสียงอังกฤษ ผมก็จะบอกว่าให้ดูเสียงต้นฉบับ #ไม่ควรดูพากย์อังกฤษ เพราะผมยึดถือว่าการดูในสิ่งที่ผู้สร้างต้องการนั้น คือที่สุด”

ล่าสุด ธนพัฒน์ วงษ์วิสิทธิ์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thanapat Wongwisit’ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “เห็นคนรอบตัวแชร์ #ไม่ควรดูพากย์ไทย จากเพจหนังเพจหนึ่ง พอเห็นแชร์มาก ๆ ก็รู้สึกอดคันปากไม่ได้จนต้องพิมพ์”

“ส่วนตัวในฐานะเป็นคนดูหนัง ถามว่า #พากย์ไทย มีความจำเป็นต้องฟังหรือไม่ ? เลยขอบันทึกคำตอบสำหรับตนเองก่อน”

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า…

1.การข้ามกำแพงทางด้านภาษา
ส่วนหนึ่งของการเกิดพากย์ไทยช่วงเวลาดังกล่าวมาจากช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่าง หนังเงียบอยู่ช่วงขาลง กับ หนังเสียงเข้ามาในสยาม

ตอนนั้นทางเจ้าของโรงภาพยนตร์พัฒนากรประสบปัญหาคนดูหนังลดน้อยลง นาย ต่วน ยาวะประภาษ ซึ่งตอนนั้นเป็นบรรณาธิการหนังสือภาพยนตร์รายเดือนในชื่อ ‘ภาพยนตร์สยาม’ (ซึ่งเป็นหนังสือภาพยนตร์รายเดือนเล่มแรกของสยาม)และเป็นหนังสือของเครือโรงหนัง

นายต่วนเคยเรียนที่ญี่ปุ่นและเห็นการพากย์ของญี่ปุ่นมาก่อน เขาจึงเสนอให้มีการพากย์เสียงทับหนังขึ้นมา ทางโรงหนังไม่มีทางเลือกอื่นจนต้องอนุญาตให้ลอง นายต่วนจัดการด้วยการเตรียมบทพากย์ เขาใส่นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน ยืนบนเวทีข้างหน้าจอ ในมือมีไฟส่องบท 1 ดวงและโทรโข่ง 1 ตัว และเริ่มบรรยายบทพูดและบทสนทนาขึ้น

ทั้งนี้ยังรวมถึงการทำเสียงประกอบเองด้วย ถึงแม้นายต่วนจะไม่ใช่นักแสดง เสียงแข็งไร้อารมณ์ แต่ด้วยความแปลก เสียงตอบรับของคนไทยต่อการพากย์ก็ตอบสนองเป็นอย่างดี (การพากย์หนังเงียบญี่ปุ่นสามารถดูได้จาก Talking The Pictures หนังผู้กำกับ Shall We Dance)

สาเหตุที่ตอบรับเป็นอย่างดีมาจากภาพยนตร์เงียบในช่วงเวลาดังกล่าว เสียงในหนังที่เข้ามาในยุคแรกมีการพูดภาษาต่างประเทศจึงฟังไม่รู้เรื่องจนต้องมีการแปลเป็นบทขึ้นมา การกระทำของนายต่วนจึงเป็นปรากฎการณ์ต้นสายการพากย์หนังในไทย

ต่อมาในปี 2470 นาย สิน สีบุญเรือง (ทิดเขียว) เพื่อนนายต่วนและญาติโรงหนังดังกล่าว เห็นโอกาสในการทดลองพากย์เสียงไทย ด้วยความสามารถด้านการพากย์โขนสดก็ดัดแปลงใช้เป็นพากย์หนังสด ด้วยความที่ตนพากย์คนเดียวจึงรับบททุกวัย ทุกเพศ สัตว์ จนถึงเสียงประกอบ เช่น เสียงปืน เป็นต้น (จะบทเด็กชาย เด็กหญิง คนแก่ ไก่ หมา ก็เหมาหมด) ผลตอบรับกลายเป็นกระแสบวกอย่างล้นหลาม

ถัดมาในช่วงหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การพากย์ก็เกิดเป็นยุคทองอีกครั้งโดยนำโมเดลการพากย์แบบ นายสิน มาประกอบการพากย์ กลายเป็นยุคทองของหนังฟิล์ม 16 มม. ที่เป็นช่วงการฉายหนังกลางแปลงและนักพากย์เร่ (รวมถึงฉายหนังแบบรถขายยา ) ซึ่งค่านิยมของการพากย์ก็ยังเป็นที่นิยมและมีชื่อไม่แพ้ดาราในหนัง ซึ่งถ้าใครนึกไม่ออกให้นึกถึงหนังไทย ‘มนต์รักนักพากย์’ ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการข้ามกำแพงภาษาให้เข้าใจหนังมากขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว

2.ลดช่องว่างระหว่างชนชั้น
จะเห็นได้ว่าการพากย์ไทยแรกเดิมมาจากสื่อสารที่เข้าถึงง่ายและสนุกกับลีลาของผู้พากย์ อีกทั้งการรับจ้างพากย์หนังกลางแปลง มันต้องการพื้นที่ใหญ่ในการฉาย เช่น วัด หรือ งานมงคล เป็นต้น

มันจึงเป็นการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับชาวบ้านที่มานั่งดู (ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนชนชั้นล่างและกลาง) ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการสร้างพื้นที่ประกอบการเรียกรายได้แก่ชุมชน (แม้ในระยะสั้น) อีกด้วย หากมองที่ช่องว่างระหว่างชนชั้น การพากย์เป็นการช่วยย่อยความเข้าใจของคนดูต่องานศิลปะ เช่น ภาพยนตร์ และ แอนิเมชัน ให้ดูเข้าใกล้ง่ายและแตะถึง

3.การพากย์ไทยเป็นการย่อยสารให้ง่าย เหมาะกับทุกวัย
ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยส่วนใหญ่เติบโตมากับงานพากย์ไทยจากแอนิเมชั่น ( ดิสนีย์ ) หรืออนิเมะญี่ปุ่น เป็นสำคัญ ซึ่งไม่ว่ากี่รุ่นก็ต้องผ่านมือบ้างเนื่องจากความง่ายในการสื่อสารแบบย่อยง่าย (โดยเฉพาะภาษาที่สองอย่างภาษาอังกฤษ) เพื่อให้เด็กเข้าถึงงานได้ง่ายเนื่องจากเป็นการช่วยลดระยะจากตัวอักษรให้มองภาพได้มากขึ้น

อีกส่วนคือคนไทยมีพฤติกรรมทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เหมือนกับแม่บ้านช่วงยุคละครสบู่ยุค 50 พากย์ไทยจึงเป็นโอกาสในการลดการมองจากภาพ ถึงทำกิจกรรมได้ด้วยก็สามารถรู้เนื้อหาของสิ่งที่ดูได้ หรือย่อยสิ่งที่ยากเพื่อสื่อสารให้ง่ายขึ้น เช่น รายการแนววิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เป็นต้น หรือช่วยบุคคลที่นึกภาพไม่ออกให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น (เช่น คนตาบอด หรือ สายตาสั้น)

ทั้งนี้จากทั้งหมด 3 อย่างก็พึงถึงประโยชน์ของงานพากย์ไทยได้ทั้งเชิงอรรถรสและความสำคัญของงานศิลปะ

ในระยะหลังของทีมพากย์อินทรี และ พันธมิตร (ซึ่งจะคุ้นเคยผ่านงานฝรั่งและเอเชีย ผ่านมีเดียตั้งแต่วิดีโอเทป ซีดี ดีวีดี ช่องทีวี และเคเบิล) แม้ทีมพากย์จะแตกตัวจากกลุ่มเป็นอิสระ แต่การสื่อสารเท่าต้นฉบับและความสนุกของการดูก็ยังคงผ่านสายตาของคนดูชาวไทยไม่มากก็น้อย

ยิ่งนับวันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการปั้นตัวละครเป็นการแสดงมากขึ้น เพื่อยกระดับให้เท่าสากล การพากย์จึงเป็นงานเชิงศิลปะผ่านการใช้เสียงที่มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนหน้าตาไม่แพ้การแสดงผ่านร่างกายเลย

ถึงแม้เรื่องอรรถรสส่วนบุคคลจะเป็นเรื่องเชิงปัจเจก เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ชอบต้องมีคนไม่ชอบบ้างด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ในแง่ความเป็น ‘สื่อ’ โดยเฉพาะงานศิลปะ มันต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อตอบรับคำวิจารณ์หรือวาดลวดลายทางอารมณ์อย่างเข้าอกเข้าใจ

ฉะนั้นการเข้าใจความหลากหลายจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะคำว่า ‘ไม่ควร’ นอกจากเป็นการตัดตัวเลือกในเชิง ‘ติ’ มันยังส่อความโดยนัยถึงความ ‘ไม่งาม’ ด้วย ทางเพจดังกล่าวจึงควรใช้คำที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ #ไม่ควรดูพากย์ไทย (ถ้าเป็นผู้เขียนจะใช้คำว่า ‘ไม่สันทัด’ เพื่อลดเรื่องการแนะนำ และ เปิดโอกาสให้คนดูได้เลือกมากขึ้น)

ฉะนั้นลองปิดตาสักข้าง หรือตีลังกาดูอีกสักรอบ เผื่อเห็นความงามของศิลปะที่เรียกว่า ‘เสียง’ เผื่อจะเห็นสุนทรียะของการฟังเสียงไทยมากขึ้นนะครับ พร้อมติดแฮชแท็ก #เป็นกำลังใจให้นักพากย์ไทย ครับ

สวนนงนุชพัทยาต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทยพร้อมคณะ ร่วมกันปลูกต้นไม้และเข้าเยี่ยมชม

วันนี้ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ต้อนรับนายนอเศเรดดีน ไฮดารี ( H.E. Mr. Nassereddin Heidari) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย เยี่ยมชมสวนนงนุชพัทยาพร้อมปลูกพันธุ์ไม้เพื่อการอนุรักษ์ ณ สวนรุกขชาติ เชิงเขาบันไดกฤษ

โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทย ได้ปลูกต้นกระท้อนซึ่งเป็นไม้ผลเขตร้อนยืนต้น ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกระท้อนมีสีสะดุดตา เป็นต้นไม้ที่ทนแล้งได้ดี หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมสวนสวย บนเนื้อที่ 1,700 ไร่ หุบไดโนเสาร์ และเนริส์เชอร์รี่พันธุ์ไม้ต่างๆ ที่ทางสวนนงนุชพัทยาได้เก็บรวบรวมมากถึง18,000 ชนิด 

ทั้งนี้ทางสวนนงนุชพัทยาได้ขออนุญาติจากกรมป่าไม้เพื่อทำสวนรุกขชาติ ให้แก่ประเทศไทย จำนวนกว่า 43 ไร่ ซึ่งดำเนินโครงการรวบรวมพันธุ์ไม้และปลูกไม้ยืนต้นชนิดต่างๆที่มีมูลค่าและหายากจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งค่าใช้จ่ายและค่าดำเนินการในการรวบรวมและการปลูกพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลบำรุงรักษาโดยสวนนงนุชพัทยา

‘ชาวเน็ต’ ชื่นชม!! ‘วัดตระพังทอง’ ติดป้ายประกาศ ‘ห้ามปล่อยปลาดุก’ เหตุเป็นตัวทำลายระบบนิเวศ เชื่อ!! หลายคนไม่รู้ - หวังให้ทุกวัดทำตาม

(25 มิ.ย. 67) กลายเป็นไวรัลที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์อย่างมากมาย สำหรับ วัดตระพังทอง อ.เมือง จ.สุโขทัย ที่ทางวัดได้มีการติดป้ายประกาศไว้บริเวณริมเกาะกลางน้ำรอบวัด โดยมีข้อความระบุดังนี้

‘เตือนคนทำบุญห้ามปล่อยปลาดุก ทำลายระบบนิเวศ’

พร้อมกันนี้ ยังระบุเพิ่มเติมว่า “ปล่อยปลาอย่างไรให้ได้บุญ ?”

“ไม่แนะนำให้ปล่อยถ้าเป็นไปได้ เพราะส่วนใหญ่กลายพันธุ์มา มันแดกปลาตัวอื่นที่เล็กกว่าหมด ปล่อยปลาดุกลงแหล่งน้ำ เหมือนปล่อยฝูงซอมบี้บุกหมู่บ้าน ทำบุญ แต่จะได้บาปแทน”

ซึ่งหลังจากโพสต์ถูกเผยแพร่ ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็น และชื่นชมวัดเป็นอย่างมาก ที่มีส่วนช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้โทษของการ ‘ปล่อยปลาดุก’ พร้อมระบุอีกว่า หากทุกวัดติดป้ายประกาศแบบนี้ก็คงดี เพราะยังมีหลายคนที่ไม่รู้ ว่าการปล่อยปลาดุกเป็นการทำลายระบบนิเวศ

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2566 ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญระบบนิเวศน้ำจืด เคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเรื่องดังกล่าวไว้ว่า ปลาดุก 1 ตันกินสัตว์น้ำประมาณ 1,800,000 ตัวต่อปี ปลาดุกที่นิยมปล่อยกันส่วนใหญ่เป็น ปลาดุกบิ๊กอุย เป็นลูกผสมของ ปลาดุกอุย ของไทยกับ ปลาดุกรัสเซีย เพื่อให้ได้ปลาดุกตัวใหญ่ แต่ปัจจุบันมีปลาดุกอื่นมาผสมอีก ซึ่งปลาดุกเดิมกินไม่เลือก พอผสมพันธุ์ใหม่ยิ่งตัวใหญ่ กินจุขึ้นกว่าเดิม เมื่อมีคนนำมาปล่อยจึงทำให้เกิดปัญหาต่อระบบนิเวศ 

เลื่อนเซ็นสัญญา 4-5 'บ้านโพ-พระแก้ว' รอความชัดเจน HIA 'สถานีอยุธยา'

(25 มิ.ย. 67) จากเพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

#ทุกคนคะ ช่วยตาม 14 ล้านเสียงมาอ่านค่ะ

จากกรณี สส.ก้าวไกล นำโดย เต้ ยุดยา และ ไอซ์ บางบอน ร่วมกันให้ข้อมูลบิดเบือนชาวบ้านในพื้นที่ตั้งแต่ปีที่แล้ว 

รวมถึงการยื่นหนังสือ เพื่อให้ชะลอการก่อสร้าง สถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่อยุธยา ผลคือ..

ระงับการเซ็นสัญญาก่อสร้างไม่มีกำหนด รฟท. ต้องรอความชัดเจนเรื่อง HIA ให้จบก่อนดำเนินการใด ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง 

ส่งผลให้ ภาพรวมการก่อสร้างทั้งโครงการฯ อาจล่าช้าจากแผนงานที่วางไว้ว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 71 

และอาจมีปัญหาถึง มหกรรมพืชสวนโลก โคราช ที่ชาวต่างชาติจะมาท่องเที่ยวหลายแสนคน (อ่านรายละเอียด >> https://www.dailynews.co.th/news/3569883/)

ขณะเดียวกัน ด้านเพจ 'ก้าวไกลอาสา ทั่วอยุธยามีรอยยิ้ม' ก็ได้แสดงความคิดเห็นว่า "การกระทำใด ๆ ในส่วนของ สส.เขต 1 ไม่เกี่ยวข้องกับทางพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น"

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ สหภาพแรงงานฮอนด้าแห่งประเทศไทย และรายการร้องทุกข์ลงป้ายนี้ ไทยพีบีเอส  มอบรถเข็นวีลแชร์ เสริมกำลังใจผู้สูงอายุ กทม 

วันที่ 25  มิถุนายน 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย นายวสันต์ มหิงษา ผู้บริหารสหภาพแรงงานฮอนด้าแห่งประเทศไทย และ นางกานดา จำปาทิพย์ บรรณาธิการรายการ สถานีประชาชน ไทยพีบีเอส   พร้อมด้วย ทีมงานมวลชนสัมพันธ์ กลุ่มไทย สมายล์ กรุ๊ป 
ลงพื้นที่  ณ เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้รับการติดต่อประสานขอรับบริจาครถเข็นวีลแชร์ จากสหภาพแรงงานฮอนด้าแห่งประเทศไทย เพื่อมอบให้ ผู้สูงอายุ ในพื้นที่  เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ราย คือ นางโฉมยา  หวังสะเล็บ อายุ 86 ปี พักอาศัย ณ บ้านเลขที่ 1998 ถ.ประชาชนร่วมใจ แขวงทรายกองดินใต้  เขตคลองสามวา  กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่ชราภาพ ไม่สามาถช่วยเหลือตัวเองได้ และทางบ้านมีฐานะยากจน จึงได้มามอบให้ในวันนี้  โดยมูลนิธิได้รับการบริจาครถวีลแชร์ จาก กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป ผู้ให้บริการรถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 

“การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ  มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน เติมกำลังใจ ให้แก่ ผู้สูงอายุ ถือเป็นกิจกรรมหลักที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ที่มีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป  ทั้งนี้ ท่านที่มีความประสงค์จะร่วมบริจาคหรือสมทบทุน ให้แก่ มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ สามารถติดต่อได้ที่ เพจมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ หรือ ติ๊กต๊อก มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์” นางเธียรรัตน์ กล่าว

'ชาวรัสเซีย' เริ่มหวั่น!! หลังเกิดเหตุกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงถล่มแคว้นดาเกสถาน ชวนกังวล-ไม่แน่ใจ 'เครมลิน' จะคุมเหตุรุนแรงในประเทศได้อยู่อีกหรือไม่?

เกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นอีกครั้งในแคว้นดาเกสถาน ทางตะวันตกด้านชายฝั่งทะเลแคสเปียนของรัสเซีย เมื่อช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาในกรุงมาฮัชคาลา เมืองหลวงของแคว้น และ เมืองเดอร์เบนท์ ที่อยู่ริมชายฝั่ง  

โดยกลุ่มก่อการร้าย ที่ภายหลังระบุว่าเป็นกลุ่มชาวมุสลิมหัวรุนแรง จำนวน 4 คนได้โจมตีกรุงมาฮัชคาลา ส่วนอีก 2 คนก่อเหตุในเมืองเดอร์เบนท์ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ด้วยการกราดยิงเข้าไปในป้อมตำรวจ โบสถ์คริสต์ออร์โทดอกซ์ และโบสถ์ยิว แล้วจุดไฟเผา เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บถึง 46 ราย และ เสียชีวิตกว่า 20 ราย ซึ่ง 15 ใน 20 รายนี้ เป็นตำรวจ

ทางการรัสเซียรายงานว่าได้จัดการวิสามัญคนร้ายไป 5 ราย และได้มีการจับภาพการดวลปืนเสียงดังสนั่นระหว่างผู้ก่อการร้าย และ เจ้าหน้าที่ ในหมู่บ้านที่เคยเงียบสงบในเมืองเดอร์เบนท์ที่กลายเป็นคลิปข่าวที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วรัสเซีย และเกิดคำถามถึงรัฐบาลกลางรัสเซียว่า ละเลยภัยซ่อนเร้นในบ้านตัวเองหรือไม่?

ดาเกสถาน เป็นแคว้นทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกติดกับทะเลแคสเปียน มีพรมแดนติดกับเชสเนีย, จอร์เจีย และ อาเซอร์ไบจาน ถือเป็นแคว้นที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซีย และมีพลเมืองกว่า 83% เป็นชาวมุสลิม

แต่ทั้งนี้ เดอร์เบนท์ เมืองสำคัญในแคว้นนี้กลับได้รับสมญานามว่าเป็น 'เมืองแห่ง 3 ศาสนา' อันได้แก่ศาสนาอิสลาม, คริสต์ และ ยูดาห์ เนื่องจากเมืองนี้มีที่ที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวคริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในรัสเซีย และ ชุมชนชาวยิวรุ่นบุกเบิกมานานหลายชั่วอายุคน ที่เป็นเป้าหมายในการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงมานานแล้ว 

หากไม่นับรวมเหตุการณ์กราดยิงในคอนเสิร์ต ฮอลล์ ใจกลางกรุงมอสโก เมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้ ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 145 ราย โดยกลุ่มก่อการร้าย ISIS-K ออกมาประกาศแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุครั้งนั้น แคว้นดาเกสถาน ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มักเกิดเหตุโจมตีชุมชนชาวคริสต์ และ ชาวยิว ในพื้นที่มานานหลายสิบปีแล้ว  

สาเหตุหนึ่งมาจากแคว้นนี้เป็นแหล่งลี้ภัยของกลุ่มลัทธิหัวรุนแรงจากเชสเนีย และแคว้นใกล้เคียง มาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นเมืองด่านหน้าของการปะทะกันระหว่างกองกำลังรัสเซีย กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในช่วงสงครามเชสเนีย 

จนทำให้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เมืองนี้มักเกิดเหตุไม่สงบอยู่เนือง ๆ โดยตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และ โบสถ์สำคัญทางศาสนาคริสต์ และยิว มักถูกใช้เป็นเป้าหมายในการก่อเหตุ

อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคมโดยรวมของแคว้นดาเกสถาน ค่อนข้างอ่อนแอ และ ย่ำแย่จากภายใน มีการคอร์รัปชันภายในรัฐบาลท้องถิ่น อัตราการว่างงานสูง ความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ภาษา และ ศาสนาในแคว้น เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของประชากรในพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแหล่งฟูมฟักชั้นดีของลัทธิก่อการร้าย 

และจากเหตุก่อการร้ายในดาเกสถาน เป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่าภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงในประเทศไม่เคยหายไปไหน และรอคอยโอกาสที่จะสร้างความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกประจำทำเนียบเครมลิน ยังคงปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะเกิดคลื่นแห่งความรุนแรงในภูมิภาคคอเคซัสเหนือ (แคว้นที่อยู่คั่นกลางระหว่างทะเลอาซอฟ ทะเลดำทางทิศตะวันตก และทะเลแคสเปียนทางตะวันออก รวมถึง ดาเกสถานด้วย) และยืนยันว่าสังคมรัสเซียมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากพอ ที่จะไม่สนับสนุนการก่อการร้ายในชุมชนของพวกเขา เหมือนเมื่อ 20 ปีที่แล้วอีกต่อไป

เช่นเดียวกับ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่เคยออกมากล่าวหลังเหตุกราดยิงในคอนเสิร์ต ฮอลล์ ในกรุง มอสโกว่า รัสเซียไม่ใช่เป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิมหัวรุนแรง เพราะเชื่อมั่นในความสามัคคีระหว่างศาสนา และกลุ่มชาติพันธุ์ในรัสเซียอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้ยากในโลก ส่วนภัยจากเหตุก่อการร้ายเป็นการแทรกซึมของฝ่ายยูเครน และ อริชาติตะวันตก 

แต่ใช่ว่าชาวรัสเซียทุกคนจะคิดเช่นนี้ และกำลังมองว่ารัฐบาลรัสเซียกำลังใช้ทรัพยากรของประเทศไปทุ่มให้กับสงครามในยูเครนมากเกินไปจนละเลยภัยซ่อนเร้นภายในบ้าน อันเป็นปัญหาที่หมักหมมค้างเติ่งที่รัฐบาลมองข้ามมานานนับสิบปี 

สำหรับเหตุกราดยิงกลางเมืองในดาเกสถาน ที่อุกอาจขนาดถล่มป้อมตำรวจ เผาโบสถ์คริสต์-ยิว ยิงบาทหลวงเสียวิต โดยเจาะจงเลือกช่วงเทศกาล Trinity Sunday ของชาวคริสต์ออร์โทดอกซ์พอดี และห่างจากเหตุก่อการร้ายของกลุ่ม ISIS-K ในกรุงมอสโกเพียงไม่กี่เดือนนั้น ก็ชวนให้ชาวรัสเซียเริ่มไม่แน่ใจว่า รัฐบาลเครมลินจะคุมสถานการณ์ของกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศได้อยู่หรือไม่

เชื้อไฟสงครามปะทุ!! เตรียมดันราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น หลังภัย 'ตะวันออกกลาง' และ 'รัสเซีย' ยังคุกรุ่น

(25 มิ.ย.67) หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลก ประจำสัปดาห์วันที่ 17-21 มิ.ย. 67 และแนวโน้มในสัปดาห์วันที่ 24-28 มิ.ย. 67 โดยระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์สงครามคุกรุ่นในตะวันออกกลางและรัสเซีย

- นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล นาย Benjamin Netanyahu ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 67 ว่า การโจมตีกลุ่มฮามาส (ในฉนวนกาซา) กำลังจะสิ้นสุดลง และเป้าหมายของกองทัพอิสราเอลจะเปลี่ยนไปเป็นที่ชายแดนทางตอนเหนือของอิสราเอลติดกับเลบานอน ทั้งนี้กองทัพอิสราเอลประกาศจะปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ ต่อฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ทางตอนใต้ของเลบานอน ซึ่งอาจส่งผลให้ความขัดแย้งลุกลามกลายเป็นสงครามในภูมิภาค

- วันที่ 21 มิ.ย. 67 ทหารยูเครนใช้โดรน (Unmanned Aerial Vehicles) โจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย 4 แห่ง กำลังการกลั่นรวมกว่า 400,000 บาร์เรลต่อวัน (ประมาณ 6% ของกำลังการกลั่นรวม) ทำให้เกิดเหตุระเบิดและไฟไหม้ อนึ่งรัสเซียใช้โรงกลั่นดังกล่าวผลิตเชื้อเพลิงให้เรือรบที่ปฏิบัติการในทะเลดำ

- Energy Information Administration (EIA) รายงานว่าอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 มิ.ย. 67 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 1.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 21.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากประชาชนจำนวนมากออกมาใช้รถยนต์ช่วงฤดูขับขี่ท่องเที่ยว (วันที่ 27 พ.ค.-2 ก.ย. 67)

- Petroleum Planning and Analysis Cell (PPAC) ของอินเดียรายงานว่าปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบในเดือน พ.ค. 67 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.7% อยู่ที่ 5.12 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เร่งผลักดันเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดระบบ 

หมายเหตุ >> SPR : Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ ภายใต้การเร่งผลักดันให้เกิดโดย ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเข้ามามีบทบาททำหน้าแทนที่กองทุนน้ำมันได้มากขึ้น โดยในอนาคตเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ถือครองปริมาณน้ำมันมากที่สุดในประเทศจนเพียงพอสำหรับการใช้งานในประเทศได้ถึง 90 วันแล้ว รัฐบาลย่อมสามารถนำปริมาณสำรองเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นธรรมในประเทศได้ 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top