Wednesday, 25 June 2025
NewsFeed

‘สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Beam’ เตรียมยุติกิจการในไทย 30 มิ.ย.นี้ พร้อมให้บริการ 27 มิ.ย.วันสุดท้าย หลังดำเนินงานมา 3 ปี

(24 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก Beam Thailand ของ บริษัท บีม โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกประกาศถึงผู้ใช้งานในประเทศไทย ว่า Beam Thailand จะยุติกิจการในวันที่ 30 มิ.ย. 67 ขอขอบคุณลูกค้าสำหรับความร่วมมือและการสนับสนุนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากมีเครดิตการขับขี่ กรุณาใช้เครดิต Beam ภายในวันที่ 27 มิ.ย. 67 ซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายของการให้บริการ

โดยหากลูกค้าที่มีเครดิตที่ซื้อด้วยเงินของตัวเอง (USER PURCHASED) กรุณาใช้เครดิตเหล่านั้นภายในวันที่ 27 มิ.ย. 67 เครดิตที่ไม่ได้ใช้ภายในวันที่กำหนดจะได้รับการคืนเงินจาก Beam โดยสามารถติดต่อภายในวันที่ 10 ก.ค. 67 ได้ที่อีเมล [email protected] ส่วนเครดิตที่ได้รับจาก Beam ในรูปแบบของโปรโมชันหรือการชดเชย จะไม่มีสิทธิ์ได้รับการคืนเงิน

"เราขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านสำหรับการสนับสนุน และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ให้บริการลูกค้าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ... ขอบคุณจากใจสำหรับความร่วมมือและการสนับสนุนของท่าน หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในอนาคต" ข้อความจาก Beam Thailand ระบุ

สำหรับ Beam เป็นแพลตฟอร์มสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากประเทศสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 โดยมีแอปพลิเคชัน Beam สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อปลดล็อก เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางภายในพื้นที่บริการ เปิดให้บริการครั้งแรกในไทยที่ย่านเมืองเก่าภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เมื่อปี 2564 ก่อนขยายบริการไปยังจังหวัดอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา

นอกจากนี้ ยังมีให้บริการในมหาวิทยาลัยบางแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

สำหรับบริษัท บีม โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2564 ทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท มีนายอลัน จูเลียน เจียง และนายเดบ เซการ์ กันโกพาดิห์เย่ เป็นกรรมการบริษัท 

ข้อมูลการเงินมีดังนี้

ปี 2564 มีรายได้รวม 402,820 บาท ขาดทุนสุทธิ 7,113,974 บาท
ปี 2565 มีรายได้รวม 11,405,235 บาท ขาดทุนสุทธิ 9,466,254 บาท
ปี 2566 มีรายได้รวม 26,476,532 บาท ขาดทุนสุทธิ 12,556,201 บาท

อนึ่ง นอกจากประเทศไทยแล้ว สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Beam ยังให้บริการในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และตุรกี

‘พล.ท.นันทเดช’ มอง!! ‘ประเทศไทย’ ไปได้ไกลกว่านี้ แต่กลับถูกบอนไซ ด้วยการปกครองแบบที่คณะราษฎรตั้งใจ

เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย. 67) พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า…

“ประเทศไทยจะไปได้ไกลกว่านี้มาก ถ้าไม่มีคณะราษฎร (ตอนที่1)”

“ในสมัยรัชกาลที่ 1 อาณาเขตของสยามได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางครอบคลุม กัมพูชา ลาว เวียดนามบางส่วน จนไปถึงอ่าวตังเกี๋ย และหัวเมืองมลายูทั้งหมด ทำให้ ‘สยาม’ มีประเทศกันชน ป้องกันข้าศึกรุกรานอยู่ทุกด้าน เป็นประเทศที่น่าเกรงขาม สุขสงบ และมากมายด้วยเกียรติยศ แต่สยามก็ต้องแลกมาด้วยความยากลำบากของขุนทหารทุกระดับ ทั้งที่มาจาก วังหน้า วังหลวง และ วังหลัง ที่ต้องผลัดเวียนกันออกไปรบพุ่ง ปกป้องรักษาประเทศราชเหล่านั้น ไม่รู้จบสิ้น”

“ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 สยามกลายสภาพเป็นเสมือน ประเทศกันชน ระหว่างอำนาจฝรั่งเศส ทางทิศตะวันออก และ อำนาจอังกฤษ ทางทิศตะวันตก ในขณะที่สงครามแบบเก่า ที่ใช้ความเก่งกล้าจากขุนทหารของสยามก็กำลังเริ่มหมดไป การล้อมปราบด้วยปืนไฟ และเรือปืน ได้เข้ามาแทนที่”

“ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงทรงประกาศอาณาเขตสยามอย่างชัดเจนขึ้น เพื่อป้องกันความขัดแย้งกับมหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศ และทรงมุ่งมั่นพัฒนาประเทศ ทุกด้านอย่างรวดเร็ว ปฏิรูประบบทหารให้เป็นแบบยุโรป ทรงเลิกทาส โดยให้ทาสทุกคนได้เรียนหนังสือก่อน แล้วจึงมอบที่ดินให้ทำมาหากิน นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงส่งนักเรียนไทยไปเรียน ที่ประเทศต่าง ๆ ทางตะวันตก ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับญี่ปุ่น เพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาสยาม (สมาชิกคณะราษฎรส่วนใหญ่กำเนิดมาจากนักเรียนทุนหลวง)”

“อย่างไรก็ตาม แม้สยามจะเจริญก้าวหน้าขึ้นมาแทบทุกด้าน แต่สยามก็ยัง ติดปัญหาเรื่องสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่เคยทำไว้กับประเทศตะวันตก ซึ่งทำให้สยามเสียเปรียบประเทศตะวันตก ทั้งด้านการค้า และความเท่าเทียมในฐานะที่สยามเป็นประเทศเอกราช ดังนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 6 จึงทรงตัดสินพระทัย ไม่ฟังคำคัดค้านของกลุ่มทหารที่จบจากเยอรมัน (พ.อ.พระยาพหลฯเป็นคนหนึ่งในกลุ่มนั้นด้วย ) เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 กับฝ่ายสัมพันธมิตร ประกาศสงครามกับเยอรมัน ทำให้สยามได้รับชัยชนะ สามารถแก้ไขสนธิสัญญาต่าง ๆ กับประเทศตะวันตกได้ทุกฉบับ (นายปรีดี เองก็ยังกล่าวชมเชยพระองค์ในเรื่องนี้ไว้)”

“หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงขยาย การพัฒนาประเทศต่อยอดจาก ในหลวงรัชกาลที่ 5 เพิ่มเติมขึ้นอีก แต่ก็ยังทำได้ไม่เต็มที่ พระองค์จึงทรงกู้เงินมาจากประเทศทางยุโรป เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และการชลประทาน อีกไม่กี่ปีต่อมา ผลผลิตทางเกษตร ก็ออกมาอย่างท่วมท้น การขนส่งพืชผล ออกสู่ท้องตลาด ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว เงินกลับคืนมาล้นท้องพระคลัง ในต้นรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 7 พระองค์ก็ทรงใช้หนี้ที่กู้ยืมมาจนหมดสิ้น และทรงเตรียมพระราชทานรัฐธรรมนูญ ให้กับประชาชน แต่ก็ถูกทักท้วงไว้จากที่ปรึกษาชาวตะวันตก คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ และคณะอภิมนตรี ว่า “ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่มีความรู้เพียงพอ” ให้ชะลอไว้ก่อน”

“พระยาพหลฯ ผู้นำคณะราษฎรฝ่ายทหาร นั้นเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดว่า ในหลวงรัชกาลที่ 7 กำลังจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่บอกอาจารย์ ปรีดี เพราะอาจารย์ปรีดี ผู้นำคณะราษฎร สายพลเรือน บอกว่า เพิ่งมารู้หลังจากทำปฏิวัติไปแล้ว”

“ปัญหาจึงน่าสนใจตรงที่ว่า ทำไมพระยาพหลฯ ผู้เป็นเสมือนหัวใจของ คณะราษฎรในตอนนั้น ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าในหลวงรัชกาลที่ 7 ได้ร่างรัฐธรรมนูญไว้เรียบร้อยแล้ว และเตรียมที่จะพระราชทานอยู่แล้ว ถึงไม่บอกสมาชิก คณะราษฎรคนอื่น ๆ ให้รู้ หรือทำไมไม่กราบบังคมทูลขอเข้าเฝ้าฯเพื่อถวายข้อเสนอแนวทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามที่พวกตนต้องการ ซึ่งแนวทางนี้ พระองค์เจ้าบวรเดช ก็เคยพูดคุยกับ พระยาพหลฯมาก่อนที่คณะราษฎรจะปฏิวัติ ดังนั้น การใช้วิธีปฏิวัติล้มล้าง ซึ่งไม่ใช่วิธีการตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเมื่อเริ่มต้นขึ้นแล้ว ก็หยุดไม่ได้ จึงทำให้การปฏิวัติกลายเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาของเหล่าสมาชิกคณะราษฎร ทั้งในสายทหาร และสายพลเรือน และยังเป็นโมเดลของการรัฐประหารครั้งต่อ ๆ มาภายหลัง”

“บ้านเมืองจึงเสมือนถูกบอนไซ การปกครองแบบประชาธิปไตยตามที่คณะราษฎรตั้งใจไว้ จนกลายมาเป็นการปกครองแบบเผด็จการทางสภาบ้าง เผด็จการทางทหารบ้าง สลับกันไป เป็นแบบนี้มาตลอด 25 ปี ของการครองอำนาจ”

‘เบลล่า’ นำคณะถวายผ้าป่า 2 วัดติด ยอดเกือบ 4 ล้านบาท หนุนอุปกรณ์การแพทย์ - ทำพิธีปิดทองพระนางพญาองค์ใหญ่

(24 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ครอบครัวสายบุญอย่างดาราสาว ‘เบลล่า’ หรือ นส.ราณี แคมเปญ และคุณแม่ปราณี แคมเปญ ,คุณวีณา เฆมกำเนิดชัย ,ผู้จัดการส่วนตัว พร้อมด้วย ผู้จัดคู่บุญ คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์ และคณะ ได้เริ่มเดินสายขึ้นเหนือไปร่วมทอดผ้าป่าถวายเงินบูรณะปิดทองคำแท้ องค์สมเด็จนางพญาองค์ใหญ่ ที่วัดราชบูรณะ จังหวัดพิษณุโลก 

โดยมียอดผ้าป่า ที่กัลยาณมิตรบุญและแฟนคลับร่วมบุญกับคุณเบลล่า ถึง 2,679,756.31 บาท เพื่อหวังให้สถานที่ดังกล่าว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นที่เคารพศรัทธาทางใจของประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชาวจังหวัดพิษณุโลกด้วย 

จากนั้น เมื่อวานนี้ทางครอบครัวคุณเบลล่า พร้อมด้วยคุณแม่ปราณี ยังเดินทางต่อไปที่วัดสันป่ายางหลวง จังหวัดลำพูน เพื่อนำเงิน 1 ล้านบาทที่น้องเบลล่า และคุณแม่ได้ร่วมกันเป็นสะพานบุญ บอกบุญไปยังพุทธศาสนิกชนที่สนใจจะร่วมบุญกับเบลล่าและครอบครัวในการทอดผ้าป่ามหากุศล เพื่อสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนโรงพยาบาลจังหวัดลำพูน เพื่อจัดสร้างหน่วยพยาธิวิทยากายวิภาคเป็นจำนวน 10 ล้านบาท 

ทั้งนี้ เบลล่า ราณี และคณะได้ร่วมถวายปัจจัย 1 ล้านบาท โดยมีพระเทพรัตนายกเจ้าคณะจังหวัดลำพูนเจ้าอาวาสวัดหริกุญชัย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมกับพุทธศาสนิกชนชาวลำพูนที่มาร่วมงานบุญกันอย่างคับคั่ง สร้างความประทับใจมาสู่เบลล่าและครอบครัว เป็นอย่างมาก งานนี้ต้องขอชื่นชม คุณเบลล่า ราณี และคุณแม่ ที่ได้เป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีชื่อเสียง และทำประโยชน์ตอบแทนสังคม 

โดยเบลล่า ราณี ได้กล่าวกับประชาชนที่มาร่วมบุญว่า “ความจริงแล้วการทำบุญไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป หากเรามีแรงกายแรงใจ ก็มาร่วมสร้างบุญด้วยกันได้ค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านในการทำบุญครั้งนี้ค่ะ”

สมุทรปราการ-โครงการส่งเสริมการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐาน "ปลาสลิดบางบ่อ” ออนไลน์ทั่วโลก

นายสุจินต์ วาจากิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานเปิดงาน "ปลาสลิดบางบ่อ ออนไลน์ทั่วโลก" ภายใต้โครงการส่งเสริมการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐาน ประจำปี พ.ศ. 2567

โดยมี นายสาธิต กล่อมสวัสดิ์ พาณิชย์จังหวัดสมุทรปราการ คุณโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ รองประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง ตลอดจนเจ้าหน้าที่แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน ร่วมในพิธีเปิดงานในครั้งนี้ ณ เวทีกิจกรรม บริเวณ Grand Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้า อิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ วัตถุประเพื่อขยายช่องทางการตลาด และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ปลาสลิดบางบ่อให้มากยิ่งขึ้น พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ หรือกลุ่มเกษตรกร เพื่อสร้างรายได้ให้กับระบบเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับการจัดสรร สนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของจังหวัดจังหวัดสมุทรปราการ

ภายในงานมีผู้ผลิต ผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงและจำหน่ายสินค้า จำนวนกว่า 40 ราย ซึ่งประกอบไปด้วยสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาสลิด สินค้ากลุ่ม OTOP/SMEs กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สินค้าเครือข่าย MOC Biz Club เป็นต้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมเจรจาธุรกิจเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เพิ่มมากขึ้น กิจกรรมพิเศษอื่นๆ เช่น กิจกรรมนาทีทองที่ทุกท่านจะสามารถซื้อสินค้าภายในงานได้ในราคาถูก, กิจกรรมจับสลากลุ้นรางวัลทุกวัน มูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท ตลอดการจัดงาน และในทุกวันยังมีกิจกรรมสาธิตเมนูจากสินค้า G1 จ.สมุทรปราการ จากเชฟชื่อดังทุกวัน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-26 มิถุนายน 2567

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ผนึกพลัง ตำรวจ - เอไอเอส เปิดยุทธการทลายเครือข่าย “แก๊งตระเวนลักแบตเตอรี่สำรองเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ”

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัฒนา ปรีชานันท์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.วราวุธ เจริญชนม์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.กฤตยา เลาประสพวัฒนา รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.เอนก บุตรอินทร์ รอง ผบก.สง.ก.ต.ช. ปฏิบัติราชการ บก.สส.ภ.2

พร้อมด้วยชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ทำการสืบสวนเนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนร้ายตระเวนลักทรัพย์แบตเตอรี่(ลิเธียม)ที่ติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ในกลุ่ม เอไอเอส จำนวนหลายท้องที่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จากการประสานของมูลจาก บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ว่าในห้วงระยะเวลา ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566 ถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดเหตุคนร้ายได้ตระเวนก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน กว่า 150 ครั้ง ได้ทรัพย์สินเป็นแบตเตอรี่ ไม่ต่ำกว่า 300 ลูก ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่าสิบล้านบาท คนร้ายได้ตระเวนลักทรัพย์ในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคตะวันออก โดยเลือกพื้นที่ห่างไกลและไม่ค่อยมีกล้องวงจรปิด ออกตระเวนลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และจากแผนประทุษกรรมการก่อเหตุพบว่าคนร้ายเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับระบบเสาสัญญาณโทรศัพท์เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าคนร้ายเป็นกลุ่มคนที่เคยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการติดตั้งระบบในเสาสัญญาณโทรศัพท์

ด้านนายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออก เอไอเอส กล่าวว่า “จากกรณีที่มีมิจฉาชีพขโมยแบตเตอรี่ สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ของเอไอเอส ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับความเสี่ยงของการให้บริการสัญญาณเครือข่ายอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้สถานีฐานขาดระบบสำรองแหล่งพลังงาน อันอาจทำให้ไม่สามารถให้บริการสัญญาณได้ตามปกติ ดังนั้นทีมวิศวกร และฝ่ายกฎหมายของเอไอเอส จึงเดินหน้าทำงานสืบสวนในเชิงลึกร่วมกับตำรวจ โดยกองบังคับการสืบสวน สอบสวนตำรวจภูธร ภาค 2 มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามกลุ่มมิจฉาชีพและสามารถเข้าจับกุมรายใหญ่ได้ในครั้งนี้ ซึ่งในนามของเอไอเอส ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านอย่างยิ่ง ที่ให้ความสำคัญกับคดีนี้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่า ในพื้นที่อื่นๆ หากมีการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในลักษณะนี้ จะทำให้สามารถติดตามจับกุม และนำทรัพย์สินกลับมาเพื่อให้สามารถส่งมอบสัญญาณเครือข่ายได้อย่างมีคุณภาพต่อไป อย่างไรก็ตามหากประชาชนพบเหตุต้องสงสัย สามารถแจ้งมาที่บริษัทฯ หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลาเช่นกัน”

สำหรับ แบตเตอรี่ลิเธียม ที่ได้ทำการติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ มีไว้สำหรับเป็นกระแสไฟฟ้าสำรองกรณีหากมีเหตุไฟฟ้าดับ แบตเตอรี่จะทำงานจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเสาสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ประชาชนที่มีพื้นที่การใช้งานบริเวณเสาสัญญาณนั้นๆ ยังสามารถใช้สัญญาณโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารได้ บริษัทจึงต้องใช้แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีกำลังวัตต์สูง เพื่อสำรองกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอที่จะทำให้สัญญาณโทรศัพท์ไม่ขัดข้องในกรณีที่ไฟฟ้าดับ โดยในเสา 1 ต้น จะติดตั้งประมาณ 2-3 ลูก ราคาอยู่ที่ประมาณ ลูกละ 40,000 บาท ซึ่งแบตเตอรี่ลิเธียม ประเภทนี้จะไม่ได้มีการนำมาขายตามท้องตลาด ทางบริษัทนำเข้าแบตเตอรี่ จะจำหน่ายให้กับบริษัทที่จะต้องนำไปใช้งานจริงเท่านั้น

คนร้ายได้กระทำกันเป็นขบวนการเครือข่าย โดยหลังจากที่คนร้ายได้ทำการลักทรัพย์แบตเตอรี่แล้ว จะรีบนำไปส่งขายให้กับกลุ่มรับซื้อของโจร ในราคาลูกละ 5,000-8,000 บาท จากนั้น กลุ่มคนรับซื้อของโจรจะดำเนินการปลด Alert ในตัวแบตเตอรี่ แล้วนำไปลงขายใน Social ตลาดมืด ในราคาลูกละ 12,000 – 14,000 บ. และหากซื้อจำนวนมากๆ ราคาจะถูกลง ซึ่งตลาดมืดที่มีความต้องการแบตเตอรี่ประเภทนี้สูงที่สุด คือ กลุ่มตลาดที่รับติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่ ที่มีกำลังวัตต์สูง ในการเก็บไฟฟ้า รองลงมาจะเป็น กลุ่มเครื่องเสียงรถยนต์ กลุ่มเครื่องเสียงรถแห่ กลุ่มทำเหมืองขุดบิทคอย เป็นต้น

ชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ได้ รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้ร่วมกันประชุมวางแผนกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและวิศวกร ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด เพื่อประสานข้อมูลในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และทำลายเครือข่ายขบวนการลักแบตเตอรี่เสาสัญญาณโทรศัพท์ ในครั้งนี้ ซึ่งชุดสืบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 7 คน และขออนุมัติศาลขอหมายค้นเพื่อตรวจยึดของกลาง อีกจำนวน 8 จุด ซึ่งได้ดำเนินการวางแผน Operation ตั้งแต่ วันที่ 21–23 มิ.ย. 67 ซึ่งรายละเอียดผลการปฏิบัติการ มีดังนี้

จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 6 ราย ประกอบด้วย

1.นายอัศวิน สงวนนามสกุล

2.นายอิบรอฮีม สงวนนามสกุล

3.นายนาวิน สงวนนามสกุล

4.นายรุ่งอนัน สงวนนามสกุล

5.นายศราวุธ สงวนนามสกุล

6.นายปริวัฒน์ สงวนนามสกุล

7.นายวีระวุฒฺ สงวนนามสกุล หลบหนีการจับกุม

รวมจับกุม 6 คน ตรวจยึดของกลางรวม จำนวน 114 ลูก

ซึ่งการตรวจยึดจากผู้ที่รับซื้อรวมถึงคนกลางที่รับซื้อแบตเตอรี่ซึ่งถูกขายบน Social ด้วยจากการขยายผลพบกลุ่มผู้กระทำความผิดที่เป็นตัวลงมือลักทรัพย์และตัวกลางรับซื้ออีกหลายราย ซึ่งจะได้จับกุมให้หมดทั้งขบวนการและได้ประสานงานกับชุดสืบสวน บก.สส.ภ.3,กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา,กก.สืบสวน ภ.จว.ชลบุรี การตรวจยึดในครั้งนี้

การกระทำของผู้ลงมือและตัวกลางรับซื้อ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์/รับของโจร ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึง 5 ปี และหากมีพฤติการณ์ลักทรัพย์ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือรับของโจร เฉพาะที่เกี่ยวกับการช่วยจำหน่าย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการค้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน อีกส่วนหนึ่ง ต้องระวางโทษตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์

ในส่วนตัวกลางรับซื้อ รับจำหน่าย ได้มีการอายัดบัญชีไว้แล้ว กว่า 1,000,000 บาท และจะถูกดำเนินคดีทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไป

‘ทบ.’ โต้!! ‘สส.ก้าวไกล’ หลังให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน ยัน!! ‘ที่ดินทหาร’ เป็นไปตามกฎหมาย-ระเบียบราชพัสดุ

(24 มิ.ย. 67) พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวถึงกรณีนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการการทหาร ตั้งข้อสังเกตพื้นที่ทหารซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ แต่เจ้าของพื้นที่ไร้อำนาจเรียกคืน เปรียบเป็นพื้นที่เอกราชของกองทัพที่ไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบได้ ว่า ข้อมูลดังกล่าวอาจสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนให้กับสังคม ในประเด็นที่เกี่ยวกับที่ดินทหารในหลายประการ กองทัพบกจึงขอให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และป้องกันการบิดเบือนข้อมูลทั้งที่เจตนาและด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนี้

ที่ดินทหาร คือ ที่ดินราชพัสดุ ตาม พ.ร.บ. ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 โดยมีกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ส่วนกองทัพบก เป็นผู้ใช้ที่ราชพัสดุ ตามกฎกระทรวง การใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2563 โดยเป็นการใช้ตามอำนาจหน้าที่ของกองทัพ ด้านความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ ซึ่งยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ที่ราชพัสดุ และเนื่องจากพื้นที่ของกองทัพบก เป็นพื้นที่เพื่อความมั่นคง มีชั้นความลับทางราชการทหาร จึงทำให้บุคคลภายนอกเข้าถึงได้ยาก การไม่ได้รับรู้ข้อมูลเชิงลึก อาจทำให้ถูกมองว่ากองทัพบก ทำอะไรได้ตามใจ ซึ่งแท้จริงแล้วกองทัพบกก็ยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบต่าง ๆ

พื้นที่ไม่ลงสี หรือสีขาวนั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้กำหนดข้อยกเว้นสำหรับที่ดินของกองทัพ เพื่อกำหนดเป็นพื้นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญต่าง ๆ เช่น คลังอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงที่ตั้งโรงงานต่าง ๆ ของกองทัพ รวมถึงระบบด้านความปลอดภัยและสาธารณูปโภคที่สนับสนุนเกื้อกูลกัน

ทั้งนี้ การก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ กองทัพบก ยังคงต้องเป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องเช่นกัน หากหน่วยงานใดมีความประสงค์จะขอใช้ที่ราชพัสดุในความครอบครอง ดูแลและใช้ประโยชน์ ของกองทัพก็สามารถกระทำได้ตาม กฎกระทรวง การใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2563 ข้อ 3 โดยขอความเห็นชอบจากกองทัพในฐานะส่วนราชการที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ แล้วยื่นคำขอไปยังกรมธนารักษ์ หรือสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ ซึ่งในปัจจุบันกองทัพก็ได้ยินยอมให้ส่วนราชการใช้หลายพื้นที่ เช่น บริเวณที่ตั้งของรัฐสภา , มอเตอร์เวย์ทั้งสายตะวันตกและสายตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงที่ตั้งสำนักงานของส่วนราชการอื่น ๆ เป็นต้น

กองทัพบกตระหนักดีว่าการได้รับการบริการในด้านต่าง ๆ ของประชาชน เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ผู้ที่เข้าไปยึดถือครอบครอง (บุกรุกที่ดินของรัฐ) ในพื้นที่ครอบครองของกองทัพบกโดยมิชอบ ซึ่งบางพื้นที่เป็นพื้นที่ความมั่นคงตามแนวชายแดน ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบันกองทัพบก ได้นำที่ดินที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติภารกิจของกองทัพบก ร่วมกับกรมธนารักษ์ จัดทำโครงการ 'ธนารักษ์เอื้อราษฎร์' ซึ่งเป็นการจัดสรรพื้นที่ราชพัสดุที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการต่าง ๆ นำมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ จึงขอให้ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการและติดตามข่าวสารได้ที่สำนักงานธนารักษ์และหน่วยทหารในพื้นที่

‘5 ป.’ ปิด-ปรับ-ปลด-เปลี่ยน-ปลูก สูตรสำเร็จประหยัดพลังงาน

แม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศว่าประเทศไทยสิ้นสุดฤดูร้อนไปแล้วเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ปัจจุบันเข้าสู่ฤดูฝน และหลาย ๆ บ้านน่าจะเห็นตัวเลขค่าไฟฟ้าที่ลดลงจากช่วงอากาศร้อนจัดเมื่อ 1-2 เดือนที่ผ่านมา แต่อย่าลืมว่า เราเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบที่นำเข้ามากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป หรือ ก๊าซ LNG ที่นำเข้ามาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า 

ดังนั้น จึงอยากจะขอย้ำเตือนไว้เสมอว่า ตราบใดที่เราใช้น้ำมันและไฟฟ้าอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของตัวเองแล้ว ยังเป็นการช่วยลดการขาดดุลการค้าให้กับประเทศ และช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมด้วย

ที่สำคัญคือ การประหยัดพลังงานทำได้ทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องรอแคมเปญกระตุ้น หรือการรณรงค์จากหน่วยงานใด ๆ

การประหยัดน้ำมัน ทำได้ง่าย ๆ คือการวางแผนการเดินทาง การหมั่นตรวจเช็กลมยาง หรือการเดินทางแบบคาร์พูล รถคันเดียว นั่งไปพร้อมกันได้หลายคน

ส่วนการประหยัดไฟฟ้า  สูตรสำเร็จ 5 ป. คือ ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน ปลูก ก็ยังใช้ได้ผล ได้แก่

1. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็น : ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้งาน แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ช่วยประหยัดไฟได้มาก

2. ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา: ปรับอุณหภูมิแอร์ให้เย็นสบายโดยไม่ต้องหนาวเกินไป ช่วยให้ประหยัดไฟได้ถึง 10%

3. ปลดปลั๊กเมื่อไม่ใช้งาน: ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อป้องกันการกินไฟแอบแฝง

4. เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5: ยิ่งเป็นฉลากโฉมใหม่ 5 ดาว ยิ่งช่วยให้ประหยัดไฟได้มากกว่า

5. ปลูกต้นไม้ สร้างร่มเงา รักษาสิ่งแวดล้อม: ปลูกต้นไม้ใหญ่รอบบ้าน ช่วยลดความร้อนภายในบ้าน ประหยัดไฟจากการเปิดเครื่องปรับอากาศ

รู้แบบนี้แล้วก็ลองนำไปใช้กันดู แล้วเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่อเดือนกันระหว่างเดือนที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้าแบบปกติ กับแบบที่ประหยัดตามข้อแนะนำ จะได้รู้ว่ามีเงินเหลือในกระเป๋าเพิ่มขึ้นมามากแค่ไหน…

นราธิวาส-รอง ผอ.รมน.ภาค 4 สน. ตรวจเยี่ยมกำลังพล ย้ำมาตรการในการปฏิบัติงานดูแลความสงบเรียบร้อย ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

พลตรี ไพศาล  หนูสังข์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ณ กองร้อยป้องกันชายแดนที่ 4 ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และตรวจเยี่ยมหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 11 ตำบลโล๊ะจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส พร้อมรับทราบปัญหาข้อขัดข้อง ในการปฏิบัติงานของหน่วยเพื่อเป็นการเน้นย้ำการปฏิบัติงาน และสร้างความเข้มแข็ง ในการดูแลความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนระหว่างไทย- มาเลเซีย ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

โอกาสนี้ พลตรี ไพศาล  หนูสังข์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมและร่วมรับฟังผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาของหน่วย รวมถึงรับทราบปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงาน พร้อมได้มอบแนวทางข้อแนะนำต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน อีกทั้งได้นำนโยบายข้อสั่งการของ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 มาเน้นย้ำแก่เจ้าหน้าที่ให้นำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมายต้องมีการวางแผนการปฏิบัติงานอย่างรัดกุม ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังไม่ประมาท และให้มีการประสานการทำงานร่วมกันระหว่าง ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการผนึกกำลังยับยั้งการกระทำผิดกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่จะต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีไป ตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อควบคุมบุคคลหรือสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิด ผ่านเข้า-ออก และป้องกันการก่อเหตุในทุกรูปแบบ ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส 

“ภูมิธรรม”มอบ สศท. จับมือพาณิชย์ พันธมิตร ต่อยอดงานศิลปหัตถกรรมไทย ชูใช้อัตลักษณ์ท้องถิ่นปรับให้ทันโลก พร้อมสร้างทายาทคนรุ่นใหม่สืบทอด

วันที่ 24 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00 น.นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายการขับเคลื่อนสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย(องค์การมหาชน) สศท. หรือ sacit ที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อสืบสานงานสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ชูงานศิลปหัตถกรรมที่เป็น Soft Power ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ โดยเน้นย้ำให้ สศท.เดินหน้า “สืบสาน รักษา พัฒนาต่อยอด”งานศิลปหัตถกรรม พร้อมเป็นศูนย์กลางด้านองค์ความรู้ในงานหัตถศิลป์ทรงคุณค่า ควบคู่การ บูรณาการการทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานพันธมิตร สร้างความยั่งยืนให้แก่งานศิลปหัตถกรรมไทย โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ดร.เสรี นนทสูติ ประธานกรรมการ สศท. นางพรรณวิลาส แพพ่วง รักษาการแทนผู้อำนวยการ สศท. ร่วมด้วย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนงานศิลปหัตถกรรมไทยในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรม ซึ่งนับว่าเป็นกลไกสำคัญที่ผลักดันให้งานศิลปหัตถกรรมเป็น Soft Power ของประเทศที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ภารกิจที่สำคัญอีกด้านหนึ่งของ สศท.คือการรวบรวมองค์ความรู้และฐานข้อมูลเกี่ยวกับ ครูศิลป์  ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าของชาติที่จะต้องสืบสาน รักษา และต่อยอดให้คงอยู่

“ต้องให้โอกาสเอาช่างฝีมือที่ทันต่อโลก ทันยุคสมัย มาปรับเปลี่ยนกับของเดิมที่มีอัตลักษณ์ของไทยโดยไม่เสียอัตลักษณ์ ให้คนใหม่ๆหรือต่างประเทศเข้าสู่งานศิลป์ของไทยได้เพิ่มขึ้นทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลง เข้าถึงได้กับคนรุ่นใหม่ รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์ เป็นงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย  ดูแล สร้างสรรค์ภูมิปัญญา ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี  เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับผู้สร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปเร็ว ถ้าเราจะอยู่ในโลกนี้ได้ต้องปรับตัวให้ทันกับโลก“ นายภูมิธรรมกล่าว

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า SACIT อยู่กับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นกระทรวงมีศักยภาพที่จะทำให้ชุมชน วิสาหกิจชุมชนและประชาชนเติบโตได้ ทั้งเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา การจดทะเบียน การส่งเสริมการส่งออกทุกส่วนต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันกับพันธมิตร ดึงคุณค่าอัตลักษณ์ของไทยให้ออกมาได้อย่างมีศักยภาพ ให้คนไทยรู้สึกภาคภูมิใจในงานหัตถกรรมและการรักษาหัตถกรรมไทยให้ยั่งยืนต้องมีทายาท สร้างคนรุ่นใหม่เข้ามา เด็กรุ่นใหม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ให้เกิดการประสานงานกันของคนทั้ง 3 รุ่น ทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นใหม่ จะเกิดองค์ความรู้มาพัฒนาสอดรับกับยุคสมัย ให้เราเป็น Craft Center ของประเทศ รัฐบาลพร้อมสนับสนุน

ซึ่งที่นี่มีภาระค่าใช้จ่ายดูแลต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหา และตนได้ให้นโยบายว่าทำอย่างไรให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางให้จังหวัดต่างๆในภาคกลางมาใช้จัดแสดงงาน ใช้สถานที่และเป็นศูนย์ท่องเที่ยวประสานงานกับพันธมิตรเป็นศูนย์กลางในระดับประเทศต่อไป  และกระทรวงพาณิชย์ก็จะให้หน่วยงานต่างๆเข้ามาใช้สถานที่ พร้อมให้คนรุ่นใหม่เข้ามาใช้ได้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้วัฒนธรรม หัตถกรรมไทย ถ่ายทอดให้ชาวต่างชาติเห็นถึงจิตวิญญาณของคนไทย

'Devas IPASON' บริษัทไอทีจากจีน แจ้ง!! ไปไม่รอดในไทย เหลือพนักงาน 5 คน จาก 160 คน ฝ่ายขายไปเกลี้ยง

(24 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก Devas IPASON ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ชื่อดังจากประเทศจีน ได้โพสต์ชี้แจง ระบุว่า

“แจ้งให้ผู้บริโภคทราบ”

“น่าเสียดาย หลังจากผ่านไป 20 เดือน บริษัทของเราไม่สามารถอยู่รอดได้ในประเทศไทย จากทีมงาน 160 คน ขณะนี้เหลือพนักงานเพียง 5 คนเท่านั้น ที่จะทำงานขั้นสุดท้าย เพิ่งล้มละลาย การขายทรัพย์สินในสำนักงานและการจัดการปัญหาหลังการขายบางส่วน”

“อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอดีตทีมงานหลังการขายทั้งหมดได้ลาออกแล้ว ความสามารถของเราในการจัดการหลังการขาย จึงมีจำกัดสำหรับผู้บริโภคบางรายที่ไม่ตอบกลับหรือตอบกลับล่าช้า หากคุณต้องการเร่งการประมวลผล โปรดติดต่อเราที่สำนักงานเราจะจัดหาผลิตภัณฑ์หลังการขายให้กับคุณ”

“หากไม่มีผลิตภัณฑ์หลังการขายที่เกี่ยวข้องเราจะจัดเตรียมทางเลือกให้กับผู้บริโภคทุกคนที่มา ไปที่สำนักงาน เราจะเตรียมของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มเติมเพื่อเป็นการแสดงความขอโทษของเรา ที่อยู่บริษัท เลขที่ 39 ซอย สุขุมวิท 101/2 บางนาเหนือ บางนา กรุงเทพฯ 10260”

“ทั้งนี้บริษัท Devas IPASON (เดวาส์ ไอพาสัน) เป็นแบรนด์ไอทีจากประเทศจีนถือหุ้นโดยบริษัท IPASON, Colorful และ Deva’s Natural ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งในวงการผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประมวลผลคุณภาพสูง ทำการตลาดไปทั่วโลก ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top