Wednesday, 25 June 2025
NewsFeed

‘ชนินทร์ เย็นสุดใจ’ ผู้ต้องหา คดีหุ้น ‘STARK’ ถึงไทยแล้ว  ดีเอสไอคุมตัวสอบเข้ม ก่อนส่งฟ้องอัยการ วันพรุ่งนี้

(23 มิ.ย.67) เมื่อเวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว นายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตผู้บริหารบริษัท สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว หลังจากหลบหนีนานเกือบ 1 ปี ก่อนเจ้าหน้าที่นำตัวสอบปากคำเพิ่มเติมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อนำส่งให้ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วิเศษเขตการณ์ ผอ.กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ดำเนินคดี และสอบปากคำตามขั้นตอน ภายใน 48 ชั่วโมง

นายจักรพงษ์ แสงมณี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงรับตัว นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ว่า ข่าวหุ้น Stark เป็นข่าวที่ได้รับความสนใจในวงกว้าง โดยนายชนินทร์ หลบหนีไปต่างประเทศในช่วงกลางปี 2566 คดีนี้เป็นคดีที่มีผลกระทบกับนักลงทุนทั้งรายเล็ก กลาง ใหญ่ เป็นภาพที่ไม่ดีต่อตลาดทุน เร่งดำเนินการตั้งแต่ช่วงเดือนต.ค. 2566 ใช้เวลา 8 เดือน ในการดำเนินการนำตัวนายชนิทร์กลับมา เป็นความร่วมมือหลายหน่วยงงานตั้งแต่ดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับนายชนินทร์บ้างหรือไม่ นายจักรพงษ์ กล่าวว่า มีพูดคุยบ้างในเรื่องการร้องขอความปลอดภัย เนื่องจากในช่วงอยู่ในต่างประเทศถูกคุกคาม โดยขั้นตอนต่อไปจะส่งตัวไปที่ดีเอสไอส และช่วงบ่ายในวันนี้น่าจะให้รายละเอียดของคดีเพิ่มมากขึ้น ในตอนนี้เป็นส่วนของการนำตัวนายชนินทร์กลับมาได้แล้ว

สำหรับคดีหุ้น STARK พบว่ามีการตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนได้รับความเสียหายกว่า 15,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาดีเอสไอสั่งฟ้องผู้ต้องหา รวม 11 คน หนึ่งในนั้น คือ นายชนินทร์ เย็นสุดใจ แต่หลบหนีออกประเทศ ก่อนจะได้รับการประสานจากทางการสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่าได้เข้าควบคุมตัวนายชนินทร์ตามการร้องขอของรัฐบาลไทยไว้เรียบร้อยแล้วในวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา

‘ธนกร’ หนุน ‘นายกฯ-รัฐบาล’ เดินหน้า นโยบายปราบการทุจริต เน้น!! ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้นักลงทุน

(23 มิ.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ประสานความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศติดตามจับกุมตัวนายชนินทร์ เย็นสุดใจ ผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีทุจริต บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนฯ ข้อหายักยอกทรัพย์และข้อหาฟอกเงิน มูลค่าความเสียหายกว่า 14,778 ล้านบาท  ซึ่งใช้เวลากว่า 8 เดือนในการติดตามตัว ผู้ต้องหาที่ทุจริตหลบหนีไปต่างประเทศกว่า 1 ปีกลับมาเข้าสู่กระบวนการได้สำเร็จ  จึงขอชื่นชมนายกรัฐมนตรี รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่จริงจังต่อนโยบายปราบปรามการทุจริตในตลาดทุนและทุกระดับ

ทั้งนี้ ขอฝากรัฐบาล เดินหน้านโยบายการปราปรามทุจริตในทุกแวดวง ทุกระดับอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การใช้งบประมาณของทุกกระทรวง ทุกกรม ข้าราชการประจำ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะตลาดทุนของไทย ตนขอฝาก คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ตรวจสอบเข้มงวด เกี่ยวกับบริษัทในตลาดทุน ให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้และป้องกันการทุจริต

“เช่นคดีหุ้น STRAK คดีนี้ ต้องใช้เวลาและกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อติดตามตัวผู้ต้องหานานถึง 8 เดือน ที่หลบหนีไปต่างประเทศ  ซึ่งเป็นคดีที่มีผลกระทบกับนักลงทุนทั้งรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อตลาดทุนไทย  หากมีการเข้มงวดกวดขันให้รัดกุมจะสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนได้มากขึ้น”นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

'เพจดัง' เผย!! เด็กมัธยมเดินย่านดัง หิ้วกระเป๋าใบหลักหมื่น ฝันหิ้วหลักแสน ใช้ของแพงเกินระดับเงินเดือนประเทศไทยไปเยอะมากตั้งแต่เด็ก

(23 มิ.ย.67)เพจ 'สานต่อเจตนารมย์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ก็ได้ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นด้วยเช่นกัน ว่า...

เพิ่งเห็นคลิปสอบถามเด็กมัธยมที่เดินแถวสยามว่าสะพายกระเป๋ายี่ห้ออะไร ราคาเท่าไหร่กันบ้าง?

คำตอบที่ได้มีตั้งแต่ใบละ 20,000 - 50,000 และถ้าเป็นไปได้อยากสะพายใบละ 100,000 อัพ

ชื่อยี่ห้อที่เด็กๆ ตอบกลับมามีตั้งแต่ Goyard, Marimekko (ถูกไหม? ผมไม่รู้จัก), Chanel, YSL ฯลฯ

ไม่อยากเอาคลิปมาลงเพราะมีหน้าเด็กๆ แต่ละคน และชุดเครื่องแบบโรงเรียน

ข้อคิดที่ได้คือ:

1. เด็กไทยที่บ้านมีตังค์ใช้ของแพงเกินระดับเงินเดือนประเทศไทยไปเยอะมากตั้งแต่เด็ก 

2. ผู้หญิงไทยรุ่นใหม่ระดับไฮเอน ค่า Maintenance ไม่ Realistic กับชีวิตจริงของคนที่ยังต้องสร้างฐานะ 

3. ผู้ชายไทยที่ไม่รวยมาก ยังต้องสร้างตัว ควรพิจารณาหาเมียจากผู้หญิงประเทศรอบๆ บ้าน ที่ยังไม่ติดหรู อยู่แพง พอใจแล้วกับแค่การได้มาใช้ชีวิตธรรมดาๆ ที่เมืองไทย

พูดง่ายๆ คือผู้หญิงไทยแพงเกินไป

เจ้าของบ้าน ในรัฐฟลอริดา ฟ้อง ‘นาซา’ เกือบ 3 ล้านบาท เหตุ!! ชิ้นส่วน ‘สถานีอวกาศ’ ตกใส่บ้านจน ‘หลังคา-พื้นบ้าน’ ทะลุ

(23 มิ.ย.67) จากกรณีเมื่อต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุวัตถุปริศนาตกลงมาใส่หลังคาบ้านหลังหนึ่งในเมืองเนเปิลส์ รัฐฟลอริดา สหรัฐฯ จนหลังคาและพื้นบ้านทะลุ โดยองค์การอวกาศนาซา (NASA) ได้ยืนยันว่า วัตถุดังกล่าวเป็นชิ้นส่วนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ที่ตกลงมาจากนอกโลกจริง

ล่าสุด อเลฮานโดร โอตโร และครอบครัว เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากนาซาแล้ว โดยเรียกร้องเงินชดเชย 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 3 ล้านบาท)

สำนักงานกฎหมาย Cranfill Sumner ซึ่งเป็นตัวแทนทางกฎหมายของโอเตโร กล่าวว่า การเรียกร้องของโอเตโรก็เพื่อชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ไม่มีประกัน การหยุดชะงักทางธุรกิจ ผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจ และค่าใช้จ่ายสำหรับหน่วยงานบุคคลที่สามที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัว

มิกา เหงียน วอร์ธี ทนายความของครอบครัวโอเตโร กล่าวว่า “ลูกค้าของฉันกำลังเรียกร้องค่าชดเชยที่เพียงพอเพื่อชดเชยความเครียดและผลกระทบที่เหตุการณ์นี้กระทำต่อชีวิตของพวกเขา”

เธอเสริมว่า “พวกเขารู้สึกขอบคุณที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ แต่สถานการณ์ที่ฉิวเฉียดเช่นนี้อาจเป็นหายนะได้ โดยหากเศษชิ้นส่วนกระเด็นไปในทิศทางอื่นอีกไม่กี่ฟุต ก็อาจมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้”

อเลฮานโดรเคยเล่าก่อนหน่านี้ว่า ชิ้นส่วนสถานีอวกาศตกลงมาใส่บ้านของเขาเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ขณะที่แดเนียล ลูกชายของพวกเขาอยู่บ้าน แม้โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่จุดที่มันตกลงมาอยู่ห่างจากห้องของลูกชายเขาไปเพียง 2 ห้องเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาของนาซาก่อนหน้านี้ระบุว่า วัตถุดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะทรงกระบอก หลุดออกมาจากอุปกรณ์สนับสนุนการบินที่ใช้ในการยึดแบตเตอรี่บนพาเลทสินค้าเมื่อปี 2021 วัตถุนี้ทำจากโลหะผสมอินโคเนล (Inconel) หรือซูเปอร์อัลลอยที่ทำจากนิกเกิล-โครเมียม มีน้ำหนัก 0.7 กิโลกรัม ยาว 4 นิ้ว และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.6 นิ้ว

เศษชิ้นส่วนดังกล่าวยังคงมีสภาพสมบูรณ์แทนที่จะสลายตัวหลังจากที่มันเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกก่อนที่จะตกลงสู่พื้นผิว
การฟ้องร้องคดีนี้เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นคดีตัวอย่างสำหรับการเรียกร้องปัญหาและผลกระทบจากขยะอวกาศทั้งที่เกิดจากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ

ทั้งนี้ นาซาจะมีเวลา 6 เดือนในการตอบสนองต่อคำฟ้องร้องนี้

‘ฟิลิปปินส์’ โวย ‘สหรัฐฯ’ ป้ายสี วัคซีนซิโนแวค ของจีน ทำให้ประชาชนไม่กล้าฉีด สุดท้ายยอดตาย พุ่งหลายหมื่น

(23 มิ.ย.67) รายงานการสืบสวนหนึ่งของรอยเตอร์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้เปิดยุทธการโฆษณาชวนเชื่อแบบลับๆ ในช่วงพีกสุดของโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์ สำหรับเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและก่ออิทธิพลสร้างวาทกรรมในวงกว้างเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคของจีน เช่นเดียวกับอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือช่วยชีวิตอื่นๆ ที่จัดหาให้โดยปักกิ่ง

ยุทธการดังกล่าว ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2020 และลากยาวจนถึงช่วงกลางปี 2021 เกี่ยวข้องกับการใช้บัญชีปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งรอยเตอร์ตรวจพบอย่างน้อย 300 บัญชีบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยมีเจตนาเพื่อก่อความคลางแคลงใจต่อวัคซีนซิโนแวคในหมู่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ขณะที่รอยเตอร์รายงานอ้างว่ายุทธการนี้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อเอาคืนความพยายามของปักกิ่งที่กล่าวโทษวอชิงตัน เป็นต้นตอของโรคระบาดใหญ่

ซิโนแวค เป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวแรกที่เข้าถึงได้ในฟิลิปปินส์ แต่การแจกจ่ายวัคซีนตัวนี้ถูกบดบังจากความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของมัน ชาวฟิลิปปินส์มีความลังเลใจต่อวัคซีนซิโนแวคมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยจนถึงเดือนกันยายน 2021 มีถึงเกือบครั้งที่ไม่มีความตั้งใจหรือไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรรับวัคซีนยี่ห้อนี้หรือไม่ ตามข้อมูลของเวิลด์แบงก์

บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแนวหน้า ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล สถานพยาบาลหลักสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ของฟิลิปปินส์ ระบุว่าประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ต้องกลายเป็นผู้ชดใช้ในปฏิบัติการแอบแฝงของสหรัฐฯ ในความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของวัคซีนจีน

ถ้าโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนข้อมูลนั้นเป็นจริง มุมมองของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับความสำคัญของวัคซีนอาจได้รับผลกระทบจากการยั่วยุปลุกปั่นทางสังคมในครั้งนี้ เรารู้ว่าชาวฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะคนชรา สามารถเชื่อสิ่งที่พวกเขาอ่านได้อย่างง่ายๆ" แอนโดรน คาร์ล โรโรเนโจ พยาบาลในหออภิบาลกุมารเวชของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล บอกกับอาหรับนิวส์ "ฉันคิดว่าถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้ จะมีคนยอมฉีดวัคซีนมากกว่านี้ในระยะแรกๆ และดังนั้น จะมีอีกหลายชีวิตที่ได้รับการปกป้อง

ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์พุ่งเหนือ 66,000 ราย ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นรองเพียงอินโดนีเซีย

ไบรอัน เอลวัมบูเอนา แพทย์ประจำโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล ในปี 2020 บอกว่าหลายชีวิตอาจอยู่รอดหากไม่มีการบิดเบือนข้อมูล เขาเชื่อว่ายุทธการของสหรัฐฯ ก่ออิทธิพลแก่คนไข้ของเขา หลายคนในนั้นติดเชื้อโควิด-19 อาการรุนแรง "ผมตกใจมาก และพบว่ามันไม่สร้างสรรค์และน่าสมเพช เพราะว่าเราพยายามอย่างสุดความสามารถ แจ้งให้ผู้คนเข้ารับวัคซีนยามที่วัคซีนมีพร้อมแล้ว"

พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขฟิลิปปินส์ยังได้ย้อนความถึงกรณีที่โรคระบาดใหญ่ทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศอยู่บนขอบเหวของการพังครืน แพทย์และพยาบาลต้องดิ้นรนดูแลคนไข้โควิด-19 ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูง

ไดแอนน์ เดอ คาสโตร พยาบาลรายหนึ่งของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล เปิดเผยว่าเธอต้องรับหน้าที่ดูแลคนไข้ 24 คนเพียงลำพัง โดยในนั้น 4 คน ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์พยุงชีพ

"มันทำให้ฉันคิดว่า เราอาจปกป้องหรืออย่างน้อยๆ ก็มีอัตราการเสียชีวิตที่น้อยกว่านี้ หลายชีวิตต้องมาสูญเสียไปในช่วงเวลาอันมืดมิดในยุคของเรา ฉันทำงานในด้านสาธารณสุขมาราว 4 ปีก่อนโควิด-19 ฮันไม่เคยรู้สึกกวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ที่ได้เห็นแม่ๆ พ่อๆ ลูกหลาน ญาติๆ และเพื่อนๆ ต้องมาตายในทุกๆ วัน" เดอ คาสโตร ให้สัมภาษณ์กับอาหรับนิวส์

อุบายเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนแก่สาธารณะ ทำให้ฉันโมโห ฉันยังคงมองว่าซิโนแวคเป็นวัคซีนที่มีศักยภาพสำหรับรับมือโควิด-19 และการเผยแพร่ข่าวลือนี้เท่ากับเป็นการตัดสายออกซิเจนคนคนหนึ่ง ที่กำลังต้องการอากาศหายใจและดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิต

สำหรับเธอแล้ว เดอ คาสโตร บอกว่ายุทธการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฯ ‘เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ ปล้นโอกาสรอดชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ไปจากผู้คน และขโมยเหยื่อผู้เสียชีวิตไปจากครอบครัว

‘พิธา’ ไม่กังวล กระแสแก้รัฐธรรมนูญให้เป็น สส. เขตล้วน 500 คน เพื่อสกัด ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! ไม่ว่าเกมจะเป็นยังไง เราก็ชนะ ในเกมที่เขาดีไซน์ให้เราแพ้มาโดยตลอด

(23 มิ.ย.67) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.แบบบัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยระบุว่ามีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ สส. มีที่มาจากระบบเขตทั้งหมด 500 ที่นั่ง ตัดระบบบัญชีรายชื่อออกไปทั้งหมดเพื่อสกัดพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งเป็นข้อมูลจากเพื่อนฝูงในพรรคเพื่อไทย

นายพิธา กล่าวว่า ก่อนจะตอบต้องบอกว่า เมื่อวานนี้ตนปฎิบัติภารกิจที่จังหวัดอุดรธานี และยังไม่มีโอกาสได้ฟังข้อมูลดังกล่าว จึงยังไม่ทราบบริบททั้งหมด แต่ในหลักการคือการแก้รัฐธรรมนูญจะต้องแก้โดยให้ประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชน ไม่ควรแก้เพื่อให้ประโยชน์ตกอยู่ที่นักการเมือง เป็นหลักที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นต้องเน้นว่า “การแก้รัฐธรรมนูญคือการคืนอำนาจให้กับประชาชนในระยะยาว” และทำให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุด ไม่ใช่แก้เพื่อให้พรรคหนึ่งได้ประโยชน์กับการแก้รัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่าการแก้ไขไปในทิศทางดังกล่าว มีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน นายพิธา กล่าวว่า สิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงในสมัยที่แล้ว คือการแก้ไขสัดส่วน สส.แบบแบ่งเขต จาก 350 คนเป็น 400 คน และปรับสัดส่วน สส.แบบบัญชีรายชื่อจาก 150 คน เหลือ 100 คน และมีการปรับวิธีการคำนวณ 

“เพราะฉะนั้นผมไม่ได้กล่าวหาว่าจะทำให้พรรคได้พรรคหนึ่งได้ประโยชน์ เพราะยังไงที่ผ่านมาพรรคของเราก็ชนะอยู่ดีถึงแม้ว่าจะมีการแก้ ดังนั้นถ้าหลังจากนี้จะมีการปรับสัดส่วนจาก 400 คนให้มีมากขึ้นไปอีก ผมมองว่ามีความเป็นไปได้ในสภา” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า ตนขอยึดหลักสำคัญว่าการแก้รัฐธรรมนูญมีความจำเป็น รัฐธรรมนูญปี 2560 คือระเบิดเวลา หากจะแก้ต่อไปต้องเอาประชาชนเป็นตัวหลักและให้ประชาชนได้ประโยชน์ อย่าให้พรรคใดพรรคหนึ่งได้ประโยชน์มากกว่ากัน หากกฎหมายสูงสุดของประเทศทำให้การเลือกตั้งหรือการเข้าสู่อำนาจไม่ยุติธรรมและเอนเอียง จะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกต่อไป แทนที่จะสามารถแก้ระเบิดเวลาได้ก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ในที่สุด

นายพิธา กล่าวว่า สำหรับพรรคก้าวไกล ไม่กังวลใจอะไร เพราะเอาประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้งมาก่อนความสามารถในการแข่งขันของพรรคเสมอ

“เราเชื่อในตัวเราว่า ในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่ารูปแบบเกมจะเป็นยังไง เราก็ชนะในเกมที่เค้าดีไซน์ให้เราแพ้มาโดยตลอด” นายพิธา กล่าวทิ้งท้ายes

นายกฯ ตรวจราชการ จ.ชลบุรี ติดตามการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รองรับการลงทุนชาวต่างชาติในพื้นที่ EEC ยัน ต้องเร่งผลักดัน รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินให้เกิดในปี 71

วันนี้ (23 มิถุนายน 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสุริยะ รุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายจุลพรรณ อมรวิวัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง โดยเฉพาะภารกิจสำคัญในการติดตามการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ของสนามบินอู่ตะเภา และตรวจติดตามโครงการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาล เช่น ด้านมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor (EEC)

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมประชุมหารือกับผู้แทนของการท่าอากาศยานอู่ตะเภาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยรอบ ซึ่งประเด็นการพูดคุยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องโครงการพัฒนาและ ส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจรวมทั้งระบบโลจิสติกส์ที่สำคัญได้แก่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่ปัจจุบันพบว่ามีความล่าช้าหลังจากมีกำหนดเสร็จเดิมภายในช่วงสิ้นปี 67 นี้แต่ปัจจุบันยังไม่ได้ดำเนินการซึ่งจากการรับรายงานทราบว่าช่วงเริ่มโครงการก็ติดปัญหา การแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 รวมไปถึงสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ทำให้ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก อีกทั้งยังมีเรื่องของ BOI ที่ดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ อย่างไรก็ตามกรณีกรณีดังกล่าวนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวชี้แจงว่าได้มีการหารือกับบริษัทผู้รับจ้างแล้วและมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกันโดยคาดว่า จะสามารถได้ผลสรุปภายในเดือนกรกฎาคมนี้แน่นอนจากนั้นก็จะดำเนินการก่อสร้างตามเป้าหมาย

ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่าควรจะกรรมการให้แล้วเสร็จภายในปี 71 เพราะโครงการนี้มีความสำคัญนอกจากเป็นเรื่องของการขนส่งการแล้ว ยังมีเรื่องของการลงทุน รวมทั้งเรื่องของการท่องเที่ยวที่เข้ามามีส่วนร่วมอีกด้วย  ขณะที่ในส่วนของท่าอากาศยานเองก็กำลังดำเนินการในส่วนของการสร้างรันเวย์เพิ่มก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่การจัดจัดทำพื้นที่สำหรับคาร์โก้ศูนย์ซ่อมอากาศยานและโรงเรียนการบิน ในอนาคตด้วย

ผบ.มชด.เยี่ยมพบปะและบำรุงขวัญ พื้นที่รับผิดชอบและหน่วยใน มชด.

นาวาเอก อโศก  ศรีสวัสดิ์ รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่1/ผู้บังคับหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน (รอง เสธ.ทรภ.1/ผบ.มชด.) พร้อมคณะฯ เดินทางลงพื้นที่พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร รับฟังอุปสรรค ปัญหาข้อขัดข้อง และบำรุงขวัญกำลังพลทางเรือใน(มชด.) ได้แก่ สถานีตำรวจน้ำ 4 กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ จว.จันทบุรี ศรชล จว.จันทบุรี ฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด ทัพเรือภาคที่1สถานีตำรวจน้ำ 5 กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ จว.ตราด ศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเล กองทัพเรือ เกาะช้าง หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน (มชด.)

ทั้งนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการข่าวสรุปสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งในปัจจุบันได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามรูปแบบต่าง ๆ ทั้งรูปแบบเก่าและรูปแบบใหม่ ติดตามผลการปฏิบัติงานตามนโยบายที่สำคัญ รวมถึงอาศัยกรอบความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในทุกระดับ เพื่อแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ยังมีภารกิจสำคัญในการช่วยเหลือประชาชน พร้อมเยี่ยมบ้านพักอาศัย ความเป็นอยู่กำลังพลใน (มชด.) ให้โอวาทและมอบสิ่งของให้กับกำลังพลในพื้นที่ชายแดน เพื่อบำรุงขวัญให้แก่กำลังพล อีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535655

สาวจะไป รพ. เจอ ‘แท็กซี่’ สายซิ่งเปิด ‘โตเกียวดริฟ’ พร้อมร้องตาม ขับเหวี่ยงไปมา  จัดเต็ม!! ‘แสง-สี-เสียง’ เหมือนมีปาร์ตี้ในรถ ขับหลง-บอกยังไม่ได้นอน ตั้งแต่เมื่อคืน

(23 มิ.ย.67) ผู้ใช้ติ๊กต็อก @maneelininkeo ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ขณะที่กำลังนั่งแท็กซี่คันหนึ่ง โดยเจอกับคนขับที่มีพฤติกรรมประหลาด พร้อมระบุแคปชั่นว่า ‘จากผู้โดยสาร กลายเป็นผู้ประสบภัย อเมซิ่งไทยแลนด์’ 

โดยคนขับรถคันนี้ เปิดเพลงเสียงดังพร้อมร้องประสาน ในรถมีไฟหมุนราวกับอยู่ในปาร์ตี้ แถมยังขับซิ่งเหวี่ยงไปมาและหลงทางอีก สุดท้ายคนขับเฉลยว่า ยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน

ล่าสุด คุณมินนี่ เจ้าของโพสต์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 11.30 ของเมื่อวานนี้ (22 มิ.ย.67) โดยตนเรียกแท็กซี่แถวพระราม 9 เพื่อไปยังโรงพยาบาลย่านฝั่งธนฯ ซึ่งตอนแรกคนขับบอกว่า แถวนี้เขาไม่กดมิเตอร์กัน ตนจึงปฏิเสธในการขึ้นรถ แต่สักพักคนขับก็เปลี่ยนใจให้ขึ้นมาและกดมิเตอร์ให้

เมื่อขึ้นรถไปตอนแรก ตัวคนขับก็ดูพูดจาปกติดี ไม่ได้เปิดเพลงหรือมีท่าทีแปลกๆ แต่ต่อมาคนขับก็หยิบเอาโทรศัพท์มาเปิดเพลงเสียงดัง เปิดไฟหมุนที่มีแสงสี พร้อมร้องประสานเพลงไปตลอดทาง

สักพักก็เริ่มขับเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนตนเริ่มกลัวจะเกิดอุบัติเหตุ จึงอยากขอลงกลางทาง แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวเสียน้ำใจ เลยทนนั่งต่อไปจนสุดทางเป็นเวลา 45 นาที โดยระหว่างทางคนขับกลับรถผิดที่และหลงทางจนต้องขับวนอีกรอบ พร้อมบอกตนว่า “เดี๋ยวพี่เร่งให้นะ”

พอใกล้ถึงโรงพยาบาล คนขับเล่าให้ตนฟังว่า เขายังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน ได้แค่งีบหลับ 30 นาทีเท่านั้น เนื่องมาจากบ้านของเขาถูกตัดไฟ ถ้ากลับไปบ้านก็ไม่รู้จะนอนยังไงเพราะร้อน และก็เป็นห่วงลูกสาวของเขา จึงต้องการหาเงินให้ได้ 5,000 บาท ซึ่งตอนนี้ได้เพียง 2,000 บาทเท่านั้น เลยต้องขับแท็กซี่ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้เงินครบ

คุณมินนี่ กล่าวเพิ่มเติมว่า คนขับแท็กซี่คันดังกล่าวไม่ได้มีท่าทีมาคุกคาม แต่สิ่งที่ตนกังวลใจคือ การขับรถของแท็กซี่คันนี้น่ากลัวมาก กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ เพราะทั้งขับซิ่ง ขับเหวี่ยง และร้องเพลงไปด้วย ส่วนภายในรถ เป็นรถเก่า ไม่มีข้อมูลอะไร นอกจากคิวอาร์โค้ดสแกนจ่ายและป้ายขอบคุณที่ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งตนคาดว่าน่าจะเป็นแท็กซี่ที่ขับในช่วงกลางคืนและไม่ได้นอนยาวมาจนรับตนในช่วงกลางวัน

ส่วนตัวไม่ได้อยากตัดสินคนขับคนดังกล่าว เพียงแค่ลงติ๊กต็อกตั้งคำถามเฉยๆ ว่า ‘ถ้าคุณโบกแท็กซี่แล้วเจอแบบนี้ คุณจะทำอย่างไร’ ซึ่งคนอื่นอาจจะมีวิธีที่ดีกว่าการอดทนนั่งไปตลอดทาง เพราะตอนนั้นตนก็กังวลเรื่องความปลอดภัยและอยากลงจากรถ แต่ด้วยความเกรงใจและสงสารคนขับ จึงไม่รู้จะบอกกับคนขับอย่างไรให้เขาไม่รู้สึกไม่ดี

ด้านคอมเมนต์ในติ๊กต็อก ก็มีหลายคนมาแชร์ประสบการณ์ว่า เคยเจอคนขับแท็กซี่คนดังกล่าวเช่นกัน เขาขับซิ่งมาก ชอบเปิดเพลง และแสงสีประกอบไประหว่างขับรถ ผู้โดยสารที่เจอก็ทำได้แค่เพียงสวดมนต์ขอให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย

‘พีระพันธุ์’ นำทัพ 'รวมไทยสร้างชาติ' ชวนคนรักสถาบันสวมใส่เสื้อสีเหลือง  ร่วมดูหนัง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ รอบพิเศษ 24 มิ.ย.67 เต็มแล้วทุกที่นั่ง!!

ในวันที่ 24 มิถุนายน 2567 นี้ ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรคพรรครวมไทยสร้างชาติ นำทัพพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เชิญชวนคนรักสถาบันสวมใส่เสื้อสีเหลือง เพื่อร่วมย้อนรอยประวัติศาสตร์ช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยผ่านภาพยนตร์แอนิเมชันที่เป็นกระแสโด่งดังแห่งยุคสมัยเรื่อง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ รอบพิเศษ ณ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ โรง 13 โดยกิจกรรมจะเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ในโอกาสวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันไทยอิงประวัติศาสตร์ที่คนไทยควรรับชม ซึ่งจะพาย้อนประวัติศาสตร์ของประเทศสยามขณะนั้นโดยละเอียด ตั้งแต่การถือกำเนิดของคณะราษฎร การวางแผนปฏิวัติยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่เหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เรื่อยมาจนถึงความวุ่นวายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไปจนถึงการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. 2478

เรื่องราวของการปฏิวัติ 2475 ถือเป็นเรื่องราวอันเป็นประวัติศาสตร์ที่ถือได้ว่า ‘คณะราษฎร’ ซึ่งถือเป็นผู้ชนะในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์บอกเล่าความเป็นมาถึงการได้มาซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามที่พวกตนต้องการตีไข่ใส่สีอย่างแท้จริง โดยอวยว่า คณะราษฎรของพวกตนนั้นได้เสียสละเสี่ยงชีวิตอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่พระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ได้ทรงตระเตรียมการณ์เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองสู่ความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 แล้ว จากการโปรดฯ ให้มีการจัดตั้งการปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นเป็นครั้งแรกในรูปแบบสุขาภิบาลที่ท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2441

ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 ทรงตั้ง (1) สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และ (2) สภาที่ปรึกษาในพระองค์ในปี พ.ศ. 2417 ทรงสร้างความเท่าเทียมเสมอภาคของประชาชนด้วยการเลิกทาสในปี พ.ศ. 2448 และทรงออกประกาศให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในราชอาณาจักรสยาม ทรงใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัด และอำเภอ และทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12 กระทรวง ต่อมาล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ทรงตั้งดุสิตธานีเมืองจำลองขึ้นเพื่อเป็นแบบทดลอง นครตัวอย่างของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีลักษณะเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบของเทศบาลที่ดัดแปลงมาจากประเทศอังกฤษ

ครั้นถึงรัชสมัยในล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้น 2 ฉบับ คือ Outline of Preliminary Draft ของพระยากัลยาณไมตรี (Francis B. Sayre) และ An Outline of Changes in the Form of the Government ของนาย Raymond B. Stevens และพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวซึ่งจะพระราชทานในวันที่ 6 เมษายน 2475 แต่ได้รับการคัดค้านจากอภิรัฐมนตรีสภา (คณะที่ปรึกษาชั้นสูงสุด) ด้วยเหตุผลสำคัญว่า ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร อันเนื่องจากราษฎรยังมีการศึกษาไม่ดีพอ จึงเกรงว่าเมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในภายหลัง ซึ่งก็เป็นความจริงตามนั้น เพราะ 25 ปีต่อมาหลังจากการปฏิวัติ 2475 อำนาจในการปกครองบริหารบ้านเมืองถูกแย่งชิงในมือของสมาชิกคณะราษฎร (เป็น 25 ปีที่มีการรัฐประหารในหมู่คณะราษฎรกันเองถึง 5 ครั้ง) จนกระทั่งจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำของคณะราษฎร) ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารซึ่งเป็นการตัดวงจรอำนาจทางเมืองของคณะราษฎรในปี พ.ศ. 2500 เป็น 25 ปีที่คณะราษฎรไม่เคยสนใจหรือใส่ใจในการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้กับชาวบ้านประชาชนเลย จึงกลายเป็นผลกระทบในด้านลบทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยมาจนทุกวันนี้

ความไม่จริงใจของคณะราษฎรปรากฏให้เห็นจากเอกสารผลสอบสวนของคณะกรรมการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่ หรือสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันเป็นรายงานที่ทำโดยสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อปี พ.ศ.2480 เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิธีการของสมาชิกคณะราษฎรซึ่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 ในการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกมาเป็นกรรมสิทธิของตัวเองและพวกพ้อง ด้วยวิธีการที่ไม่สุจริต โดยมีการชี้ชัดเป็นวิธีการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งไม่มีการเปิดเผยมากว่า 80 ปี และพึ่งปรากฏเป็นข่าวในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า กรณีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ.2475 นั้น ‘ผู้ชนะเป็นเขียนประวัติศาสตร์’ จึงไม่ปรากฏเรื่องราวด้านลบของคณะราษฎรเลย มรดกบาปที่คณะราษฎรทิ้งให้ประชาชนคนไทยจนทุกวันนี้คือความไม่เข้าใจในการปกครองระบอบประขาธิปไตยในบริบทที่ถูกต้องและควรจะเป็นของประเทศไทย ดังนั้น การที่พรรครวมไทยสร้างชาติ เชิญชวนคนรักสถาบันสวมใส่เสื้อสีเหลือง ภาพยนตร์เรื่อง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ เพื่อจะให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับข้อมูลความเป็นจริงที่แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาด ความบกพร่อง ความไม่เข้าใจ ความอ่อนด้อย และเจตนาอันไม่สุจริตของคณะราษฎรหลายคน จึงเป็นเรื่องราวที่พี่น้องประขาชนคนไทยควรจะต้องได้ศึกษาเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจถึงแก่นอันแท้จริงของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นคือ “เสรีภาพ และการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” ซึ่งมิใช่ “เสรีภาพ และการปกครองของประชาชน โดยนักการเมือง เพื่อนักการเมือง (และพวกพ้อง)” เช่นที่เห็นและยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top