Wednesday, 25 June 2025
NewsFeed

สาวโพสต์ข้อความ ขอให้ ‘พ่อค้าโรตี’ ล้างมือก่อนทำ เจอด่ากลับ ชาวเน็ตแนะ!! ให้ไปร้องเรียน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

(22 มิ.ย.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ออกมาโพสต์ข้อความแบ่งปันประสบการณ์เจอพ่อค้าขายโรตีที่นิสัยแย่แถมยังสกปรกอีก เหตุเกิดขึ้นบริเวณประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความเล่าเหตุการณ์ที่เจอว่า

เมื่อถึงเชียงใหม่ก็ไม่ประทับใจเลย

อุ้มลูกเดินเล่นตรงประตูท่าแพ เจอร้านขายโรตีซึ่งเป็นอะไรที่ชอบมากๆเลยเดินเข้าไปแต่พ่อค้านอนเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงพื้นแถวนั้นพอเห็นเดินไปหน้าร้านก็รีบลุกขึ้น วางโทรศัพท์ลง แล้วเอามือปัด ๆ ที่ก้น ยืนเตรียมทำท่าจะทำโรตี เราเลยถามไปว่า

เรา: ก่อนทำจะล้างมือก่อนมั้ยคะ

พ่อค้า: (หัวเราะ) แต่บอกว่าไม่ล้าง เชิญป้ายหน้าเลย ไม่ขาย

เรา: โอเคค่ะ แค่ถามดูไม่ล้างก็ไม่ซื้อค่ะ (แล้วเราก็เดินออกไป) 

พอออกไปได้ 2-3 ก้าวพ่อค้าตะโกนเสียงดังว่าเรื่องมากก็ไม่ต้องแดก จะให้ล้างมือก็ไม่ต้องแดก

พอเราได้ยินก็เลยสวนไป นี่ก็ไม่แดกแล้วไง มันก็เสแสร้งกลับมาว่ากูพูดกับเมียกูมึงร้อนตัวทำไม แล้วก็ตะโกนด่าเราไม่หยุดบอกเลยว่ามารยาททรามมาก ร้านอยู่หน้าประตูท่าแพแทนที่จะเป็นหน้าตาให้เชียงใหม่แต่พูดกับนักท่องเที่ยวได้แย่มาก

คือถ้ายืนทำอยู่แล้ว แล้วเราไปต่อแถวซื้อจะไม่ว่าไม่ถามอะไรเลยแต่นี่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงพื้น ไม่อยากต่อความยาวเพราะอุ้มลูกอยู่พร้อมพี่เรณ่าสามีก็ไม่อยู่เพราะเดินไปเอาของไม่งั้นอาจจะเรื่องใหญ่กว่านี้ เลยเดินออกไม่อยากเสียสุขภาพจิต แต่บังเอิญว่าน้องสาวแท้ ๆ ที่ไปด้วยยืนอยู่ตรงนั้นได้ยินเสียงพ่อค้าตะโกนด่าแต่ไม่รู้ว่าด่าพี่สาวตัวเอง เพราะเดินคนละฝั่ง พอโทรคุยกันถึงรู้ เลยถ่ายรูปร้านมาให้เพื่อแจ้งให้ทราบว่าสถานที่ที่เป็นจุดเช็กอินของเชียงใหม่ไม่ควรมีคนพฤติกรรมแบบนี้ ขอให้ไม่ประทับใจเรื่องนี้เรื่องเดียวละกันนะทริปนี้

ทั้งนี้พบว่าเรื่องราวดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเชียงใหม่และชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก แนะนำให้ร้องเรียนไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้แจ้งตำรวจในพื้นที่ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวไม่อนุญาตให้มีการขายของ นอกจากนี้ พบว่ามีชาวเชียงใหม่เข้ามาแสดงความคิดเห็นขอโทษผู้โพสต์รายนี้เป็นจำนวนมาก

'ก้าวไกล' ใกล้จอด!! 'เศรษฐา' น่ารอด สว.ใหม่ 'สีน้ำเงินปนแดง' ฟาก 'โจ๊ก' ยังยุ่ง

ผ่านสัปดาห์อันว้าวุ่น...ว่าด้วย 4 คดีดังจากศาลรัฐธรรมนูญฯ / ศาลอาญา และการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ 18 -21 มิ.ย. แถมด้วยเรื่องแทรกกรณีศึกบิ๊กสีกากี...วันนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ขอทำหน้าที่กรองข่าวเรื่องราวเบื้องต้น เพื่อสาธุชนจะได้ติดตามกันด้วยความระทึกต่อไป...ดังนี้...

1) กรณีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เดินหน้าต่อเพราะมติศาลรธน.วินิจฉัยว่า พ.ร.ป.การได้มาซึ่งสว.2561 ไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 107  แนวโน้มผลการเลือกรอบประเทศ (รอบสุดท้าย) ชิง 200 ที่นั่ง จาก 20 อาชีพ ๆ ละ 10 คนในวันที่ 26 มิ.ย. ขอฟันธงว่า...ผู้สมัครที่เป็นเครือข่ายของพรรคใหญ่ บ้านใหญ่ กลุ่มทุน จะกวาดเรียบอย่างน้อย 80% หน้าตาของสว.ชุดใหม่จะเป็นสีน้ำเงินปนแดง...ส่วนสว.สีส้ม ต้องเสียใจด้วย...ไม่เข้าเป้า...

2) เดือน ก.ค.เป็นเดือนมงคล ยังจะไม่มีการตัดสินคดีใหญ่ทางการเมือง...โดยคดีถอดถอนนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มีแนวโน้มที่จะตัดสินก่อนคดียุบพรรคก้าวไกล

คาดว่า คดีนายกฯ เดือนส.ค. ก็จะรู้หมู่หรือจ่า...50/50 แต่ถ้าไปบีบคอบรรดาเกจิอาจารย์ให้ทำนาย เสียงข้างมากจะออกมาว่า...น่าจะรอดได้ไปต่อ

ส่วนพรรคก้าวไกลนั้น น่าสังเกตว่า ศาลรธน. "มีคำสั่งให้นำพยานเอกสารในสำนวนการไต่สวนคดีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มารวมไว้ในสำนวนคดีนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรธน." ซึ่งคดีที่ 3/2567 ก็คือคดีล้มล้างฯ ที่ศาลรธน.วินิจฉัยเมื่อ 31 ม.ค.2567 ว่าพรรคก้าวไกลผิดและให้ยุติการกระทำ นั่นเอง...

ดังนั้นก้าวไกลน่าจะใกล้ปิดฉาก แต่ต้องลากไปยาวกว่าคดีนายกฯ เพราะละเอียดอ่อน

3) พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 3.75 ล้านล้านบาท ผ่านสภาฯ วาระแรกไปเรียบร้อยด้วยคะแนน 311ต่อ173 งดออกเสียง 2 โชว์ความปึ๊กของ 314 เสียง 'รัฐบาลเพื่อไทย' ส่วนที่มีการปล่อยข่าวว่าจะดีดพรรคพปชร.ออกนั้น เป็นความพยายามเขี่ยข่าวของฝ่ายค้านบางพรรค...ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี!!

เรื่องงบประมาณ พ.ศ.นี้ ค่อนข้างยุ่งเหยิง เพราะต้องจัดงบปี 2567 , 2568 ไปใช้ในนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต...งบฯ 68 ไม่ยุ่งมาก เพราะกำลังพิจารณา  แต่งบฯ 67 นั้นบังคับใช้ไปแล้ว ดังนั้นต้องไปแก้ไขเพิ่มเติมเป็นงบกลางปีขอกู้เงินเพิ่ม 1.22 แสนล้านบาท ซึ่งจะเข้าสภาประมาณ 17-18 ก.ค. ส่วนอนาคตของดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นจริงหรือจะเป็นเจ๊งอย่างที่ฝ่ายค้านกล่าวหา เดือน ต.ค.รู้กัน!!

4) กรณีศึกสีกากี...จบแต่ยังไม่จบ...ที่ชัดเจน ณ ชั้นนี้คือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล 'บิ๊กต่อ' ได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ตร.เหมือนเดิม ส่วนพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล 'บิ๊กโจ๊ก' นั้น มีเพียงถ้อยแถลงของนายวิษณุ เครืองาม เท่านั้น ที่อ้างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยมิชอบ เพราะกรรมการสอบวินัยยังไม่ได้สอบบิ๊กโจ๊กแม้แต่น้อยนิด...

งานนี้ 'เนติบริกร' ถูกย้อนศรจากนักวิชาการ อดีตตำรวจหลายคนว่าอ่านกฎหมายตำรวจไม่แตกฉาน...กรณีของบิ๊กโจ๊กจึงยังไม่เคลียร์คัท...เห็นทีจะต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) หรือถ้าจะวัดใจกันก็ต้องให้ 'บิ๊กต่อ' ยกเลิกคำสั่ง 'บิ๊กต่าย' พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ คนที่สั่งตั้งกรรมการสอบและให้บิ๊กโจ๊กออกจากราชการไว้ก่อน...

หักลบกลบหนี้ โอกาสที่ 'บิ๊กโจ๊ก' จะมาต่อคิวเป็นผบ.ตร.เบอร์หนึ่งยังไม่ง่าย ถึงแม้จะมี แต่โอกาสก็ใช่จะมาก ตราบที่บาดแผลคดีเทา ๆ ยังเต็มตัว!!

‘เศรษฐา’ เตรียมผลักดัน ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์’ เร่งเดินหน้า!! ทำความเข้าใจ กับประชาชน

(22 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานของนายกฯ ผ่านรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ เป็นเทปแรก ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) ดำเนินรายการโดยนายธีรัตถ์ รัตนเสวี  

ส่วนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ นายเศรษฐา กล่าวถึงการผลักดันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ว่า การทำงานมีหลายเรื่องไม่ใช่ตัดสินใจคนเดียวได้ โดยมีทั้งพรรคร่วมรัฐบาล, ฝ่ายตรวจสอบ, รัฐสภา , ข้าราชการ และ NGO ใช้คำว่าหลาย ๆ การริเริ่มอาจมีคนแย้งบ้าง เราก็ต้องทำประชาพิจารณ์ เป็นอะไรที่คนมีข้อกังขาเช่นกัน 

นายกรัฐมนตรี ยกตัวอย่าง มีผู้บ่นเรื่องค่าไฟแพงในขณะที่ค่าไฟที่ถูกที่สุด คือ พลังงานนิวเคลียร์ โดยทุกคนอยากได้หมด แต่อย่ามาอยู่บ้านฉันนะ ไปอยู่บ้านคนอื่นแล้วกัน 

“ผมก็เริ่มค้นคว้าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่านี่คือเรื่องที่เราดูอยู่” นายเศรษฐา กล่าว

ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐา ยืนยันว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องเตรียมแผนการศึกษาสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยนายเศรษฐา ระบุบนเวที Thailand Energy Executive Forum จัดโดยสถาบันวิทยาการพลังงาน (วพน.) เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2567 ว่า แม้ตอนนี้ไทยจะไม่มีแผนการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่หลายประเทศได้มีเทคโนโลยีทั้งสหภาพยุโรป (EU) ฝรั่งเศส และจีน ซึ่งไทยสามารถเรียนรู้และเก็บข้อมูลเพื่อที่ในอนาคตหากต้องตัดสินใจจะตัดสินใจได้ถูกต้อง   

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานระบุว่า ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024) รักษาระดับราคาค่าไฟฟ้าไม่ให้เกิน 4 บาทต่อหน่วย จากแผนเดิม (PDP 2018) โดยค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.66 บาทต่อหน่วย

'พีระพันธุ์' ตัดริบบิ้น!! นิทรรศการ 'การศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศจีน' เชื่อมโยงเด็กไทย เก็บเกี่ยวโอกาสใหม่ๆ จากรั้วอุดมศึกษาแดนมังกร

(22 มิ.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงานนิทรรศการ การศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศจีนประจำปี 2567 ณ BANGKOKTHONBURI HALL มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยมีศาสตราจารย์ ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง พร้อมด้วยอาจารย์และนักศึกษา ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เข้าร่วมในพิธีเปิดครั้งนี้ด้วย

สำหรับนิทรรศการ การศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศจีนประจำปี 2567 จัดขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้าง และยกระดับความสัมพันธ์ ในด้านการแลกเปลี่ยนและเป็นความร่วมมือ ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน และราชอาณาจักรไทยในด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา คณะกรรมการด้านการให้ทุนการศึกษาต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (China Scholarship Counci -CSc) ร่วมกับมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2567

ทั้งนี้ ภายในงานนิทรรศการ มีผู้แทนจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 32 แห่ง เข้าร่วมในงานอย่างคับคั่ง เช่น Tsinghua University, China University of Political Science and Law, Beihang University, Harbin Institute of Technology และ Xiamen University เป็นต้น

การจัดงานนิทรรศการ การศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศจีน ประจำปี 2567 ในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเปิดโอกาส ให้มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้นำเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาทางด้านการศึกษาในระดับนานาชาติ รวมถึงนโยบายเกี่ยวกับทุนการศึกษาต่างๆ ที่มีความหลากหลายสำหรับการศึกษาในสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านการสื่อสารในรูปแบบของการสื่อสารโดยตรง เพื่อเป็นการส่งเสริมการขับเคลื่อนของนักวิชาการ และนักศึกษา ตลอดจนความร่วมมือด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน และราชอาณาจักรไทย บนพื้นฐานของการได้รับประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ 

'พล.ต.อ.เอก' ชี้!! ปมคำสั่งให้ออก 'บิ๊กโจ๊ก' ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? ควรรอการวินิจฉัยของ 'ก.พ.ค.ตร.' ที่มีผลผูกพันตามกม.จะดีที่สุด

(23 มิ.ย.67) มีรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) จะเดินทางไปเป็นประธานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 5/2567 ในวันพุธที่ 26 มิถุนายน 2567 เวลา 15.00 น.ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 ตร.

โดยมีวาระที่น่าสนใจกรณี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งที่ 177/2567 ลง 18 เม.ย.2567 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยข้าราชการตำรวจ กรณี ตร. มีคำสั่งที่ 178 /2567 ลง 18 เม.ย.67 ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน โดยที่ประชุมจะพิจารณาผลสรุปการสอบสวนของอนุฯ ก.ตร.วินัย ที่มีผลสรุปคำสั่ง ตร.ที่ 177,178/2567 เรื่องให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ออกจากราชการไว้ก่อนว่าชอบด้วยกฏหมายหรือไม่

มีรายงานว่าคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับดำเนินการทางวินัย หรือ อนุฯ ก.ตร.วินัย ที่มีพล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธาน ได้สรุปผลการพิจารณา โดยมีมติว่าคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งลงนามโดยพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) ชอบด้วยกฎหมาย โดยหลังจากนี้จะเสนอเข้าที่ประชุมก.ตร.พิจารณาลงมติ หากก.ตร.เห็นชอบเท่ากับว่าคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการมีผลแล้ว แต่หากก.ตร.มีเห็นแย้งและมติว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายก็อาจจะมีมติให้พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งต่อไป

ด้านพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ระบุว่า ก่อนหน้านี้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นเรื่องให้ก.ตร.พิจารณา 2 ครั้ง เพื่อให้ก.ตร.มีมติให้ผบ.ตร.ยกเลิกคำสั่ง โดยอ้างว่าคำสั่งดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมาย โดยในครั้งที่ 2 ได้แนบบันทึกของคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สรุปว่าคำสั่งไม่ชอบ ซึ่งทางก.ตร.ได้ส่งเรื่องให้อนุฯ ก.ตร.วินัย พิจารณากลั่นกรอง ก่อนนำเสนอเข้าก.ตร.ชุดใหญ่พิจารณาให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้โดยปกติหากอนุฯ ก.ตร.มีมติอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น

"อย่างไรก็ตามก.ตร.อาจไม่เห็นด้วยก็ได้ และอาจมีมติให้พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ยกเลิกคำสั่ง เพราะว่าพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ อยู่ดีๆ ไปยกเลิกคำสั่ง ตัวเองก็ติดคุก ไม่มีหลังพิง จะอ้างว่ากฤษฎีกามีความเห็นมาก็ไม่เพียงพอ อย่างที่ผมย้ำ ความเห็นของกฤษฎีกาอย่างที่นายวิษณุ ฟันธง เป็นเพียงแค่ข้อสังเกตเท่านั้น ไม่ใช่ความเห็น เพราะหากเป็นความเห็นของกฤษฎีกา ใครถามอะไรไปอันนี้ต้องปฏิบัติตาม" พล.ต.อ.เอก ระบุ

พล.ต.อ.เอก อธิบายเพิ่มเติมว่า กรณีดังกล่าวทางสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกาไป 2 เรื่อง เรื่องแรกถามว่าจะต้องกราบบังคมทูลหรือไม่ ส่วนเรื่องที่สองถามว่าจะต้องกราบบังคมทูลเมื่อไหร่ แต่ปรากฏว่าคณะกรรมกฤษฎี ตอบ 2 อย่างไม่พอ ยังมีแถมข้อสังเกตมาด้วย ตรงนี้เคยมีคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดว่าหากหน่วยงานของรัฐสอบถามประเด็นในข้อกฎหมายเรื่องใด หากคณะกฤษฎีกาชี้มาอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามนั้น แต่กรณีนี้เป็นเพียงข้อสังเกตุที่ไม่ได้มีการสอบถาม จึงเป็นดุลพินิจของแต่ละหน่วยงานว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้

"คงต้องรอดูว่าก.ตร.จะพิจารณาอย่างไร หากก.ตร.เห็นว่านายวิษณุพูดมามีเหตุมีผลก็สั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเลิกคำสั่ง ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นเรื่องที่แปลก เพราะเท่ากับก.ตร.มาหัก อนุฯ ก.ตร.ที่เป็นลูกน้องตัวเอง"พล.ต.อ.เอก กล่าว

พล.ต.อ.เอก กล่าวด้วยว่า ทางออกที่ดีควรจะรอการวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. ซึ่งตรงนี้มีผลผูกพันตามกฎหมาย ไม่เหมือนกับความเห็นของกฤษฎีกา เพราะการวินิจฉัยของก.พ.ค.ตร. กฎหมายบอกเลยว่าให้เป็นที่สุด หากชี้ว่าคำสั่งมิชอบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อุทธรณ์ฎีกาอะไรไม่ได้เลย ต้องรับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กลับเข้ารับราชการทันที หากไม่ทำถือว่าผิดวินัย ติดคุกเลย แต่ในทางกลับกันหากวินิจฉัยแล้วไม่เป็นคุณ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ยังสามารถไปฟ้องศาลปกครองสูงสุดต่อไป

‘โกเด๊ะ พรัญชัย’ ยังไม่ขอส่งนักมวยชก ‘ONE’ ชี้!! รายได้ดี แต่แลกมาด้วยการบาดเจ็บ ทำให้อายุมวยสั้น

(23 มิ.ย.67) เพจ ‘ที่นี่มวยไทย’ ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ ‘โกเด๊ะ พรัญชัย’ โดยได้ระบุว่า

พรัญชัย ยังไม่ขอส่งนักมวยชก ONE เซฟนักมวย

‘โกเด๊ะ’ พรัญชัย อดิเทพวรพันธ์ ยอมรับทั้งฉลามและเขี้ยวอายุมากขึ้นแล้วจึงต้องการยืดอายุการใช้งานเซฟร่างกายให้มากขึ้นเพื่อสร้างรายได้ไปเลี้ยงครอบครัวนานๆ

มีคนถามทำไมไม่ให้นักมวยพรัญชัยไปชก ONE รายได้ดีมากโดยเฉพาะถ้าได้โบนัสแต่ผมว่ามันแลกมาด้วยความเจ็บปวดเกินไป อายุมวยจะสั้น

อย่างฉลามไปชก ONE ปรากฏว่าข้อมือหักหยุดไป7-8 เดือน มันไม่คุ้มกันเลย ผมจึงเปลี่ยนแนวอย่าง RWS ที่ค่าตัวก็โอเค.น่าพอใจไม่ยิ่งหย่อนกว่าที่ไหนและไม่เสี่ยงกับการบาดเจ็บด้วย ผมจึงต้องเซฟพวกเขาอย่างฉลาม เขี้ยว ให้ชกมวยต่อไปนานที่สุด

‘เศรษฐา’ ลงพื้นที่ ‘วอคกิ้งสตรีท พัทยา’ ทักทาย ผู้ประกอบการ เน้น!! ให้ดูแลด้าน ‘ความปลอดภัย-ทรัพย์สิน’ ของนักท่องเที่ยว

เมื่อวานนี้ (22 มิ.ย.67) เวลา 20.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นั่งรถโดยสารประจำทาง รอบเมืองพัทยา (รถสองแถว หมายเลข 224) เดินทางมายัง ถนนวอล์คกิ้งพัทยาใต้ หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อเยี่ยมชมเมือง และ บรรยากาศ ย่านสถาบันเทิงระดับโลก พร้อมกับ ทักทายนักท่องเที่ยว โดยมี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี , นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 และ หัวหน้าราชการต่างๆ ให้การต้อนรับ

สำหรับการเดินทาง ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในครั้งนี้ เป็นการเดินทางมาส่วนตัว เพื่อเยี่ยมชมบรรยากาศ สถานบันเทิง และ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองพัทยา ร่วมถึง ดูระบบ การดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาเที่ยวเมืองพัทยา  ระหว่างลงพื้นที่เยี่ยมชม มีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และ ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ชาวเกาหลี ต่างโบกมือทักทาย และ มีกลุ่มผู้ประกอบนำดอกไม้มาให้กำลังใจท่านนายกเศรษฐา อีกด้วย

ด้านนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า  ซึ่งในวันนี้ นายกเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้มาพื้นที่เมืองพัทยาเพื่อตรวจสอบเรื่องการกระตุ้นการท่องเที่ยว ตั้งแต่เช้า โดยไปลงพื้นที่เกาะล้าน สนามกีฬาฟุตบอล 20,000 ที่นั่ง จากนั้นก็ได้ร่วมงาน Pattaya International Pride Festival 2024 และได้ลงพื้นที่ดูการท่องเที่ยวภาคกลางคืน บริเวณถนนวอคกิ้งสตรีท พัทยา นายกเศรษฐาก็ได้ทักทาย ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมไปถึงได้ดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวหลังจากการดื่มภายในสถานบันเทิง หลังจากที่เมืองพัทยาได้ขยายเวลาปิดเป็น 04.00 น. ทางเมืองพัทยาก็เข้มงวดในเรื่องการเมาแล้วขับ โดยมีการให้นั่งห้องสำหรับพักผ่อน ก่อนที่จะเดินทางกลับ ก็ดูภาพรวมการท่องเที่ยวและการเติม เฟสติวัลระดับใหญ่เข้ามาจัดในพื้นที่เมืองพัทยา และสิ่งที่นายกเศรษฐาให้ความสำคัญ คือการดูแลความปลอดภัยและทรัพย์ของนักท่องเที่ยว

‘อ.ต่อตระกูล’ เผย ‘เด็กไทย’ ที่เข้าเรียนชั้นประถม มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ ชี้!! โรงเรียนเน้นสอนแต่ให้จำ ทำให้ ‘ไอคิวต่ำ’ ทำลายสมองที่ดี

(23 มิ.ย.67) รองศาสตราจารย์ ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยว่า 

พบเด็กไทยมีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ เคยมีผลสำรวจอีกชิ้นหนึ่งเมื่อ หลายสิบปีก่อน ก็พบว่าเด็กไทยที่เข้าเรียนในหลักสูตรประถมศึกษาไทยนั้น วัดไอคิว IQ แล้วได้ผล ออกมาต่ำกว่าเด็ก ที่อยู่บ้านไม่ได้เข้าเรียน สรุปว่า ยิ่งไปเรียนยิ่งโง่ เรียนแล้วทำลายสมองดีๆ ให้ดีแต่จำเก่ง พร้อมแชร์โพสต์จาก TNN ซึ่งได้ระบุว่า

‘ความคิดสร้างสรรค์’ เด็กไทย รั้งท้ายโลกในผลประเมิน PISA

รายงานฉบับล่าสุดของ PISA ว่าด้วยความคิดสร้างสรรค์ของเด็กทั่วโลก พบว่า ประเทศที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด คือ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ 

ไม่เพียงเท่านั้น หากดูในกราฟที่แสดงสัดส่วนเด็กว่า มีความคิดสร้างสรรค์ระดับไหน (Level 3 ขึ้นไป ถือว่าเกินมาตรฐาน) จะพบว่า เด็ก ๆ ในประเทศเหล่านี้ มีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก และคนที่ความคิดสร้างสรรค์ต่ำ กว่าเลเวล 2 ก็มีสัดส่วนน้อยอย่างมาก

หากเทียบกัน ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 54 ตามหลังมาเลเซีย ที่อยู่อันดับ 38 ไม่เพียงเท่านั้น น่าสนใจที่เด็กไทยที่มีความคิดสร้างสรรค์ระดับสูง คือ ตั้งแต่ Level 3 ขึ้นไปมีน้อยนิด แต่กลับมีเด็กที่ไร้ความคิดสร้างสรรค์คิดเป็นส่วนใหญ่ของทั้งหมด

‘กปถ.’ เดินหน้าทำงานเชิงรุก เพื่อความปลอดภัย ในการเดินทางของปชช. เน้น!! มุ่งลดจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนน ตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน

(23 มิ.ย.67) นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงาน 20 ปี กปถ. พลังขับเคลื่อนถนนปลอดภัยทั่วไทยอย่างยั่งยืน ในชื่อ Driven sustainable road safety across Thailand เน้นการทำงานเชิงรุก โปร่งใส ร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย ‘คมนาคม เพื่อความปลอดภัย ในการเดินทางของประชาชน’ และลดอัตราเสียชีวิตบนท้องถนนตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก 

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ประธานในพิธีฯ กล่าวว่า กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) โดยกรมการขนส่งทางบก ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ปรากฏผลงานที่สร้างประโยชน์ต่อประชาชนตลอด 20 ปี และเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงคมนาคม ด้านคมนาคม เพื่อความปลอดภัย ในการเดินทางของประชาชน และสนับสนุนเป้าหมายหลักของประเทศในการลดอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนน

จากรายงาน Global Status Report on Road Safety ขององค์การอนามัยโลก พบว่า สถิติการเกิดอุบัติเหตุและอัตราการเสียชีวิตของคนไทยในรอบ 10 ปี ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากอัตราผู้เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 3 ของโลก ที่  38.1 คนต่อประชากร 1 แสนคนใน พ.ศ. 2556 ลดลงยู่ที่ 25 คนต่อประชากร 1 แสนคนใน พ.ศ. 2566 อยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก อย่างไรก็ตาม ความสูญเสียของประเทศยังคงอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก ประเทศไทยจึงมีเป้าหมายการลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้เหลือเท่ากับ 12 คนต่อประชากรแสนคน หรือ 8,478 คน ในปี 2570 เป็นไปตามเป้าหมายและตัวชี้วัดภายใต้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งชาติ ประเด็นโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล อีกทั้งเป็นเป้าหมายของแผนแม่บทด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย และนโยบายรัฐบาลเพื่อให้ประชาชนมีความสุขในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความปลอดภัย การให้บริการที่เป็นมาตรฐานสากลและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก¬¬ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เพื่อเป็นทุนสนับสนุนและส่งเสริมด้านความปลอดภัยในการใช้ถนน และให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยบนท้องถนน ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานที่ผ่านมา 20 ปี กปถ. ได้จัดการประมูลไปแล้วทั้งสิ้น 533,286 หมายเลข ได้มีการจัดสรรเงินงบประมาณ ตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯไว้ โดยได้สนับสนุนทุนจัดซื้ออุปกรณ์ให้ผู้พิการไปแล้วทั้งสิ้น 18,134 ราย สนับสนุนทุนโครงการด้านการศึกษาวิจัย เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน 109 โครงการ สนับสนุนโครงการด้านการดำเนินการ ลดอุบัติเหตุทางถนน 1,703 โครงการ 

ก้าวต่อไปจากนี้ กปถ. ยังคงทำงานเชิงรุกและบริหารจัดการกองทุนอย่างเป็นธรรม โปร่งใส เป็นมิตรและเป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างและร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ตั้งแต่ ‘ต้นน้ำ’ ในการขับเคลื่อนในส่วนของแผนงาน และโครงการศึกษาวิจัยเพื่อป้องกันในทุกปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุไปจนถึง ‘ปลายน้ำ’ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน ทาง กปถ. จัดสรรเงินเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ  และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลเพิ่มประสิทธิภาพ ในแผนปฏิบัติราชการ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ทั้ง 4 พันธกิจหลักของ กองทุนฯ ให้เป็นผลสำเร็จ

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กองทุน เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนได้เป็นส่วนหนึ่ง ในการขับเคลื่อนความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของประเทศ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืนของสหประชาชาติด้านความปลอดภัย ในการลดจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ลงครึ่งหนึ่งภายใน พ.ศ. 2573 ซึ่งกำหนดแผนปฏิบัติการทศวรรษแห่งความปลอดภัย ทางถนน พ.ศ. 2564-2573 (Second Decade of Action Road Safety 2021-2030) และการก้าวย่างไปสู่ปีที่ 21 ด้วยวิสัยทัศน์มุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศ ให้ลดลงตามเป้าหมายและสร้างความเสมอภาค ให้กับผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน ด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์ผู้พิการเพื่อให้มีคุณภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น

‘HBO - Warner Bros.’ ชื่นชมประเทศไทย โลเคชันสุดยอด ชี้!! วิวสวยสุดปัง ดึงดูดให้นักท่องเที่ยว มาเดินทางตามรอย

(23 มิ.ย.67) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ได้มอบหมายให้นางสาวเพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้การต้อนรับ Mr.Scott Schaeffer Senior Vice President, HBO Production - The White Lotus S3 ซีรีส์กระแสดังระดับโลก และกวาดรางวัลเอมี่ อวอร์ด (Emmy Award) ซึ่งได้เดินทางเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดย Mr.Scott กล่าวว่า รู้สึกประทับใจความเป็นมืออาชีพของทีมงานไทย ได้รับการอำนวยความสะดวกจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนในพื้นที่ถ่ายทำ ทำให้การถ่ายทำประสบความสำเร็จพร้อมทั้งได้กล่าวว่า สถานที่การถ่ายทำภาพยนตร์ของประเทศไทยมีความสวยงามระดับโลก จากทัศนียภาพบนเกาะสมุย และเกาะภูเก็ต รวมทั้งเกาะต่างๆ ในอ่าวไทย การตัดสินใจเข้ามาลงทุนถ่ายทำซีรีส์ในประเทศไทยครั้งนี้เป็นผลจากมาตรการการคืนเงิน (Incentive) เป็นหลัก ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากบริษัท HBO และ Warner Bros. ว่ามาตรการการคืนเงินของไทยยังคงดีที่สุดในเอเชีย

เมื่อซีรีส์เรื่องนี้ออกฉาย จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวตามรอยสถานที่ถ่ายทำ สร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเกิดการจ้างงาน และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต

นายเสริมศักดิ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยแล้ว ภาพยนตร์ต่างประเทศยังมีส่วนสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาท่องเที่ยวตามรอยสถานที่ต่างๆ ที่เป็นโลเคชั่นของภาพยนตร์ รวมถึงตามรอยนักแสดงชื่อดัง ซึ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เมื่อปี พ.ศ. 2566 มีรายได้จากกองถ่ายต่างประเทศ จำนวนกว่า 6,753 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่มีการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และในปี พ.ศ.2567 ตั้งแต่มกราคม - พฤษภาคม ในระยะเวลาเพียง 5 เดือน ประเทศไทยมีภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทำโดยมีมูลค่าสูงถึง 3,416 ล้านบาท รัฐบาลเชื่อมั่นว่าด้วยความหลายหลากและสวยงามของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ถ่ายทำที่สวยงาม ศักยภาพทีมงานชาวไทยที่มีประสบการณ์ทำงานกับกองถ่ายระดับโลก การอำนวยความสะดวกของหน่วยงานภาครัฐ และที่สำคัญการมีมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำ (Incentive) ในรูปแบบการคืนเงินร้อยละ 20 จะส่งผลให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศตัดสินใจเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

ในปี พ.ศ. 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตั้งเป้ารายได้จากกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ กว่า 7,500 ล้านบาท และหวังว่าจะเกิดกระแสการท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ระดับโลกที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาลต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top