Wednesday, 25 June 2025
NewsFeed

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง Fast Fashion ตัวการใหญ่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้!! ธุรกิจเกี่ยวข้องควรตระหนัก ฟากไทยส่งเสริมผ้ารักษ์โลกแล้ว

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'Fast Fashion กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก' เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ธุรกิจ Fast Fashion ได้ส่งผลให้พฤติกรรมการผลิตและการบริโภคของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา 

Fast Fashion คือ การเปลี่ยนแฟชันด้วยความถี่ที่สูงมาก สมัยก่อนอาจมีการออกคอลเลคชันใหม่ปีละ 2 คร้้ง คือ Summer และ Winter Collection แต่ปัจจุบันอาจมีคอลเลคชันใหม่ทุกสัปดาห์ ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงจากการ Outsource การผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำ ทำให้ผู้บริโภคมีความสามารถและความต้องการซื้อเสื้อผ้าบ่อยขึ้น

ปริมาณการผลิตและการบริโภคเสื้อผ้าที่มากขึ้น และเทคโนโลยีการผลิตที่ยังคงอาศัยการใช้น้ำและการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง การใช้สารเคมีที่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยะเสื้อผ้าเก่าจำนวนมากที่ไม่สามารถกำจัดได้ ได้ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้ากลายเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

แม้ว่าแนวโน้มการบริโภคแฟชันที่มากขึ้นและถูกลงจะเป็นประโยชน์กับทั้งผู้บริโภคในวงกว้างและผู้ผลิตซึ่งส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศยากจน แต่หากปล่อยให้เป็นไปตามแนวโน้มนี้ จะเป็นอุปสรรคต่อความพยายามของประชาคมโลกที่จะแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาใช้มาตรการเก็บภาษีเสื้อผ้า บางประเทศส่งเสริมธุรกิจเสื้อผ้าใช้แล้ว รวมทั้งธุรกิจให้ยืมเสื้อผ้า เป็นต้น

ส่วนในไทย ก็เป็นที่น่ายินดีที่กระทรวงมหาดไทยและองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมผ้าไทยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้ประกอบการผ้าไทย ซึ่งเป็นคนในระดับรากหญ้าและชุมชน เข้าถึงกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานของ อบก. โดยมีการคำนวณและติดเครื่องหมายรับรอง Carbon Footprint ซึ่งจะช่วยให้ผ้าไทยสามารถเข้าสู่ตลาดโลกในราคาที่สูงขึ้น 

นอกจากนี้ยังได้มีการปรับเปลี่ยนกรรมวิธีการผลิตจากที่เคยใช้สีเคมีในการฟอกย้อมมาใช้สีธรรมชาติ ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมาสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้เป็นจำนวนมาก 

ขณะที่ขั้นตอนต่อไป ก็จะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างรายได้เสริมให้กับผู้ประกอบการผ้าไทยอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ กลไกการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย กำลังก้าวไปไกลอีกระดับ เมื่อ อบก. ได้ออกมาตรฐานโครงการใหม่ที่มีความเข้มข้นและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ที่เรียกว่า T-VER Premium อีกด้วย

แม้ว่าการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจะยากและมีต้นทุนสูงขึ้น แต่เชื่อแน่ว่าคาร์บอนเครดิตของไทยน่าจะมีราคาสูงขึ้น โดยภายในสัปดาห์นี้จะมีการอนุมัติโครงการ T-VER Premium ขนาดใหญ่อย่างน้อย 4 โครงการ ขณะเดียวกันคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติโครงการร่วมมือกับญี่ปุ่นที่เรียกว่า Joint Credit Mechanism-JCM เพื่อสนับสนุนให้เอกชนของ 2 ประเทศร่วมทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐาน T-VER Premium ของไทยอีกด้วย

'โซเชียล' ตะลึง!! ชาวเมียนมาจบวิศวะ ภาษาดี เรียกเงินน้อย ใช้ 'ค่ะ' ถูกต้อง ชี้!! เจอคนแบบนี้เยอะ อาจทำเด็กไทยอยู่ยาก แต่ประเทศไทยจะอยู่ได้

(21 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กเพจ 'รักภาษาไทย อย่าใช้ผิด' ได้โพสต์ข้อความชวนคิด กรณีชาวเมียนมาท่านหนึ่งที่มีโปรไฟล์ดีโพสต์สมัครงาน จนเกิดการแชร์เป็นไวรัล ระบุว่า...

“ คนพม่าจบวิศวะ พัฒนาความรู้และมีประสบการณ์การทำงาน ใช้คำว่า ‘ค่ะ’ ถูก พูดภาษาอังกฤษได้ เรียกเงินเดือน 12,000 บาท เด็กไทยอยู่ยากแล้วค่ะ ”

นอกจากนี้ทางเพจ ยังได้โพสต์ตอีกว่า “ เล่านิด: ด้วยสภาพความไม่เรียบร้อยในบ้านเขา จึงทำให้หลายคนออกนอกประเทศ และเข้ามาหางานในไทย ”

“ ตอนนี้ครูต่างชาติสัญชาติพม่ามากพอๆ กับฟิลิปปินส์ ”

“ ถ้าคุณคนนี้สอนหนังสือได้ ยิ่งถ้าเป็นวิชาหลัก เช่น Science, Math เขาได้งานแน่นอนค่ะ ”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ โลกโซเชียลก็ออกมาให้ความเห็นกันเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มองว่า Gen Z ของไทย อาจจะลำบากในการหางานต่อจากนี้ เพราะไม่สนใจความรู้วิชาการ วัน ๆ หนึ่งท่องแต่โซเชียล เสพแต่คอนเทนต์บันเทิง แถมมีเปราะบางทางจิตใจ ส่วนทางกายงานหนักไม่เอา เบาไม่สู้ สนใจแต่ความงาม อยากได้คู่ชีวิตที่สวย / หล่อ รวย มองเงินคือพระเจ้า แต่ไม่มีคุณสมบัติที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ แถมยังไปวัดเพื่อขอหวยและขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ร่ำรวยลูกค้า

ขณะที่บางคอมเมนต์ ก็มองว่า ถ้ามีต่างชาติคุณสมบัติแบบนี้เยอะ ๆ ก็ควรให้สัญชาติไปเลย คนมีความรู้ความสามารถแบบนี้ ต้องดึงมาเป็นคนไทย

ด้าน คุณเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ก็ได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า " เด็กไทยอาจอยู่ยาก แต่ถ้าเปิดใจรับแบบนี้เยอะ ๆ ประเทศไทยจะอยู่ได้ "

ขณะที่ เพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ก็ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นด้วยเช่นกัน ว่า...

" สาวเมียนมาอายุ 27 ปี จบวิศวะเครื่องกล มีใบเซอร์บริหารโครงการ ภาษาอังกฤษดีมาก ทำ CV มาอย่างดี เรียกเงินเดือน 12,000 เท่านั้น ไม่สนชื่อตำแหน่ง ที่สำคัญ ใช้ ‘ค่ะ’ ได้อย่างถูกต้อง ดูทรงแล้ว Gen Z ไทย คงต้องไปเน้นหาสามีต่างชาติรายได้สูงที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วครับ 555 "

‘มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์’ บริจาคเครื่องผลิตออกซิเจน 10 เครื่อง ใช้ดูแลผู้ป่วย ใน รพ.สมเด็จพระยุพราช จอมบึง ราชบุรี

(21 มิ.ย. 67) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ มอบเครื่องผลิตออกซิเจน ขนาด 5 ลิตร จำนวน 10 เครื่อง มูลค่าเครื่องละ 27,600 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 276,000 บาทให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยมี แพทย์หญิง ผกาพันธ์ เปี่ยมเคล้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง และคณะ เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า สำหรับเครื่องผลิตออกซิเจนที่นำมามอบให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึงในวันนี้ เป็นเครื่องมือบริการทางการแพทย์ ที่ทางมูลนิธิได้รับบริจาคจากนางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ โดยเครื่องผลิตออกซิเจนจำนวน 10 เครื่องที่นำมามอบในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องที่ได้ร่วมกับคณะกรรมการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา นำไปมอบให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ 

โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเพื่อไว้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ ตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิที่สนับสนุนด้านสาธารณสุขของประเทศ

ด้าน แพทย์หญิง ผกาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง กล่าวว่า ในนามโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึงต้องขอขอบคุณ คุณเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์เป็นอย่างสูงที่ได้มอบเครื่องผลิตออกซิเจนให้กับโรงพยาบาลในวันนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60 เตียง ที่ดูแลประชากร 65,000 คน และมีโครงการถวายการดูแลสุขภาพให้กับพระภิกษุสงฆ์ สามเณร และผู้นำทางศาสนา 72,000 รูป เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยหวังว่าเครื่องผลิตออกซิเจนที่ได้รับจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปดูแลรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิต่อไป

‘อานตี้ แอนส์’ สั่งพ้นสภาพ ‘พนักงานปากแจ๋ว’ ด่าทอลูกค้า พร้อมกราบขออภัย - สัญญาจะไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก

(21 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเพจอีซ้อขยี้ข่าว 3 โพสต์คลิปเหตุการณ์ที่มีลูกค้าสาวรายหนึ่ง มีปากเสียงกับพนักงานร้านขนมชื่อดังในห้างสรรพสินค้าย่านรามอินทรา โดยในคลิป พนักงานมีการโต้เถียงกับลูกค้า บอกว่า ที่เล่นโทรศัพท์ คุยกับหัวหน้า ทำงานอยู่ บอกลูกค้าว่าอย่าหาเรื่อง และไล่ให้ลูกค้าไปศัลยกรรม ลูกค้าก็เถียงกลับว่าไม่ได้หาเรื่อง แต่พนักงานพูดจาไม่ดีใส่ลูกค้าก่อน

โดยล่าสุด ทางเพจ Auntie Anne’s Thailand ได้มีการโพสต์แถลงการณ์ ระบุว่า 

“อานตี้ แอนส์ กราบขออภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างสูง จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น”

“ทางแบรนด์ได้พิจารณาลงโทษขั้นสูงสุดกับพนักงาน โดยให้สิ้นสุดสภาพการเป็นพนักงานนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และขอให้คำมั่นว่าจะดูแลพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงอบรมพนักงาน เน้นย้ำถึงมาตรฐานการให้บริการที่ถูกต้องอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก” 

ล่าสุด เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 21 มิ.ย.67 น.ส.เอ (นามสมมติ) เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์‘ กรณีดังกล่าว ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 20 มิ.ย.67 ที่ผ่านมาโดยกล่าวว่า…

“ตนได้เข้าไปสั่งน้ำที่ร้านดังกล่าว ตอนแรกสังเกตเห็นแล้วว่า พนักงานเล่นโทรศัพท์มือถือ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียส ก็สั่งออเดอร์ตามปกติ แล้วยืนรอน้ำ”

“ต่อมามีคุณป้าที่มาสั่งออเดอร์ต่อจากตน พนักงานก็ถามว่ารับอะไร แต่ยังคงเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย พอคุณป้าบอกว่า ขอใช้คูปองซื้อ พนักงานก็หยิบใบโปรโมชันมาวางแล้วไม่พูดอะไร คุณป้าก็มองว่าต้องทำยังไง เหมือนเล่นโทรศัพท์ไม่คล่อง”

“พนักงานก็ชี้ว่าให้สแกน แต่ไม่ได้ช่วยเหลือ ตนก็ยืนมองอยู่พักหนึ่ง เห็นคุณป้ามองขึ้นมองลง สแกนไม่ได้ ตนเลยเดินเข้าไปถามว่า ให้ช่วยไหม ระหว่างที่ช่วยสแกน ตนก็พูดกับคุณป้าว่า พนักงานไม่บริการเลย”

“พอพนักงานได้ยิน ก็เก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วเงยหน้ามาพูดกับตนว่า ก็แจ้งให้สแกนแล้วไงคะ ตนก็ตอบกลับว่า แล้วไม่ได้ดูหรอว่าลูกค้าสแกนไม่ได้ พนักงานก็มีท่าทีโมโห พูดขึ้นมาว่า “ก็แจ้งแล้วไงคะว่าให้สแกน เสือก” พอตนได้ยินคำนี้ จึงอารมณ์ขึ้นทันที ก็สวนกลับคำหยาบไปเหมือนกัน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามในคลิป”

“ซึ่งตอนที่พนักงานบอกว่าให้ตนไปศัลยกรรม ตนก็งงและตกใจว่ามันเกี่ยวอะไรกัน แต่ตนคิดว่าเป็นเพราะว่าวันนั้นตนใส่ชุดนอนไป ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัว พนักงานเลยมองว่าตนเป็นเด็ก แล้วกล้ามีปากมีเสียงด้วยหรือไม่ หลังเกิดเหตุตนได้ไปแจ้งกับทางห้าง ซึ่งก็มีผู้บริหารเข้ามาพูดคุยและบอกว่าจะร้องเรียนให้”

“จากนั้น ทางบริษัทก็ติดต่อมา บอกว่า พนักงานคนนี้ทำประจำอยู่ที่สาขานี้มานานแล้ว อาจจะคิดว่าตนเองเป็นคนเก่าแก่ อยู่มานาน เลยแสดงกิริยาแบบนี้ออกมา ตนก็บอกว่า ตนไม่ขอรับคำขอโทษ ตนยินดีให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และต้องการให้พนักงานคนนี้ถูกลงโทษให้ออก เพราะจากพฤติกรรมไม่ควรที่จะทำงานต่อ หากไปเจอลูกค้าที่ปะทะรุนแรงกว่านี้ เหตุการณ์จะบานปลาย”

“โดยล่าสุด ที่บริษัทมีคำสั่งให้พนักงานคนนี้พ้นสภาพ ตนก็รู้สึกดีที่บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ เข้าใจหัวอกผู้บริโภค ว่าการกระทำของพนักงานคนนี้นั้นไม่ถูกต้อง และตนก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว เพราะจุดประสงค์ที่ร้องเรียนไปตั้งแต่แรก ก็แค่ต้องการให้ผู้บริหารบริษัทรับทราบว่ามีพนักงานที่มีพฤติกรรมแบบนี้ และยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการกลั่นแกล้ง หรือให้สังคมโจมตี ปิดช่องทางทำมาหากิน เพียงแต่ต้องการให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนกับพนักงาน ถ้าในอนาคตได้ไปทำงานที่ใหม่ ก็จะได้มีสติมากกว่านี้”

น.ส.เอ ยังบอกด้วยว่า “ตนก็เคยฝึกงานพาร์ทไทม์แบบเดียวกันนี้ มองว่า พนักงานควรจะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ และลูกค้าก็ไม่ได้พูดแดกดันหรือหยาบคายใส่ก่อน แต่ถามเพราะพนักงานไม่ต้อนรับลูกค้า ก็ควรจะเก็บอารมณ์ให้มากกว่านี้ หรือเลือกคำตอบให้กับลูกค้าได้ดีกว่านี้ ถ้าไม่มีคำว่า ‘เสือก’ ทุกอย่างอาจจะจบได้ดีกว่านี้ แม้แต่พนักงานอีกคนที่ไม่เกี่ยวข้องยังพูดขอโทษตน แต่กับพนักงานคนนี้ ไม่มีคำขอโทษออกมาเลย”

'โบว์ ณัฏฐา' เผย!! คดี 112 ไม่ควรขอนิรโทษกรรม 'ล่วงเกินใคร' ควร 'ขออภัย' มากกว่าขอ 'ลบโทษ'

(21 มิ.ย. 67) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว Ringside การเมือง และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

“ถาม: ทำไมคดี 112 จึงควรใช้ช่องทางการขอพระราชทานอภัยโทษ มากกว่านิรโทษกรรม?”

“ตอบ: เพราะเป็นคดีที่มีการหมิ่นเกียรติตัวบุคคลที่เป็นประมุขของรัฐอยู่ ปกติเวลาเราล่วงเกินใครก็ควรมีการ ‘ขออภัย’ กันมากกว่าจะใช้วิธี ‘ลบโทษ’ เอาเลย”

“เป็นโอกาสให้ผู้กระทำได้แสดงความสำนึกผิด ผู้คนที่รู้สึกเดือดร้อนจากการกระทำเหล่านั้นเขาจะได้คลายความโกรธเคืองลงไปด้วย ต้องยอมรับว่าหลายคนกระทำรุนแรงมากและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนถึงวันนี้”

“เสนอลบโทษให้เฉย ๆ คงไม่มีใครสบายใจ นอกจากคนที่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำเหล่านั้นตลอดมา”

‘ประภัตร’ ชี้ช่องรัฐ ติดโซลาร์ให้เกษตรกร ช่วยลดภาระต้นทุน พร้อมหนุนปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลาง เพิ่มรายได้มั่นคง

(21 มิ.ย. 67) นายประภัตร โพธสุธน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้พลังงานในภาคการเกษตร ภาคครัวเรือน ภาคการขนส่งเป็นจำนวนมาก เชื้อเพลิงส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีราคาแพง จากข้อมูลพบว่า มีเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนมากกว่า 8 ล้านครัวเรือน แต่ละครอบครัวมีค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพทางการเกษตรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าทางการเกษตรสูงขึ้นตาม และต้องยอมรับว่าประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการใช้พลังงานเป็นอย่างมาก จึงมีความจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาพลังงานในภาคเกษตรโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดวิกฤติอย่างรุนแรง

นายประภัตร กล่าวว่า ตนมองเห็นสภาพปัญหา และพยายามหาทางแก้ไขปัญหามาโดยตลอดที่ผ่านมาได้เคยหารือกับ บริษัท แคปปิตอล ทรัสต์ กรุ๊ป จำกัด ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นผู้ออก Digital Bond เพื่อระดมทุนกับนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายเชื่อมต่อกับ บริษัท ซีแอลเอ็มวี โฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้บริหารโครงการในประเทศไทย เพื่อติดตั้ง โซลาร์เซลล์ให้เกษตรกรและโครงการปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลาง เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร โดยโครงการโซล่าเซลล์จะช่วยทดแทนพลังงานที่มาจากน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกลการเกษตร ปั๊มน้ำไฟฟ้า โดรนสำหรับพ่นปุ๋ย โครงการปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลางจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทย 

นายประภัตร กล่าวว่า โครงการนี้จะตั้งเป้าช่วยลดไฟฟ้าลงจากราคาปกติ เบื้องต้นได้มีการเร่งหารือกับผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยให้เร่งศึกษาความเป็นไปได้ จัดหาแนวทางดำเนินงาน การตรวจสอบคุณภาพระบบโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับกองทุนต่างประเทศ และนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ 

นายประภัตร กล่าวว่า โครงการเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มหาศาล ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยเกษตรกรไม่ต้องเสียค่าเชื้อเพลิง และมีรายได้เพิ่มกลับให้แต่ละครัวเรือนจากการปลูกต้นไม้เพื่อการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการโซล่าร์เซลล์นำร่องประสบความสำเร็จ จะสามารถขยายผลติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ไปยังเกษตรกรทุกครัวเรือน และครัวเรือนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในภาคเกษตรได้ ตนแนะนำให้บริษัทแคปปิตอลทรัสต์พิจารณาซื้อระบบโซลาร์เซลล์ที่มีคุณภาพสูง มีความน่าเชื่อถือระดับโลก เช่น บริษัท เทสล่า เพราะเชื่อว่าหากเกษตรกรในประเทศได้ใช้ระบบโซลาร์เซลล์จำนวนมากจากบริษ้ทชั้นนำอย่างเทสล่าก็จะเป็นผลดีต่อเกษตรกรไทยในราคาที่เหมาะสม

'โทลล์เวย์' เสียงแข็ง!! ยื่น 3 เงื่อนไข แลกชะลอขึ้นค่าผ่านทาง 'ขยายสัมปทาน-ให้สร้างส่วนต่อขยาย-ได้สัมปทานส่วนต่อฯ'

(21 มิ.ย. 67) นายสมบัติ พานิชชีวะ ประธานกรรมการบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ โทลล์เวย์ เปิดเผยว่า หากกระทรวงคมนาคมจะให้ชะลอการขึ้นค่าผ่านทางวันที่ 22 ธันวาคม 2567 นี้ บริษัทพร้อมให้ความร่วมมือ และขอความเป็นธรรมด้วย ควรต้องมีการหารือร่วมกัน หากบริษัทดำเนินการแล้วจะชดเชยอะไรให้บริษัทบ้าง เพราะทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานทำไว้กับกรมทางหลวง (ทล.) ที่ปรับราคาได้ทุก 5 ปี ตลอดอายุสัญญา ครั้งละ 5-10 บาท ปัจจุบันบริษัทยังเหลือสัมปทาน 10 ปี ยังเหลือการปรับราคาอีก 2 ครั้ง คือ รอบวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2572 และครั้งสุดท้ายวันที่ 22 ธันวาคม 2572 ถึงสิ้นสุดสัญญาวันที่ 12 กันยายน 2577

นายสมบัติ กล่าวว่า “สัญญายังไม่หมด คงทำอะไรไม่ได้ ถ้ากระทรวงคมนาคมหรือรัฐต้องการให้เราชะลอขึ้นค่าผ่านทาง ก็ต้องมาคุยกัน จะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง อย่าผลักภาระมาให้เราฝ่ายเดียว รัฐต้องช่วยเอกชนด้วย แนวทางที่ง่ายสุด คือ ขยายอายุสัมปทาน เพราะรัฐไม่ต้องชดเชยรายได้ให้ หรือให้เราลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท ก่อสร้างส่วนต่อขยายจากรังสิต-บางปะอินให้และรับสัมปทานตลอดโครงการตั้งแต่ดินแดง-บางปะอินก็ได้ ทุกอย่างอยู่ที่การเจรจา อย่างไรก็ตามโทลล์เวย์เป็นทางเลือกในการเดินทาง ไม่ใช่ทางที่ผูกขาด ประชาชนสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บริการหรือไม่ใช้ก็ได้ ปัจจุบันโทลล์เวย์มีปริมาณการจราจรเฉลี่ยกว่า 100,000 คันต่อวัน”

ทั้งนี้ ยังกล่าวต่ออีกว่า สำหรับค่าผ่านทางที่จะใช้วันที่ 22 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2572 ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ ปรับจาก 80 บาท เป็น 90 บาท มากกว่า 4 ล้อ จาก 110 บาท เป็น 120 บาท ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน 4 ล้อ ปรับจาก 35 บาท เป็น 40 บาท มากกว่า 4 ล้อจาก 45 บาท เป็น 50 บาท

ส่วนครั้งสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2572 ถึงสิ้นสุดสัมปทาน ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ จาก 90 บาท เป็น 100 บาท มากกว่า 4 ล้อ จาก 120 บาท เป็น 130 บาท ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน รถ 4 ล้อ จาก 40 บาท เป็น 45 บาท มากกว่า 4 ล้อ ปรับจาก 50 บาท เป็น 55 บาท

‘สส.ศาสตรา’ ตัวตึงจาก ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ลุกขึ้นอภิปราย ในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมขอสร้อย ‘หลวงปู่ทวด’ จาก ‘ธนกร’ สาปแช่ง ‘คนที่โกง ค่าอาหารกลางวันเด็ก’

เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.67) เพจ ‘เชียร์ลุง’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสีสัน ของการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร โดยได้ระบุว่า

เก็บตก...สีสันสภา
ใครโกงเด็กขอให้มัน Shipหาย!!!

นายศาสตรา ศรีปาน สส.ตัวตึงจากสงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นอภิปรายในที่ประชุมสภา โดยได้ควักสร้อยคอหลวงปู่ทวดขึ้นมา พร้อมกับกล่าวสาปแช่ง 

“ขอให้คนที่โกงค่าอาหารกลางวันเด็กจง ship หาย”

ซึ่งสร้อยคอดังกล่าว ได้มาจากการขอยืม นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568

‘อนุชา รวมไทยสร้างชาติ' แนะรัฐใช้นโยบาย 'กึ่งการคลัง' หนุนเฉพาะกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเท่านั้น

เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.67) นายอนุชา บูรพชัยศรี สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ร่วมอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยระบุว่า ตนอยากจะเสนอรัฐบาลให้ความสําคัญกับเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของสหประชาชาติที่เน้นย้ำในเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ดังนั้น รัฐบาลจะต้องพิจารณาจัดลําดับความสําคัญและความจําเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันครอบคลุมทุกการใช้จ่ายภาครัฐ ควบคู่ไปกับการทบทวนและยกเลิกมาตรการลดและยกเว้นภาษี ๆ โดยให้มีเพียงเท่าที่จําเป็นเท่านั้น

นอกจากนั้น ยังอยากเห็นรัฐบาลดําเนินการปฏิรูปโครงสร้างและการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดขนาดของการขาดดุลการคลัง เตรียมการไว้สําหรับดําเนินนโยบายที่จำเป็นในสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

“เราไม่มีทางทราบได้เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต เหมือนเช่นกับสถานการณ์ของโควิด-19  ซึ่งทำให้เราต้องปิดประเทศ ไม่สามารถเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ต้อง Work form home มีการปิดห้างร้าน รวมถึงรัฐบาลต้องเร่งจัดหาวัคซีนให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อมาฉีดป้องกัน แต่ที่เราผ่านมาได้ ต้องบอกว่าประเทศไทยเรามีเสถียรภาพทางการเงินและมีความมั่นคงทางการคลัง ซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่ดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นในอนาคตจะเกิดอะไรไม่มีใครตอบได้ แต่เราจะต้องเตรียมการให้พร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้”

นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเห็นด้วยกับรัฐบาลที่จัดทํางบประมาณแบบขาดดุลในปีนี้ เพื่อที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยได้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังอยากเห็นการปรับลดขนาดการขาดดุลในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป โดยหวังว่าหากภาวะเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเต็มศักยภาพ รัฐบาลสามารถสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง ทั้งทางด้านรายได้และรายจ่าย รวมถึงการบริหารหนี้สาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะสามารถจัดทํางบประมาณสมดุลในระยะที่เหมาะสมได้ในอนาคตอันใกล้นี้ 

นอกจากนี้ นายอนุชา ยังได้เสนอแนะให้รัฐบาลดําเนินนโยบายที่เรียกว่า กึ่งการคลัง ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนกลุ่มประชาชนที่ควรได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือในกรณีที่มีความจําเป็นฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น และหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ได้ขอตั้งงบประมาณไว้ล่วงหน้า โดยภายหลังจากดําเนินโครงการแล้วหน่วยงานของรัฐก็สามารถยื่นคําขอจัดสรรงบประมาณโดยตรงกับสํานักงบประมาณต่อไปได้

ทั้งนี้ ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้ดําเนินนโยบายกึ่งการคลังมาโดยตลอด และที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือในช่วงที่เกิดโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลขณะนั้น มีความจําเป็นเร่งด่วนในการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกร ในช่วงที่ราคาสินค้า สินค้าการเกษตรตกต่ำ โดยปีงบประมาณปี 2565 ทางรัฐบาลได้อนุมัติวงเงินโครงการเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 186,000 ล้านบาท มีการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 16,700 ล้านบาท และลดภาระค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อยอีกกว่า 7,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า นโยบายกึ่งการคลัง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของรัฐบาลที่สามารถนำมาใช้แทนการกู้ยืมเงิน เพราะว่าเรื่องนี้เข้าข่ายตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ดังนั้น จึงอยากจะขอเสนอให้รัฐบาลนํานโยบายกึ่งการคลังมาใช้ 

นอกจากนี้ อยากจะเสนอให้รัฐบาลให้ความสําคัญกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่โดยกระจายไปทั่วภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและช่วยให้ประเทศไทยจะหลุดจากประเทศที่มีกับดักรายได้ปานกลาง โดยหนึ่งในนโยบายสําคัญที่อยากจะเสนอให้รัฐบาลได้เร่งพิจารณาก็คือการขยายการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค หลังจากที่ประสบความสําเร็จมาแล้วในส่วนของ EEC

โดยเฉพาะระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ที่มี 4 จังหวัด ประกอบด้วย สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร และระนอง สามารถเดินหน้าได้ทันที เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พร้อมสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๆ เช่น การนำยางพาราที่มีอยู่จำนวนมาก มาแปรรูปเพิ่มมูลค่าแล้วส่งออก เป็นต้น และยังมีอีกหลายธุรกิจใน 4 จังหวัดนี้ที่สามารถเพิ่มมูลค่าและส่งออกได้ ผ่านทะเล 2 ฝั่ง ทั้งอันดามัน และอ่าวไทย หลังจากสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งแล้วเสร็จ ส่วนการเชื่อมโยงให้สองฝั่งอันดามันและอ่าวไทยต่อเนื่องกันนั้นจะเป็นระยะถัดไป นั่นคือที่มาของแลนด์บริดจ์นั่นเอง

“จะเห็นว่าผมไม่ได้พูดถึงเรื่องของแลนด์บริดจ์ตั้งแต่ตั้งต้น เพื่อให้เข้าใจว่า ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ จะต้องเกิดขึ้นก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราค่อยว่ากันเรื่องของท่าเรือ เรื่องของถนน จากนั้นจึงเป็นเรื่องของทางรถไฟ ทำเป็นเฟส ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจจะไม่ต้องใช้เงินลงทุนนับแสนล้าน หรืออาจจะไม่ต้องให้เอกชนเข้ามาลงทุนเลยก็ได้ นี่คือปัจจัยและหัวใจของ SEC และโครงการแลนด์บริดจ์ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และผมอยากเห็นอุตสาหกรรมใหม่ เข้ามาลงทุนใน SEC มากขึ้นด้วย เพราะจากการที่มีโอกาสได้ไปซาอุดีอาระเบีย 2 ครั้ง ทางซาอุฯ สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเรื่องพลังงานสะอาดในประเทศไทย ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งโรงงานผลิตไฮโดรเจนในพื้นที่ดังกล่าว ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG ที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้แสดงให้ทั่วโลกได้เห็นและยอมรับไปเมื่อครั้งการประชุมAPEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพที่ผ่านมา”

‘กัปตัน ภูธเนศ’ สุดอาลัย โพสต์ถึง ‘แม่แอ๊ด โฉมฉาย ฉัตรวิไล’ ยกเป็นตัวอย่าง ‘ศิลปินอย่างแท้จริง’ ตรงต่อเวลา-มีความรับผิดชอบ

เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.67) มีข่าวที่สร้างความเศร้าเสียใจให้คนในวงการบันเทิงเป็นอย่างมาก สำหรับข่าวการสูญเสียนักแสดงอาวุโส ‘แอ๊ด โฉมฉาย ฉัตรวิไล’ ที่จากไปอย่างสงบ ในวัย 73 ปี

ซึ่งงานนี้ก็มีคนในวงการบันเทิงออกมาโพสต์ข้อความไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นคือพระเอกหนุ่ม ‘กัปตัน ภูธเนศ’ ผู้ซึ่งเคยร่วมแสดงละครในบทลูกชายไม่ว่าจะเป็น ละครเวที ‘ทวิภพ เดอะมิวสิคัล’ หรือซีรีส์อันโด่งดังอย่าง ‘บ้านนี้มีรัก’ โดย ‘กัปตัน’ ได้โพสต์ข้อความไว้อาลัยว่า

แม่แอ๊ดครับ ผมบอกตัวเองเสมอว่าผมโชคดีมากๆ ที่ได้ทำงานกับแม่ ได้เล่นเป็นลูกชายของแม่ ตั้งแต่ละครเวที ทวิภพ เดอะมิวสิคัล 2548-2549 มาถึงบ้านนี้มีรัก 2549-2559 จนเปรียบเหมือนแม่แอ๊ดคือแม่คนที่สองในชีวิตของผม

แม่เป็นตัวอย่างในการทำงาน การตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบกับบท แม่จำบทเก่งมาก แม่มีความรักในอาชีพของการเป็นนักแสดงอย่างเต็มเปี่ยม และแม่ก็ยังส่งต่อพลังบวกให้กับลูกๆ หลานๆ ทุกคนในกองบ้านนี้มีรักเสมอ

แม่คือ ‘ศิลปิน’ อย่างแท้จริง ทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งรำ ทั้งการแสดง ไม่มีอะไรที่แม่ทำไม่ได้ นอกจากแม่จะไม่ทำ!

แม่ให้ความรักความเมตตากับทุกๆ คน แม้กระทั่งสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะกับน้องหมาจรจัดแถวสตูดิโอจะอิ่มหนำสำราญทุกครั้งที่แม่มาทำงาน

เรื่องที่อยากจะพูดถึงแม่มีอีกเยอะมากครับ พิมพ์ยังไงก็คงไม่พอ

ขอบพระคุณแม่มากๆ นะครับสำหรับความรักความเมตตาอบรมสั่งสอนทั้งผมและเอ้กรวมถึงความรักที่แม่ให้กับหลานดินด้วยครอบครัวเราจะไม่มีวันลืมครับแม่

ผมดีใจและภูมิใจที่สุดนะครับที่ได้เป็นลูกชายของแม่ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ในละครก็ตาม แต่ผมแค่เสียใจอย่างเดียวที่ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าแม่ไม่สบายเข้าโรงพยาบาล จนมาทราบข่าวเมื่อคืนว่าแม่กลับไปเป็นนางฟ้าแล้ว

ขอให้แม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้า อยู่ในที่ๆ ดีที่สุด สงบสุขที่สุด สวยงามที่สุดสำหรับแม่นะครับ

รักและคิดถึงแม่มากๆ ครับ กัปตัน-เอ้ก-ดิน ขอแสดงความเสียใจกับอาร์ตและครอบครัวอย่างที่สุดครับ @artspanitnart


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top