Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

‘โดนัท’ นักแสดงวัยรุ่น ขอทำหน้าที่ลูกผู้ชายรับใช้ชาติ ยืดอก!! ‘สมัครทหาร’ พร้อมลั่น!! รู้สึกภูมิใจมาก

(5 เม.ย.67) ที่หอประชุมอำเภอหางดง จ.เชียงใหม่ นายภัทรพลฒ์ เดชพงษ์วรานนท์ หรือ โดนัท อายุ 25 ปี นักแสดงช่อง 7 สมัครเข้ารับราชการทหาร โดยติดหมายเลขที่ข้อมือซ้าย 286 เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบประวัติ สภาพร่างกาย วัดความสูง และหน้าอก ก่อนผ่านการคัดเลือก ซึ่งมี นางวาสนา เดชพงษ์วรานนท์ มารดา มาให้กำลังใจ

ทั้งนี้ นายภัทรพลฒ์ จะเข้ารับราชการทหาร ผลัดที่ 1 ปี 2567 ณ มณฑลทหารบกที่ 33 วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 โดยใช้เวลาสมัครทหารกว่า 1 ชั่วโมง

โดย โดนัท ภัทรพลฒ์ เผยหลังสมัครเข้ารับราชการทหาร ว่า ขอทำหน้าที่ลูกผู้ชาย เพราะทำภารกิจครบทุกอย่างแล้ว ทั้งบวช และรับใช้ชาติ ซึ่งเข้าประจำการผลัดที่ 1/2567 มณฑลทหารบกที่ 33 วันที่ 1 พฤษภาคมนี้

แต่ยังไม่รู้ว่าอยู่ค่ายไหน ต้องรอคำสั่งก่อน ส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลอะไร เพราะเป็นคนปรับตัวง่าย ทำงานตั้งแต่เด็กและทำหลายที่มาก ดังนั้นการเป็นทหาร ถือเป็นการรับใช้ชาติ รู้สึกภาคภูมิใจมาก

ก่อนสมัครทหาร ได้เคลียร์งานหมดแล้ว ส่วนงานละครได้ปิดกล้องถ่ายทำ 2 เรื่อง ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จึงไม่ห่วงอะไร การเป็นทหารคาดหวังได้ระเบียบวินัยและความรับผิดชอบมากขึ้น ส่วนแฟนละครหรือแฟนคลับฝากผลงานแสดงที่จะออกอากาศหรือออนแอร์ในเร็ว ๆ นี้ ไม่ได้หายจากหน้าจอไปไหน แป๊บเดียวก็ออกมาแล้ว

ด้าน นางวาสนา กล่าวว่า ลูกได้เป็นทหารสมความตั้งใจ อยากให้เป็นทหารอยู่แล้ว ตอนนั้นลูกขอเรียน ร.ด. แต่บอกลูกไม่ต้องเรียน เพราะกระทบอาชีพนักแสดง มาเป็นทหารทีเดียวเลย ส่วนตัวไม่ห่วงกังวลอะไรและมั่นใจในตัวลูก เลี้ยงลูกไม่ได้ประคบประหงม รู้จักปรับตัว อ่อนน้อมถ่อมตน อยู่ที่ไหนก็ได้ ลูกเป็นทหาร คาดหวังเรื่องความเป็นระเบียบวินัย และการรับใช้ชาติมากที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเกณฑ์ทหารที่อำเภอหางดง ประกอบด้วย 109 หมู่บ้าน 11 ตำบล คือ ต.หางดง ต.หนองแก๋ว ต.หารแก้ว ต.ขุนคง ต.หนองตอง ต.สบแม่ข่า ต.บ้านแหวนต.สันผักหวาน ต.หนองควาย ต.บ้านปง และ ต.น้ำแพร่ ตามลำดับ

เบื้องต้นมีผู้เข้ารับเกณฑ์ทหารกว่า 200 คน โดยคัดเลือกเป็นทหาร 56 คนและมีผู้สมัครใจเป็นทหารกว่า 20 คนแล้ว ที่เหลือต้องจับใบดำใบแดงต่อไป 

เลย -​ผบ.ร.8 พัน.1 เปิดการฝึกสิบตรีกองประจำการ ประจำปี 2567 ตามนโยบายกองทัพบก

เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 เวลา 08.30 น. ที่บริเวณหน้า ศาลาจรัส – ราศรี  ค่ายศรีสองรัก อำเภอเมือง จังหวัดเลย พันโท จิรพงศ์ จะรอนรัมย์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 8  เป็นประธานเปิดการฝึกสิบตรีกองประจำการ ประจำปี 2567 ระยะเวลาการฝึก จำนวน 4 สัปดาห์  ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 เมษายน 2567 โดยมี นายทหาร, นายสิบ และพลทหาร เข้าร่วมพิธี ซึ่งการฝึกสิบตรีกองประจำการนั้น นับว่าเป็นหลักสูตรที่มีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง โดยจะต้องคัดเลือกกำลังพลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความเหมาะสมโดยเป็นกำลังพลที่ผ่านการฝึกหลักสูตรครูทหารใหม่มาแล้ว หากมีการฝึกเตรียมการให้กับชุดครูฝึกมาเป็นอย่างดี ก็จะส่งผลต่อเนื่องถึงประสิทธิภาพในการฝึกสิบตรีกองประจำการของหน่วย 

ซึ่งหน่วยได้ให้หน่วยฝึกทหารใหม่ วางแผนดำเนินการฝึกสิบตรีกองประจำการอย่างจริงจังยืดถือปฏิบัติตามนโยบาย และข้อสั่งการของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด รวมถึงการเตรียมการในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดความพร้อมสำหรับการฝึกทหารใหม่ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการฝึกทหารกองประจำการ ที่ผ่านการฝึกหลักสูตรการฝึกครูทหารใหม่ เพื่อเพิ่มพูนคุณวุฒิให้สูงขึ้น เหมาะสมที่จะเลื่อนฐานะเป็นสิบตรีกองประจำการและบรรจุรับราชการในตำแหน่งอัตราสิบตรีกองประจำการ ตามอัตราการจัดของหน่วย ปลูกฝังอุปนิสัย  ให้เป็นบุคคลที่เคร่งครัดในระเบียบวินัยของทหาร และมีความประพฤติสุภาพเรียบร้อย เพื่อเป็นแบบอย่างแก่พลทหารทั่วไปได้ และเพื่อฝึกอบรมวิซาทหารให้กับพลทหาร ที่ฝึกอบรมครูทหารใหม่จบแล้ว เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเลื่อนเป็นสิบตรีกองประจำการ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามหมายเลข ชกท. ที่ระบุตามอัตราการจัดของหน่วยได้ คุณวุฒิหรับผู้ที่จะเลื่อนเป็นสิบตรีกองประจำการ ต้องสำเร็จการฝึกตามระเบียบและหลักสูตรการฝึกครูทหารใหม่ สำหรับทหารทุกเหล่าของ ทบ. 4 สัปดาห์ พ.ศ.2563 มาแล้ว ซึ่งมีผลการตรวจสอบจากลำดับสูง ลงมาตามลำดับจนกว่าจะได้ตามจำนวนที่ต้องการ เพื่อให้เข้า รับการฝึกในหลักสูตรสิบตรีกองประจำการนี้ ส่วนผู้ที่มีผลการตรวจสอบรองลงไปทีเหลือ ให้คัดเลือกเอาไปทำหน้าที่ครูทหารใหม่ ของหน่วยต่อไป 

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! Q2 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว' เดินหน้าเต็มตัว ปลุกเศรษฐกิจไทยฟื้น คลายทุกข์คนไทย ต่างชาติสนใจแห่ลงทุน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว แรงผลักเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไตรมาส 2' เมื่อวันที่ 7 เม.ย.67 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้...

การเติบโตที่น่าผิดหวังของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และต่อเนื่องมายังไตรมาสแรกของปี 2567 ทำให้หลายสำนักต้องปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยลงมาเหลือไม่ถึง 3% ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการค้าการลงทุนในประเทศเป็นอย่างมาก

แต่ท่ามกลางความหดหู่และความมืดมัว เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ปรากฏขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 โดยวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลจะแถลงความชัดเจนของมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ซึ่งถือเป็นมาตรการ Flagship ของรัฐบาลนี้ 

หลายฝ่ายรวมทั้งฝ่ายค้านมัวหลงประเด็นอยู่ที่เรื่องแหล่งที่มาของเงิน แต่ข้อเท็จจริงคือ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณแผ่นดินหรือกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลกู้เงิน แหล่งเงินดิจิทัลวอลเล็ตก็จะต้องมาจากเงินกู้ทั้งนั้น เพราะขณะนี้เรามีงบประมาณขาดดุล เนื่องจากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย การใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจึงต้องมาจากการกู้เงินเท่านั้น หากไม่ออกกฎหมายให้อำนาจกู้เงิน ก็อาจออกเป็นงบประมาณกลางปี ซึ่งก็ดูจะเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ประเด็นอยู่ที่จังหวะเวลา หากออกมาได้เร็วก็จะช่วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี

ในเรื่องแหล่งเงิน ระยะต่อไปรัฐบาลต้องปฏิรูปภาษีอากรเพื่อเพิ่มรายได้ และลดการพึ่งพาการกู้เงิน แต่ไม่เห็นมีพรรคการเมืองไหนกล้าแตะประเด็นนี้เลย

พร้อมกันในวันที่ 10 เมษายน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็จะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงประมาณ 0.25-0.50% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขความผิดพลาดเชิงนโยบาย (Policy Blunder) ของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยเสริมมาตรการทางการคลังที่กล่าวข้างต้นในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี แต่จะให้ดีกว่านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะต้องออกมาขอโทษประชาชนที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศเดือดร้อนจากความผิดพลาดของตนเอง

แผนงาน Ignite Tourism Thailand ของรัฐบาล ซึ่งได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ เริ่มปรากฏผลชัดเจนขึ้น เมื่อการท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสแรก และคงจะคึกคักไปตลอดทั้งปี รัฐบาลไทยลงทุนด้านการท่องเที่ยวไปมากในรูปของรายได้จากค่าธรรมเนียมวีซ่าที่สูญเสียไป รายได้ภาษีสุราที่สูญเสียจากการลดอัตราจัดเก็บภาษีสุรา ดังนั้นต้องดูแลให้นโยบายการท่องเที่ยวเกิดผลสัมฤทธิ์และสร้างรายได้กลับคืนคลัง

เชื่อมั่นว่าด้วยการผสมผสานนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายการท่องเที่ยวให้ไปในทิศทางเดียวกัน ปี 2567 นี้จะเป็นปีทองของการลงทุนไทยอย่างแน่นอน

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด สกัดจับ “ทีมนักบินตายแทน” ยึดยาบ้ากว่า 19 ล้านเม็ด, ไอซ์ 500 กก., และ คีตามีน 200 กก. คาดเตรียมกระจายของช่วงสงกรานต์

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่รวมทั้งการขยายผลเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ

วันนี้ 5 เม.ย.67 เวลา 10.00 น.  พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ, พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญในห้วง 11 – 28 มี.ค. 67 จำนวน 11 เครือข่าย ผู้ต้องหารวม 29 คน ตรวจยึดยาบ้ากว่า 19 ล้านเม็ด, ไอซ์ 500 กก., และ คีตามีน 200 กก. พร้อมของกลางรถที่ใช้ก่อเหตุ 23 คัน 

คดีแรก ตำรวจ กก.1 บก.ปส.1 สืบสวนขยายผลจนทราบว่า “เครือข่ายสองพี่น้อง ลาดกระบัง” จะเดินทาง ขึ้นไปรับของทางภาคเหนือมาจำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้รถกระบะลำเลียง กระทั่งวันที่ 28 มี.ค.67 พบความเคลื่อนไหว รถเป้าหมาย 2 คัน ขับตามกันมา ผ่าน จว.เชียงราย-เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง-ตาก-กำแพงเพชร -นครสวรรค์ จนมาถึงด่านตรวจพยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ ตำรวจได้เรียกรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคลแบบตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน 1ฒณ 73xx กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบ แต่คนขับได้ขับหลบหนี ตำรวจจึงโยน Stop Stick เพื่อเจาะทำลายยางรถยนต์ และสกัดกั้นการหลบหนีของยานพาหนะ ทำให้ยางหน้ารถทั้งสองข้างและยางหลังขวาแตก แต่ยังขับหลบหนีไปได้กว่า 1 กิโลเมตร ก่อนจะควบคุมรถได้บริเวณริมถนนพหลโยธินขาออก ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ ส่วนคนขับขี่ได้วิ่งไปขึ้นรถกระบะของเครือข่ายที่จอดรออยู่ฝั่งตรงข้าม มุ่งหน้าไปทางจังหวัดชัยนาท เบื้องต้นพบยาบ้า 5 กระสอบ อยู่บริเวณท้ายกระบะรวมทั้งสิ้น 1,000,000 เม็ด ระหว่างนั้นตำรวจได้จัดกำลังกันติดตามจับกุมตัวนายวิษณุ หรือณุ พร้อมรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคล หมายเลขทะเบียน บษ 85xx ฉะเชิงเทรา อีกคัน  ซึ่งเป็นรถนำทาง  ได้บริเวณริมถนนสายเอเชีย ต.อู่ตะเภา อ.มโนรมย์ จว.ชัยนาท แต่ไม่พบตัวคนขับรถตู้ทึบ และไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ซึ่งนายวิษณุ รับสารภาพว่าเป็นคนขับรถนำสำรวจเส้นทางจริง จากนั้นได้ขยายผลไปตรวจสอบยังที่พักห้องเลขที่ 4/5 ชั้นที่ 4 อ่อนนุชเพลส แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พบนายมานะชัย คนขับรถกระบะตู้ทึบสารภาพว่าเป็นคนขับรถบรรทุกยาเสพติดจริง โดยรับมาจาก อ.แม่สรวย จว.เชียงราย เพื่อนำไปส่งที่ อ.ทุ่งสง จว.นครศรีธรรมราช  
  
คดีที่ 2 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 สืบสวนพบว่ามีเครือข่าย อัญชนา มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ตามแนวชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ไปส่งให้กับลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน ต่อมา เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67 เวลาประมาณ 15.00 น. พบเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน ด้าน จว.นครพนม โดยใช้รถยนต์ หมายเลขทะเบียน ขย 3213 ขอนแก่น ลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ กระทั่งเวลาประมาณ 19.30 น. รถเป้าหมายได้ขับมาจอดบริเวณสี่แยกไฟแดงหน้า ธ.กรุงเทพ สาขาสว่างแดนดิน ต.สว่างแดนดิน อ.สว่างแดนดิน จว.สกลนคร ชุดจับกุมจึงแสดงตัวขอตรวจค้นพบ นายพายุ เป็นผู้ขับขี่ และ นางสาวอัญชนา โดยสารข้างคนขับ จากการตรวจค้นรถพบยาบ้าจำนวน 200,000 เม็ด อยู่ภายในห้องโดยสารของรถยนต์ 

คดีที่ 3 ตำรวจ บก.ปส.2 จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายลำเลียงยาเสพติด อ.ศรีสงคราม จว.นครพนม พร้อมยาเสพติดจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง 3 คดี จึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่านายสุรพงษ์ หรือโต้ พร้อมพวก 2 คน จะลำเลียงยาเสพติดจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณชายแดนริมแม่น้ำโขง ด้าน จว.นครพนม เข้ามาพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล กระทั่งวันที่ 21 มี.ค.67 พบรถเป้าหมายจอดอยู่ที่บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท.สาขาศรีนคร อ.ธาตุพนม จว.นครพนม และขับออกมาติดตามกันเป็นรูปขบวน มุ่งหน้าไป จว.กาฬสินธุ์ - จว.มหาสารคาม - จว.บุรีรัมย์ - จว.นครราชสีมา กระทั่ง รถยนต์ หมายเลขทะเบียน กต-93xx ระยอง ได้ขับขี่มาถึงบริเวณถนนเจนจบทิศ ต.เทพาลัย อ.คง จว.นครราชสีมา ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น พบนายวีระพงศ์ หรือแม็ก เป็นผู้ขับขี่ และพบนายสุรพงษ์ หรือโต้ นั่งด้านหน้าคู่คนขับและ ยาบ้า 7 กระสอบ จำนวน 3,000,000 เม็ด บรรทุกอยู่ในห้องโดยสารและบริเวณกระโปรงด้านหลังของรถยนต์ ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกชุดสามารถสกัดจับรถนำ หมายเลขทะเบียน 4ขฉ-57xx กรุงเทพมหานคร ได้บริเวณลานจอดรถยนต์หน้าร้านสะดวกซื้อ ภายในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาดอนหวาย ต.โตนด อ.โนนสูง จว.นครราชสีมา พบนายสมโภชน์ หรืออู๊ด เป็นผู้ขับขี่ สอบสวนผู้ต้องหาสารภาพ ร่วมกันขนยาบ้าทั้งหมดมาจากจังหวัดนครพนม เพื่อจะนำไปส่งให้ลูกค้าที่บริเวณ จว.สระบุรี จริง โดยแบ่งหน้าที่กันทำคดีที่ 4 ตำรวจ บก.ปส.2 ได้ทำการขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า 12 ล้านเม็ด เมื่อวันที่ 24 ม.ค.67 จนทราบตัวบุคคลและรถยนต์ของเครือข่ายที่ใช้ในการลำเลียงที่ต้องเฝ้าระวัง ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 พบรถต้องสงสัยใช้เส้นทางจาก จว.บึงกาฬ – จว.สุพรรณบุรี จนวันที่ 25 มี.ค.67 พบรถเป้าหมายมีเคลื่อนไหวอีกครั้ง จึงจัดกำลังเฝ้าติดตาม พบรถเป้าหมายออกจาก อ.บุ่งคล้า จว.บึงกาฬ มุ่งหน้ามาทางถนนมิตรภาพ ถึงบริเวณสี่แยกท่าพระ อ.เมือง จว.ขอนแก่น กระทั่งตำรวจชุดจับกุมสามารถเข้าสกัดจับกุม นายศรีพรม ผู้ขับขี่รถยนต์ Toyota Fortuner สีดำ หมายเลขทะเบียน 1 กน  3796 กรุงเทพมหานคร ได้บริเวณสี่แยกสัญญาณไฟจราจร บ้านเกิ้ง ต.บ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จว.ขอนแก่น ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้าถูกบรรจุอยู่ในถุงดำขนาดใหญ่ รวมจำนวน 4,000,000 เม็ด คดีที่ 5 เมื่อวันที่ ๑๘ มี.ค.67 เวลาประมาณ ๑๘.00 น. ตำรวจ กก.๒ บก.ปส.๓ สืบสวนพบว่าจะมีเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มนายปรัชญา กับพวก ใช้รถยนต์นำยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ นำไปส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่าย ในพื้นที่ภาคกลาง กระทั่งเวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. พบรถยนต์เป้าหมายขับเข้าไปพื้นที่ ต.บ้านเป้า อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ และจอดที่หอพักแห่งหนึ่งใน ต.ป่าแดด ต่อมาเวลา ๑๐.๐0 น. ของวันที่ 19 มี.ค.67  เครือข่ายได้ขับรถยนต์ไปรับ หญิงสาว ที่สนามบินเชียงใหม่ ก่อนจะไปเช่ารถยนต์ 1 คัน และขับตามกันเพื่อเข้าพักที่รีสอร์ตใน ต.ป่าแดด ต่อมาช่วงเช้ามืดของวันที่ ๒๒ มี.ค.67 พบว่ารถที่เช่ามาถูกขับออกจากรีสอร์ต และมีรถอีกคันขับตามไป มุ่งหน้า จว.ลำพูน จากนั้นรถเช่าได้เลี้ยวกลับรถ บริเวณหน้าวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ต.เชียงทอง อ.เมืองตาก จว.ตาก มุ่งหน้ากลับ จว.เชียงใหม่ ชุดจับกุมจึงประสานด่านตรวจแม่พริก (ขาขึ้น) ให้ทำการสกัดจับกุมพบนายสุทธิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถเช่า ขณะเดียวกันรถเป้าหมายพบว่าจอดบริเวณร้านค้าริมถนนพหลโยธิน ต.เพชรชมกู อ.โกสัมพีนคร จว.กำแพงเพชร ก่อนที่คนขับจะลงจากรถ ตำรวจชุดจับกุมจึงเข้าควบคุมตัวแต่ปรากฏว่าผู้ต้องหาได้วิ่งหลบหนีเข้าป่าละเมาะข้างทาง ตำรวจจึงระดมกำลังติดตามจนจับกุม นายปรัชญาฯ ได้ที่บริเวณริมแม่น้ำปิง ห่างจากริมถนนพหลโยธิน ประมาณ ๓ กม. ขณะเดียวกันชุดจับกุมอีกชุดได้ควบคุมตัว น.ส.อินธิชาฯ ซึ่งโดยสารมากับ นายปรัชญาฯ พร้อมตรวจค้นรถพบยาบ้ารวม 334,000 เม็ด ถูกซุกซ่อนบริเวณช่องยางอะไหล่ และใต้เบาะหลังผู้โดยสาร ที่ถูกดัดแปลง  เป็นช่องลับ สอบสวน นายปรัชญา สารภาพว่ามีการซุกซ่อนยาเสพติดบริเวณช่องใส่ยางอะไหล่และใต้เบาะหลังผู้โดยสาร  
  
 คดีที่ 6 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้ทำการสืบสวนเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดกลุ่มนายหวือ และนายเปา ชาวเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก จากพื้นที่ อ.ภูซางจว.พะเยา ไปส่งให้กลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนในของประเทศ ต่อมาสืบทราบว่าช่วงปลายเดือน มี.ค.67 พบว่าเครือข่ายนี้ จะลำเลียงยาเสพติดไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ จว.สุพรรณบุรี และพบว่าลูกค้าของเครือข่าย คือนายนัธธี และนางสาวโชติกา จึงได้ทำการสืบสวนและเฝ้าติดตาม กระทั่งพบว่า ในวันที่ 26 มี.ค.67 นางสาวโชติกา ได้ขับรถปิคอัพนำเส้นทาง นายนัธธี ซึ่งขับรถเอนกประสงค์สีดำ ลักษณะบรรทุกส่งของมีน้ำหนัก ก่อนจะเข้าที่พักบริเวณ หมู่บ้านลาดตะโก ต.ดอนมะสังข์ อ.เมืองสุพรรณบุรี จว.สุพรรณบุรี ชุดจับกุมจึงเข้าสกัดจับรถยนต์ทั้งสองคันพร้อมตรวจค้น พบยาบ้า 7,000,000 เม็ด ระหว่างที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา ได้มีนายอัครพล  หรือนิว ทราบชื่อภายหลังได้โทรศัพท์เข้ามา แจ้งให้นำยาบ้าไปส่งมอบให้กับกลุ่มเครือข่าย โดยนัดหมายบริเวณลานจอดรถยนต์ถนนทางเข้าสนามกอล์ฟไพน์เอิรส์ท กอล์ฟคลับ ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี ในวันที่ 27 มี.ค.67 เวลาประมาณ 02.00 น. ตำรวจจึงมขยายผลและสามารถจับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายเพิ่มเติม ได้แก่ นายณัฐรณ, นายอมรเชษฐ์, นายธีรวัฒน์ และ นายพีรพัฒน์ ขณะมารับยาเสพติดจำนวนดังกล่าว  คดีที่ 7 เมื่อวันที่ 11มี.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.4 จากการสืบสวนเครือข่ายนักค้ายาเสพติด ทราบว่าจะมีการลำเลียง ยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลางไปส่งพื้นที่ภาคใต้ ชุดจับกุมจึงออกตรวจสอบตามเส้นทางก่อนถึงด่านตรวจยานพาหนะชุมพร กระทั่งมาถึงบริเวณริมถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ เยื้องร้านเจ๊แก้ว อาหารอีสาน ต.สลุย อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร พบรถบรรทุกพ่วงตัวแม่ และมีลูกพ่วง ที่กำลังเฝ้าระวัง หมายเลขทะเบียน 83-0xxx นครศรีธรรมราช จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ พบนายอนุวัฒน์ เป็นผู้ขับขี่ แสดงอาการมีพิรุธ  ตำรวจจึงนำรถยนต์บรรทุกเข้าด่านตรวจยานพาหนะชุมพร เพื่อทำการเอกซเรย์พบวัตถุต้องสงสัยมีลักษณะเป็นแท่ง ๆ อยู่ภายในหัวเก๋งและวางอยู่ด้านบนหัวเก๋ง จึงตรวจค้นโดยละเอียด พบเป็นยาบ้า 200,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังเบาะฝั่งผู้โดยสาร และยาบ้า 400,000 เม็ด รวม 600,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่หลังคาหัวเก๋ง สอบปากคำนายอนุวัฒน์ สารภาพว่า ถูกว่าจ้างให้ลำเลียงยาบ้าจาก อ.ลาดหลุมแก้ว จว.ปทุมธานี เพื่อไปส่งให้ลูกค้าที่ อ.ทุ่งสง จว.นครศรีธรรมราช  

คดีที่ 8 เมื่อวันที่ 17 มี.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.4 บูรณาการร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องสนธิกำลังร่วมกันตั้งด่านตรวจบริเวณริมถนนเพชรเกษม (กรุงเทพฯ-ชุมพร) ขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าที่ทำการด่านตรวจยานพาหนะชุมพร มีรถยนต์บรรทุก ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 71 3xxx เพชรบุรี ซึ่งเป็นรถที่เฝ้าระวังขับผ่านมา ตำรวจจึงเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจสอบมี นายวันชัย เป็นผู้ขับขี่ จึงขอให้นำรถเข้าไปภายในบริเวณที่ทำการด่านตรวจฯ เพื่อทำการเอกซเรย์ พบสิ่งของที่มีลักษณะเป็นก้อน จึงตรวจค้นโดยละเอียด พบยาบ้ารวม 1,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังกระบะท้ายรถยนต์บรรทุกคัน สอบถาม นายวันชัย สารภาพว่าถูกจ้างให้ขนยาบ้าจากพื้นที่เขตป

ชื่นฉ่ำ!! “พิพัฒน์”เปิดกระทรวงจัดพิธีสรงน้ำพระ - รดน้ำขอพร ชูแคมเปญ“สงกรานต์ชื่นบาน ชาวแรงงานชื่นใจ สืบสานประเพณีไทย 2567” มอบของขวัญแก่พี่น้องแรงงาน

วันที่ 5 เมษายน 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีรดน้ำขอพรเนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ ประจำปี 2567 ในกิจกรรม“สงกรานต์ชื่นบาน ชาวแรงงานชื่นใจ สืบสานประเพณีไทย 2567”โดยมี นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน นำข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน กล่าวขอพรจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จากนั้นนายพิพัฒน์ กล่าวให้พรแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานที่เข้าร่วมงานกว่า 500 คน ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน 

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า เนื่องในศุภวาระมงคลการ ดิถีปีใหม่ไทย ประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่บรรพกาล สงกรานต์ถือเป็นเทศกาลที่สืบสานมรดกอันล้ำค่าของชาติ ขอให้ทุกท่านรักษา สืบสานวัฒนธรรมที่ดีงามนี้ตลอดไป เพื่อความสุขและเป็นสิริมงคลแก่ทุกท่านในโอกาสนี้ ขอให้พรที่ทุกท่านได้ให้มาจงส่งผลให้กับท่านทั้งหลายประสบแต่ความสุขสวัสดิพิพัฒนมงคล ผ่องแผ้วเบิกบาน และปราศจากอันตรายทั้งปวง จากนั้น รมว.แรงงาน ได้สรงน้ำพระพุทธสุทธิธรรมบพิตร และเปิดโอกาสให้ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน และสื่อมวลชน เข้ารดน้ำขอพร

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวต่อว่า นอกจากได้จัดกิจกรรมสรงน้ำพระและรดน้ำขอพรแล้ว ในปีนี้กระทรวงแรงงานยังได้มีของขวัญช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อมอบให้กับพี่น้องแรงงานทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย ภายใต้แคมเปญ “สงกรานต์ชื่นบาน ชาวแรงงานชื่นใจ สืบสานประเพณีไทย 2567” ได้แก่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มอบของขวัญ เริงรื่น...ลูกจ้างได้หยุดร่วมเทศกาลเพิ่มเติม โดยขอความร่วมมือ สถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างมีวันหยุดเพิ่มเติมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และให้หยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 12 - 16 เมษายนนี้ด้วย ในส่วนของลูกจ้างที่ทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง ทำงานล่วงเวลาไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง โดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากลูกจ้าง และห้ามทำงานก่อนครบเวลา 10 ชั่วโมง หลังสิ้นสุดการทำงานของวันทำงานที่ล่วงมาแล้ว ใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขณะเดินทาง และวางแผนการเดินทางไปและกลับเพื่อความสะดวกและปลอดภัย

สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน มอบของขวัญ ชื่นอุรา...ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 เมษายน มีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้น “ค่าจ้างขั้นต่ำ” รอบใหม่ วันละ 400 บาท นำร่อง 10 จังหวัดท่องเที่ยว โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายนนี้ เป็นของขวัญปีใหม่ไทยช่วงเทศกาลสงกรานต์

ในส่วนของสำนักงานประกันสังคม มอบของขวัญ ชื่นชีวา… รักษาได้ทุกโรงพยาบาล สำหรับผู้ประกันตนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขอให้ผู้ประกันตนทุกท่านพกบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวไว้ หากเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉิน ประสบอุบัติเหตุ หรือมีอาการเจ็บป่วยกะทันหัน ผู้ประกันตน สามารถเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ทันที สำนักงานประกันสังคมจะพิจารณาจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้ภายใน 72 ชั่วโมง ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนด ทั้งนี้ ให้ผู้ประกันตน หรือโรงพยาบาลที่ให้การรักษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง แจ้งโรงพยาบาลตามสิทธิให้ทราบโดยเร็ว ตั้งแต่เข้ารับการรักษา เพื่อให้โรงพยาบาลรับผิดชอบให้บริการทางการแพทย์กับผู้ประกันตนต่อไป ผู้ประกันตนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.sso.go.th หรือ Line : @ssothai หรือโทร 1506 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน มอบของขวัญ ชุ่มฉ่ำ... สืบสานประเพณีไทยในต่างแดน สำหรับแรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ จำนวน 117,222 คน  โดยมีสำนักงานแรงงานในต่างประเทศ 12 แห่ง 11 ประเทศ ให้ความคุ้มครอง ดูแล และร่วมจัดกิจกรรมในเทศกาลสงกรานต์ อาทิ เกาสง ไทเป 

และกรมการจัดหางาน มอบของขวัญ ชื่นใจ... เดินทางกลับประเทศต้นทาง สำหรับแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ได้รับอนุญาตทำงานในประเทศไทยที่มีเอกสารประจำตัว และมี NON L-A VISA มีอายุเหลือไม่น้อยกว่าวันที่ 15 พ.ค.67 รวมทั้งผู้ติดตามที่มีเอกสารดังกล่าว สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทาง เพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2567 ได้ในช่วงระหว่างวันที่ 1 เม.ย.-15 พ.ค.67 โดยไม่ต้องยื่นคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก (Re-Entry Permit) และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม Re-Entry

ด้าน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า เทศกาลสงกรานต์ถือเป็นประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณเป็นประเพณีที่งดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความสนุกสนาน ความอบอุ่น และการให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกัน สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน กระทรวงแรงงาน ได้ตระหนักและสืบสานประเพณีอันดีงามนี้อย่างต่อเนื่องมาทุกปี และปีนี้ก็เช่นกัน ได้จัดให้มีพิธีขอพรผู้บริหารของกระทรวงแรงงาน

‘แม่ค้า’ จ.กระบี่ เผย!! ‘แกงไตปลา’ ออเดอร์ทะลัก จนผลิตไม่ทัน หลังถูกต่างชาติยกเป็น ‘เมนูยอดแย่’ แต่กระแสตีกลับ การันตี!! ของดี

(5 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางอัปสร ขาวขำ หรือกะย๊ะห์ แม่ค้าแกงไตปลาแห้ง ที่ ต.เขาทอง อ.เมือง จ.กระบี่ เร่งบรรจุกระปุก ชั่งน้ำหนัก แกงไตปลาแห้ง เตรียมส่งให้กับลูกค้าที่สั่งจอง มาเป็นจำนวนมาก ในช่วงนี้ จนผลิตไม่ทัน หลังจากกระแสข่าวแกงไตปลา เมนูอาหาร ขึ้นชื่อของชาวปักษ์ใต้ ติดอันดับ1 ของเมนูอาหารยอดแย่ที่สุดในโลกโดยเว็ปไซด์ TasteAtlas ที่รวมอาหาร รีวิว และจัดอันดับความนิยมด้านอาหารทั่วโลก ในโลก

นางอัปสร กล่าวว่า หลังจากที่มีกระแสข่าวทางด้านลบออกมา เกี่ยวกับแกงไตปลา ไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายแกงไตปลาแห้ง แต่กลับส่งผลให้มีออเดอร์สั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากกระแสข่าวที่ออกมา ทำให้คนหันมาสนใจแกงไตปลามากขึ้น อยากจะรู้รสชาติ คนที่ไม่เคยกินก็หันก็หันมา สั่งไปกินกันเป็นจำนวนมาก ยอดขายเพิ่มจาก สัปดาห์ละ 200 กระปุก เป็น 400-500 กระปุก จนตอนนี้ผลิตไม่ทัน เพราะต้องจัดหาซื้อวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศด้วย เพื่อนที่ไปอยู่ออสเตรเลีย และสวีเดน สั่งไตปลาแห้งทุกเดือน เฉลี่ยเดือนละ 2-3 กิโลกรัม ราคากิโลกรัม 350 บาท ส่วนที่เป็นกระปุก ราคา กระปุกละ 25 บาท

“การที่แกงไตปลาถูกจัดอันดับเป็นเมนูอาหารยอดแย่ที่สุดในโลก มองว่าอยู่ที่คนที่ทานมากว่า ว่าชอบรสชาติแบบไหน อย่างไร คนที่เคยทานก็จะรู้ดี”

ด้านนางประนอม สงสังข์ อายุ 52 ปี แม่ค้าขายขนมจีน ภายในตลาดนัดสี่แยกควนสะตอ เทศบาลเมืองกระบี่ ตักแกงไตปลา น้ำยากระทิ แกงน้ำเคย ใส่ถุง เตรียมขายให้กับลูกค้า ในช่วงเย็น โดยแกงไตปลาเป็นที่นิยมของลูกค้า รสชาติเข้มข้น เผ็ดกำลังดี อร่อย ถูกปาก ซื้อคู่กับขนมจีน ซึ่งแต่ละวันแกงไตปลาหนึ่งหม้อขนาดใหญ่ ใช้ไตปลา 1 กิโลกรัม จะขายหมดก่อนแกงอื่น ๆ ส่วนขนมจีน กว่า 20 กิโลกรัมก็ขายหมดเช่นกัน โดยขายแกงไตปลา ถุงละ 30 บาท ขนมจีน กิโลกรัมละ 25 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพง ทำให้เป็นที่นิยมของลูกค้า ซื้อไปรับประทานกับข้าวสวยก็ได้ ขนมจีนก็ได้

นางประนอม กล่าวว่า ตามกระแสดรามาในสื่อสังคมออนไลน์ ที่ชาวต่างชาติลงความเห็นว่าแกงไตปลา มีรสชาติที่แย่ที่สุดในโลก มองว่าผู้ที่ชิมกินแกงไตปลา อาจไม่รู้วิธีรับประทาน รับประทานเพียงแกงไตปลาอย่างเดียวเหมือนรับประทานน้ำซุบ รถชาติก็ไม่ถูกปากชาวต่างชาติ เพราะมีรส เผ็ด เค็ม การรับประทานแกงไตปลาต้องรับระทานกับข้าวสวย ขนมจีน ถึงจะอร่อย

ขณะที่ลูกค้าสาว กล่าวว่า แกงไตปลาเป็นอาหารประจำถิ่นของคนภาคใต้ มาตั้งแต่โบราณเป็นที่นิยมรับประทาน เพราะสามารถอุ่นไว้ได้รับประทานหลายวัน กรณีชาวต่างชาติให้คะแนนว่า แกงไตปลาเป็นอาหารที่รสชาติแย่ที่สุดในโลกก็ไม่ถูกต้อง

‘กกต.’ ลุยเอาผิดย้อนหลังเด็กก้าวไกล ‘นครชัย ขุนณรงค์’ ปมรู้ไม่มีสิทธิแต่ยังสมัคร สส. หลังเคยต้องโทษคดีลักทรัพย์

(5 เม.ย. 67) เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต. สั่งเอาผิดย้อนหลัง นายนครชัย ขุนณรงค์ อดีต สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล

โดย กกต.เห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า นายนครชัย เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำ โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 6962/2542 คดีหมายเลขแดงที่ 6766/2542 วันที่ 24 พ.ย.42 แม้ต่อมาจะมี พ.ร.บ.ล้างมลทิน ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับ แต่การล้างมลทินคือการลบล้างโทษว่ามิเคยถูกลงโทษจำคุกในความผิดนั้น ๆ เท่านั้น

ส่วนพฤติกรรม หรือการกระทำความผิดซึ่งศาลพิพากษาว่าได้กระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งยังคงอยู่ ไม่มีผลเป็นการลบล้างการกระทำความผิดและลบล้างคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ามีการกระทำความผิดนั้น

ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 24/2564 ข้ออ้างของนายนครชัย ที่ว่าตนได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 จึงไม่อาจรับฟังได้ นายนครชัย จึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 มาตรา 42 (12)

อีกทั้ง นายนครชัย ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งของตนเองให้เป็นไปตามที่กฎหมาย กำหนด เมื่อ นายนครชัย ได้ลงลายมือชื่อในใบสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 3 จ.ระยอง ลงวันที่ 3 เม.ย.66 รับรองว่าตนเองมีคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สส.ระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. โดยรู้อยู่แล้วว่า ตนเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดดังกล่าวของศาลจังหวัดชลบุรี

กรณีจึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายนครชัย ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแล้วปกปิด หรือไม่แจ้งข้อความจริงนั้น และให้ถือว่าการเลือกตั้ง สส.ระยอง เขต 3 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ นายนครชัย ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 54 วรรคสอง และมาตรา 151 จึงมีคำสั่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายนครชัย สิ้นสุดลงตั้งแต่วันเลือกตั้ง และมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายนครชัย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 54 และให้รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามระเบียบกกต. ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 86 เพื่อดำเนิน คดีอาญากับนายนครชัย ตามมาตรา 151 ของกฎหมายเดียวกันและกรณีการดำเนินการเรียกค่าเสียหาย ในการจัดการเลือกตั้ง สส.ระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่ แทนตำแหน่งที่ว่าง อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของนายนครชัย

ทั้งนี้ นายนครชัย ได้รับการเลือกตั้งเป็น สส. เมื่อวันที่ 24 พ.ค.66 แต่หลัง กกต.ประกาศรับรอง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยขณะนั้น ออกมาเปิดเผยว่า นายนครชัย เคยต้องโทษจำคุกถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็น สส. ทำให้ในวันที่ 3 ส .ค.66 นายนครชัยได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็น สส. และ กกต.จัดให้มีการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 10 ก.ย.66  โดยนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ จากพรรคก้าวไกล เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง

‘เศรษฐา’ ประกาศพา ‘เพื่อไทย’ คว้าชัยชนะเลือกตั้งหนหน้า ฟาก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยัน!! ‘เพื่อไทย’ จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงประเทศ

(5 เม.ย. 67) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย (พท.) อาคารโอเอไอทาวเวอร์ ชั้น 7 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กทม. พรรคเพื่อไทยได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 โดยบรรยากาศที่พรรคเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดาแกนนำ สมาชิกพรรค และตัวแทนพรรคประจำจังหวัด เดินทางเข้ามาที่พรรคตั้งแต่ช่วงเช้า

ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการเปิดคลิปวิดีโอสั้น ความยาว 18 นาที รวบรวมบทสัมภาษณ์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย, นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ

โดยเนื้อหาบางส่วนของ นายทักษิณ กล่าวว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ 2540 ส่งผลให้พรรคการเมืองเดิมปรับตัวไม่ทัน ตนได้ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้น ชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย และสร้างการเปลี่ยนแปลงหลายด้านให้กับประเทศไทย พรรคไทยรักไทย คือพรรคที่เข้ามา Reform ประเทศ เป็นผู้นำเปลี่ยนแปลงและกระจายอำนาจ ผ่านนโยบายกองทุนหมู่บ้าน และ 30 บาทรักษาทุกโรค พร้อมกล่าวชื่นชมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นโครงการที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยเช่นกัน

ส่วนที่หลายฝ่ายกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทย ที่มีดีเอ็นเอมาจากพรรคไทยรักไทย เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ นั้น นายทักษิณ ยืนยันว่า ไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพรรคไทยรักไทย และเชื่อว่าไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพรรคเพื่อไทยด้วย

ทั้งนี้ นายทักษิณ มั่นใจว่า ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีดีเอ็นเอ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ซึ่งมีความมั่นคง ตัดสินใจเด็ดขาด และดีเอ็นของนายทักษิณ ที่มีจุดแข็งในการพูดคุย พบปะกับผู้คน เข้าใจถึงจิตใจของพี่น้องประชาชน เชื่อว่าจะเป็นผู้นำที่ดีได้ "ผมทำได้ เขาก็ทำได้"

"ระบบทุนนิยมที่ไร้ความเมตตาธรรม จะทำให้ประชาชนไม่มีความสุข การเข้าถึงประชาชนคือหัวใจสำคัญ การทำงานในสภาให้เข้มแข็ง การเป็นนักการเมืองที่ดี คือรักประชาชน ประชาชนมองตานักการเมือง ก็รู้สึกได้ ต้องอยู่กับชาวบ้าน ผมเชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่าน สามารถทำงานประสานงานกับหลายพรรค หลายภาคส่วนได้ดี" นายทักษิณ กล่าว

เนื้อหาในคลิป โดย น.ส.แพทองธาร ระบุว่า การแพ้เลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้รู้ถึงเงื่อนไขและการเปลี่ยนแปลง การแพ้เลือกตั้งที่ผ่านมา เมื่อผ่านการดูแลตัวเองและจิตใจคนในพรรคแล้ว ต้องไปต่อ พร้อมยืนยันเดินหน้าสร้างรายได้ประชาชนผ่านนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและมีโอกาสที่ดีขึ้น พร้อมระบุจะเป็นผู้นำพรรคที่เข้าใจคนในพรรค ผู้สนับสนุนพรรค และประชาชนทุกคน อยากให้ผู้ที่ทำงานร่วมกันมีความสุข รู้สึกปลอดภัยและมีส่วนร่วมในพรรค

ส่วนเนื้อหาในคลิปของ นายเศรษฐา ระบุถึงชีวิตส่วนตัวก่อนเข้าสู่การเมือง ยอมรับว่าชีวิตส่วนตัวก่อนเข้าสู่การเมือง อยู่จุดสูงสุดของพีระมิด แต่อยากนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่พี่น้องประชาชน จึงตัดสินใจลงการเมือง ทั้งนี้ ในวันที่ 10 เมษายน 2567 จะประกาศรายละเอียดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่าจะทำให้ภาคการผลิตสินค้า การจับจ่าย และการจ้างงาน จะปรับตัวดีขึ้น สึนามิทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นแน่นอน

ต่อจากนั้น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวบรรยายพิเศษบนเวที เรื่อง ภารกิจของวิปพรรคและแนวทางการทำงานในสภาฯ ว่า "สภาที่เข้มแข็ง คือ รัฐบาลที่เข้มแข็ง" การบริหารประเทศ ทั้งสองสถาบัน ต้องเกื้อกูลกันและกัน โดยมีประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นที่ตั้ง การขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ปัจจัยสำคัญเพราะมีฝ่ายนิติบัญญัติ ที่เข้มแข็ง เป็นเอกภาพ ปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยทำงานร่วมกับหลายพรรค งานในสภาเป็นเรื่องที่ท้าทาย จึงมีการจัดตั้งส่วนประสานงานการเมืองและกิจการสภา ทั้งในส่วนวิชาการและฝ่ายสื่อสาร ขึ้นในพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ทั้งนี้ การลงพื้นที่เพื่อพบปะกับประชาชนของ สส.มีหลายวิธี ทั้ง offline และ online เป็นเรื่องจำเป็น

"ภายใต้การนำของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย การบริหารและความร่วมมือร่วมใจของ สส.ของเรา จะเป็น ผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้รัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน บริหารประเทศ อย่างตั้งใจ เพราะพรรคเพื่อไทย หัวใจ คือ ประชาชน" นายวิสุทธิ์ กล่าว

จากนั้น น.ส.แพทองธาร กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘เพื่อไทย จะไปต่อยังไง’ ว่า ภารกิจต่อไปของพรรคเพื่อไทย คือ การเป็นพรรคที่เร็วขึ้น ตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้ดีขึ้น พรรคเพื่อไทยกำลังเปลี่ยนแปลงจากข้างใน ด้วยการเติมคนใหม่เข้ามาทำงานเติมองค์ความรู้ใหม่ สร้างการบริหารงานที่เร็วขึ้น เพื่อให้พรรคเพื่อไทย อยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเปลี่ยนไปอีกกี่คน บริบทประเทศในอนาคตจะเป็นอย่างไร พรรคเพื่อไทยจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ให้กับประเทศไทยได้เสมอ พร้อมให้กำลังใจกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน 

พร้อมย้ำว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ เพราะ DNA ของเราคือการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่เป็นรัฐบาล เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย เช่นในอดีต มี 30 บาท รักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ และปัจจุบัน มีนโยบายที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง คือ ดิจิทัลวอลเล็ต และซอฟต์พาวเวอร์ เราคือพรรคที่มาปฏิรูป ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าด้วยนโยบาย โดยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

"หลังงบประมาณผ่านแล้ว เชื่อมั่นว่ารัฐบาลคุณเศรษฐา จากที่วิ่งเร็วอยู่แล้ว จะเร็วขึ้นอีก หลายนโยบายที่เคยติดขัดเพราะงบประมาณ จากนี้จะผ่านฉลุย หลายนโยบายจะสำเร็จได้เห็นผลเร็วๆ นี้แน่นอน และพบกับการสรุปผลงานของ รัฐบาลเพื่อไทยที่ไม่ต้องรอ 10 เดือน ในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้" น.ส.แพทองธาร กล่าว

ด้าน นายเศรษฐา กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘สร้างความมั่นใจให้ สส.เพื่อไทย การทำงานของรัฐบาล สร้างความมั่นใจให้ ส.ส.รู้สึกว่า นโยบายที่เราสัญญาไว้ จะทำได้จริง’ ว่า ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นน้องใหม่ที่เข้ามาเพียง 13 เดือน ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากคนในพรรคอย่างอบอุ่น จริงใจ และได้รับคำแนะนำที่ดีมาโดยตลอด 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการเรียนรู้เรื่องใหม่ในอายุ 60 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เราแพ้เลือกตั้ง พูดแบบนี้อาจฟังแล้วบีบหัวใจ แต่เป็นความจริง ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น รู้สึกเจ็บปวด แต่ยืนยันว่าเราจะไม่แพ้ตลอดกาล การก้าวเข้ามาในจุดนี้ มีเรื่องเดียวที่ปรารถนาคือการนำชัยชนะมาให้พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และจะไม่มีอะไรมาทำให้ตนไม่สามารถคว้าชัยชนะนี้ได้

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านมา อาจจะถูกมองว่าเป็นแมลงวันบินไปมา แต่การที่ต่างประเทศจะมาลงทุนในไทยมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ไม่สามารถตัดสินใจได้ในเวลาเพียง 7 - 8 เดือน แต่ยืนยันได้ว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีสึนามิของการลงทุนครั้งใหญ่เข้ามาให้กับคนไทยได้ผลิตสินค้า สร้างซัพพลายเชน ให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้ ในด้านการคมนาคม เรามีนโยบายชัดเจน ทั้งการลงทุนขนส่งทางถนน ราง เรือ สนามบิน เพื่อรองรับความต้องการของประชาชน ไม่ได้โฟกัสแค่สุวรรณภูมิหรือดอนเมือง แต่เป็นสนามบินในจังหวัดต่าง ๆ เช่น สุรินทร์​ รวมถึงผลักดันโครงการท่าเรือน้ำลึก เฟส 3 ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ประเทศไทยแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้

นอกจากนี้ ยังมีโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะแล้วเสร็จในอีก 10 - 15 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการค้าโลกที่จะขยายตัวมากขึ้น แลนด์บริดจ์จะทำให้ประเทศต่าง ๆ เข้าหาประเทศไทยจากการเดินทางขนส่งระหว่างอันดามันกับอ่าวไทย ทำให้เราเป็นมหาอำนาจเล็ก ๆ ที่ทุกคนมาพึ่งพิง ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ยืนยันมีการทำงานอย่างใกล้ชิด ยืนยันว่า ไม่ได้พายเรือในอ่างแน่นอน

"อยากให้ทุกท่านเลือกมองอนาคตที่สดใสดีกว่า เรามาร่วมใน mission ที่ยิ่งใหญ่ ด้วย 141 เสียงจาก 500 เสียง เราจะมีเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน เพราะเรามีหัวหน้าพรรคที่มีความมุ่งมั่น มีผู้อาวุโสในพรรคที่ช่วยประคอง มีคนรุ่นใหม่ที่พร้อมแสดงศักยภาพ และมีผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา และท่านมีนายกรัฐมนตรีที่มีจุดประสงค์เดียวในวันนี้คือ ชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป ขอให้มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะทุ่มเททำงานในช่วงเวลา 3 ปีครึ่งข้างหน้า จะทำงานเพื่อคนไทยทุกคน และเพื่อให้พรรคของเราเจริญเติบโต" นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สร้าง ‘2475 Dawn of Revolution’ เคลียร์ทุกปมข้องใจของหนัง หลัง ‘ส.ศิวรักษ์’ วิจารณ์แบบขาดกาลามสูตร (โต้ตอบช็อตต่อช็อต)

นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution VS สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา ส.ศิวรักษ์ เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักคิด และนักวิชาการชาวไทย

จากกรณี นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา ส.ศิวรักษ์ เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักคิด และนักวิชาการชาวไทย ได้ออกมาวิจารณ์การ์ตูนแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution ที่ค่อนข้างรุนแรง ด้านนายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution ก็ได้ออกมาชี้แจง ทุกประเด็นจาก ส.ศิวรักษ์ โดยมีเนื้อหา ดังนี้...

>> ส.ศิวรักษ์: หนังตั้งใจทำมาก เพื่อให้เป็นว่าปรีดีเป็นคนเลวร้าย ตั้งใจเล่นงานคณะราษฎร และยกย่องพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างไม่มีที่ติ โดยไม่คำนึงถึงประวัติศาสตร์ เป็นหนังมอมเมาคน

>> นายวิวัธน์: เราพยายามจะให้เห็นมิติต่าง ๆ ของตัวละครแต่ละตัว อย่างเอาจริง ๆ แล้วตัวละคร ‘ลุงดอน’ ในเรื่องค่อนข้างจะช่วยแก้ไขข้อเท็จจริงบางเรื่องให้ปรีดีด้วยซ้ำ เช่น ทำไมปรีดีถึงออกแบบสมุดปกเหลือง ซึ่งมันเป็นแนวคิดที่ปรีดีคิดว่าการมาของลัทธิคอมมิวนิสต์ มันเหมาะสมกับสยามในยุคนั้นหรือไม่ และก็อาจจะไม่เหมาะกับประเทศไทยในยุคนี้เช่นกันด้วยหรือไม่

ขณะเดียวกัน เราก็ต้องเล่าประวัติศาสตร์ให้ครบทุกด้าน (ด้านที่คนไม่เคยรับรู้) ซึ่งการหลีกเลี่ยงที่จะไม่เล่าเรื่องเหล่านี้ มันก็คือ อคติแบบหนึ่งเช่นกัน โดยจริง ๆ แล้วในมุมของรัชกาลที่ 7 หากเราได้ดูในหนัง ก็จะพบว่าท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนพวกเรา อย่างเช่นในตอนสุดท้ายที่ท่านตัดสินใจสละราชสมบัติ ท่านเองก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก โดยท่านได้เขียนโทรเลข และส่งมาถึงข้าราชบริพาร โดยขออภัย … หมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่า ท่านทรงรู้สึกสำนึกผิดมากที่ต้องทิ้งราชบัลลังก์ และปล่อยให้ คณะราษฎรปกครอง เพราะท่านรู้สึกว่าท่านไม่สามารถที่จะยื้อ หรือใช้อำนาจของท่านในการต้านทานการใช้อำนาจอย่างอำเภอใจของทางคณะราษฎรได้อีกต่อไป 

เพราะหากพิจารณาดูจากรัฐธรรมนูญฉบับแรก ทุกคนจะเข้าใจได้เลยว่า แม้พระมหากษัตริย์ จะไม่อนุมัติเรื่องใด ๆ หรือไม่เห็นชอบด้วยกับคณะราษฎร แต่คณะราษฎรก็สามารถใช้เสียงโหวตในสภาเพื่อผ่านกฎหมายได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพระองค์ก็เลยรู้สึกว่าท่านไม่อยู่ในสถานะที่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ ไม่สามารถที่จะคัดค้านอะไรได้อีกแล้ว และคณะราษฎร ก็มีการออกเสียงตามอำเภอใจ แล้วก็จะผ่านร่างกฎหมายเอง แต่...กลับต้องมายื่นให้ท่านเซ็น ซึ่งท่านก็ต้องเป็นคนเซ็นแทนประชาชน

การที่ท่านอยู่ภายใต้ คณะราษฎร ที่นึกอยากจะออกกฎหมายอะไรก็ได้ อย่างเช่น กฎหมายตั้งศาลพิเศษ โดยที่ไม่มีอุทธรณ์ หรือ ฎีกา และคิดจะตั้งข้อหาใคร ก็ตั้งแล้วก็ยัดเยียดบทลงโทษได้เลย ทำให้ท่านไม่ยอมให้มันออกมาจากมือของท่านโดยเด็ดขาด ท่านไม่ยอมที่จะเซ็นเด็ดขาด ท่านก็เลยตัดสินใจที่จะเดินทางเสด็จไปต่างประเทศและสุดท้ายท่านก็ตัดสินใจที่จะสละราชสมบัติ เพราะสถานะของท่านไม่สามารถที่จะห้ามอะไรต่อไปอีกแล้ว 

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าท่านยังคงอยู่สยาม ท่านก็เหมือนเป็น ‘ตราปั๊ม’ หรือเป็นเหมือน ‘ตรายาง’ เพื่อออกกฎหมาย,ฺดรอนเสรีภาพของประชาชนให้คณะราษฎร ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถที่จะทนได้ และการที่หนัง สะท้อนมุมนี้ ก็เพื่อให้เห็นถึงความที่ท่านรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านช่วยอะไรประชาชนและประเทศไม่ได้อีกแล้ว 

ฉะนั้น การที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่ารัชกาลที่ 7 ดีไปหมดทุกอย่าง มันก็ไม่ใช่ มันก็มีมุมที่หนังสะท้อนว่าท่านรู้สึกผิดอยู่ หรือแม้แต่ตัวของ ปรีดี เอง ก็จะเห็นว่ามันมีมุมที่เขาสำนึกผิดอยู่ ผ่านบทสัมภาษณ์ระหว่างเขากับ แอนโทนี่ พอล ผู้สื่อข่าวนิตยสาร เอเชียวีค ประจำปารีส ที่ ปรีดี เองยังยอมรับเลยว่า วิธีการที่เขาทำหลายอย่างมันผิดพลาด อย่างการนำเสนอเศรษฐกิจของเขาก็ผิดพลาด หรือแม้แต่ พระยาทรงสุรเดช ก็สำนึกผิดในตอนหลัง และเอาจริง ๆ แม้แต่จอมพล ป.เอง เขาก็เคยสำนึกผิดด้วยว่าทำบาปทำกรรมกับรัชกาลที่ 7 ไว้มาก เพียงแต่ตัวหนังในภาคนี้ยังเล่าไปไม่ถึง

โดยสรุป เพื่อตอบ ส.ศิวรักษ์ ให้กระจ่างชัดขึ้น ผมมองว่าหนังเรื่องนี้ ได้เล่าถึงความผิดพลาดของทุกฝ่าย จนนำมาสู่เรื่องราวถึงยุคปัจจุบัน เพราะถ้าหากมองย้อนไปในวันที่เกิดการปฏิวัติ แล้ววันนั้นรัชกาลที่ 7 ท่านไม่ยอมขึ้นมา แล้วท่านก็ให้ทหารยึดอำนาจคืน คณะราษฎร ก็อาจจะจบตั้งแต่วันนั้น และนั่นก็อาจจะไม่ยืดเยื้อรุนแรงมาจนถึงเกิดกบฏบวรเดช, เกิดการกบฏ 18 ศพ หรือเกิดการจับประชาชนที่บริสุทธิ์ไปประหารชีวิต เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อประวัติศาสตร์ที่เรียนมาในหนังสือไม่ได้เล่าทั้งหมด ว่ามีอะไรเกิดขึ้น มีความผิดพลาดอะไรขึ้น มีการเกิดความรุนแรงใด ๆ ขึ้น แอนิเมชันเรื่องนี้ จึงทำหน้าที่ของมันในมุมที่หลายคนไม่เคยรู้ถึงภาพความผิดพลาดของทุกฝ่าย

>> ส.ศิวรักษ์: ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษอเมริกา อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้าเสรีไทยกอบกู้เอกราชในประเทศชาติได้ เรื่องนี้คนที่ทำหนังเรื่องนี้ไม่เอ่ยถึงเลย เอ่ยถึงแต่ความเลวทั้งหมด ทุกอย่างมาจากความเลวร้ายของปรีดีหมด หนังไม่เคารพข้อเท็จจริง เล่าไม่ครบ แล้วจะเสนออดีตให้ถูกต้องได้ยังไง

>> นายวิวัธน์: ส.ศิวรักษ์ บอกว่าทำไมเราไม่เล่าถึงตอนที่ปรีดีทำขบวนการเสรีไทย ก็ต้องบอกว่าเรายังเล่าไม่ถึงเรื่องสงครามโลก เพราะว่าหนังเรื่องนี้ เล่าแค่จบตอนในช่วงของในหลวงรัชกาลที่ 7 ที่ทรงสละราชสมบัติเท่านั้น แต่ไหนก็พูดเรื่องนี้แล้ว เอาจริง ๆ ท่านเสนีย์ ปราโมช ก็มีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่สองด้วยนะครับ เพราะท่านเป็นเสรีไทยอเมริกา และเป็นคนที่ล็อบบี้ให้ไม่เกิดการประกาศสงครามกับอเมริกา เป็นคนที่ขวาง จอมพล ป.มาตั้งแต่วันแรกที่ จอมพล ป.จะประกาศสงคราม แล้วท่านไม่ยอมร่วมประกาศสงครามด้วย

ฉะนั้นไอ้การที่ทุกวันนี้ คนเข้าใจว่า ขบวนการเสรีไทย มาจากปรีดีคนเดียว มันไม่ใช่เลย เพราะทุกฝ่ายร่วมมือกัน แม้แต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่ประทับอยู่ที่อังกฤษในขณะนั้น ท่านก็ได้สนับสนุนเสรีไทยในอังกฤษด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่รัชกาลที่ 8 ท่านก็มีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่สองและทำให้ไทยไม่เป็นประเทศแพ้สงครามด้วย

คำถาม คือ เรื่องแบบนี้ทำไม ส.ศิวรักษ์ ไม่เล่า ทำไมเล่าแค่ปรีดี ว่าเป็นคนดีคนเดียว ทำไมไม่เล่าถึงคนอื่น ๆ อย่างข้อตกลงที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นทำกับอังกฤษแล้วท่านเสนีย์คัดค้านอย่างหนัก แต่นายปรีดีกลับเห็นด้วย ตรงนี้ทำไม ส.ศิวรักษ์ ไม่เล่า ตรงนี้มันก็เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ที่พูดไม่ครบเหมือนกันใช่หรือไม่ 

แล้วส่วนที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่า พระยาทรงสุรเดชทำร้ายทำลายปรีดี รังแกปรีดี นู่นนี่นั่น เราก็นำเสนออยู่ในหนังเรื่องนี้นะ เพราะว่าตอนที่นายปรีดีเสนอสมุดปกเหลือง ก่อนที่ปรีดีจะเดินออกจากห้องประชุม เขาก็หันไปเห็นว่าพระยาทรงสุรเดชยืนคุยกับทาง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา และ พระยาศรีวิสารวาจา ที่เหมือนกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง จากนั้น ปรีดี ก็เลยสงสัย และหันไปมอง พระยาทรงสุรเดช และบอกว่า “พวกแกใช่ไหมที่จัดการเรื่องนี้” คือ พวกเราเล่านะ แต่สุดท้ายเกิดไรขึ้นกับพระยาทรงสุรเดช? เขาก็โดนเนรเทศไง โดนยัดข้อหากบฏ แล้วก็ต้องเนรเทศไปอยู่เวียดนามบ้าง ไปอยู่กัมพูชาบ้าง แล้วก็ต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าที่ต่างประเทศ

>> ส.ศิวลักษณ์: หนังเรื่องนี้พยายามสื่อในทำนองว่าในหลวงรัชกาลที่ 7 จะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่ว่าพระยาศรีวิสารวาจา กับ นายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศไม่เห็นด้วย ซึ่งตัวหนังเรื่องนี้ไม่เห็นบอกเลยรัฐธรรมนูญที่ในหลวงเตรียมจะพระราชทานนั้นคืออะไร แต่ถ้าเราอ่านดูรัฐธรรมนูญที่พระราชทานนั้นจะมีเพียงเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง ไม่เปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง เหลวไหล พูดอย่างเดียวว่าในหลวงจะพระราชทาน รธน. อยู่แล้ว เหลวไหลเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน
>> นายวิวัธน์: เรื่องนี้ ส.ศิวรักษ์ ก็พูดไม่จริง เพราะร่างรัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 จาก นายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา ไม่ได้มีแค่การตั้งนายกรัฐมนตรี (และขอบอกด้วยว่าแม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกของคณะราษฎรก็ยังไม่ได้ถ่ายโอนอำนาจให้กับประชาชนอย่าง 100% ด้วย หรือก็คือ ประชาชนก็ยังไม่ได้อำนาจนะ แม้ข้อแรกจะเขียนมาสวยหรูว่า ‘อำนาจเป็นของประชาชน’ แต่เอาเข้าจริงแล้วในหลักการมันก็ยังไม่ถึงประชาชน)

หากแต่ในสาระสำคัญจะหมายถึงว่า วันที่ประชาชนยังไม่รู้เรื่องการปกครอง ยังไม่รู้เรื่องสิทธิและหน้าที่ ทำให้พระมหากษัตริย์หรือผู้ที่มีอำนาจ ไม่สามารถโยนอำนาจนั้น ๆ ลงไปให้ประชาชนได้ทันที ซึ่งทุกประเทศก็เป็นอย่างนี้ ต้องให้กษัตริย์ ช่วยประคับประคองในช่วงแรกก่อน ซึ่งเรื่องนี้ ส.ศิวรักษ์ ก็น่าจะรู้ดีแหละว่ารัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 เป็นยังไง และก็คงรู้ว่าสาระนั้นก็ไม่ได้มีแค่การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เพราะเมื่อไปดูในรายละเอียดรัฐธรรมนูญของท่าน ยังมีการตั้งสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งอีกด้วย

นอกจากนี้รัชกาลที่ 7 ท่านยังทรงให้นายปรีดีไปร่าง พรบ.เทศบาลและการบริหารท้องถิ่นมาด้วย รู้ไหมเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้เรื่องสิทธิหน้าที่จากล่างขึ้นบน ก็คือ จากหน่วยงานท้องถิ่นเล็ก ๆ ให้ลองเลือกผู้นำของท้องถิ่น เพื่อเรียนรู้สิทธิและหน้าที่ อันเป็นการเรียนรู้ ‘ประชาธิปไตย’ แบบค่อยเป็นค่อยไปด้วย และจากระดับท้องถิ่น ก็ค่อยขยายขึ้นมาเป็นระดับ ตำบล / อำเภอ / จังหวัด และ ระดับประเทศ 

ฉะนั้นการที่ ส.ศิวรักษ์ มาบอกว่ารัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 มีแค่การแต่งตั้งนายกฯ ผมว่ามันก็ตลกเกินไปหน่อย ซึ่งผมก็แอบสงสัยนะว่า การที่ ส.ศิวรักษ์ พูดโกหกแบบนี้ หรือจะเป็นกุศโลบายที่อยากให้คนช่วยออกมาพิสูจน์ความจริงให้หรือเปล่า

>> ส.ศิวรักษ์: รัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 ถูกอ้างจากหนังเรื่องนี้ว่าจะทำให้เกิดการริเริ่มประชาธิปไตย นี่มันประชาธิปไตยจอมปลอม ต่างจากของปรีดีที่เสนอมา อันนั้นเป็นประชาธิปไตยจริง ๆ อย่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเขียนชัดเจนเลยว่า อำนาจทั้งหมดเป็นของราษฎรสยาม แต่จนบัดนี้อำนาจนั้นยังไม่ได้มาเลย ทำไม? เพราะมีคนคิดที่จะทำลายอำนาจรัฐนี้ ให้ถูกถีบ ถูกกระทืบ ถูกโจมตี แม้กระทั่งหนังเรื่องนี้ก็โจมตีด้วย มันไม่เห็นคุณค่าเลยว่าปรีดี พนมยงค์ ต้องการให้อำนาจทั้งหมดกลายเป็นของราษฎรชาวสยาม

>> นายวิวัธน์: มาตรา 1 ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของปรีดีบอกว่า อำนาจสูงสุดนั้น ๆ เป็นของราษฎรทั้งหลาย แต่การบริหารงานของรัฐธรรมนูญฉบับแรกนี้ ก็ยังไม่ได้ให้อำนาจประชาชนอย่างแท้จริง เพราะผมมองว่ามาตรา 1 นี้ เขียนเอาเท่เสียมาก นั่นก็เพราะถ้าอำนาจเป็นของประชาชนทั้งหลายจริง ทำไมเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากเท่าไหร่

ผมอยากให้ ส.ศิวรักษ์ กลับไปดูหลัก 6 ประกาศของคณะราษฎรสักหน่อย ในเรื่องเสรีภาพที่อยู่ในข้อ 5 ซึ่งบอกว่าประชาชนจะต้องมีเสรีภาพ แต่จะต้องไม่ขัดกับหลัก 4 ประการก็คือ มันจะมีหลักด้านความมั่นคง หลักด้านเศรษฐกิจ อันว่าด้วยการออกแบบสมุดปกเหลือง ซึ่งมีจุดหนึ่งที่บอกว่า “ถ้าราษฎรที่เป็นพวกหนักโลก” ตรงนี้สะท้อนรัฐธรรมนูญคณะราษฎรที่มองว่า ‘ราษฎรเป็นคนหนักโลก’ คุณๆ คณะราษฎรทั้งหลายมองคำว่าอำนาจเป็นของประชาชนแบบนี้หรือ

“อำนาจเป็นของประชาชน แต่ประชาชนบางส่วนเป็นคนหนักโลก และต้องเอาคนหนักโลกเหล่านี้มาใช้แรงงานเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ใครเกียจคร้าน ต้องถูกลงโทษ”

ประโยคนี้ คือ อำนาจเป็นของประชาชนหรือ ผมมองว่าอำนาจ มันก็ยังอยู่กับรัฐนะ ดังนั้นนี่คือความย้อนแย้งของรัฐธรรมนูญที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่าดีที่สุดเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้วมันใช่หรือไม่

>> ส.ศิวรักษ์: ผมเองก็เคยเชื่อโฆษณาชวนเชื่อ โดยเฉพาะในเรื่องกรณีสวรรคตนั้น ผมเชื่อเลยว่าปรีดีเกี่ยวข้องทั้งนี้ ผมไปเชื่อ คึกฤทธิ์ ปราโมช จนถึงเชื่อเรื่องคนไปตะโกนในโรงหนังเลยว่าปรีดีฆ่าในหลวง เพราะสมัยนั้นผมเชื่อหนังสือพิมพ์สยามรัฐของ คึกฤทธิ์ มาก แต่สุดท้ายผมก็มารู้ทีหลังว่า คึกฤทธิ์ เป็นคนที่เลวร้าย แต่ว่ามีฝีปากในการเขียนมอมเมาให้คนเชื่อได้ ส่วนหนังเรื่องนี้ ยังเปรียบเทียบกับฝีมือการโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่ได้ครึ่งของคึกฤทธิ์เลย หรือแม้แต่กระทั่งเอาราชาศัพท์มาใช้ ก็น่าจะพิจารณาให้ถูกต้องมากกว่านี้ ไหน ๆ จะทำหนังทั้งที

>> นายวิวัธน์: ประเด็นแรกนะครับ เรื่องการตะโกนในโรงหนัง ผมสงสัยมานานแล้วว่า คุณไปรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนสั่งให้ไปตะโกน ท่านรู้ได้ยังไง? ผมกำลังสงสัยนะ คนที่เค้าไปตะโกนในโรงหนังที่บอกว่าปรีดีฆ่าในหลวงนั้น เขายื่นนามบัตรให้คนในโรงหนังหรือเปล่า ว่าตัวเขามาจากพรรคประชาธิปัตย์ เขาเป็นคนของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือ คนที่ตะโกนว่าปรีดีฆ่าในหลวงบอกเองไหมว่า “ผมเป็นคนของคึกฤทธิ์ ปราโมช” อย่างนี้หรือเปล่า ส.ศิวรักษ์ เห็นหรือว่าเขาคนนั้นพูด มันมีคนยอมรับแบบนั้นด้วยหรือ

ส่วนประเด็นเรื่องคำราชาศัพท์ อันนี้ต้องขอน้อมรับจริง ๆ ว่า ทางทีมเราก็ยังไม่ค่อยเชี่ยวชาญเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วเราต้องการให้บริบทของเรื่องนี้ มันถูกเล่าแล้วคนเข้าใจภาพรวมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง แต่ยังไงก็ขอน้อมรับ และจะนำไปปรับแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น

>> ส.ศิวรักษ์: ผมเตือนสติได้อย่างเดียวนะครับใช้หลักกาลามสูตรพุทธเจ้า อย่าเชื่อทุกอย่าง อย่าเชื่อ ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงถ้าหาเอกสารต่างๆ มาสนับสนุนหรือคัดค้าน เพื่อให้นิสิต นักศึกษา นักเรียน ได้เติบโตแบบไม่ถูกยัดเยียด ไม่ใช่ถูกมอมเมา ซึ่งผมเสียดายไม่น้อยที่ตอนนี้คนกำลังถูกมอมเมา จนถึงขั้นไปโจมตีสถาบันปรีดี มูลนิธิปรีดี

>> นายวิวัธน์: เรื่องหลักการกาลามสูตรหรือการที่จะหาหนังสือหรือข้อมูลมาอ้างอิง หนังเราบอกทุกเล่มนะที่เราใช้เป็นฐานข้อมูลนะ ซึ่งในเครดิตตอนท้าย เราจะมีหนังสือหลายเล่มเลยให้คุณไปศึกษาข้อมูลนะ แต่ประเด็น คือ ส.ศิวรักษ์ วิจารณ์เรา แกก็ไม่ได้ยกหนังสือเล่มไหนมาเลยนะ

สุดท้ายทุกอย่างมันต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ พิสูจน์ด้วยข้อมูลปฐมภูมิ ไม่ใช่ข้อมูลที่คนรุ่นหลังวิพากษ์วิจารณ์โดยที่ไม่ได้เป็นคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ซึ่งเราก็พยายามที่จะใช้ข้อมูลที่เป็นข้อมูลชั้นต้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความคิดเห็นหรือการปรุงแต่งจากคนยุคหลังอยู่แล้ว ดังนั้นหากสงสัยในความเชื่อและความถูกต้องจากในหนัง โปรดไปสืบค้นข้อมูลอ้างอิงในท้ายเครดิตได้เลย 

ส่วนเรื่องการโจมตีสถาบันปรีดี ผมคิดว่าตอนที่หนังออกมาใหม่ ๆ ไม่มีใครไปสนใจสถาบันปรีดีเลยนะ (ร้อนตัว) เพราะเรายังอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันปรีดีมาใช้กับหนังเลยด้วยซ้ำ แต่ที่มันมีประเด็นต้องไปวิพากษ์วิจารณ์สถาบันปรีดี ก็เพราะเนื่องมาจากมีจดหมายหนึ่งที่ทางคุณพิภพ ธงไชย นำมาเสนอ รวมถึงมีผู้หลักผู้ใหญ่ในสถาบันปรีดีได้ออกคลิปที่ค่อนข้างแรงในเชิงใส่ร้ายพวกเราพอสมควร โดยกล่าวหาว่า พวกเรารับเงินกองทัพมาทำหนังแอนิเมชันเรื่องนี้ มีการทำไอโอ แล้วบิดเบือนใส่ร้าย จากนั้นก็ขู่ว่าจะฟ้องเราด้วย 

นี่คือสิ่งที่มีผู้เริ่มกับพวกเรา (คนทำหนัง) ก่อนทั้งนั้น ผมไม่ได้เริ่มอะไรเลย และเอาตามความจริง ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะเคารพและให้เกียรติอาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ อย่างมาก ในฐานะที่ท่านได้สร้างชื่อเสียงกับประเทศในการนำดนตรีไปเผยแพร่ในต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี และผมก็ไม่ได้มองว่า อาจารย์ดุษฎี กับ ปรีดี เป็นคนเดียวกัน พ่อก็ส่วนพ่อ ลูกก็ส่วนลูก แต่เมื่อมีประเด็นใส่ร้ายว่า เราเอาภาษีประชาชนมาทำหนังใส่ร้ายปรีดี ทั้งที่ผมยังไม่ได้ไปกล่าวหาอะไร แบบนี้มันเป็นธรรมกับผมหรือเปล่า ผมก็อยากรู้เหมือนกัน

>> ส.ศิวรักษ์: สื่ออยู่ในมือคุณครับ พูดยังไงก็พูดได้
>> นายวิวัธน์: เฮ้ย!! ตั้งแต่เปิดตัวแอนิเมชันมา สื่อกระแสหลักอย่างช่อง 3 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง NBT หรือสื่ออย่าง The Standard ไม่มีใครมาช่วยโปรโมตให้เราเลยนะ จะมีก็จะเป็น Top News มีผู้จัดการออนไลน์ มี Nation มี THE STATES TIMES มีแนวหน้า มีไทยโพสต์ ที่มาช่วยโปรโมตเพราะประโยชน์ของงานเราให้บ้าง ซึ่งสื่อเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในมือผมนะครับ 

ขณะเดียวกันผมก็ใช้เงินกับสื่อน้อยมาก เช่น ผมบูสต์โพสต์ในเฟซบุ๊ก วันละ 100 บาทเท่านั้น ส่วนใน Google หรือ YouTube หรือ TikTok ก็ไม่ได้บูสต์เลย เพราะเรามีเงินจำกัดมาก ส่วนสื่อต่าง ๆ ที่มาสัมภาษณ์แล้วนำไปลง ผมก็ไม่ได้จ่ายเงินซื้อพวกเขานะ แต่แค่เพราะหนังมันเป็นกระแสแล้ว สื่อก็เริ่มเข้ามา แล้วบางสื่อที่ได้รับชมแอนิเมชันด้วยแล้ว และเขารู้สึกว่ามันมีประโยชน์ เขาก็เริ่มช่วยโปรโมตให้ ซึ่งบางสื่อเราแบบไม่คาดคิดเลยว่า เขาจะกลับมาช่วยโปรโมตให้เราด้วย

>> ส.ศิวรักษ์: ถึงกับตั้งหอประชุมใหญ่ ในกองทัพบก ‘หอประชุมบวรเดช’ ทั้งที่ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นกบฏ ที่พระปกเกล้ายังใช้คำนี้เอง

>> นายวิวัธน์: ที่บอกว่าไปเชิดชูกบฏบวรเดช ในหนังเราไม่ได้เชิดชูนะ แต่ในหนังแสดงให้เห็นว่า พระองค์เจ้าบวรเดช ท่านก็ฝ่าฝืน เพราะว่ารัชกาลที่ 7 ทรงห้ามแล้วว่าอย่าทำ และพระองค์เจ้าบวรเดชเองยังต้องเขียนจดหมายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษด้วยที่ได้ยกทัพมาโดยพลการ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็ทรงห้ามแล้ว และนั่นจึงเป็นเหตุทำให้รัชกาลที่ 7 ต้องทรงหนีไปสงขลา เพื่อไม่ให้ทั้งฝ่ายกบฏและฝ่ายรัฐบาลดึงท่านไปอยู่ร่วม เพราะท่านยืนยันหนักแน่นแล้วว่าจะไม่ยุ่งด้วย ท่านจะขอเป็นคนกลาง ท่านจะไม่เข้ากับฝ่ายไหนทั้งสิ้น

แล้วในส่วนที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่า ทำไมต้องเชิดชูกบฏบวรเดช โดยไปตั้งชื่อหอประชุมนั้น ต้องเรียนแบบนี้ว่า ปรีดี ก็เคยก่อกบฏนะ เป็น ‘กบฏวังหลวง’ หรือคุณจะเรียกเป็นอะไรก็ตาม แต่นั่นก็คือ กบฏที่อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้ากบฏ และในวันนี้ยังมีสถาบันปรีดีได้เลย จะบอกว่ากบฏบวรเดชเป็นสิ่งไม่ดี แต่กบฏวังหลวงเป็นสิ่งดี แบบนี้ก็ได้หรือ ทั้ง ๆ ที่มันก็กบฏเหมือนกันเนี่ยนะ

>> ส.ศิวรักษ์: เอะอะก็เจ้าดีหมด ไพร่เลวหมด คนที่ทำหนังเรื่องนี้ก็เป็นไพร่ มันไม่สำนึกตัวเองเลยว่าควรจะเข้าใจราษฎร

>> นายวิวัธน์: ทําไมไพร่ไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแตกต่างจากคุณหรือ แม้ผมจะเป็นไพร่ แต่ผมก็มองเห็นว่าใครทำประโยชน์ให้กับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไพร่หรือเป็นเจ้า ถ้าใครทำประโยชน์ให้กับประเทศ เราก็สมควรที่จะเชิดชู อย่างพวกคุณก็ไม่ได้เชิดชู อาจารย์เสนีย์ ปราโมช ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ทำประโยชน์ให้กับประเทศ จริงไหม?
>> ส.ศิวรักษ์: พอออกแบบเศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการที่อังกฤษทำหลังสงครามโลกที่สองแล้ว ก็มีการออกกฎหมายคอมมิวนิสต์มาเล่นงานท่านเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์
>> นายวิวัธน์: ไม่ใช่ เรื่องนี้ยังไงก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ของอังกฤษด้วย ผมว่าหลังจากทุกคนที่ได้ดูแอนิเมชันเรื่องนี้แล้ว และก็ไปหาสมุดปกเหลืองอ่าน ก็จะเห็นได้ชัดเจนนะครับว่ามันไม่ใช่
>> ส.ศิวรักษ์: อยากให้คนที่ออกมาว่าปรีดี เรียนรู้จากเด็กรุ่นใหม่ เรียนรู้แบบคนที่ชอบหาข้อเท็จจริง และออกมายืนหยัดเพื่อความถูกต้องดีงาม ไม่เชื่อการมอมเมาจากหนังสวะพวกนี้ครับ

>> นายวิวัธน์: ในอดีตนะครับอาจารย์ปรีดีก็เคยเรียก ส.ศิวรักษ์ ว่า ‘สวะสังคม’ และก็ดู ส.ศิวรักษ์จะภาคภูมิใจกับฉายานี้มากด้วย การที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสวะ ผมก็คิดว่าอาจจะเป็นคำชมก็ได้นะ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

แต่ทั้งนี้ผมก็อยากจะบอกว่า ไม่ต้องเชื่อหนังทั้งหมดหรอก ไปหาข้อมูลที่เราที่สืบค้นได้ ซึ่งตรงท้ายเครดิตของหนังมีบอกไว้หมดแล้ว (กดหยุดแล้วไล่ดูที่มาได้เลย) สามารถไปสืบค้นดูความจริงได้เลย ศึกษาก่อน แล้วอยากคัดค้านหรือแย้ง ก็ย่อมทำได้ เพราะประเทศเราเป็นประชาธิปไตย เราสามารถเห็นต่างกันได้ เหมือนอาจารย์เห็นต่างกับผม อาจารย์ก็ด่าผมได้ อาจารย์ก็วิจารณ์ได้ ส่วนผมก็แค่ทำคลิปนี้เพื่อมาอธิบายว่า ‘อาจารย์วิจารณ์อะไรของอาจารย์วะเนี่ย’ อย่างเช่น กรณีสมุดปกเหลืองเป็นรัฐสวัสดิการเอย หรือ รัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 มีสาระแค่เรื่องตั้งนายกฯ อย่างเดียว เป็นต้น

>> ส.ศิวรักษ์: คนรุ่นใหม่จะต้องรวมตัวกันแล้วเอาชนะทรราชให้ได้
>> นายวิวัธน์: ต่อสู้กับทรราช? มันคนละแนวคิดกับแนวทางของผมนะ เพราะผมมองว่า คนทุกคนล้วนมีประโยชน์ เพียงแต่ทุกคนต้องหันมาหาจุดลงตัว แล้วก็ต้องมาคุยกัน ต้องมาร่วมมือกัน เพราะว่าทุกฝ่ายทุกคนล้วนมีประโยชน์ต่อชาติ ภายใต้ข้อดี จุดเด่นของตัวเอง ที่สามารถนำร่วมมือกันทำงานได้

คำถามคือตอนนี้ ส.ศิวรักษ์ มองใครเป็นทรราช มองฝ่ายอธรรมเป็นทรราชหรือเปล่า อย่างตอนนี้ผมคงรับบทเป็นฝ่ายอธรรมไปแล้ว เป็นฝ่ายอธรรม เพราะผมเอาความจริงมาเล่า แบบนั้นใช่หรือไม่ มันเป็นวิธีของฝ่ายธรรมะแบบพวกคุณหรือ แล้ว ส.ศิวรักษ์ จะต่อสู้กับทรราชด้วยวิธีแบบนั้นหรือ ต้องการสร้างปีศาจตนใหม่ขึ้นมางั้นหรือ คุณรู้ตัวไหมว่าตอนนี้คุณกำลังสร้างปีศาจขึ้นมานะ คุณเองที่กำลังสร้างทรราช แต่บอกคนอื่นห้ามสร้างตัวร้าย

อย่างไรก็ตาม ผมยินดีในการที่ ส.ศิวรักษ์ มาวิจารณ์หนังเรื่องนี้ แต่ขอบอกตามตรงว่า ส.ศิวรักษ์ ไม่ได้เข้าใจแอนิเมชันของเราเลย แล้วก็พูดในสิ่งที่แอนิเมชันเราไม่ได้ทำด้วย

ฉะนั้นใครที่ดูคลิป ส.ศิวรักษ์ แต่ยังไม่ได้ดูแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution’ แนะนำว่าลองไปดูด้วยตัวเองก่อนว่า หนังเรื่องนี้เล่าแบบไหน เพราะบางทีมันอาจจะไม่ได้เล่าแบบที่ ส.ศิวรักษ์ พูดก็ได้ 

สุดท้าย อยากให้ทุกท่านยึดหลักกาลามสูตรตามที่ ส.ศิวรักษ์ กล่าวอ้าง อย่าเชื่อในสิ่งที่ใครมาพูดให้ฟัง โดยเฉพาะอย่าเชื่อในสิ่งที่ ส.ศิวรักษ์ บอก

ขอบคุณครับ

ตำรวจภูธรภาค 8 บูรณาการกำลังร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง ค้น 5 จุดเป้าหมาย จับกุมผู้ต้องหาชาวต่างชาติประกอบธุรกิจหลีกเลี่ยงกฎหมาย พบมีชาวไทยเป็นนอมินี

เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.2567) เวลา 07.00 น. ในพื้นที่ ภ.จว.ภูเก็ต พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.นิพนธ์ พานิชเจริญ รอง ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.ศรัญญู ชำนาญราช รอง ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.สินเลิศ สุขุม ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พล.ต.ต.นภันวุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8 ประชุมชี้แจง 6 ชุดปฏิบัติการ บูรณาการกำลังร่วมกับฝ่ายปกครอง, พานิชย์จังหวัดภูเก็ต, หน่วยงาน ตร.ทท. และ ตม.ภูเก็ต เพื่อเข้าตรวจค้น จำนวน 5 เป้าหมาย เพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ทรัพย์ของกลาง และพบพยานหลักฐานอื่นอันนำไปสู่การสอบสวนขยายผล กรณีบุคคลที่ร่วมกันให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต และการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่เพียงผู้เดียว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย 

จากการสืบสวนบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยลักลอบประกอบอาชีพ หรือประกอบธุรกิจอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย พบพยานหลักฐานและข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า ร้านอาหาร OCTOPUS เป็นที่นัดรวมของชาวต่างชาติเป็นประจำ มีการกระทำอันฝ่าฝืนกฎหมาย โดยกลุ่มบุคคลด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร ดำเนินการประกอบธุรกิจในประเทศไทย  โดยมีคนไทยให้การช่วยเหลือ สนับสนุน  ทำการจดทะเบียนเพื่อจัดตั้งบริษัทฯ กระทำการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนของคนต่างด้าว หรือที่เรียกว่า นอมินี ในคดีนี้ บริษัท วีวีจี อะไลอันซ์ จำกัด ผู้ต้องหา ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มใช้ชื่อร้านว่า “OCTOPUS” ตั้งอยู่ถนนบ้านดอน-เชิงทะเล ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง โดยนางสาวปุณยนุช สัญชาติไทย ผู้ต้องหา และนายวาลาดิสลาฟ สัญชาติรัสเชีย ผู้ต้องหา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ มีผู้ถือหุ้น คือ 1.นางสาวปุณยนุช จำนวนหุ้นที่ถือ 20,400 หุ้น, คิดเป็น 51%  , นายวาลาดิสลาฟ จำนวนหุ้นที่ถือ 9,800 หุ้น คิดเป็น 24.5% , นายวาเลรี จำนวนหุ้นที่ถือ 9,800 หุ้น คิดเป็น 24.5% และนายพาเวล ทำหน้าที่ในการบริหาร ดูแลทางด้านการเงิน และมีอำนาจตัดสินใจแทนผู้ต้องหาที่ 3 

นายวาลาดิสลาฟ  ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน OCTOPUS ที่แท้จริง พยานหลักฐานเชื่อมโยงยังปรากฎ นางสาวปุณยนุช ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและหุ้นส่วนใหญ่ เป็นเพียงนอมินี ของกลุ่มทุนต่างชาติ  มิได้มีอำนาจในบริษัทฯแต่อย่างใด พยานหลักฐานด้านการเงินแสดงให้เห็นว่า บัญชีเงินฝากจากสถาบันการเดินของทางร้าน OCTOPUS โอนต่อไปบัญชีเงินฝาก นายวาลาดิลาฟ ชี้ให้เห็นว่า นายวาลาดิลาฟ คือ เจ้าของร้านและเป็นเจ้าของ บริษัท วีวีจี อะไลอันซ์ จำกัด อย่างแท้จริง มีเงินหมุนเวียนจำนวน 80 ล้านบาท หลังการตรวจค้นทั้ง 5 จุด ยังพบทรัพย์ของกลาง พยานเอกสารของกลาง ที่ต้องพิจารณาเพื่อขยายผลในการสืบสวนสอบสวนต่อไป เชื่อว่ายังไปเชื่อมโยงกับบุคคลอื่นจำนวนหนึ่ง  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top