Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

กมธ.เศรษฐกิจ วุฒิสภา ‘บราซิล’ เสนอร่างกฎหมายทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ด้านเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าไทยจี้เสนอร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองเยาวชน

เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ายกกรณีบราซิลเสนอบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย เพื่อปกป้องผู้บริโภค สร้างงาน และสร้างรายได้ภาษีให้แก่รัฐ หวังคณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าของไทยมองบราซิลเป็นตัวอย่างออกกฎหมายคุมบุหรี่ไฟฟ้าสะท้อนความเป็นจริงในปัจจุบัน เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า กลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) ที่มีผู้ติดตามบนเฟสบุ้คเพจ “บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร” กว่า 100,000 ราย กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของรัฐบาลบราซิล หลังคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจของวุฒิสภาเสนอความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อนและบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย โดยร่างกฎหมายดังกล่าวได้ระบุถึงข้อบังคับในเรื่องของผลิตภัณฑ์ การจัดจำหน่าย รวมถึงฉลากบรรจุภัณฑ์ จากความเห็นของคณะกรรมาธิการ การควบคุมตลาดนั้นมีความจำเป็นเพื่อที่จะปกป้องผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและอาจก่อให้เกิดอันตราย นอกจากนี้ยังเล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างตำแหน่งงานรวมถึงรายได้ภาษีให้แก่รัฐอีกด้วย โดยร่างกฎหมายจะถูกนำส่งไปพิจารณาต่อไปในคณะกรรมาธิการความโปร่งใส ธรรมาภิบาล และคุ้มครองผู้บริโภค และคณะกรรมาธิการกิจการสังคม เพื่อทำการพิจารณาขั้นสุดท้าย ก่อนส่งให้สภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) ต่อไป

“เราอยากตั้งคำถามว่า การแบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไปเท่ากับ กมธ. ของไทยกำลังมองว่าเด็กและเยาวชนจะได้รับการปกป้องคุ้มครองโดยการปล่อยให้บุหรี่ไฟฟ้าอยู่ในตลาดใต้ดินที่ไม่มีการจำกัดอายุการเข้าถึง แทนที่จะมีกฎหมายออกมาควบคุมให้ถูกต้องตามกฎหมายและจำกัดอายุเช่นเดียวกับบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างนั้นจริงหรือ”ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากล่าว

การเคลื่อนไหวผ่านร่างกฎหมายของบราซิลนับเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและสะท้อนความเป็นจริง เนื่องจากกระแสของผู้บริโภคทั่วโลกที่กำลังเบนไปทางบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านสังคมหรือสุขภาพก็ตาม ล้วนเป็นกระแสที่ต้านไม่ได้ ส่วนในไทยวันนี้การใช้บุหรี่ไฟฟ้านั้นเกินกว่าจะแบนต่อไปได้แล้ว รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินการหาวิธีควบคุมให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อไม่ให้มีปัญหาในเรื่องของมาตรฐาน ความปลอดภัยของสินค้า การเข้าถึงของเด็กและเยาวชน ข้อกำหนดในการใช้งาน หรือกระทั่งการจัดเก็บรายได้ภาษีเข้ารัฐ การดำเนินการของบราซิลนับเป็นการก้าวตามแนวทางของอีกกว่า 80 ประเทศทั่วโลก หลังจากบราซิลเป็นหนึ่งในเพียง 30 กว่าประเทศที่ไม่ยอมรับบุหรี่ไฟฟ้ามานานหลายปี

ตัวแทนเครือข่ายยังได้กล่าวเสริมว่า “ในขณะนี้คณะอนุกรรมาธิการพิจารณามาตรการด้านกฎหมายเพื่อควบคุมกำกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังเดินหน้าประชุมและเชิญผู้เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูล เพื่อพิจารณาแนวทางการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าใประเทศไทย โดยทางเครือข่ายก็คาดหวังว่า กมธ. จะเสนอร่าง พ.ร.บ. ใหม่มาควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อคุ้มครอง เยาวชน ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเกือบ 1 ล้านราย และผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทยอีกกว่า 9.9 ล้านราย รวมทั้งประชาชนทั่วไปอีกด้วย”

'รัดเกล้า' เผย ‘ไทย-จีน’ เตรียมศึกษาวิจัยด้าน ‘อวกาศ’ ร่วมกัน ผลักดันขีดความสามารถบุคลากร สู่การสร้างเทคฯ อวกาศฝีมือคนไทย

(4 เม.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเรื่องน่ายินดี การศึกษาวิจัยด้านอวกาศของประเทศไทยก้าวไปสู่อีกขั้น โดยล่าสุด ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบสองวาระ ที่จะช่วยส่งเสริมให้คนไทยไปได้ไกลกว่าแค่ชั้นบรรยากาศโลก โดยที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ และร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน เพื่อเป็นการวางรากฐานความร่วมมือในการร่วมสร้างสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ การสำรวจและใช้ประโยชน์จากอวกาศ และอวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ รวมถึงดวงจันทร์และวัตถุในท้องฟ้าอื่น ๆ ซึ่งไทยจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายความร่วมมือด้านการสำรวจอวกาศเพื่อนำไปสู่การพัฒนากำลังคนในสาขาที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งการประยุกต์ใช้อวกาศเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และกระชับความร่วมมือไทย - จีนในด้านอวกาศอย่างยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนากำลังคนและพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศของไทยต่อไป

ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ว่า ตลาดอุตสาหกรรมอวกาศทั้งโลกในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทคโนโลยีอวกาศแม้จะดูเหมือนไกลตัว แต่แท้จริงแล้วอยู่ในรอบตัวชีวิตประจำวัน อาทิ ด้านการติดต่อสื่อสาร แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และความร่วมมือจากหลายฝ่ายนำองค์ความรู้ ความสามารถและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ มาร่วมทำงานให้เกิด ผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม

“ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเทคโนโลยีอวกาศเป็นไปเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร รวมถึงยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงในประเทศ โดยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือที่ช่วยพัฒนากำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศน์สำหรับพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอวกาศของประเทศให้เกิดขึ้นต่อไปได้อย่างยั่งยืน สู่การสร้างเทคโนโลยีดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทยในอนาคต” นางรัดเกล้า กล่าว

‘เด็กหญิงชาวสงขลา’ ก้มกราบพระบาท ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ พร้อมเล่าขณะเข้าเฝ้า ครั้งหนึ่งได้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์

(4 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม’ ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความเกี่ยวกับ ‘น้อง นร. สุดยอดเยาวชน’ ควรดูไว้เป็นแบบอย่างที่ควรทำตาม ระบุว่า…

“#ซาบซึ้ง! ‘น้อง นร. สุดยอดเยาวชน’ ควรดูไว้เป็นแบบอย่าง ที่ควรทำตาม

...วันพุธ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทรงเปิด ‘การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๔๒’ พร้อมทั้งทรงฟัง ‘ปาฐกถาพิเศษของนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล’ ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ลาดพร้าว

...หลังจากทรงฟังบรรยายเสร็จแล้ว ก็จะมี ‘นิทรรศการโครงงานวิทยาศาสตร์’ ที่ ‘นักเรียนระดับชั้นมัธยมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ’ มานำเสนอผลงานให้ทรงทอดพระเนตร

...ซึ่ง ‘บูธนิทรรศการของโรงเรียนสทิงพระวิทยา จ.สงขลา’ น้องนักเรียนผู้หญิงชื่อบุปผา ได้ถวายรายงานจนจบ ต่อจากนั้นได้หันไปหยิบ ‘เอกสารฉบับหนึ่ง’ แล้วกราบบังคมทูล ‘สมเด็จพระเทพรัตนฯ’ ว่า ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ‘เอกสารใบส่งตัวคนไข้’ พร้อมทั้งลงไปกราบพระบาท แล้วเล่าถวายว่า "เธอคือเด็กผู้หญิง ที่ถูกน้ำมันในตะเกียงไฟลวกหน้าและลำตัวตั้งแต่ อายุ ๖ เดือน"

...ตอนอายุได้ ๒ ขวบ ‘สมเด็จพระเทพฯ’ ได้เสด็จฯ ไปจังหวัดสงขลา แล้ว ‘แม่ของน้องบุปผา’ ได้เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จ และขอพระราชทานความช่วยเหลือที่หน่วยแพทย์

...ซึ่งท่านได้ ‘ทรงรับเด็กหญิงคนนี้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์’ เมื่อราว ๆ ๑๖ ปีก่อน ทำให้เธอได้รับ ‘การรักษาจนอาการดีขึ้น’ ถึงแม้จะมี ‘แผลเป็นบนใบหน้า’ โดนเพื่อนล้อต่าง ๆ นานา เธอก็ตั้งใจเรียนโดยไม่ย่อท้อ เพื่อวันหนึ่งจะมีโอกาส ‘ได้เข้าเฝ้าฯ กราบพระบาทสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่แม่เธอเคยสอนไว้’

...ซึ่งวันนี้ เธอทำสำเร็จแล้ว! น้องบอกกับพระองค์ท่านว่าตั้งใจเรียน ‘ได้ที่หนึ่ง’ มาตลอด แล้วอยากตอบแทนสังคมด้วยการเป็น ‘คุณครู’ ตอนนี้ ‘สอบตรงมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์’

...ท่านรับสั่งว่า "ขอให้ตั้งใจ! ถ้าสอบได้! จะพระราชทานทุนให้เรียนจนจบ" โห!! น้องน้ำตาท่วมก้มลงไปกราบอีกรอบ ทุกคนรอบข้างนี่! น้ำตาไหลกันหมด…”

Otto Manu

'ต่างชาติ' อึ้ง!! สัญญาณ 5G ของไทยสุดครอบคลุม  ทั่วถึงทุกพื้นที่ 'บนภูเขา-กลางทะเล' ก็ยังมีสัญญาณ

(4 เม.ย.67) เป็นไวรัลที่ถูกพูดถึงไม่น้อย เมื่อผู้ใช้ X รายหนึ่งได้โพสต์รูปแผนที่สัญญาณ 5G ของเอเชีย หากพื้นที่ใดปรากฏจุดสีม่วงมากแสดงว่ามีสัญญาณ 5G ครอบคลุม

ผลลัพธ์คือนอกจาก สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ไทยยังเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีสัญญาณ 5G ครอบคลุม ขึ้นจุดสีม่วงโดดเด่นออกมาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว กัมพูชา และเมียนมา ทำเอาทางเจ้าของโพสต์ถึงกับเอ่ยชมว่า ‘สัญญาณ 5G ของไทยนั้นบ้าไปแล้ว’

ซึ่งโพสต์ครั้งนี้ถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวางทั้งชาวไทยและต่างชาติ สำหรับชาวไทยแล้ว บ้างก็รู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตไทยยังช้าอยู่ บ้างก็ร่วมแชร์ประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตไทยที่สุดแสนจะครอบคลุม แม้แต่ในน้ำ กลางทะเล ก็ยังมีอินเทอร์เน็ตให้เล่น

นอกจากนี้ยังมีชาวเน็ตจากประเทศอาเซียนจำนวนมากที่แห่เข้ามาคอมเมนต์ โดยเฉพาะชาวอินโดนีเซีย เพราะต่างรู้สึกอิจฉาที่ไทยมีสัญญาณ 5G ครอบคลุม แตกต่างจากประเทศพวกเขาที่พบในบางพื้นที่เท่านั้น

“อินโดนีเซียทำไม่ได้หรอก”, “อินโดนีเซียก็ทำได้แค่ฝัน โดยเฉพาะตรงเกาะสุมาตรา ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉันไม่เคยเห็น 5G แบบนี้บนหน้าจอโทรศัพท์ของฉันเลย แม้จะมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย สามารถรองรับ 5G ได้มากแค่ไหนก็ตาม”, “อินโดนีเซียล้าหลังไปตลอดกาล 555 ฉันอาศัยอยู่ในกาลิมันตัน 4G ของเรายังรู้สึกเหมือน 3G เลย”, “เห็นความต่างของอินเทอร์เน็ต ตอนที่ฉันเดินทางจากพะเยากลับมาเลเซีย ฉันเลยคิดว่าอยากไปอยู่พะเยาแทน”

‘ทุเรียนเวียดนาม’ มาแรง!! คว้าส่วนแบ่ง 31.8% ‘ตลาดจีน’ เตรียมพุ่งสูง เป้าหมาย หลังรองจาก ‘ไทย’ 68% เท่านั้น

(4 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม รายงานว่า ทุเรียนเวียดนามครองส่วนแบ่งตลาดในจีนสูงถึงร้อยละ 31.8 ซึ่งเป็นรองจากทุเรียนไทย ร้อยละ 68 เท่านั้น

โดย กระทรวงฯ ระบุว่า ทุเรียนเวียดนามสามารถเพิ่มส่วนแบ่งดังกล่าวจนแซงหน้าทุเรียนไทยและครองตลาดจีน หากเวียดนามพยายามใช้โอกาสและข้อได้เปรียบให้ดี รวมถึงจัดเตรียมการผลิตอย่างมืออาชีพ

ปัจจุบันเวียดนามมีสวนทุเรียน 708 แห่ง และโรงงานบรรจุหีบห่อทุเรียน 168 แห่ง ซึ่งดำเนินการส่งออกทุเรียนสู่ตลาดจีนภายใต้การอนุมัติจากสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีน

ทั้งนี้ สวนทุเรียนทั้งหมดของเวียดนามครอบคลุมพื้นที่ 112,000 เฮกตาร์ (ราว 7 แสนไร่) และสร้างผลผลิตรายปีสูงถึง 863,000 ตัน

เวียดนามส่งออกทุเรียนสู่จีนเป็นหลัก โดยปริมาณการส่งออกสู่จีนในปี 2023 สูงถึง 595,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 98.6 ของการส่งออกทุเรียนทั้งหมด

‘แฟนข่าวโหนกระแส’ ชม ‘ทนายปลาย’ น่ารัก-น้ำเสียงดี-พูดน่าฟัง ฟาก ‘หนุ่ม กรรชัย’ ถึงขั้นเอ่ยปากอยากเชิญมาร่วมรายการตลอด

หลังกลายเป็นดราม่าขึ้นมา เมื่อ ‘แม่ปูนา แม่ค้าปูดอง-อ่องมันปู’ ติดป้ายทวงหนี้ ‘จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม’ ตลกดัง หลังทำของให้ตลกดังไปขาย แต่กลับไม่เคยได้เงิน ติดตามทวงเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้ จนต้องไปติดป้ายทวงเงินกลางห้างดัง

ก่อนหน้านี้ ทั้งแม่ปูนา และจั๊กกะบุ๋ม มาออกรายการโหนกระแส ดำเนินรายการโดย หนุ่ม กรรชัย ระหว่างออกรายการจั๊กกะบุ๋มเล่าที่มาที่ไปของหนี้ พร้อมระบุตอนนี้ต้องใช้หนี้รายวัน ถึงวันละ 40,000 บาท แถมยังบอกว่าตอนนี้คำว่าไม่มีไม่หนีไม่จ่าย เหมือนเป็นแบรนด์โลโก้ของตัวเองไปแล้ว

ไม่จบแค่นั้น เมื่อรอบนี้ แม่ปูนา โดนขุดและกล่าวหา อ้างว่าแม่ปูนาก็เป็นหนี้จากการขายมันปูและปูเช่นกัน ทำให้รายการโหนกระแส ดำเนินรายการโดย หนุ่ม กรรชัย เชิญ แม่ปูนา มาชี้แจงปมร้อนนี้แบบเคลียร์ชัด ๆ ในรายการ

โดยการดำเนินรายการ ตอนแรกมีทนายเจมส์ มาร่วมแสดงความคิดเห็นทางข้อกฎหมายในกรณีนี้ แต่เนื่องจากทนายเจมส์ติดธุระ เลยต้องขอตัวจากรายการไปก่อน

ทำให้ทนายไพศาล ส่งทีมงานทนายความมาร่วมรายการ เป็นทนายสาวชื่อ ‘ทนายปลาย เอมมิกา สุดพันธ์’ เมื่อแฟนรายการได้เห็นทนายสวยหน้าใส เสียงหวาน ถึงขนาดหนุ่ม กรรชัย ยังบอกต่อไปจากนี้จะเชิญทนายปลายมาออกรายการตลอด

จากนั้นหนุ่ม กรรชัย ถามเคยออกทีวีหรือไม่ และเขินมั้ย ทนายปลายจึงตอบว่า ไม่เคยออกทีวี และเขินนิดนึง

เช่นเดียวกับแฟนรายการที่เข้ามาคอมเมนต์กันแบบรัว ๆ เพราะเพียงแค่ทนายปลายพูดแค่ว่า “สวัสดีค่ะ” คนก็แห่เข้ามาคอมเมนต์กันสนั่นว่า “พูดดีมากเลย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ทนายปลาย เอมมิกา ปัจจุบันเป็นหนึ่งในทีมทนายความของ ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ โดยเพิ่งจบจากสำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพิ่งรับปริญญาไม่นานมานี้

‘ก.พลังงาน’ ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บ./ลิตร ถึง 19 เม.ย. ย้ำ!! หากมีการปรับขึ้นราคา จะควบคุมไม่ให้ขึ้นพรวดในครั้งเดียว

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าขณะนี้กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างหารือเพื่อพิจารณาแนวทางดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศในรูปแบบต่าง ๆ อย่างเต็มที่ แต่หากไม่มีเงินเข้ามาสนับสนุน ก็จำเป็นต้องปล่อยให้ดีเซลปรับขึ้นไปเกิน 30 บาทต่อลิตร แต่จะเป็นการทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได โดยค่อย ๆ ลดการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศให้สอดคล้องกับราคาตลาดโลกมากขึ้น ที่สำคัญต้องกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด

“แต่การทยอยปรับราคาดีเซลขึ้นจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่คนเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงวันหยุดยาวนี้แน่นอน เพราะเห็นใจประชาชนที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงในการเดินทาง”

ทั้งนี้ ‘สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ จะยังช่วยอุดหนุนราคาดีเซลไปก่อนในอัตรา 4.57 บาทต่อลิตร ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ให้กองทุนอุดหนุนดีเซลเพิ่มเติมอีก 40 สตางค์ต่อลิตร จากก่อนหน้านี้อุดหนุนอยู่ 4.17 บาทต่อลิตร แม้มาตรการตรึงราคาดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตามนโยบายของรัฐบาล จะสิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา แต่กองทุนน้ำมันฯ ยังคงอุดหนุนราคาดีเซลด้วยตัวกองทุนน้ำมันฯ เองมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดภาษีสรรพสามิตดีเซลที่จะสิ้นสุดวันที่ 19 เม.ย.2567 ช่วยอยู่อีก 1 บาทต่อลิตร จากที่ต้องเก็บเต็มอัตรา 5.99 บาทต่อลิตร แต่นับตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.2567 จะเป็นอย่างไร ต้องมาลุ้นกันอีกที ซึ่งหากไม่มีมาตรการใด ๆ เข้ามาอุดหนุนเลย ราคาดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ 35-36 บาทต่อลิตร แต่ยืนยันว่ากองทุนน้ำมันฯ จะดูแลไม่ให้ปรับขึ้นพรวดพราดครั้งเดียวแน่นอน

ปัจจุบัน ณ วันที่ 4 เม.ย.2567 จะเห็นว่าราคาพรีเมี่ยมดีเซล B7 ที่ใช้เติมในรถยนต์ราคาแพง ได้เริ่มปรับขึ้นแล้ว 40 สตางค์ต่อลิตร อยู่ที่ 41.94 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล B7 B10 และ B20 ยังคงอยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตร

โดยกองทุนได้เข้าอุดหนุนในอัตรา 4.57 บาทต่อลิตร ไม่ให้ราคาดีเซลเกิน 30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ฐานะกองทุน ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 มีสถานะติดลบ 99,821 ล้านบาท เป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 52,729 ล้านบาท และบัญชีก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ติดลบ 47,092 ล้านบาท

รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและกลุ่มแก๊สโซฮอล์ในประเทศในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค.-4 เม.ย. 2567 ปรับขึ้นต่อเนื่อง 5 ครั้ง เป็นเงิน 2.10 บาทต่อลิตร ตามทิศทางตลาดโลก โดยเฉพาะราคาน้ำมันเบนซินและกลุ่มแก๊สโซฮอล์ ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซินปรับขึ้นอยู่ที่ 47.84 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 38.48 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 39.95 บาทต่อลิตร E20 อยู่ที่ 37.84 บาท/ลิตร E85 อยู่ที่ 37.59 บาทต่อลิตร พรีเมี่ยม แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 47.64 บาทต่อลิตร

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2567 ณ วันที่ 5 ม.ค.4 เม.ย. 2567 ราคาน้ำมันเบนซินปรับขึ้นแล้ว 15 ครั้ง เป็นเงิน 6.10 บาท ขณะที่มีการปรับลดลง 4 ครั้ง เป็นเงิน 1.40 บาท ดังนั้น ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินปรับขึ้นสุทธิ 4.70 บาท

'มูลนิธิพระราหู' มอบ 1 แสน ช่วยครอบครัว ‘อดีต ผกก.ลาดยาว’ ที่เสียชีวิต หวังเป็นทุนการศึกษาแก่บุตรและค่าครองชีพของครอบครัวต่อไป

(4 เม.ย 67) พ.ต.อ.นครพัฒน์ พรหมพันธุ์ ที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิฯ ได้มอบทุนการศึกษาและค่าครองชีพในการดํารงชีวิตกับทางมูลนิธิ ให้กับ นางอมรรัตน์ กิจโสภณไพศาล และครอบครัว ภรรยา พ.ต.อ.วัฒนกิจ เฉลาประโคน อดีต ผกก.สภ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ ที่เสียชีวิตกะทันหัน เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 66 ขณะเข้ามาประชุมที่สโมสรตำรวจ ร่วมกับข้าราชการตำรวจอื่น เพื่อตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสถิติการดำเนินคดีกับคนต่างด้าว

ขณะนั้นพ.ต.อ.วัฒนกิจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ปกติในห้องประชุม จู่ๆ ก็เกิดอาการวูบหมดสติ เพื่อนๆ พยายามช่วยทำซีพีอาร์แต่ไม่เป็นผล ก่อนนำตัวส่ง รพ.วิภาวดี ช่วยเหลือปั๊มหัวใจนานเกือบ 1 ชั่วโมง และเสียชีวิต ส่วนสาเหตุคาดว่าพักผ่อนไม่เพียงพอก่อนหมดสติและเสียชีวิต

ทางมูลนิธิพระราหู ทราบเรื่อง ว่าทางครอบครัวประสบปัญหาในการดำรงชีวิตประจำวัน เนื่องจากผู้เสียชีวิตเป็นหลักในการดูแลครอบครัว ทางมูลนิธิ พระราหู จึงได้มอบทุนการศึกษาบุตรและค่าครองชีพจำนวน 100,000 บาท ให้กับทางครอบครัวของ พ.ต.อ.วัฒนกิจ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และจะพิจารณาให้ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่องต่อไป

โดยนางอมรรัตน์ ได้กล่าวขอบคุณ มูลนิธิพระราหู เป็นอย่างสูงหลังจาก พ.ต.อ.วัฒนกิจ สามีเสียชีวิต ที่ถือว่าเป็นเสาหลักของครอบครัว เพราะตัวเองเป็นแม่บ้าน ต้องดูแลบุตรอีก 2 คนที่กำลังศึกษาอยู่

'ชวน' สะบัดใบมีดโกน กรีด 'ทักษิณ' เลือดสาด ชี้!! หายป่วยเป็นเรื่องดี จะได้มารับกรรมที่ทำไม่ดีไว้

(4 เม.ย.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2

โดย นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า ต้องขอชี้แจงก่อนว่าที่ตนลุกขึ้นมาอภิปราย ไม่ใช่ว่าประสงค์จะพูดเพื่อให้เห็นใจ เพื่อที่เที่ยวหน้าจะได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้น แต่อยากให้ประชาชนติดตามรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา ประชาชนเลือกอย่างไรมา เราก็จะได้ผู้แทนอย่างนั้น และจะมีรัฐบาลอย่างนั้น ถ้าเราเลือกคนซื้อเสียง เลือกคนโกงมา เราจะได้รัฐบาลโกง เพราะเสียงข้างมากมาจากสภาผู้แทนราษฎร

นายชวน อภิปรายถึงเรื่องราคายางพารา ว่า ตนโตมากับสวนยาง และรู้สึกดีใจที่เรายากลำบากมากับยางพารามาก เพราะราคาตกมาหลายปี ตนเป็นหนึ่งในคนที่ดิ้นรนในเรื่องนี้มากกว่าทุกคน เรียกร้องไปยังรัฐบาลทุกชุด เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาราคาปัญหายางฯ ตกต่ำ แต่ขณะนี้มีคนปลูกยางแล้ว 69 จังหวัด กว่า 1,700,000 ครัวเรือน เมื่อวันนี้ราคายางฯ ขึ้น ก็เป็นเรื่องน่าดีใจ ตนขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยสนับสนุน แต่ว่าราคายางฯที่ขึ้น มันอยู่ที่อุปสงค์อุปทาน หรืออยู่ที่การควบคุมโดยการตรวจจับยางฯ เถื่อน ถ้าเป็นจริงได้อย่างนี้ก็ดีมาก

"แต่ในโลกความเป็นจริงของยางพารา วันหนึ่งเมื่อการเปลี่ยนแปลงไป ผลผลิตยางอาจจะเพิ่มขึ้น และวันหน้าเมื่อยางราคาตก รัฐบาลก็จะโดนตำหนิอย่างหนักว่าหลอกชาวบ้านว่าปราบยางเถื่อนแล้วยังจะราคาขึ้นตลอดไป ตรงนี้คือสิ่งแรกที่อยากจะให้รัฐบาลทบทวนความเข้าใจโดยเฉพาะชาวสวนยางทั่วประเทศ" นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวต่อว่า ตนมีคำถามไปยังนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1.ราคายางฯ จะดีอย่างนี้ตลอดไปใช่หรือไม่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ อุปทานในอนาคต 2.โดยความเชื่อส่วนตัว เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น คืออุปสงค์ อุปทาน ไม่ต้องสมมติว่าวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อมันเปลี่ยนแปลงด้วยผลผลิตและความต้องการที่ทำให้ยางราคาตกลงรัฐบาล รัฐบาลมีแนวทางป้องกันหรือไม่ ว่าราคายาง ต้องให้ราคาที่ชาวบ้านอยู่ได้ด้วยราคาไม่ต่ำกว่าเท่าไหร่ รัฐบาลที่แล้วมีประกันรายได้โดยกำหนดราคายางดิบกิโลกรัมละ 60 บาท หากต่ำกว่า 60 บาท จะมีการชดเชยใช้เงินเป็นหมื่น ๆ ล้าน ตนจึงฝากสองคำถามเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นกับชาวสวนยางทั่วประเทศ

"เมื่อนายกรัฐมนตรีมีความเห็นต่างออกไปโดยเชื่อว่าการปราบยางเถื่อน นั้นคือเหตุผลที่ทำให้ยางราคาขึ้น ผมเชื่อว่าความเชื่อนั้นน่าจะไม่รอบคอบ น่าจะผิดพลาด เพราะจริง ๆ ถึงอย่างไรก็หนีความจริงในทางเศรษฐศาสตร์ไปไม่พ้นคืออุปสงค์อุปทาน" นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวต่อว่า ขณะที่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ปัญหาภาคใต้ต้องเป็นปัญหาที่ห่วงใยชีวิตไม่ว่าจะทั้งชาวไทยพุทธ หรือมุสลิม เราอยากจะรู้ว่า เหตุเป็นอย่างไร หรือรุนแรงอย่างไร ต้องดูข่าวพระราชสำนัก เพราะเราเห็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นตัวแทนพระองค์ไปมอบสิ่งของ ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ในหลวงไม่ทรงทอดทิ้ง บรรดาพี่น้องประชาชนทั้งชาวพุทธ ชาวมุสลิม และข้าราชการทุกระดับที่ต้องเสี่ยงต่อชีวิตและต้องสูญเสียอยู่ตลอด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่จากเมื่อปี 2544 ที่รัฐบาลสมัยนั้นปกครองอยู่ มีนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภาคใต้ด้วยวิธีการจัดการเพียง 12 เดือนก็หมด พูดง่ายๆ คือ ฆ่าทิ้งซะ ด้วยความเชื่อว่ามีหัวโจกไม่เกิน 17 - 18 คน แต่มาถึงปัจจุบันนี้ เหตุการณ์ไม่ได้จบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องหยิบยกขึ้นมาว่า ถ้าชีวิตคนมีค่าต้องทบทวนโดยละเอียดว่าเราจะมีมาตรการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไรในพื้นที่ที่เป็นด้ามขวานของเรา

"หากไม่มีเหตุร้ายนั่นคือด้ามขวานทองของเรา แต่เพราะความไม่สงบจึงทำให้ที่นั่นมีข้อแม้ ชาวบ้านก็รายได้ตกต่ำกว่าที่อื่น แต่ถ้ารัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนว่าเราจะทำอะไรก็ตามในทางที่จะป้องกัน เชื่อว่าจะทำให้ปัญหาในภาคใต้ดีขึ้น" นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการก่อเหตุในพื้นที่เกือบ 50 ครั้ง นายกฯ ให้สัมภาษณ์ในวันต่อมาว่า รับทราบ แต่เหตุการณ์ดีขึ้น และได้โทรศัพท์ไปหา นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จึงอยากถามนายกฯ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายใน หรือเรื่องระหว่างประเทศ และขอถามว่านายกฯ มาเลเซีย แนะนำ หรือเสนออย่างไรบ้าง

นายชวน กล่าวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ตนขอชื่นชมผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ท้วงติงนโยบายดังกล่าว เพราะผู้ว่าฯ ธปท.ไม่ใช่นักการเมือง จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องคะแนนเสียง แต่เป็นความคิดที่หวังดีกับประเทศชาติ

นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนนายกฯ เมื่อเป็นนายกฯ อย่าคิดว่าไปลงพื้นที่แล้วต้องถามว่า มี สส.เพื่อไทย อยู่หรือไม่ แต่เป็นหน้าที่นายกฯ ต้องไป อย่าทวงบุญคุณ เพราะคือหน้าที่ นายกฯ อยู่แล้ว ที่นายกฯ เคยบอกว่ามีผู้นำบางคนพูดว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยให้ความสำคัญกับภาคใต้ นายกฯ ไปเอามาจากไหน ตนไม่เคยพูด ตนพูดในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ว่าภาคใต้ถูกเลือกปฏิบัติ คนที่เลือกปฏิบัติเขาไม่ได้ทำโดยแอบทำ แต่เขาพูดตรงไปตรงมาว่าเมื่อเราได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเรา ก่อนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง ถ้านายกฯ ไม่รู้ว่าคนที่พูดคือใคร ตนจะบอกให้ว่าคนที่พูดคือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนายทักษิณ ไม่ได้แอบพูด แต่ประกาศตรง ๆ นี่คือการเลือกปฏิบัติ

ทำให้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ขอความกรุณาอย่าเอ่ยถึงคนนอกที่ไม่มีสิทธิ์ชี้แจง เพราะเรื่องนี้กระทบกับคนนอก ขอให้ระมัดระวัง ที่เอ่ยชื่อถึงอดีตนายกฯ ในทางเสียหาย ว่าพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการเลือกปฏิบัติ ซึ่งไม่เป็นความจริง ขอให้อภิปรายอยู่ในกรอบการพิจารณาของเรา โดย นายชวน จึงตอบกลับว่า "ไม่มีใครอยู่ในกรอบเท่าผม"

จากนั้น นายชวน จึงกล่าวต่อว่า ตนขอชี้แจงต่อนายกฯ ว่า นายกฯ เข้าใจผิด ตนไม่เคยพูดว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยให้ความสำคัญกับภาคใต้ แต่ตนพูดว่าภาคใต้ถูกเลือกปฏิบัติ และขอความเป็นธรรมให้กับภาคใต้ และขอให้ชดเชยให้ ตนไม่ใช่คนที่พูดพล่อย ๆ หรือบ้าน้ำลายรายวัน พูดอะไรต้องเป็นเรื่องจริง และรับผิดชอบ

นายชวน กล่าวด้วยว่า ส่วนนโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ว่า จะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นที่ยอมรับกับนานาประเทศ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากกรณีนักโทษ การที่คนป่วยหายป่วย เป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าใครก็ตาม เขาจะได้มีชีวิต เป็นขวัญใจให้กับลูกหลานต่อไป จะได้มีโอกาสมาชื่นชมผลงาน และรับกรรมที่ทำไม่ดีเอาไว้ ขณะที่เรื่อง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ปี 2560 ไม่ว่าจะออกในสมัยใด ตนไม่ตำหนิ แต่ปัญหามันมีเพียงว่าแต่ละข้อได้มีการปฏิบัติตามนั้นหรือไม่ นี่คือประเด็น และรัฐบาลซึ่งเป็นตัวหลักที่จะทำให้นิติธรรมเกิดขึ้น แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ให้กฎเกณฑ์กติกาความถูกต้อง ความเสมอภาค ความชอบธรรม หรือการไม่เลือกปฏิบัติเกิดขึ้น

"คำถามคือ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น รัฐบาลจะดำเนินการกับ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับคนป่วย แต่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แต่หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ รัฐบาลที่เป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่รัฐ จะดำเนินการอย่างไร ผมคิดว่าเราจะให้ประชาธิปไตยไปได้ดี ไม่ว่าฝ่ายใด ต้องเคารพกฎหมายบ้านเมือง ถ้าเราเลือกปฏิบัติความสุขของประชาชนไม่เกิดขึ้น ที่ผมพูดเรื่องนี้ เพราะมีสิ่งที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต้องยอมรับคือถ้าเราต้องการให้ประชาชนของเรามีความสุข เราต้องทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น ถ้าเราไม่รักษาความยุติธรรมความสุขของประชาชนไม่เกิดขึ้น คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวของในหลวงที่เคยรับสั่งไว้" นายชวน ระบุ

‘เอกนัฏ’ ติงฝ่ายค้านหยุดพาดพิงกระทบ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ชี้!! บุคคลภายนอกแจงไม่ได้ ยัน!! ไม่สมควรอย่างยิ่ง

(4 เม.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ลุกขึ้นทักท้วงการอภิปรายของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายถึงบุคคลภายนอกพาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ถือว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งมีการนำสไลด์มาฉาย ก็เป็นการพาดพิงไม่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นบุคคลภายนอกไม่สามารถมาชี้แจงในสภาฯ ตามที่ถูกพาดพิงได้

ทั้งนี้ ขอให้อภิปรายในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้ ถ้าจะถามถึงนายกรัฐมนตรีปัจจุบันให้เข้าประเด็นไปเลย และถามนายเศรษฐา ทวีสิน อย่าพาดพิงบุคคลภายนอก แต่ถ้าพาดพิงถึงรัฐมนตรีท่านไหนไม่ว่า จะเป็น น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม หรือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เดี๋ยวท่านสามารถมาชี้แจงได้ ไม่เช่นนั้นไม่ยุติธรรม

ขณะที่ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้ประท้วงผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมให้วางตัวเป็นกลาง เพราะได้วินิจฉัยไปแล้วไม่ให้มีการพาดพิงถึงบุคคลภายนอกตามที่ นายเอกนัฏ ได้ทักท้วง แต่ประธานในที่ประชุม ยังปล่อยให้มีการอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอก ที่ไม่สามารถมาชี้แจงได้

อย่างไรก็ตาม การประท้วงดังกล่าว ทำให้ประธานในที่ประชุมได้กล่าวตักเตือนฝ่ายค้าน ไม่ให้อภิปรายถึงบุคคลภายนอกตามที่มีการท้วงติง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top