Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

'อ.อุ๋ย-ปชป.' ยก รธน.มาตรา 211 ชี้!! คําวินิจฉัยศาล รธน.เด็ดขาด-ผูกพันรัฐสภา พรรคที่ล้มล้างการปกครองไม่มีสิทธิเข้าสภาประชุมใดๆ แม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อไม่นานมานี้ นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงมุมมองทางกฎหมาย ว่า...

รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 211 ว่าคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเด็ดขาดและผูกพันรัฐสภาด้วย 

ดังนั้นไม่ต้องรอให้ยุบพรรคหรอก เพราะพรรคที่ล้มล้างการปกครองไม่มีสิทธิเดินเข้าสภาอันทรงเกียรติเพื่อประชุมใด ๆ ทั้งสิ้นแม้แต่วินาทีเดียว 

เพราะตามคําปรารภของข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 เขียนไว้ชัดเจนว่า สมาชิกรัฐสภาต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และธํารงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ดังนั้น หากท่านวันนอร์ ในฐานะประธานรัฐสภา ซึ่งต้องผูกพันตามคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังปล่อยให้ สส.จากพรรคที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่ากระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เข้าสภามาใช้อํานาจนิติบัญญัติต่อไป 

จะเท่ากับว่าท่านสนับสนุนให้กลุ่มคนที่กระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เข้ามาใช้อํานาจนิติบัญญัตินะครับ และจะกลายเป็นว่า ประธานรัฐสภาเป็นผู้ทําผิดข้อบังคับเสียเอง ฝากไว้ให้คิด

'สมศักดิ์' งง!! 'ก้าวไกล' ยกโคแสนล้านมาแฉ ทั้งที่ตนยังไม่เคยทำโครงการวัวใดๆ มาก่อน

เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.67) ที่รัฐสภา ในการอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ช่วงการอภิปรายของ นายคริษฐ์  ปานเนียม สส.ตาก พรรคก้าวไกล ได้ตั้งข้อสังเกตถึงนโยบายเกี่ยวกับการเลี้ยงโค ได้แก่ โคอีสานเขียว, โคเอื้ออาทรหรือโคล้านตัว, โคเนื้อล้านครอบครัว, การกู้ยืมกองทุนหมู่บ้านเพื่อเลี้ยงโค และโคบาลชายแดนใต้ผิดสเปกที่ส่อพิรุธหลายประการ จนปัจจุบันโคแสนล้านที่มีการให้สินเชื่อ 5,000 ล้านบาทผ่านกองทุนหมู่บ้าน ภายใต้การดำเนินการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้ทำโครงการในช่วง 3 รัฐบาลที่ผ่านมา  

โดยโครงการแสนล้านที่ปล่อยให้เกษตรกรมากู้ เงินกองทุนหมู่บ้านรายละ 50,000 บาท ซื้อวัวไปเลี้ยง ได้ลูกและนำลูกวัวไปขายและให้ผ่อนชำระ จึงมีข้อสงสัยว่าเหตุใดรัฐบาลไม่ให้ ธ.ก.ส. เป็นผู้ดำเนินการปล่อยกู้ ที่มีระบบการดำเนินการที่รัดกุมกว่าขณะที่กองทุนหมู่บ้านกว่า 23,000 กองทุน ที่ยังไม่สามารถส่งงบการเงินได้ หากเกิดปัญหาอีกจะกลายเป็นการทำลายกองทุนหมู่บ้านหรือไม่

นายคริษฐ์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันนโยบายดังกล่าวซ้ำเติมกับกลุ่มเกษตรกรที่ซื้อวัวนำเข้ามาขุน ในห้วงมีโรควัวระบาด ซึ่งปกติมีการนำเข้าปีละ 100,000 ตัวแต่กรมปศุสัตว์มีการประกาศปิดด่านห้ามนำเข้าวัว และไม่ได้มีหาวิธีการเยียวยาเกษตรกร อีกทั้งห้ามมีการขนย้ายวัว แต่กระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้สนามวัวชน ซึ่งก็มีการเคลื่อนย้ายวัว แต่ห้ามเกษตรกรที่จะเคลื่อนย้ายวัวเพื่อจะขายนำเงินมาเลี้ยงชีพ พร้อมเปิดเผยข้อมูล ว่ามีกลุ่มบุคคลมาติดต่อเกษตรกรเพื่อขอซื้อแท็กติดหูวัวเพื่อสวมวัวเถื่อน ในราคา 2,500-5,000 บาท เนื่องจากวัวของเกษตรกรไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทำให้จำใจต้องขายแท็กและนำวัวไปเชือดที่โรงเถื่อน

นายคริษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการโคบาลชายแดนใต้นั้น เป็นวัวเถื่อนที่มาจาก หจก. แห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ พบว่าวัวทุกตัวชื่อ บัวทอง อายุ 2 ปี เพศเมียหนัก 162-163 กก. ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเป็นวัวเถื่อนที่ขนมาจาก จ.ตากไปยังจ.นครสวรรค์ แต่กลับการขนผ่านด่านตรวจได้ 5 ด่าน ซึ่งตลอดเส้นทางการดำเนินการสอบการทุจริต จากงบประมาณดำเนินโครงการ 1,500 ล้านบาท

“วัวที่ส่งถึงเกษตรกรไม่ตรงปก แล้วเอาเบอร์หูมาวนใหม่ทำแบบนี้วนไปโครงการนี้ 3 เฟส สิ่งที่เกษตรกรต้องการคือ มาตรการที่ดีและวัคซีนป้องกันโรค และการซื้อขายวัวตามกลไกตลาดอย่างตรงไปตรงมา และแก้ปัญหาให้มีการนำเข้าส่งออกได้อย่างถูกต้อง มีโรงเชือดที่มาตรฐาน มีกลไกรักษาระดับราคา ไม่ใช่การส่งเสริมโคเข้าระบบจนล้นตลาดทำให้ราคาตกต่ำเป็นวงจรอุบาทว์อย่างที่ผ่านมา และหากรัฐบาลไม่แก้ไขจะกลายเป็นคิดเก่าทำวนด้วยวิธีการเดิม ๆ วนด้วยนักการเมืองเดิม ๆ เพิ่มเติมคือการย้ายพรรคข้ามขั้วทิ้งปัญหาให้กับเกษตรกร" นายคริษฐ์ อภิปราย

จากนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงโครงการโคแสนล้านว่า การอภิปรายของ นายคริษฐ์ ปานเนียม สส.ตาก พรรคก้าวไกล เป็นการโกหกพูดเท็จ เพราะตนยังไม่เคยทำโครงการวัวใด ๆ มาก่อน แต่เป็นคนคิดโครงการวัวตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ทำเลย ซึ่งโครงการโคแสนล้านเกิดจากตนไปตรวจกองทุนหมู่บ้าน แล้วเห็นพวกสมาชิกกองทุนฯ เดือดร้อน จึงอยากทำโครงการเพื่อช่วยเหลือสมาชิกฯ โครงการนี้เป็นแนวทางที่ ครม.ให้ดำเนินการ ได้อนุมัติในหลักการ แต่ก็ยังมีความกังวลเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งตนก็ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องโคบาลชายแดนใต้ เป็นเรื่องที่ทำกันในรัฐบาลที่แล้ว แต่โครงการโคแสนล้านนั้นแตกต่างออกไป ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ทดลองกับเกษตรกรใน จ.สุโขทัย กว่า 300 ราย ซึ่งได้ผลที่ดีมาก ทำให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้น มีวัวเลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกหลายตัว ตนจึงได้นำโครงการนี้เสนอต่อครม. ส่วนเรื่องตลาดรับซื้อ ตอนนี้เรามี รมว.ต่างประเทศ รมว.พาณิชย์ ที่คอยช่วยดูในเรื่องนี้อยู่ รวมถึงท่านนายกฯ ก็ได้ไปดูตลาดยังต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลาง และจีนอีกด้วย

"ผมมั่นใจว่าวัวจะมีราคาดีขึ้นแน่นอน และมั่นใจว่าหาก กระทรวงเกษตรเอาจริงเอาจัง วัวเถื่อนหรือปัญหาต่าง ๆ จะคลี่คลาย รัฐบาลทำงานมาแค่ 6-7 เดือน มีปัญหาต่างๆ ที่หมักหมมมานานต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา และเรากำลังพยายามทำอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วที่สุด" นายสมศักดิ์ กล่าว

ด้าน นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตนได้ดำเนินการโครงการวัวกับ นายสมศักดิ์ มา 20 ปีแล้ว ยืนยันว่าท่านเป็นผู้คิดโครงการ แต่ยังไม่เคยได้ลงมือทำเลยสักโครงการเดียว และตอนที่ตนเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำกับดูแลกองทุนหมู่บ้าน และได้ศึกษาโครงการวัวกับ นายสมศักดิ์ ที่ดำเนินการนำร่องที่ จ.สุโขทัย ยืนยันว่าเป็นโครงการที่ดีช่วยเหลือเกษตรกรได้จริง โครงการนี้เป็นหลักของ โคคณิตศาสตร์ คิดและทำเพื่อคนทั้งประเทศ ไม่ได้ทำหรือฟังเพียงแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

‘อิสราเอล’ สั่งปิดสัญญาณ GPS - ห้ามทหารลาหยุด หวังเสริมการป้องกัน หลังเพิ่งโจมตีสถานกงสุล ‘อิหร่าน’ มา

(5 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อิสราเอลปิดใช้งานระบบ GPS ทั่วประเทศเพื่อขัดขวางการใช้งานของขีปนาวุธและโดรน ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นกับอิหร่าน ซึ่งประกาศคำมั่นว่าจะตอบโต้ หลังอิสราเอลโจมตีอาคารของแผนกกงสุลในสถานทูตอิหร่านที่ซีเรียเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ราย รวมถึงนายพลอิหร่านจากหน่วยรบพิเศษคุดส์

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา มีการรบกวนการทำงานของระบบ GPS ในพื้นที่ตอนกลางของอิสราเอล ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่ออกแบบมาเพื่อขัดขวางการใช้อาวุธที่สามารถระบุตำแหน่งได้ โดยพลเมืองอิสราเอลระบุว่า พวกเขาไม่สามารถใช้บริการแอปในการระบุสถานที่ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เทลอาวีฟและเยรูซาเลม ซึ่งอยู่ห่างไกลจากพื้นที่สู้รบได้

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ไทม์ออฟอิสราเอล รายงานว่า ได้มีการร้องขอให้ชาวอิสราเอลตั้งค่าตำแหน่งบนแอปด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้มีการส่งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการโจมตีด้วยจรวด เพื่อให้แน่ใจว่าตำแหน่งของพวกเขายังคงแม่นยำ แม้ว่าจะมีการรบกวนสัญญาณ GPS อยู่ก็ตาม

ด้าน ดาเนียล ฮาการี โฆษกกองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล (ไอดีเอฟ) ยืนยันว่า อิสราเอลกำลังทำการบล็อคการใช้งาน GPS ซึ่งบางครั้งถูกเรียกว่าเป็นการปลอมแปลง

ดาเนียล ฮาการี ยังเรียกร้องให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกด้วยการกักตุนซื้อสินค้า โดยเขาโพสต์บน X ว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องปั่นไฟ กักตุนอาหาร หรือถอนเงินจากตู้เอทีเอ็ม ทำตัวเหมือนปกติอย่างที่เคยทำมา และเราแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทันที หากมีอะไรที่เป็นทางการ

ขณะเดียวกันไอดีเอฟยังประกาศว่าจะระงับการขอลาพักของทหารทั้งหมดที่อยู่ในหน่วยรบ โดยคำประกาศดังกล่าวมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ทหารกองหนุนอิสราเอลเพิ่งถูกเรียกเข้าเสริมกำลังในหน่วยป้องกันภัยทางอากาศ

ดูเหมือนไอดีเอฟจะเชื่อว่าการตอบโต้ของอิหร่านใกล้จะเกิดขึ้น และอาจเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดในวันศุกร์ที่ 5 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันศุกร์สุดท้ายในเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม

นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กล่าวหลังมีข่าวเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมรับความเป็นไปได้ของการโจมตีตอบโต้ของอิหร่านว่า อิสราเอลจะทำร้ายใครก็ตามที่ทำร้ายเรา หรือวางแผนที่จะทำร้ายเรา

เนทันยาฮูกล่าวก่อนเริ่มประชุมคณะรัฐมนตรีความมั่นคงเมื่อค่ำวันที่ 4 เม.ย.ว่า หลายปีมาแล้วที่อิหร่านดำเนินการต่อต้านเราทั้งโดยตรงและผ่านตัวแทน ดังนั้นอิสราเอลจึงจะดำเนินการต่อต้านอิหร่านและตัวแทนของอิหร่านทั้งในเชิงรับและเชิงรุก

“เรารู้วิธีที่จะป้องกันตนเอง และเราจะปฏิบัติตามหลักการง่าย ๆ ว่าใครก็ตามที่ทำร้ายเรา หรือวางแผนจะทำร้ายเรา เราก็จะทำร้ายพวกเขากลับ” เนทันยาฮู กล่าว

‘พิธา’ เปิดใจเศร้า อภิปราย ม.152 อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง

(5 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายปิดเป็นคนสุดท้าย ว่า ตนขอเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความในใจเล็กน้อยว่า ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ตนไม่เคยเสียใจเลยที่ตนไม่ได้เป็นพวกที่ได้บริหาร ถึงแม้ตนจะชนะเลือกตั้ง สามารถรวบรวมเสียงได้ 312 เสียง ก็ไม่ได้น้อยไปกว่า 314 เสียงที่ท่านมี ไม่เคยเสียใจด้วยที่มาเป็นฝ่ายค้าน เพราะตนก็เชื่อว่าเป็นฝ่ายค้านนั้น มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย การเป็นฝ่ายค้านก็สามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้ สุขภาพของประชาธิปไตยไม่ได้วัดอยู่ที่รัฐบาลนั้น มีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน แต่อยู่ที่ฝ่ายค้านแทน Active แค่ไหน

“ผมไม่เคยเสียใจด้วยว่าอธิปอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของผม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องความลับอะไร ทุกคนทราบดีอยู่ว่าชีวิตทางการเมืองของผมตอนนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ผมพร้อมที่จะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่ได้มีอะไรติดค้างใจต่อไป อย่างที่ได้เห็นเพื่อน สส. ข้าง ๆ ผม อยู่รอบตัวผม ก็รู้สึกเบาใจ ไม่ได้ค้างคาใจอีกต่อไป และผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคของผม การยุบพรรคไม่ได้ทำให้การเดินทางของประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ยิ่งยุบ ยิ่งทำให้เราไปถึงเส้นชัยได้เร็วมากขึ้นด้วยซ้ำไป ถึงผมจะไม่เสียใจ แต่ผมเสียดาย จริง ๆ รับฟังการชี้แจงของคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย เสียดายเวลาที่ประเทศไทยต้องเสียไป เสียดายศรัทธาของพี่น้องประชาชน เสียดายคะแนนเสียงที่เคยให้ไป ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยโหวตพรรคอื่นนอกจากพรรคของท่าน แต่มาถึงวันนี้ ความสะเปะสะปะ ความล่องลอย ผมฟังแล้วไม่รู้ว่าวาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร ที่หาเสียงไว้ก็ไม่ได้ทำ…จนทำให้ผมรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ผลงาน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา แบ่งการอภิปรายออกเป็น 3 ส่วน คือ สรุป สะสาง และเสนอแนะ ส่วนแรกเป็นการสรุป ตนกังวลว่าวิสัยทัศน์ 8 ฮับของรัฐบาล คือ ความมืด 8 ด้านของประชาชน Ignite Thailand จะเป็น Darkness Thailand

“มืดเรื่องปากท้อง มืดเรื่องส่วย มืดผูกขาด มืดกระตุ้นเศรษฐกิจ มืดแก้ไขรัฐธรรมนูญ มืดปฏิรูปของไทย มืดมนคุณภาพชีวิต มืดกระบวนการยุติธรรม ประชาชนคนไทยตอนนี้มืด 8 ด้าน ที่ทั้งล้มเหลว ล่าช้า และละเลย” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า ตนรู้สึกว่าในสภามีการอภิปรายไปหมดแล้ว แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ยังถกกันไม่ตกผลึก และยังไม่เห็นภาพชัดเจน คือ เครื่องมือในการปฏิรูปกองทัพ นายกรัฐมนตรีบอกว่าฝ่ายค้านงง ตนก็งงท่านเหมือนกัน ตอนก่อนเลือกตั้งท่านพูดอีกอย่าง ตอนหลังเลือกตั้งพูดอีกอย่าง

นายพิธา อ่านนโยบายปฏิรูปกองทัพของพรรคเพื่อไทย แล้วกล่าวว่าตอนดีเบต นายกรัฐมนตรีก็พูดคล้ายนโยบายพรรคก้าวไกล และมาบอกว่าตนพูดเรื่องเดิมบ้าง ไอโอบ้าง อาวุธบ้าง วิธีการในการที่จะปฏิรูปไม่ต้องเอาแบบก้าวร้าว ต้องใช้ความนุ่มนวล ที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงมา ตนว่าสุดยอดมาก น่าเสียดายที่ไม่ได้พูดแบบนี้ตอนก่อนเลือกตั้ง

“ผมก็เลยงงว่าไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า แต่ไม่เป็นไรถ้าท่านยังรู้สึกว่างง เช่น เรื่องไอโอ ก็เดี๋ยวจะพิสูจน์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ว่าใครกันแน่ที่มอมเมาประชาชน หากท่านยังไม่รู้ ผมขอเสนอให้ไปอ่านรายงานของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยระดับโลก ที่ทำรายงานตั้งแต่ก่อนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล โดยทหารไทย นอกจากนี้ ยังมีของสำนักข่าวรอยเตอร์ มหาวิทยาลัยโตรอนโต อยากให้ไปศึกษาเผื่อจะหาคำตอบได้ก่อนสิ้นปี ว่า ใครเป็นคนทำไอโอ มอมเมาประชาชน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่างงเรื่องเกี่ยวกับอาวุธในจุดยืนของพรรคก้าวไกล มีการยกคำกล่าวจะเอาเรือประมงไปรบ ตนเดาเอาว่านายกรัฐมนตรีอาจหมายถึงตน เนื่องจากตนเคยพูดเรื่องแบบนี้ในรายการดีเบตของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา

“เรื่องแบบนี้มันพัฒนาไปเยอะ มีการใช้เรือประมงมาดัดแปลงเป็นอาวุธของกองทัพ...เทคนิคในการทำสงครามมันเปลี่ยนไปเยอะ มันมีประเทศบางประเทศเกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ ที่มีเรือเป็น 20,000 ลำ ที่ใช้เรือประมงผสมกับเรือรบ ที่ไม่ได้ใช้อาวุธตามปกติ จะได้เข้าใจตรงกันและจะได้เลิกล้อผมสักที” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ย้ำถึงเรื่องเรือฟริเกต ว่า อุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดขึ้นได้ แบบไม่ได้เบียดเบียนภาษีของประชาชนมากเกินไป ทำให้เรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจได้ด้วย ดังนั้นในเมื่อเข้าเงื่อนไขแบบนี้ตนก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร หวังว่านายกรัฐมนตรีจะหายงง

“ตอนที่มีเลือกตั้ง ไม่ได้เจอนายกฯ สักเท่าไหร่ในเวทีดีเบต เจอแต่หัวหน้าท่าน ทำให้ไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องนี้” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวถึงเรื่องสะสาง ตนพอจะจับทางนายกรัฐมนตรีได้แล้ว โดยจับคำพูดได้คำหนึ่งว่าอยากจะเน้นเรื่องบวก ให้เป็นแสงสว่าง ไม่อยากเน้นเรื่องปัญหา แต่ในความเป็นจริงข้อเท็จจริง ไม่ได้มีแต่เรื่องบวก ประเทศมีทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน เรื่องความท้าทาย รวมไปถึงโอกาส คนที่จะเป็นผู้นำได้ ถ้าโฟกัสแต่เรื่องบวกอย่างเดียว ก็จะเกาไม่ถูกที่คัน วินิจฉัยผิดตลอดเวลา เวลาที่นายกรัฐมนตรีเอาตัวเลขมาพูดในสภา จะเน้นเอาตัวเลขที่พวกเป็นผลดีกับรัฐบาล แต่ไม่มีบริบท ไม่ครบถ้วน เป็นเหรียญด้านเดียว

ช่วงนี้ นายพิธา ขอประท้วงประธานว่า ให้ตรวจสอบว่าสไลด์ของตนรั่วไหลหรือไม่ เพราะก่อนหน้าตนอภิปราย มีรัฐมนตรีลุกชี้แจงได้อย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าตนจะอธิบายเรื่องนี้ ขนาด สส. ยังไม่เห็นรู้เลย

ก่อนจะไล่เรียงต่อว่า เรื่องภาคส่วนการผลิต นายกรัฐมนตรี ใช้คำว่า สึนามิเหตุการณ์ลงทุน ตนก็ดีใจว่าไม่ใช้คำว่าพายุหมุนทางเศรษฐกิจเหมือนในอดีตแล้ว แต่สึนามิมันทำลายล้างทุกอย่าง ตนกังวลว่าสึนามิของการลงทุนจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบอย่างสูง โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนกับ BOI จะเห็นได้ว่ามาจากประเทศจีน รถ EV มากขึ้น แล้วรถสันดาปที่อยู่ในประเทศไทยจะจัดการอย่างไร นายกรัฐมนตรีได้คิดหรือยัง

ส่วนภาคส่วนการลงทุน นายกรัฐมนตรี บอกว่า โตขึ้น 2.5 เท่าในไตรมาสที่ 4 ก็เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องดี แต่ประเด็นข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ประเทศไทยตอนนี้เป็นอันดับ 6 นำอยู่แค่กัมพูชา ลาว เมียนมา 2 ปีซ้อน อย่าเพิ่งดีใจ ทุกประเทศเพิ่มขึ้นหมด ส่วนการบริการ จะมีประโยชน์อะไรถ้าการท่องเที่ยวของประเทศไทยกลับมายิ่งใหญ่มโหฬร แต่โฟกัส 80% อยู่แค่ 5 จังหวัด เราไม่ได้สร้างสาธารณูปโภคที่ทำให้คนเขาอยากจะไปให้มากกว่าแค่ 5 จังหวัด ความเหลื่อมล้ำก็เพิ่มขึ้น

นายพิธา กล่าวอีกว่า ผมรู้สึกว่านายกรัฐมนตรีต้องการที่จะตอบโต้ แทนที่จะเป็นการตอบสนอง ซึ่งไม่ใช่การเป็นผู้นำที่ดี นอกจากนี้ ต้องเร่งสางปมตำรวจด้วย

“เบอร์หนึ่งกับเบอร์สองทะเลาะกัน ท่านเป็นผู้สั่งพักงานทั้งคู่ ท่านจะทำอย่างไร เพื่อให้ความเชื่อมั่นกลับมาเลยประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง”

โดยในช่วงท้าย นายพิธา ได้กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล 3 ข้อ คือ 

1. ถ้าท่านอยากจะกอบกู้ภาวการณ์ผู้นำของรัฐบาล ตนคืดว่าถึงเวลาที่ต้องปรับ ครม.ได้แล้ว เอาคนให้ตรงกับงาน ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะทำงานมา 7 เดือน พอที่จะเห็นภาพ ว่าใครมีประสิทธิภาพ ใครรู้จริงในเรื่องที่ทำอยู่ 

2. ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีจะมีโรดแมป ในสิ่งที่จะทำได้แล้ว 

3. การฟัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของคนที่จะเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 21 เพื่อที่จะตอบสนอง ไม่ใช่ฟังเพื่อที่จะตอบโต้ตลอดเวลา เพราะบางทีเสียงที่ท่านไม่อยากได้ยินที่สุดก็คือเสียงที่ประเสริฐที่สุด

จากนั้น เวลา 02.03 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้แทนรัฐบาล ได้กล่าวขอขอบคุณประธานและสมาชิกที่ได้ร่วมอภิปราย ตามมาตรา 152 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำหน้าที่ สส.ตามรัฐธรรมนูญ และใช้กระบวนการรัฐสภาตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณและจะได้นำข้อห่วงใยเหล่านั้นไปประกอบการพิจารณา ปรับปรุงการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้กล่าวขอบคุณสมาชิกและวิปทั้ง 2 ฝ่าย และได้สรุปผลงานสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 12 ธ.ค. 2566 - 9 เม.ย. 2567

จากนั้นได้อ่านพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุม และสั่งปิดการประชุมในเวลา 02.15 น. รวมเวลาอภิปรายทั้งสิ้น จำนวนกว่า 36 ชั่วโมง

‘รองอ๋อง-วิโรจน์’ ชี้อาจเป็นประชุมสภาครั้งสุดท้าย ลั่น!! ขอทำในสิ่งที่จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง

จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าตลอด 7 เดือนไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร แม้ชนะเลือกตั้งสามารถรวบรวมได้ 312 เสียง ไม่เคยเสียใจที่ต้องเป็นฝ่ายค้าน ทั้งไม่เสียใจที่การอภิปรายครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง ชีวิตทางการเมืองแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่พร้อมจะจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่มีอะไรติดค้างใจต่อไป และหากพรรคก้าวไกลจะถูกยุบก็ไม่เสียใจ เพราะอาจจะทำให้ถึงเส้นชัยเร็วขึ้นนั้น

ล่าสุด (5 เม.ย. 67) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ได้โพสต์ภาพการอภิปรายของนายพิธา พร้อมเขียนข้อความภาษาอังกฤษผ่านแพลตฟอร์ม  X ระบุว่า “It might be the last day!! #ประชุมสภา”

ซึ่งแปลได้ว่า “อาจจะเป็นวันสุดท้าย”

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้แชร์โพสต์ของนายปดิพัทธ์ พร้อมเขียนข้อความคล้ายคลึงกันว่า “ผมเองก็ใกล้แล้วเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจงมาร่วมกันทำในสิ่งที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจ เมื่อนึกย้อนกลับไป กันเถอะครับ”

ทั้งนี้ทั้งนายพิธา หมออ๋อง และนายวิโรจน์ ร่วมอยู่ใน 44 ส.ส. ที่ลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จากนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

‘รมว.ปุ้ย’ จี้แก้ปมกากแร่พิษหมื่นตัน จ.สมุทรสาคร สั่งระงับการขนย้าย ให้นำฝังกลบตามมาตรฐานฯ

(5 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวว่ามีบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก ขายกากแร่สังกะสีและกากแร่แคดเมียมที่ฝังกลบในพื้นที่จังหวัดตาก ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลกระทบต่อประชาชนเนื่องจากกากแร่ดังกล่าวอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้นั้น 

ขอชี้แจงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 2566 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและจังหวัดสมุทรสาคร รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 35 และมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 สั่งอายัดกากแคดเมียมและกากสังกะสีดังกล่าว พร้อมทั้งสั่งระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ห้ามนำกากแคดเมียมและกากสังกะสีเข้าสู่กระบวนการผลิต ให้ปรับปรุงแก้ไขโรงงานเก็บและดำเนินคดีทะเบียนโรงงานตามกฎหมาย

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวได้รับใบอนุญาตประกอบโลหะกรรมแร่สังกะสี และใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานถลุงแร่สังกะสีและแคดเมียม ผลิตโลหะสังกะสีแท่ง สังกะสีอัลลอย โลหะแคดเมียม และผลิตโลหะทองแดง ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขอยกเลิกใบอนุญาตประกอบโลหะกรรม แต่ยังคงไว้ซึ่งใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน โดยการฝังกลบ (Landfill) กากแร่ ซึ่งอยู่ในรูปของโลหะผสมกับปูนซีเมนต์และยึดเกาะกันเป็นเนื้อแน่นไว้ในบ่อเก็บกากแร่ ซึ่งปูพื้นและปิดทับด้วยวัสดุกันซึม (HDPE) และคอนกรีต ซึ่งเป็นไปตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม 

และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 บริษัทได้ทำการขนย้ายกากแคดเมียม กากสังกะสี ออกจากโรงงานเพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ โดยโรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งประกอบกิจการหลอมหล่ออลูมิเนียมแท่ง อะลูมิเนียมเม็ด จากเศษอะลูมิเนียมและตะกรันอะลูมิเนียม (SCRAP AND DROSS) และได้เริ่มทำการขนย้ายกากที่บรรจุในถุงบิ๊กแบ็ก ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 ถึงปัจจุบัน รวมประมาณ 13,450 ตัน

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้ตรวจสอบโรงงานดังกล่าว พบว่า มีการดำเนินการที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงได้อายัดกากแคดเมียม กากสังกะสี และส่วนของอื่น ๆ ไว้เพื่อตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมายแล้ว 

ส่วนบริษัทในพื้นที่อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เพื่อเก็บตัวอย่างกากแคดเมียม กากสังกะสี มาตรวจวิเคราะห์ และสั่งการให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการในส่วนของนำกากแคดเมียม กากสังกะสี ออกนอกบริเวณโรงงาน และให้นำกลับมาดำเนินการให้เป็นตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำหนดไว้ในเงื่อนไขใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานโดยเร่งด่วนต่อไป

“เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา กรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ตัวแทนอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ตัวแทนอธิบดีกรมอนามัย และผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) มาให้ข้อมูลจึงทราบว่าก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้อายัดกากแร่ดังกล่าวไว้แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งดิฉันได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วน เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดพร้อมทั้งให้รายงานความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะ” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวปิดท้าย

สืบนครบาลรวบสาวประเวศพร้อมซิมเถื่อน 200 ชิ้นอ้างทำกำไร

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน โดย ซิมการ์ดเถื่อนที่ไม่ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.  , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส. , พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1 บก.สส.บชน. , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. ปฏิบัติราชการ รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ได้สั่งการให้  พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ ปฏิบัติราชการ สว.กก.สส.1 พร้อมชุดปฏิบัติการที่ 2   จับกุม 

นางสาวอนุสรา ชวนชม อายุ 23 ปีที่อยู่ 5 ซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย26 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม.  

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน"เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ " สถานที่จับกุม บริเวณปากซอยชุมชนสระแก้ว แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ พร้อมของกลาง ดังนี้ ซิมการ์ด จำนวน 200 ชิ้น

พฤติการณ์ในคดี ก่อนจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ติดตามสืบสวนและจับกุม กลุ่มเป้าหมายผู้ที่ทำการลักลอบขายซิมโทรศัพท์มือถือที่มีการลงทะเบียนแล้ว ซึ่งเป็นที่อันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการสืบทราบจนพบว่า ได้มีกลุ่มเฟสบุ๊คชื่อ “ซื้อ-ขาย ซิมลงทะเบียนมือ1 มือ2” ปรากฏอยู่ จึงได้ทำการสืบสวนไปภายในกลุ่มเฟสบุ๊คดังกล่าว จนได้เจอโพสต์เฟสบุ๊คของผู้ใช้ชื่อว่า “Valen Tine” ได้โพสต์ขายซิมโทรศัพท์ลงทะเบียนแล้วภายในกลุ่มดังกล่าว จึงได้ทำการติดต่อผู้ใช้เฟสบุ๊คดังกล่าว โดยการติดต่อนั้นได้มีการวีดีโอคอลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน พบว่ามีซิมโทรศัพท์อยู่จริง ต่อมาผู้ใช้เฟสบุ๊ค “Valen Tine” ได้ให้ติดต่อผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ชื่อ “Kwon Kwon” พร้อมกับได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อเบอร์ 0970819xxxโดยได้เสนอขายซิมโทรศัพท์ให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนในราคาซิมละ 45 บาท โดยได้แจ้งว่ามีทั้งหมด 200 ซิม และได้ให้เลขบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ หมายเลขบัญชี 4260341xxx ชื่อบัญชี นางสาวอนุสรา ชวนชม ไว้สำหรับการโอนชำระค่าสินค้า พร้อมได้มีการนัดหมายให้นำซิมโทรศัพท์ดังกล่าวมาส่งที่ปากซอยชุมชนสระแก้ว แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ในวันที่ 4 เมษายน 2567 เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนจึงได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และทำการวางแผนในการล่อซื้อ 

โดยผู้บังคับบัญชาได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา รอง สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. เป็นผู้ทำการติดต่อล่อซื้อ ต่อมาวันที่ 4 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ร.ต.อ.พลวัตฯ ได้รับการติดต่อจากเบอร์โทรศัพท์ 0970819xxx ว่าได้เดินทางมาถึงจุดนัดหมายแล้ว ร.ต.อ.พลวัตฯ จึงได้เดินทางไปยังจุดนัดหมาย พบนางสาวอนุสรา ชวนชม (ทราบชื่อ-สกุล ภายหลัง) ได้ยืนอยู่บริเวณดังกล่าว โดยได้แสดงกล่องที่บรรจุซิมไว้ ซึ่งได้ตรวจสอบพบว่ามีซิมโทรศัพท์แบบลงทะเบียนแล้วจริง จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจชุดจับกุม ให้เข้าทำการจับกุมนางสาวอนุสราฯ และได้ทำการตรวจยึด ของกลางตามบัญชีของกลางแนบท้าย เจ้าหน้าที่ตรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้” และได้แจ้งสิทธิให้นางสาวอนุสราฯ ทราบจนเข้าใจแล้ว 

โดยในชั้นจับกุมนางสาวอนุสราฯ ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยได้ให้การว่า ได้ทำการรับซื้อซิมโทรศัพท์จากแอพพลิเคชั่นออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ ในราคาประมาณ 30-35 บาท เพื่อมาทำการขายต่อเพื่อเอากำไรจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำผู้ต้องหาไปยังที่ทำการพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

🔹 นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

'ดร.ก้องเกียรติ' เตือน!! อีก 20 ปี ภาวะโลกเดือด อาจพามนุษย์ล้มตายครั้งใหญ่ ชู!! คาร์บอนเครดิต ทางออกรักษ์โลกที่มีเงินมาช่วยดึงดูดทุกภาคส่วน

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'ดร.ก้องเกียรติ สุริเย' ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี เทค จำกัด ในประเด็นปัญหาโลกร้อน (Global Warming) สู่ปัญหาโลกเดือด (Global Boiling) ในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 6 เม.ย.67 โดยมีเนื้อหาดังนี้ ว่า...

ปัญหาทุกวันนี้เกิดจากก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ซึ่งมีหน้าที่สะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ เพื่อควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้ร้อนจัดหรือเย็นจัด หรือเปรียบเสมือนเป็นผ้าห่มคลุมโลกของเราอยู่นั่นเอง แต่เนื่องจากมนุษย์ได้ดำเนินกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดการปล่อยควัน ปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเรื่อยมา เช่น ควันไอเสียจากรถยนต์ มลพิษที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ก๊าซเรือนกระจกที่เปรียบเสมือนผ้าห่มคลุมโลกมีความหนามาก จนมาแตะโลก จึงทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน ซึ่งเมื่อปีที่แล้วก็เกิดปรากฏการณ์ Monster Asian Heatwave อากาศร้อนจัดอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อประเทศในแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะจังหวัดตากของประเทศไทย

นอกจากนี้ โลกร้อนยังส่งผลกระทบให้เกิดปัญหา PM 2.5 อีกด้วย เนื่องจากเมื่อสภาพอากาศร้อนจัด ฝุ่น PM 2.5 จะลอยตัวขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ แต่เมื่อกระทบกับก๊าซเรือนกระจกที่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น ฝุ่นก็ไม่สามารถลอยขึ้นไปได้ เมื่อฝุ่นนิ่งไม่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 เมื่อหายใจเข้าไปอาจส่งผลอันตรายและเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรัง 

ส่วนสำคัญของปัญหาเหล่านี้ มาจากในปัจจุบันมนุษย์มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีล้ำหน้าไปมาก แต่ก็อยากรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งมันสวนทาง ก็เลยเกิดกฎเกณฑ์ใหม่อย่าง คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) และคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ขึ้น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการดำเนินกิจกรรมหรือการกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์ เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน 

ปัจจุบันในระดับโลกให้ความสำคัญเรื่องนี้ โดยมีการจัดประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ซึ่งมีเป้าหมายใน ค.ศ. 2030 ที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องช่วยกันลดความหนาของก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 45%-50% ด้วยการหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือปลูกต้นไม้เพื่อดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) ภายใต้คำเตือนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่หากประเทศต่าง ๆ ยังนิ่งเฉย ภาวะโลกร้อนนี้ ก็จะทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้นได้อีกด้วย

เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้ทุกคนไม่คิดจะทำอะไรเลย ปัญหาโลกร้อนจะเป็นอย่างไร? ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า โลกจะเย็นลงและอาจจะเกิดหายนะขึ้นได้ เช่น น้ำท่วมโลก ปรากฏการณ์พายุรุนแรง ฝุ่น PM 2.5 เพิ่มมากขึ้น จนทำให้มนุษย์ล้มตายจำนวนมาก คล้าย ๆ กับทฤษฎีการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ก็เป็นได้ 

ทั้งนี้ ดร.ก้องเกียรติ ได้แนะอีกด้วยว่า หลักการดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดในตอนนี้ คือ การนำปัญหานี้มาเป็นธุรกิจ สร้างธุรกิจรักษ์โลก ที่ได้เงิน หรือก็คือการใช้กลไก คาร์บอนเครดิต หมายถึง ถ้าเราช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือลดความหนาของผ้าห่มคลุมโลกได้เท่าไหร่ แล้วนำปริมาณนั้นมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ สร้างมูลค่าเพิ่มได้ ด้วยการทำกิจกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีองค์กรกลางในการตรวจสอบรับรอง จึงจะสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ 

สุดท้าย ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า การรักษ์โลกต่อจากนี้ อาจไม่ใช่การทำ CSR (Corporate Social Responsibility) เพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างให้เป็นธุรกิจได้จริงเสียที

‘รวงข้าว ลัลนา’ สาวใต้จากทุ่งสง ผู้ไม่ย่อท้อต่ออาชีพ ‘นักเทนนิส’ ผงาดคว้าแชมป์ที่ออสเตรเลีย จนขึ้นแท่นมือหวด 259 ของโลก

(5 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘จอน’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘น้องรวงข้าว’ ลัลนา ธาราฤดี นักเทนนิสดาวรุ่ง วัย 19 ปี ที่ได้เปิดใจเอาไว้ว่า… 

“หนูอยากขอบคุณครอบครัวที่คอยซัปพอร์ต โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งใจไปเรียนจิตวิทยา เพื่อจะได้เข้าใจหนูมากขึ้น หนูดีใจมากค่ะ ที่มีคนคอยเชียร์ ก็มีความคาดหวังลึก ๆ ว่า อยากทำให้ดีขึ้น หนูก็จะเอาความคาดหวังเนี่ยแหละ เป็นแรงผลักดันให้ตัวเองไปได้ไกลกว่านี้…ความฝันของหนู หนูอยากก้าวไปถึงท็อปเทนของโลกให้ได้ค่ะ”

ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ‘น้องรวงข้าว’ ลัลนา ธาราฤดี นักเทนนิสสาวไทย จากครอบครัวสิงห์ วัย 19 ปี สร้างผลงานยอดเยี่ยม คว้าแชมป์เทนนิสอาชีพ ‘ไอทีเอฟ วีเมนส์ เวิลด์ เทนนิส ทัวร์’ รายการดับเบิ้ลยู 35 ทรารัลกอน ที่ประเทศออสเตรเลีย มาครองได้

ซึ่งคือแชมป์รายการแรกในปีนี้ และเป็นแชมป์รายการที่ 5 ของเจ้าตัว นับตั้งแต่เล่นเทนนิสอาชีพมา ส่งผลทำให้เธอมีอันดับโลกพุ่งจาก 309 เป็น 259 ในปัจจุบัน พร้อมรับเงินรางวัลประมาณ 140,000 บาทไปครอง

รวงข้าว ได้เริ่มเล่าชีวิตของเธอให้ผมฟัง หลังคว้าแชมป์รายการดังกล่าว “หนูเกิดที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชค่ะ เป็นลูกคนเดียว”

“หนูเริ่มเล่นเทนนิส ตอน 6 ขวบ ตอนนั้นหนูยังไม่มีความฝันอะไรเลย แล้วพ่อหนูชอบเล่นเทนนิส เขาชอบพาหนูไปที่คอร์ท หนูเลยลองหยิบไม้มาตี พอพ่อเห็นว่าหนูชอบและพอตีได้ เขาก็เริ่มสอนและส่งเสริมจริงจังค่ะ”

จากแค่ตามคุณพ่อไปที่สนามเทนนิส และเริ่มจับไม้ในวัย 6 ขวบ จากนั้นโชคชะตาก็พาให้ทั้งคู่ ไปอยู่ในคอร์ทด้วยกันตลอด

แต่กลายเป็นคุณพ่อที่ต้องตามไปดูแล ‘น้องรวงข้าว’ เวลาแข่งขัน เพราะนับตั้งแต่ที่เริ่มจริงจัง โดยมีคุณพ่อเป็นโค้ชคนแรก ผลงานของรวงข้าว ก็พุ่งขึ้นไปสู่ระดับมือหนึ่งของประเทศในรุ่นเยาวชน

โดย ‘รวงข้าว’ กวาดแชมป์มากมาย และได้โอกาสมาเก็บตัวกับแคมป์ของทีมชาติไทย รวมถึงได้จอยแคมป์สปอนเซอร์บ่อยครั้ง ซึ่งสปอนเซอร์หลักของสมาคมลอนเทนนิสฯ อย่าง ‘สิงห์’ ก็เริ่มเห็นแววของเธอตั้งแต่ช่วงเวลานั้น

“ตอนอายุ 8-11 ปี หนูต้องมากรุงเทพฯ บ่อย ๆ เพื่อแข่งขัน แต่สมัยนั้นหนูไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบิน เพราะยังไม่มีรายได้เท่าตอนนี้ ที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น เซฟอะไรได้ก็ต้องเซฟ ส่วนใหญ่ก็จะนั่งรถไฟตู้นอนมากับพ่อ นอนยาว ๆ ออกกลางคืน ถึงกรุงเทพฯ ก็เกือบเที่ยง”

แม้จะต้องทำงานประจำที่นครศรีธรรมราชไปด้วย แต่ ‘ความฝันของลูก’ ก็เหมือน ‘ความฝันของพ่อ’

และในโบกี้รถไฟ ที่เทียวไปเทียวมา ระยะทางไปกลับร่วม 1,500 กิโลเมตร จาก นครศรีฯ สู่ กทม. หรือ จาก กทม. กลับ นครศรีฯ นอกจากจะพาพ่อลูกนักเทนนิสไปกลับแล้ว ภายในโบกี้นั้น ยังบรรจุ ‘ความฝันของทั้งคู่’ เดินทางไปด้วย

- รวงข้าว เข้าแข่งขันรายการระดับ ไอทีเอฟ จูเนียร์ ตั้งแต่อายุ 13 ปี
- เธอเดินทางไปแข่งขัน ทั้งใน และต่างประเทศ ตั้งแต่รุ่นเยาวชน
- เธอเคยติดท็อป 50 ของโลก ในรุ่นจูเนียร์
- เธอเคยเล่นรอบเมนดรอว์ จูเนียร์ แกรนด์สแลม มาแล้ว 2 ครั้ง (วิมเบิลดัน และ ยูเอส โอเพ่น)
- เธอเล่นรายการระดับ ไอทีเอฟ อาชีพ ตั้งแต่อายุ 18 ปี
- เธอคว้าแชมป์ ไอทีเอฟ อาชีพ ครั้งแรก ตั้งแต่วัย 18 ปี ที่ประเทศไทย
- เธอคว้าแชมป์ไอทีเอฟ อาชีพ ที่ต่างประเทศ 3 ครั้ง เริ่มต้นที่มาเลเซีย จีน และออสเตรเลีย
- เธอเคยแข่งรอบควอลิฟาย แกรนด์สแลม ออสเตรเลียน โอเพ่น มาแล้ว เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
- เธอเคยได้สิทธิ์ไวด์การ์ด แข่งขัน WTA ทัวร์ ไทยแลนด์ โอเพ่น ที่ประเทศไทย มาแล้ว 2 ครั้ง
- เธอติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ตั้งแต่อายุ 17 ปี
- เธอเคยคว้าเหรียญเงิน ในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2 สมัย ในปี 2021 ที่ประเทศเวียดนาม (ประเภทหญิงคู่) และ ปี 2023 ที่ประเทศกัมพูชา (ประเภทหญิงเดี่ยว)

ตลอดเวลาที่เธอกำลังต่อสู้กับความฝัน และเข้าใกล้อันดับท็อป 200 ของโลกเข้าไปทุกที
เธอผ่านความพ่ายแพ้ นับครั้งไม่ถ้วน เธอเจอความผิดพลาด นับครั้งไม่ได้ ไม่ใช่แค่คุณพ่อเท่านั้น ที่อยู่ข้างรวงข้าว และคอยซัปพอร์ตเธอ

“หนูอยากขอบคุณตัวเอง ที่ผ่านอุปสรรคหลายอย่างมาถึงจุดนี้ เพราะปีที่ผ่านมา ถือว่าค่อนข้างหนักหน่วงเหมือนกัน มีเรื่องเครียดหลายอย่าง และหนูอยากขอบคุณครอบครัว ที่คอยซัปพอร์ตหนู โดยเฉพาะคุณแม่ที่เข้าใจหนูมากขึ้น เมื่อก่อนแม่ไม่ได้ใจเย็นขนาดนี้ เมื่อก่อนแม่ก็ใจร้อน แต่แม่ก็ไปเรียนจิตวิทยา เพื่อจะเข้าใจหนูมากขึ้น เพื่อจะได้มีวิธีพูดกับหนู เวลาที่หนูแพ้”

“กีฬาเทนนิส ในทัวร์นาเมนต์นึง จะมีคนชนะแค่คนเดียว แพ้เท่ากับตกรอบทันที เวลาตกรอบ เราก็เฟล คุณแม่ก็ไปเรียนจิตวิทยา เพื่อจะได้มีวิธีการพูดให้กำลังใจเรา”

“นอกจากนี้ หนูก็อยากขอบคุณ โค้ชปัน-ปุณณกฤศ กฤดากร (โค้ชส่วนตัว) ที่ออกแข่งกับหนู ทุกทัวร์นาเมนต์ และก็โค้ชจาก ‘ทีมภราดร’ (ภราดร ศรีชาพันธุ์) ที่ช่วยสอนหนูหลายอย่าง ทั้งระเบียบวินัย, การโฮลด์ตัวเองในคอร์ท และการจัดระเบียบความคิดระหว่างแข่งขัน ให้หนูโตขึ้น”

“และสุดท้าย หนูอยากขอบคุณ ‘สิงห์’ ค่ะ ที่สนับสนุนหนูตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนั้น หนูยังไม่ได้เล่นอาชีพ ยังเล่นในรุ่นจูเนียร์ แต่ติดทีมชาติชุดเยาวชนแล้ว”

“ตอนนั้น หนูอายุ 14 ปี มีรายการแข่งที่สาธารณรัฐเช็ก ทางสิงห์ก็มาติดต่อครอบครัวหนู และหนูก็ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวสิงห์ ซึ่งคอยซัปพอร์ตค่าใช้จ่ายให้หนูบางส่วน ในทุกทัวร์นาเมนต์ เพราะการแข่งขันที่ต่างประเทศ ต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะค่ะ”

ก่อนจะลากัน ผมถามเธอว่า ความฝันสูงสุดของเธอคืออะไร ‘รวงข้าว ลัลนา’ ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มว่า “หนูอยากก้าวไปถึงท็อปเทนของโลกค่ะ”

สำหรับอันดับ ‘ท็อปเทนของโลก’ ในกีฬาเทนนิส ประเภทหญิงเดี่ยว ยังไม่มีนักเทนนิสหญิง ในประเทศไทยที่สามารถทำได้ โดย “แทมมี่” แทมมารีน ธนสุกาญจน์ ตำนานหญิงเดี่ยวของไทย เคยขึ้นไปสูงสุด คือ อันดับที่ 19 ของโลก

แน่นอน มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากมาก ๆ และตอนนี้ รวงข้าว เพิ่งเริ่มต้นเล่นเทนนิสอาชีพมาเพียงปีเดียว ยังไม่ได้เล่นในระดับ WTA ทัวร์อย่างต่อเนื่อง ยังไม่เคยเข้าถึงเมนดรอว์ของรายการระดับแกรนด์สแลมสักครั้ง แต่ความฝันก็คือความฝัน ไม่มีวันหมดอายุ และน่าชื่นใจที่วงการเทนนิสไทย มีดาวดวงใหม่ให้ติดตามเพิ่มขึ้น หลังจากขาดความต่อเนื่องมายาวนาน

และต้องขอบคุณผู้สนับสนุนอย่าง ‘สิงห์’ ที่ไม่ลดความพยายาม ที่จะส่งเสริมนักกีฬาไทย ในการแข่งขันที่ต่างประเทศ จนได้เพชรเม็ดงามอย่าง รวงข้าว ลัลนา ธาราฤดี มาประดับวงการอีกคน

ซึ่งจุดเริ่มต้นความสำเร็จของ ‘น้องรวงข้าว’ คือ การได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ ที่ส่งต่อความตั้งใจ ความพยายาม ที่อยากจะก้าวขึ้นไปสู่นักกีฬาอาชีพ มือระดับท็อปของโลก ตามคำพูดของ คุณสันติ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหารของสิงห์ ที่เคยบอกว่า การสร้างนักกีฬาหนึ่งคน ไม่ใช่แค่สร้างความสำเร็จให้นักกีฬาคนนั้น แต่คือการสร้างความสำเร็จ ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจ ให้กับนักกีฬารุ่นใหม่ได้เดินตาม และได้พยายามทำให้ดีกว่าสิ่งที่คนรุ่นก่อนเคยทำมา

“หนูรู้สึกดีใจค่ะที่มีคนคอยเชียร์ คอยซัปพอร์ตหนู ซึ่งลึก ๆ หนูก็มีความคาดหวังอยู่แล้วว่า อยากทำให้ดีขึ้น จะพยายามไม่กดดันตัวเอง และก็จะเอาความคาดหวัง เป็นแรงผลักดันที่ดี ที่จะทำให้ตัวเองไปได้ไกลกว่านี้ค่ะ” รวงข้าว กล่าว

'พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ' ประชุมมาตรการปฏิบัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 กำชับความพร้อมดูแลความปลอดภัย อำนวยความสะดวกการจราจร และลดอุบัติเหตุทางถนน ตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมเปิดโครงการฝากบ้าน 4.0 วันที่ 11-21 เมษายนนี้

วันนี้ (5 เม.ย.67) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข , พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ,พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ , พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. และข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดงาน “มหาสงกรานต์ World Songkran Festival” ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 1-21 เมษายน 2567 นอกจากนี้ ได้กำหนดให้วันที่ 12-16 เมษายน 2567 เป็นวันหยุดราชการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติคาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานที่จัดงานมหาสงกรานต์ทั่วประเทศ เพื่อให้การดูแลรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสงบเรียบร้อยในทุกพื้นที่ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด

มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมพื้นที่จัดกิจกรรมสงกรานต์ และระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท ทั้งอาชญากรรมทั่วไปและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ช่วงก่อนวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 1-10 เมษายน 2567 และจัดทำ “โครงการร่วมใจ ยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0)” ระหว่างวันที่ 11-21 เมษายน 2567 รวมระยะเวลา 11 วัน โดยให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชัน “OBS” หรือที่สถานีตำรวจ และให้หน่วยดำเนินการคืนบ้านที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้เรียบร้อยภายในวันที่ 22 เมษายน 2567 

มาตรการป้องกันเหตุการณ์ก่อความไม่สงบในพื้นที่ ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กำหนดแผนเผชิญเหตุ หรือมาตรการในการป้องกันการฉวยโอกาสของผู้ไม่หวังดีหรือผู้เสียผลประโยชน์ก่อความไม่สงบในพื้นที่ โดยเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจรักษาความปลอดภัยสถานที่เชิงสัญลักษณ์ สถานที่ราชการ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม และสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ เป็นต้น นอกจากนี้ ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองปราบปรามการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ทุกมิติ และให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ และกองบินตำรวจ จัดเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่และเครื่องมืออุปกรณ์ ให้สามารถสนับสนุนการปฏิบัติโดยเร็วที่สุดเมื่อเกิดเหตุ 

มาตรการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร แบ่งเป็น ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 4-10 เมษายน 2567 , ช่วงควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2567 และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 18-24 เมษายน 2567 ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบังคับการตำรวจจราจร และกองบังคับการตำรวจทางหลวง เตรียมความพร้อมกำลังพล สำรวจ ปรับปรุงเครื่องหมายจราจร ประสานขอคืนพื้นที่จุดซ่อมแซมผิวถนนให้มากที่สุด รวมทั้งสำรวจเส้นทางสำรอง ทางเลี่ยง ทางลัด จัดทำข้อมูลเส้นทางประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน จัดกำลังอำนวยความสะดวกในจุดที่มีการจราจรหนาแน่น พิจารณาเส้นทางที่จะกำหนดเป็นเส้นทางเดินรถพิเศษ (Reversible Lane) โดยเปิดช่องทางพิเศษขาออก 9 สาย 10 จังหวัด รวมระยะทาง 219 กิโลเมตร ส่วนขากลับเปิดช่องทางพิเศษ 9 สาย 14 จังหวัด รวมระยะทาง 238 กิโลเมตร รวมทั้งกำหนดเส้นทางที่ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินรถในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด และกำชับตำรวจทางหลวงและตำรวจท้องที่จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว เพื่อลงไปแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนหากเกิดอุบัติเหตุหรือต้องการความช่วยเหลือ อย่างรวดเร็วทันท่วงที

นอกจากนี้ ได้กำชับให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อมุ่งเน้นการลดอุบัติเหตุทางถนนตามมาตรการ 10 ข้อหาหลัก และพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 กรณีห้ามจำหน่ายสุราในเวลาห้าม ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่กฎหมายกำหนด ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี และบุคคลที่มีอาการมึนเมาจนครองสติไม่ได้ รวมทั้งกรณีเกิดอุบัติเหตุจราจรที่มีคู่กรณี หรือมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ให้พนักงานสอบสวนทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ทุกราย และดำเนินคดีให้ครบทุกข้อหา ส่วนผู้ขับขี่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ให้ขยายผลถึงผู้จำหน่าย ผู้ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร

มาตรการประชาสัมพันธ์ ให้โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งโฆษกทุกหน่วย และกองสารนิเทศ ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสาร แจ้งเตือน และขอความร่วมมือประชาชนในการป้องกันอาชญากรรม การประทุษร้ายต่อทรัพย์ หรืออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เส้นทางในการเดินทางให้เกิดความสะดวก ปลอดภัย โดยประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เช่น สวพ.91 , จส100 ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไปยังพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติวางมาตรการดูแลพี่น้องประชาชนในช่วงเทศการสงกรานต์ทุกมิติอย่างเต็มที่ ร่วมทั้งการดูแลความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้มีการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการแจ้งเหตุ ขอความช่วยเหลือ สามารถใช้หมายเลขสายด่วน 191 หรือสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 หรือในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top