Tuesday, 1 July 2025
NewsFeed

‘จีน’ ออกแผนส่งเสริมความเจริญร่วมกัน ผ่าน ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ หนุนสร้างความสมดุลในการพัฒนา-อุดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

(27 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า สำนักข้อมูลระดับชาติของจีน รายงานว่า จีนได้ออกแผนการดำเนินงานว่าด้วยการสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยิ่งใหญ่และดีขึ้น

แผนการข้างต้นร่วมออกโดยสำนักฯ และคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ มุ่งสนับสนุนการบูรณาการเชิงลึกของเทคโนโลยีดิจิทัลและภาคเศรษฐกิจจริง พร้อมกับแก้ไขปัญหาการพัฒนาอันไม่สมดุล และไม่เพียงพอผ่านวิธีการทางดิจิทัล

จีนควรมีความก้าวหน้าเชิงบวกในการอุดช่องโหว่ระหว่างภูมิภาค พื้นที่เมืองและชนบท กลุ่มประชากรที่แตกต่างกัน ตลอดจนการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลภายในปี 2025

ต่อจากนั้น จีนควรมีความก้าวหน้าอันเป็นรูปธรรมในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลภายในปี 2030 โดยมีชุดแนวปฏิบัติทางนวัตกรรมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก พร้อมใช้ซ้ำและส่งเสริมทั่วประเทศ

แผนการข้างต้นกำหนดการเตรียมการ 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ ส่งเสริมการพัฒนาระดับภูมิภาคเชิงประสานผ่านเศรษฐกิจดิจิทัล เดินหน้าการพัฒนาทางดิจิทัลในชนบท เพิ่มพูนความรู้ทางดิจิทัลของสาธารณชนเพื่อการจ้างงานที่ดีขึ้น และเกื้อหนุนการบริการทางสังคมอันครอบคลุมผ่านวิธีการทางดิจิทัล

แทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์แห่งปี

แม้วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ภายใต้บรรยากาศภายในพรรคที่ยังคงคลุมเครือ และมีความห่วงใยในอุดมการณ์ของพรรคที่อาจเลือนหาย 

แต่กับชายคนนี้ ‘นายแทนคุณ จิตต์อิสระ’ หรือ ‘อี้ แทนคุณ’ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ เขายังคงเชื่อในอุดมการณ์แห่งพรรคการเมืองเก่าแก่แห่งนี้ และไม่เคยคิดที่จะหนีหายไปไหน แม้ในวันที่พรรคจะเจอหลากปัญหาถาโถมเพียงใดก็ตาม โดยคุณอี้ได้เปิดเผยความในใจว่า...

หากให้พูดถึง ทิศทางในอนาคตของ ‘ประชาธิปัตย์’ คงต้องมองที่ ‘เอกภาพทางความคิด’ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดมากกว่า โดยส่วนตัวของผมเองมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ได้บทเรียนหลายประการจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา หรือแม้แต่การเลือกตั้งก่อนหน้านั้นก็ดี ว่า การที่เราไม่สามารถสร้าง ‘เอกภาพ’ หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน ‘ทางความคิด’ ได้ อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต

แน่นอนว่า เราอาจจะภูมิใจว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่มีเสรีภาพในการคิดหรือพูดได้อย่างมากมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่ในวันที่เราต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน การมีเอกภาพทางความคิดสำคัญมากจริง ๆ เพราะเสรีภาพจากจำนวนคนในพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคเรือนแสนคนนั้น มันอาจทำให้เราหลงทิศ 

เราฟังความคิดที่หลากหลายได้ครับ!!

แต่สุดท้าย!! เวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องใด ทุกคนที่เป็นเลือด ปชป.ควรมุ่งมั่นและมีวินัย ในการเดินหน้าตามครรลองของความเป็นพรรคแห่งที่มีความเชื่อมั่นจากประชาชนในด้าน ‘ความซื่อสัตย์’ ใช่หรือไม่? เรื่องนี้สำคัญ!!

คุณอี้ กล่าวต่อว่า 77 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้ คือ ใหญ่มาก และสิ่งที่สำคัญต่อพวกเรามาก ๆ ในหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ ‘ป่า’ ซึ่งป่าในที่นี้ก็คือ ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘ประชาชน’ ที่สร้างเราให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า พรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคแห่งความซื่อสัตย์ ฉะนั้นต่อให้เราจะยืนหยัดมานานแค่ไหน แต่เราจะลืม ‘ประชาธิปไตย-ประชาชน’ ที่ปลุกปั้นให้เรามีตัวตนไม่ได้ 

ผมเชื่อว่า ‘ความสุจริต’ ประชาธิปไตยที่สุจริต จะเป็นจุดแข็งที่สุดของประเทศไทย เพียงแต่วันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่า มันจะหายไปเพียงเพราะความเห็นแก่ผลประโยชน์เพียงชั่วขณะแค่ไหน

ทั้งนี้ อี้ แทนคุณ ยังกล่าวอีกว่า การได้อยู่กับพรรคที่มีอุดมการณ์ในแง่ของความรักชาติบ้านเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคอื่น ๆ ใช่ว่าจะไม่มีอุดมการณ์ที่กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นผ่านการทำงานทั้งการเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ไม่เคยมีข้อครหาในเรื่องของคอร์รัปชัน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็งและเป็นอุดมการณ์ที่มั่นคงของพรรคประชาธิปัตย์มายาวนาน และหวังให้ประเทศไทยใช้สิ่งนี้เป็นจุดแข็งของประเทศด้วยในอนาคต

อย่างตอนที่สมัยรัฐบาลท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนั้นพอเกิดปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย เช่น ปัญหาปลากระป๋องเน่า ท่านอภิสิทธิ์ก็ให้รัฐมนตรีที่ดูแลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกทันที ซึ่งภาพแบบนี้เราคงเคยเห็นที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นกันมาบ้าง ทั้ง ๆ ที่บางทีปัญหานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้นโดยตรง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในความรับผิดชอบของเขา ก็ต้องพร้อมจะโค้งคำนับและลาออกทันที ไม่ใช่โค้งคำนับแล้วก็ไม่ลาออกเหมือนนักการเมืองไทย นี่คือประชาธิปัตย์

ดังนั้น ส่วนตัวของผมเอง ก็อยากเห็น ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่หล่อหลอมเรื่องเหล่านี้มายาวนาน จนกลายเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคที่ชัดเจน ไม่ปล่อยให้ ‘ความซื่อสัตย์’ นี้ เลือนหายไปในวันข้างหน้า

ผมขออนุญาตทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวของ ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า...

“ถนนทุกสายในเมืองไทย สามารถปูด้วยทองคําได้ ถ้าไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน”

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร นักการเมืองสายครีเอตแห่งปี

เป็นเรื่องที่เห็นได้ไม่บ่อยนักในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ ‘ผู้หญิง’ จะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในแวดวงการเมือง อาจเพราะความเคยชินและการเหมารวมไปว่า ‘การเมือง’ เป็นเรื่องของ ‘ผู้ชาย’ ซึ่งถูกผูกโยงไปถึงเรื่องเพศ การต่อสู้ ฟาดฟัน และความแข็งแกร่ง

แต่ในปี 2566 ‘ผู้หญิง’ ที่ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาททางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่งก็คือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งก้าวเท้าเข้ามาแตะวงการการเมืองครั้งแรกเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2564 ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย

ในครั้งนั้นอุ๊งอิ๊งได้ให้สัมภาษณ์อย่างถ่อมตัวว่า “ไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่ทำงานในฐานะที่ปรึกษาพรรค จะมาทำด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ มาด้วยหัวใจที่อยากจะผลักดันให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสที่มากขึ้นกว่านี้ ส่วนโอกาสที่จะมาทำงานการเมืองต่อหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ขอเป็นที่ปรึกษาพรรค และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด นี่คือก้าวแรกที่ได้เป็นที่ปรึกษาก็ยังตื่นเต้น กลัวทำได้ไม่ดี ขอเอาตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน อย่างอื่นไว้ทีหลัง”

ภายหลังรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ก็ได้เดินหน้าลุยงานทันที โดยไปร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ และไอเดียใหม่ ๆ กับกลุ่ม UNISEC และกลุ่ม SpaceZap ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนและผู้ที่มีความสนใจในด้านอวกาศ นอกจากนี้ยังคิดค้นนโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์’ ปลดปล่อยศักยภาพคนไทย สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง อีกด้วย

และเมื่อประเทศไทยใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็จัดเคมเปญ ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ ให้ว่าที่ผู้สมัคร สส. ของพรรค ได้มีส่วนร่วมในการ ‘หาสมาชิก’ เป็นฐานในการ ‘คัดคน’ ลงสมัครเลือกตั้ง ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ จึงได้สวมหมวก ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ อีกหนึ่งใบ โดยเปิดตัวที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง

ต้องยอมรับว่า ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ ทำหน้าที่ ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ อย่างเต็มที่และสุดกำลังจริง ๆ เพราะขณะเดินสายหาเสียงทั่วประเทศ ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคในการเดินทางไปเหนือ อีสาน เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน เพราะก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อหวังให้เกิดปรากฏการณ์ ‘แลนด์ไลด์ เพื่อไทยทั้งแผ่นดิน’

ในเวลาต่อมา พรรคเพื่อไทยได้เปิดรายชื่อ 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีชื่อ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ปรากฏเคียงคู่กับอีก 2 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ คือ เศรษฐา ทวีสิน และ ชัยเกษม นิติสิริ 

อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยได้จังหวะผงาดจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกับมี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 หลังจากนั้นนายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทำให้ตำแหน่งนี้ว่างลงอีกครั้ง

และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทย ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี ครั้งที่ 1/2566 มีวาระสำคัญคือการเลือกกรรมการบริหาร (กก.บห.) ชุดใหม่ โดยในที่ประชุมมีมติโหวตให้ ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเธอเลยก็ว่าได้

ไม่เพียงแค่ได้เป็น ‘หัวหน้าพรรคเพื่อไทย’ เท่านั้น เธอยังนั่งตำแหน่ง ‘รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์’ ซึ่งจะเดินหน้าผลักดันซอฟต์เพาเวอร์ไทยให้เลื่องลือไปทั่วโลก พร้อมขับเคลื่อนโครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ สร้างรายได้ให้ครัวเรือน และสร้างตำแหน่งงานของแรงงานทักษะสูงกว่า 20 ล้านตำแหน่ง 

นอกจากนี้ยังมุ่งผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยทั้ง 11 สาขา ภายใต้กรอบงบประมาณ 5,164 ล้านบาท โดยเน้นหนักไปที่ ‘อุตสาหกรรมเฟสติวัล’ ซึ่งจะประเดิมเทศกาลแรกคือ ‘World Water Festival’ มหาสงกรานต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จัดที่ถนนราชดำเนิน และคาดว่าเงินจะสะพัดไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท

ก็ต้องยอมรับเลยว่า นี่คือ ‘ภารกิจระดับชาติ’ ที่วางอยู่บนบ่าของ ‘ผู้หญิง’ ที่ชื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ ก็หวังเหลือเกินว่า เธอจะใช้ความเป็นคนรุ่นใหม่ และวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนจากต่างประเทศ มาผนวกเป็นพลังส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ และจะ ‘คิดใหญ่-ทำเป็น’ ในเรื่องสร้างสรรค์ที่จะส่งผลดีต่อประเทศไทยในระยะยาว จนประสบผลสำเร็จอย่างมหาศาล 

…หากวันนั้นมาถึง ประเทศไทยก็จะก้าวสู่ประเทศที่ผู้คนทั่วโลกรู้จัก จดจำ และยอมรับมากยิ่งขึ้น

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

แอนโทเนีย โพซิ้ว นางงามแห่งปี

แม้จะชวดมงฯ 1 ไป แต่บอกเลยว่า ‘ได้ใจ’ คนไทยไปเต็ม ๆ สำหรับ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ Miss Universe Thailand 2023 ผู้สร้างประวัติศาสตร์แก่ประเทศไทย ด้วยการเข้ารอบลึกที่สุดในรอบ 35 ปี บนเวที Miss Universe 2023 ด้วยการคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 1 มาครอง

นอกจากตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 1 แล้ว ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ ยังได้สร้างความประทับใจให้แก่ทุกคน รวมถึงสื่อมวลชนด้วย โดยสื่อประเทศเจ้าภาพอย่าง ‘เอลซัลวาดอร์’ ชื่นชมและยกย่อง ‘ชุดเทพธิดาอาณาจักรอยุธยา’ ที่แอนโทเนียสวมใส่ ให้เป็น 1 ใน 10 ชุดที่ดีที่สุดบนเวที Miss Universe 2023 ในรอบชุดประจำชาติ ซึ่งชุดนี้ได้รับแรงบันดาลมาจากรูปปั้น ‘พระแม่ธรณี’ ในช่วงยุคอยุธยาที่สามและสี่ของอาณาจักรสยาม ที่มีอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 14 ถึง 18 

ส่วนการแต่งกายและเครื่องประดับถูกสร้างให้เหมือนกับรูปปั้นจากอาณาจักรอยุธยา จิวเวลรีรวมกับการใช้ลวดเส้น และใช้สีหินและพลอยคำที่มีค่าเพื่อสอดคล้องกับข้อมูลธรณีวิทยาที่บันทึกไว้จริงจากสมัยนั้น อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณแอนโทเนีย ที่โชว์ความเป็นไทยไปเฉิดฉายสู่สายตาชาวโลก

คราวนี้เรามาทำความรู้จักกับเธอให้ลึกกว่านี้กัน แอน หรือ แอนโทเนีย โพซิ้ว เกิดวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 เป็นนางงามและนางแบบลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก คุณแม่เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา และคุณพ่อเป็นชาวเดนมาร์ก จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก หลักสูตรนานาชาติ สาขาวิชาการตลาดและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด 

ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีต ต้องยอมรับเลยว่า แอนโทเนีย โพซิ้ว เป็นสาวมากความสามารถ และไม่เคยยอมแพ้ หากไล่ดูจากผลงานการประกวดที่ผ่านมา ซึ่งมีดังนี้

>> เข้าร่วมแข่งขัน ‘เดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซัน 1’ ผ่านเข้ารอบ 15 คน และเป็นลูกทีมของเมนเทอร์พลอย และได้ยุติการแข่งขันในสัปดาห์ที่ 7 เนื่องจากเมนเทอร์ลูกเกดได้คัดเธอออกจากการแข่งขัน ซึ่งทำให้เธออยู่ในอันดับที่ 10 ของรายการ

>> เข้าร่วมการประกวด ‘มิสซูปราเนชันแนลไทยแลนด์ 2019’ และสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาครองได้สำเร็จ พร้อมเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดมิสซูปราเนชันแนล 2019 ณ ประเทศโปแลนด์

>> หลังจากชนะเลิศที่ไทยไป แอนโทเนียได้เป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมประกวด ‘มิสซูปราเนชันแนล 2019’ และสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาครองสำเร็จ โดยการประกวดครั้งนี้ถือว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์กับเวทีมิสซูปราเนชันแนลของนางงามชาวไทย เพราะเธอเป็นตัวแทนจากประเทศไทยคนแรกที่สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาครอง และเป็น ‘มิสซูปราเนชันแนลคนที่ 11 ของโลก’

เรียกได้ว่า…ผลของความพยายามทำให้แอนโทเนียสามารถคว้าตำแหน่ง Miss Universe Thailand 2023 และตำแหน่งรองชนะเลิศอับดับ 1 Miss Universe 2023 มาครอบครองได้ และก้าวขึ้นสู่ ‘นางงาม’ ที่ครองใจมหาชนได้อย่างแท้จริง

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ศิลปินระดับโลกแห่งปี

สาวเอเชียผู้ทรงอิทธิพลระดับโลก ลิซ่า ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ศิลปินมากความสามารถ ที่ไม่ว่าจะขยับทำอะไร ก็มักถูกหยิบยกมาเป็นกระแสไปหมด ไม่ว่าจะเป็นของใช้ เครื่องประดับ อาหารการกิน โดยเฉพาะเมื่อเธอกลับเมืองไทยและถ่ายรูปลงโซเชียลอวดสายตาชาวโลก ก็จะกลายเป็นกระแสทำให้แฟน ๆ แห่ไปตามรอยกันเพียบ ช่วยสร้าง Soft Power ให้แก่ประเทศไทยไปในตัว เช่น นุ่งผ้าซิ่นลายไทย ถือยาดมหงส์ไทย ดื่มนมถุงหนองโพ โรตีสายไหม และล่าสุดได้โผล่ไปร้าน ‘เจ๊ไฝ’ ร้านดังระดับมิชลินในไทย ก็ฟันธงได้เลยว่า…ร้านแน่นยิ่งกว่าเดิมแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ลิซ่า ถือว่าประสบความสำเร็จสุด ๆ ไม่ว่าจะในฐานะสมาชิกวง BLACKPINK หรือศิลปินเดี่ยว โดยการันตีได้จากรางวัลที่ได้รับ แถมล่าสุดยอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมก็พุ่งทะลุ 100 ล้านไปแล้วด้วย

คราวนี้มาดูกันว่าในปี 2023 ‘ลิซ่า’ มีผลงานเด่น ๆ อะไรบ้าง

>> เดินหน้าสร้างสถิติไม่หยุด ‘ลิซ่า’ กลายเป็นศิลปินหญิงคนแรกของโลก ที่มียอดวิวแตะแสนล้านวิว บนแอปพลิเคชัน TikTok ด้วยแฮชแท็กชื่อของเธอเอง ‘#LISA’ แม้เธอจะไม่มีบัญชีที่เป็นทางการบน TikTok 

>> สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นศิลปิน K-Pop คนแรกที่ถูกจารึกชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศ ‘Asian Hall of Fame’ ประจำปี 2023 ในฐานะไอคอนทางวัฒนธรรม

>> ทำเอาแฟน ๆ หายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อตัดสินใจร่วมแสดงบนเวทีคาบาเรต์ชื่อดังของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสอย่าง ‘Crazy Horse’ ซึ่งโด่งดังในเรื่องการแสดงสุดเซ็กซี่โดยนักเต้นเปลือยกายพร้อมศิลปินในแขนงต่าง ๆ ที่จะผลัดกันมาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนยามค่ำคืน แต่เหตุผลที่ ‘ลิซ่า’ ร่วมโชว์นั้น ส่วนหนึ่งเพราะเธอเป็นแฟนคลับ Crazy Horse และมาชมการแสดงอยู่บ่อยครั้ง เลยเป็นเหตุผลให้เธอตัดสินใจที่จะลองทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง

>> ‘Influencer Magazine UK’ นิตยสารสัญชาติอังกฤษ ได้ยกตำแหน่ง Beauty Mogul of the Year หรือ ผู้ที่งดงามทรงอิทธิพลที่สุดแห่งปี 2023 จาก Wins IMA 2023 ให้ลิซ่าเพื่อการันตีความสวยที่เกินต้าน 

>> ‘ลิซ่า’ กลายเป็น ‘ศิลปินเดี่ยว K-Pop คนแรก’ และ ‘ศิลปิน K-Pop หญิงคนแรก’ ที่มียอดสตรีมทะลุ 1 พันล้านครั้งบน Spotify จากเพลง ‘Money’ นอกจากนี้ยังเป็นศิลปินเดี่ยวคนแรกที่ได้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ยอดนิยมสุดปังอย่าง Today’s Top Hits หลังจากปล่อยเพลง ‘Money’ เมื่อปีก่อนอีกด้วย 

>> นับเป็นรางวัลแห่งเกียรติยศ เมื่อ 4 สาว BLACKPINK ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ MBE-Member of the Most Excellent Order of the British Empire จากพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในฐานะทูตสิ่งแวดล้อม COP26 

>> Guinness World Records ยกย่องให้ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ขึ้นแท่นศิลปินเดี่ยว K-POP  ที่ยิ่งใหญ่แห่งปี 2023 และเป็นที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะเธอเป็นศิลปินเดี่ยว K-POP ที่มีชื่อถูกบันทึกลง Guinness World Records ถึง 8 รายการ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดที่ศิลปินเดี่ยวชาวเอเชียเคยทำได้

เรียกได้ว่าผลงานของลิซ่าในปีนี้ช่างโดดเด่นมากมายจริง ๆ และหวังว่าในปีต่อ ๆ ไป ‘ลิซ่า’ จะมีผลงานปัง ๆ มาให้แฟน ๆ ทั่วโลกได้ติดตามเชียร์และชื่นชมกันอีกเยอะ ๆ 

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

สลายขั้ว การเมืองไทย ‘เพื่อไทย’ ผนึก 2 ลุง เพื่อชาติ

ว่ากันว่าช่วงเวลา 79 วัน ตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 66 ถือเป็นช่วงเวลาที่ ‘เพื่อไทย’ น่าจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทางออกประเทศไทย หลังผลการเลือกตั้งออกมาในทิศทางที่ทำให้ประเทศชาติเดินหน้าได้อย่างมากที่สุด

การหักอก ‘ก้าวไกล’ อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ยาก แต่เมื่อเงื่อนไขของพรรคก้าวไกลที่ยังรั้นกับการดัน 112 แบบสุดซอย ก็จำเป็นที่จะต้องผ่าทางตันประเทศ ด้วยการตัด ‘ก้าวไกล’ ออกจากสมการทางการเมือง

การประกาศ ‘ถอนตัว’ ของพรรคเพื่อไทยจากเอ็มโอยู และเดินหน้าไปจับขั้วกับพรรคการเมืองที่บรรลุข้อตกลงเดียวกันอย่างชัดเจน คือ ‘ไม่แตะต้อง 112’ จึงเหมือนเป็นการผลักพรรคก้าวไกลให้ต้องไปนั่ง ‘ฝ่ายค้าน’ โดยปริยาย ซึ่งแม้เรื่องนี้จะไม่เกินความคาดหมายของคอการเมือง แต่ก็ต้องยอมรับว่า นี่คือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของการสร้างความสมานฉันท์แก่ประชาชนคนไทยที่แตกแยกทางความคิดกันมานานร่วม 2 ทศวรรษ

ว่าแต่ ระหว่าง 79 วันของ ‘พรรคเพื่อไทย’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ มีเหตุการณ์สำคัญใดเกิดขึ้นบ้าง ที่ทำให้ ‘ความชื่นมื่น’ แปรเปลี่ยนไปสู่การ ‘พลิกขั้ว’ ไปสู่ความเป็นหนึ่งของประเทศชาติ…วันนี้เราจะลองมาทบทวนเหตุการณ์ช่วงนั้นกันดู...

>>เดือนพฤษภาคม 2566

(14 พ.ค. 66) เลือกตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งได้ 151 เสียง

(15 พ.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แถลงชัยชนะ และพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

(18 พ.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอีก 6 พรรคหารือจับขั้วตั้งรัฐบาล ณ ร้านอาหารย่าน ถ.สุโขทัย เห็นชอบให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากของผลการเลือกตั้งจากประชาชน

(22 พ.ค. 66) นายพิธา พร้อม 7 หัวหน้าพรรคแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลประชาชน ร่วมกับ 8 พรรคการเมือง โดยมีการเซน MOU ร่วมกันตั้ง ‘รัฐบาลก้าวไกล’ จำนวน 23 ข้อ และ อีก 5 ข้อตกลงแนวทางบริหารประเทศ โดยไม่มีการบรรจุ ม.112 ใน MOU ด้วย

(30 พ.ค. 66) หลังการประชุมร่วม 8 พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาล ‘ชลน่าน-พิธา’ โชว์หวาน ประกบมือเป็นรูปหัวใจ ให้คำมั่นสัญญา ‘เพื่อไทย’ พร้อมล่มหัวจมท้าย ‘ก้าวไกล’ ไม่ว่าจะอยู่สถานะไหน พร้อมลั่น ‘ดีลลับ-ดีลล้วง’ ไม่มี จะมีก็แต่ ‘ดีลรัก’

(24 พ.ค. 66) ‘ก้าวไกล’ เจอดรามาทั้งปมประธานสภาฯ ที่จัดสรรไม่ลงตัวระหว่าง ก้าวไกลและเพื่อไทย

(30 พ.ค.2566) ‘พิธา’ นั่งวงหารือ 8 พรรคร่วม ณ ที่ทำการพรรคประชาชาติ ยังไม่คุยตำแหน่งประธานสภา

>> เดือนมิถุนายน 2566

(2 มิ.ย. 66) นักร้องปมหุ้น ITV อีกหนึ่งนาย อย่าง ‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ นำพยานหลักฐานหุ้น ITV ต่อ กกต. ส่วน ‘พิธา’ ย้ำ!! ไม่หวงปมหุ้น มั่นใจ!! เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลได้

(9 มิ.ย. 66) กกต. มีมติไม่รับ 3 คำร้อง ปมหุ้นไอทีวี แต่มีมติรับเรื่องไว้พิจารณาตามความปรากฏ ม.151 เหตุรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแต่ยังฝืน โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน

(27 มิ.ย. 66) นพ.ชลน่าน ยืนยันว่ารัฐบาลข้ามขั้ว จะไม่เกิดขึ้น และเชื่อว่า การเจรจาระหว่างก้าวไกล กับเพื่อไทยจะเป็นไปได้ด้วยดี

(27 มิ.ย. 66) พรรคก้าวไกล เข้ารายงานตัวต่อสภา พร้อมใจสวมเสื้อสกรีนคำว่า ‘เราคือผู้แทนราษฎร เรามาจากประชาชน’

>> เดือนกรกฎาคม 2566

(1 ก.ค. 66) เปิดข้อตกลงร่วม ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’ สู่การเสนอชื่อ อาจารย์ ‘วันนอร์’ เป็นประธานสภาฯ ส่วนรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เป็นของก้าวไกล และรองประธานสภาฯ คนที่ 2 เป็นของเพื่อไทย

(13 ก.ค.2566) โหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ‘พิธา’ รอบแรกไม่ผ่าน

(14 ก.ค. 66) นพ.ชลน่าน ย้ำไร้แผน 2 เลือกนายกฯ และยืนยัน 8 พรรคต้องหาข้อสรุปร่วมกัน เพื่อหาแนวทางสู้โหวตนายกฯ รอบ 2

(19 ก.ค. 66) โหวตนายกฯ พิธา รอบ 2 ไม่ผ่านมติเสนอชื่อซ้ำ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้ ‘พิธา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย

(20 ก.ค. 66) นพ.ชลน่าน ยืนยัน 8 พรรคยังจับมือแน่น ไม่คิดข้ามขั้ว คิดแต่เพียงว่า จะวางแผนอย่างไรให้ได้รับเสียงโหวตจากรัฐสภา ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

(22 ก.ค. 66) พรรคเพื่อไทย เปิดบ้านต้อนรับพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุเพื่อหาทางออกให้ประเทศในการจัดตั้งรัฐบาล

(23 ก.ค. 66) พรรคเพื่อไทย เปิดบ้านต้อนรับพรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา หารือทางออกให้ประเทศในการจัดตั้งรัฐบาล

(27 ก.ค.2566) เลื่อนพิจารณาโหวตนายกฯ รอบ 3

(28 ก.ค. 66) พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน มติเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีโหวตชื่อ ‘พิธา’ รอบ 2

>>เดือนสิงหาคม 2566

(2 ส.ค. 66) นพ.ชลน่าน แถลงปิดฉากความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นการฉีก MOU ทั้ง 2 ฉบับ พร้อมให้ก้าวไกล เป็นฝ่ายค้าน และเสนอชื่อ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ ซึ่งได้เสนอในวันที่ 4 ส.ค.

(3 ส.ค. 66) ศาลรัฐธรรมนูญ เลื่อนพิจารณาคำร้องเสนอชื่อ ‘พิธา’ โหวตนายกฯ รอบ 2 โดยให้เลื่อนเป็นวันที่ 16 ส.ค. เวลา 09.30 น. ตามมาด้วยเวลา 14.00 น. ‘วันนอร์’ สั่งเลื่อนโหวตนายกฯ รอบ 3 ขณะที่พรรคเพื่อไทย เลื่อนแถลงจับขั้วตั้งพรรครัฐบาลใหม่ โดยไม่มีพรรคก้าวไกล

(21 ส.ค. 66) พรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดตัว 11 พรรคร่วมรัฐบาลรวม 314 เสียงอย่างเป็นทางการ ก่อนถึงวันโหวตเลือกนายกฯ รอบที่ 3 ในวันที่ 22 สิงหาคม โดยมีพรรค ‘2 ลุง’ ร่วมด้วยตามคาด

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่ได้เข้าร่วมการแถลงข่าว แต่ส่งนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค และนายไผ่ ลิกค์ กรรมการบริหารพรรค มาร่วมแทน

หลังจากนั้นพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรทางการเมืองยืนยันว่า จะเสนอชื่อ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยต่อที่ประชุมรัฐสภา 22 ส.ค. และมั่นใจว่าจะผ่านความเห็นชอบของ สส. และ สว.

(22 ส.ค. 66) บทสรุปของผลการลงคะแนน...
- เห็นชอบ 482 เสียง
- ไม่เห็นชอบ 165 เสียง
- งดออกเสียง 81 เสียง
- ไม่เข้าประชุม 19 เสียง

และนี่คือห้วงเวลาสำคัญของประเทศไทยในช่วงปีที่ 2566 ภายใต้มิติการเมืองไทย ‘สลายขั้ว’ ที่เชื่อว่าหลายคน ‘สมหวัง’ และหลายคนก็คง ‘ผิดหวัง’ กันไปตามระเบียบ

เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ สุดยอดนักกีฬาไทยแห่งปี

‘เทนนิส พาณิภัค’ จากเด็กสาวชาวสุราษฎร์ฯ ผู้เลือกเล่นกีฬาเทควันโดตามพี่ชาย สู่นักกีฬาเทควันโดไทย ดีกรีมือ 1 ของโลก

‘พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’ หรือ ‘น้องเทนนิส’ เกิดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเธอเป็นน้องเล็กสุดของบ้าน ซึ่งเติบโตมาโดยมีทั้งพี่ชายและพี่สาว อีกทั้งครอบครัวของเธอนั้นยังเป็น ‘ครอบครัวนักกีฬา’ อีกด้วย เพราะเธอมีคุณพ่อเป็นครูสอนว่ายน้ำ ส่วนแม่ก็เป็นนักว่ายน้ำและผู้นำเต้นแอโรบิก ทำให้น้องเทนนิสชื่นชอบการเล่นกีฬาทุกชนิดมาตั้งแต่ยังเด็ก จนเมื่ออายุ 7 ขวบ ก็ได้รู้จักกับกีฬา ‘เทควันโด’ เนื่องจากพี่ชายเล่น โดยตอนแรกเธอตั้งใจจะเล่นเพียงแค่เอาความสนุกเพียงเท่านั้น

จนกระทั่ง เมื่อน้องเทนนิสเริ่มเล่นเทควันโดอย่างจริงจัง ด้วยการซ้อมทุกวัน ลงแข่งแทบทุกรายการ โดยมีพ่อเป็นผู้คอยผลักดันและสนับสนุนเธอ ทั้งพาไปซ้อมและพาไปแข่ง แม้ผลที่ได้จะเป็นความพ่ายแพ้ แต่น้องเทนนิสก็ยังไม่ย่อท้อ และมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่องต่อไป

เมื่ออายุ 12 ปี น้องเทนนิสเริ่มได้เหรียญทองจากรายการเล็กๆ และเมื่ออายุ 13 ปี เธอคว้าเหรียญทองกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27 ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ได้สำเร็จ จากการแข่งขันรุ่นไม่เกิน 42 กิโลกรัม ซึ่งรายการดังกล่าวนั้น นับเป็นใบเบิกทาง ใบสำคัญ ที่นำพาน้องเทนนิสไปสู่การเป็นนักกีฬาเทควันโดตัวแทนทีมชาติไทย

ด้วยรูปร่างที่สูงเพรียว หน่วยก้านดีของน้องเทนนิส จึงเข้าตา ‘โค้ช ชเว ยองซอก’ หรือ ‘โค้ชเช’ ผู้ฝึกสอนเทควันโดชาวเกาหลีใต้ จนได้เรียกตัวน้องเทนนิสเข้ามาฝึกซ้อม และคัดเลือกเป็นนักกีฬาเทควันโดตัวแทนทีมชาติไทย

น้องเทนนิสได้สร้างผลงานอันยอดเยี่ยมไว้มากมาย และยังคงเดินหน้าสร้างตำนานอย่างไม่มีสิ้นสุด โดยเธอได้กวาดตำแหน่งแชมป์มาครองแล้ว 18 แชมป์ จาก 21 รายการที่ลงแข่ง ก้าวสู่ตำแหน่งมือ 1 ของโลก 2 สมัย

หลังจากแมตช์ดรามาก่อนจะแซงชนะในยกสุดท้าย จนสามารถคว้าเหรียญทองเทควันโด ซึ่งเป็นเหรียญทองแรกให้กับทัพนักกีฬาไทย ในเอเชียนเกมส์ 2022 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน 

ล่าสุด น้องเทนนิสได้สร้างสถิติสุดโหดอีกครั้ง โดยเธอสามารถเอาชนะคู่ปรับเก่าจากสเปน จนคว้าแชมป์เทควันโด เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ไฟนอล 2023 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ได้สำเร็จ โดยการคว้าแชมป์นี้ นับเป็นสมัยที่ 12 ซึ่งมากที่สุดของนักกีฬาหญิงในรายการนี้ และยังถือเป็นการคว้าแชมป์รายการระดับนานาชาติ เป็นรายการที่ 51 อีกด้วย

ตลอดเส้นทางการแข่งขันกีฬาเทควันโดมากว่า 15 ปี ความผิดหวัง และความพ่ายแพ้ที่น้องเทนนิสได้รับ ไม่ใช่อุปสรรคหรือลดทอนกำลังใจของเธอลงไปได้ แต่กลับกลายเป็นพลังที่ทำให้เธอแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม น้องเทนนิส จอมเตะวัย 26 ปี ได้เคยประกาศอย่างไม่เป็นทางการในการเลิกเล่นทีมชาติ หลังจบศึก โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

ปราชญ์ เทวานฤมิตรกุล เด็กเก่งแห่งปี

‘น้องไอซ์-ปราชญ์ เทวานฤมิตรกุล’ เด็กไทยผู้เพียรพยายาม ที่ฝันอยากจะเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จนสามารถสอบชิงทุนไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ ได้สำเร็จ และขอกลับมาทำงานที่บ้านเกิด หลังเรียนจบ…

‘น้องไอซ์-ปราชญ์’ จบระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดดอนทอง จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วสอบเข้าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ในระดับมัธยมต้น จากนั้นเข้าศึกษาระดับมัธยมปลายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ในแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โดยอยู่ในห้องของเด็กโครงการความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ หรือ ‘Gifted Math’ และเมื่อเรียนจบ ก็ได้สอบชิงทุนและได้รับทุนจาก ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ ไปศึกษาต่อสาขาเศรษฐศาสตร์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ น้องไอซ์ ยังถือเป็นเด็กสายแข่งขันที่กวาดรางวัลมามากมาย เช่น ช่วงมัธยมต้นแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ได้รางวัลเหรียญทอง ช่วงมัธยมปลายแข่งภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ได้รางวัลเหรียญทอง และเป็นผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิก อีกทั้งยังเคยแข่งขันแต่งบทร้อยกรอง ทั้งในระดับโรงเรียนและระดับประเทศ 

จากนั้นก็มุ่งมั่นสอบชิงทุน เนื่องจากมีเป้าหมายไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายตัวเอง และอยากเห็นโลกกว้างมากขึ้น เพื่อตามฝันของตัวเองตอนเด็ก ๆ ที่อยากเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากเท่ดี เพราะจะมีลายเซ็นตัวเองอยู่บนธนบัตร โดยเจ้าตัวมักบอกเสมอว่า “ถ้ากล้าฝันก็ต้องพยายามไปให้ถึง” ซึ่งเขาเริ่มเข้าใกล้ความฝันแล้ว

ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้น้องไอซ์ได้รับทุนจาก ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ ไปศึกษาต่อที่ Northwestern University ประเทศสหรัฐอเมริกา ระดับปริญญาตรี ด้านสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ โดยขณะนี้กำลังขึ้นชั้นปี 2 ภายใต้รูปแบบการเรียนที่เจ้าตัวบอกว่า “จะไม่พยายามกดดันตัวเอง ถึงแม้เวลากดดันตัวเองแล้วคะแนนจะดีขึ้นก็ตาม”

โดยตัวแปรสำคัญที่ส่งเสริมน้องไอซ์ให้มาถึงจุดนี้ได้ คือ ครอบครัว ซึ่งมีส่วนผลักดันเป็นอย่างมาก รวมถึง อาจารย์ และเพื่อน ๆ ฉะนั้น เมื่อเรียนจบ น้องไอซ์จึงตั้งใจว่าจะนำความรู้มาพัฒนาประเทศไทย ซึ่งพร้อมกลับมาทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมองว่า เรียนรู้อะไรมาก็จะใช้ความรู้ที่เรียนมานั้น มาทำงานจริง ๆ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งตอนนี้มี Project ที่น่าสนใจมากมาย เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จากการนำเข้าส่งออก เพื่อส่งเสริมให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางของการประกอบรถยนต์ไฟฟ้า หรือกลายเป็นผู้ผลิตเองทั้งหมด หรือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมาโดยตลอด เป็นต้น

นอกจากนี้ น้องไอซ์ยังได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการเรียนด้วยว่า “การเรียนหรือการพัฒนาตัวเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเรียนโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนอะไรก็ตาม จริง ๆ แล้วอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าเรามองว่าเราทำไม่ได้ ถึงแม้สังคมรอบข้างบอกว่าเราทำได้ เราก็จะทำไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ถ้าเรามีความมั่นใจในตัวเอง และตั้งใจทำมันจริง ๆ ผมก็เชื่อว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จได้ครับ”

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

ลิโอเนล เมสซี สุดยอดนักเตะระดับโลกแห่งปี

ท่าชูนิ้วชี้ขึ้นท้องฟ้าทั้งสองข้างหลังจากทำประตูได้ นับเป็นท่าประจำตัวของนักเตะระดับตำนานอย่าง ‘ลิโอเนล เมสซี’ ซึ่งเป็นท่าที่เขาอุทิศให้กับ ‘เซเลีย’ คุณย่าผู้เป็นที่รัก ผู้จุดประกายความสนใจด้านฟุตบอล และคอยผลักดันให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลระดับโลก น่าเศร้าที่เธอเสียชีวิตไปในปี 1998 และไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเขากลายเป็นสุดยอดนักเตะอย่างในทุกวันนี้ 

…แต่ท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์นี้ของเขาบ่งบอกว่า ‘คุณย่าเซเลีย’ จะอยู่กับเขาตลอดไป

เป็นเวลา 1 ปีแล้วที่ ‘ลิโอเนล เมสซี’ สุดยอดกองหน้าชาวอาร์เจนตินา แห่งฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา ผู้นำทัพอาร์เจนตินาเอาชนะฝรั่งเศส ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ 4-2 หลังเสมอกันในเกมรอบชิงชนะเลิศแบบสุดมัน 3-3 และคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกที่เขารอคอยมากที่สุด ในอาชีพนักเตะมาครองได้ในที่สุด

ภาพของ เมสซี ที่นั่งอยู่บนรถแห่ฉลองแชมป์ฟุตบอลโลก ท่ามกลางแฟนฟุตบอลชาวอาร์เจนตินาที่มาต้อนรับมืดฟ้ามัวดินกว่า 5 ล้านคน เต็มพื้นที่ถนนในกรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา ยังคงเป็นภาพที่ตราตรึงในหัวใจ และสร้างความประทับใจให้ชาวอาร์เจนตินา และแฟนบอลทั่วโลกเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนี้ นับเป็นการได้แชมป์โลกครั้งแรกในรอบ 36 ปี นับจากยุคสมัยของ ‘ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา’ ทำให้ประชาชนชาวอาร์เจนตินาทั้งประเทศมีความสุขถึงขีดสุด

จนกระทั่ง เขาได้ย้ายมาค้าแข้งกับลีกฟุตบอลอย่าง ‘เมเจอร์ลีก ซอกเกอร์’ โดยก่อนหน้านั้น เมสซีได้คว้าแชมป์ ‘ลีกเอิง ฝรั่งเศส’ ให้กับ ‘สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง’

จากนั้นจึงย้ายมาอยู่กับ ‘สโมสรฟุตบอลอินเตอร์ ไมอามี’ และได้คว้าแชมป์อีเอฟแอลคัพ หรือ ‘ลีกคัพ’ ได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นถ้วยแห่งเกียรติยศชิ้นแรกของสโมร หลังจากก่อตั้งทีมขึ้นมาเมื่อ 5 ปีก่อนอีกด้วย และเขายังคงเดินหน้าสร้างผลงานระดับตำนานอย่างต่อเนื่อง

ลิโอเนล เมสซี ดาวเตะวัย 36 ปี ได้รับเลือกคะแนนโหวตสูงสุดในการคว้ารางวัล ‘บัลลง ดอร์’ ของนิตยสารฟร็องส์ ฟุตบอล ประจำปี 2023 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา จากผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาที่พาทีมชาติอาร์เจนตินา คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ เมื่อปลายปีก่อน นับเป็นการคว้ารางวัลลูกบอลทองคำเป็นสมัยที่ 8 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล

และก่อนจะหมดปี 2023 เมสซี ยังคงเดินหน้าคว้าเกียรติยศไม่มีที่สิ้นสุด โดยทางนิตยสาร TIME ได้ประกาศมอบรางวัล ‘นักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปี 2023’ ให้กับ ลิโอเนล เมสซี กองหน้าทีมชาติอาร์เจนตินาและสโมสรอินเตอร์ ไมอามี จากเมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ อีกด้วย

โดยข้อมูลช่วงหนึ่งในนิตยสาร TIME ระบุว่า “ปีนี้ ลิโอเนล เมสซี สามารถทำสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ เมื่อเขาเซ็นสัญญากับอินเตอร์ ไมอามี และเขาเปลี่ยนสหรัฐฯ ให้กลายเป็นประเทศแห่งฟุตบอล” เนื่องจากการมาถึงของเมสซีในครั้งนี้ ยังได้ช่วยกระตุ้นให้ศึกฟุตบอลของสหรัฐฯ อย่าง ‘เมเจอร์ลีก ซอกเกอร์’ มีจำนวนผู้เข้าชมการแข่งขัน ราคาตั๋ว และการขายสินค้าที่ระลึก เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

ปรากฏการณ์สลายขั้ว ‘เหลือง-แดง’ ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใด ก็น่าชื่นชม

ภายหลังจากการเลือกตั้งจบลง ไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทยจะได้รัฐบาลที่มีความหลากหลายในแง่ของขั้วการเมือง ซึ่งบ้างก็ว่าเป็นการสลายขั้วการเมืองครั้งสำคัญ หากแต่ยังเกิดอีกปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ นั่นก็คือ ‘การสลายขั้วเหลือง-แดง’

ไม่ว่าเรื่องนี้จะมองในมุมไหน แต่หากมองในมุมคนไทย ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ดี ที่ให้ความหวังและน่าชื่นชม โดยเรื่องนี้ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยกล่าวไว้ว่า...

“ทุกข์ของคนไทยตอนนี้ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว โดยเฉพาะทุกข์ทางเศรษฐกิจและทุกข์เรื่องทำมาหากินที่ยังฝืดเคือง ดังนั้นการมีข่าวดี ๆ ออกมา ที่ช่วยลดความขัดแย้งแตกแยกในหมู่คนไทยด้วยกันเอง จึงเป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง จงอย่าใจแคบ ความคิดก็อย่าคับแคบ มองภาพใหญ่ให้ออก มองป่าทั้งป่าให้ได้”

นั่นก็เพราะ การสลายขั้วขัดแย้งเหลืองแดงที่ดำรงมายาวนานกว่า 15 ปี แทบจะไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน แต่เมื่อพี่น้องเหลือง-แดงชาวไทย เริ่มเข้าหากัน พูดคุยกันด้วยเหตุและผล จึงถือเป็น ‘ข่าวดี’ สำหรับคนไทยและสังคมไทย Land of Compromise พร้อม ๆ ไปกับการปรับตัวของ ‘ระบบการเมืองไทย’ ที่กลับสู่การเมืองแบบธนาธิปไตย หรือ Money Politics ในสมัยพรรคไทยรักไทย ปี พ.ศ. 2544 หรือเมื่อ 22 ปีก่อน ก่อนที่จะเกิด ‘การเมืองที่แบ่งขั้วขัดแย้งรุนแรง’ (Polarized Politics)

นอกจากนี้ สิ่งตามมา คือ การยุติ หรือหมดหายไปของ ‘วาทกรรมฝ่ายประชาธิปไตย VS ฝ่ายเผด็จการ’ ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อครอบงำคนเสื้อแดง (เพื่อไทย) และด้อมส้ม (ก้าวไกล) ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา

ดังนั้นรัฐบาลใหม่ที่ครองอำนาจรัฐได้ อันที่จริงคือ เพื่อไทย+รัฐบาลชุดเดิม ที่เขี่ยก้าวไกลออกจากวงจรอำนาจให้กลายเป็น ‘พรรคฝ่ายค้านถาวร’ ของระบบการเมืองไทย

ขณะเดียวกัน การกลับเมืองไทย เพื่อ ‘ติดคุกแบบ VVIP’ ของโทนี่ ก็มิใช่การฟื้นคืนชีพของ ‘ระบอบทักษิณ’ แต่ควรมองว่า เป็นการปรองดองทางการเมืองระหว่างตระกูลชินวัตรกับขั้วอำนาจเดิมมากกว่า ซึ่งแต่ก่อนทั้งสองฝ่ายต่างมีบทเรียนจากความขัดแย้งกันในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และตอนนี้สามารถปรับตัวเข้าหากันได้แบบ Win-Win ที่ไม่มีใครกินรวบหรือได้หมด

หลังจากนี้ จึงเป็นยุคที่พรรคการเมืองที่เอาใจใส่ แก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้จริง และทำงานเป็น ถึงจะได้ใจประชาชน เข้าสู่ยุคที่การเมืองไทยจะแข่งขันกันตรงนี้ ซึ่งไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

ประเทศไทยผ่านวิกฤต ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ มาได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนี้ การเมืองไทยจะเดินไปตามระบบที่ควรจะเป็น เพื่อฝ่าวิกฤตปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจ และผลกระทบจากการฟาดฟันกันของประเทศมหาอำนาจ สร้างสุขให้กับคนไทยที่รักและยึดมั่นใน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top