Tuesday, 1 July 2025
NewsFeed

นับถอยหลัง!! 12 ม.ค.67 ปิดโหวตรับความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติช้าง 'ป้องกัน-ระงับ-ปราบปราม' การนําช้างป่ามาสวมสิทธิเป็นช้างบ้าน

(28 ธ.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือ DGA เปิดรับฟังความคิดเห็นเรื่องร่าง พรบ. ช้าง พ.ศ.... เพื่อให้ประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนได้ส่วนเสียได้แสดงความคิดเห็นผ่านทาง https://law.go.th/ โดยประชาชนที่สนใจร่วมแสดงความคิดเห็นสามารถเข้าไปร่วมกันโหวตได้ถึงวันที่ 12 ม.ค. 67 

สำหรับความเป็นมาของการเปิดรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติช้าง พ.ศ. .... เนื่องจาก ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES)) จึงมีความจําเป็นต้องกําหนดมาตรการในการเร่งรัดดําเนินกิจกรรมตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งชาติ โดยเฉพาะการป้องกัน ระงับ และปราบปรามการนําช้างป่ามาสวมสิทธิเป็นช้างบ้าน เพื่อมิให้ประเทศไทยถูกระงับการนําเข้าและส่งออกสัตว์ป่าและพืชป่าตามบัญชีอนุสัญญา CITES อันจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและความน่าเชื่อถือของประเทศ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ จึงได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ที่ 60/2559 เรื่อง มาตรการป้องกันการนำช้างป่ามาสวมสิทธิเป็นช้างบ้าน ลงวันที่ 28 กันยายน 2559 มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยร่วมกันพิจารณายกร่างกฎหมาย เพื่อกำหนดมาตรการในการคุ้มครองช้างไทย ตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ กฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยให้เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการพิจารณายกร่างมาตรการในการคุ้มครองช้างไทย จึงได้พิจารณายกร่างพระราชบัญญัติช้าง พ.ศ. .... ขึ้นตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ที่ 60/2559 เรื่อง มาตรการป้องกันการนำช้างป่ามาสวมสิทธิเป็นช้างบ้าน ลงวันที่ 28 กันยายน 2559

สำหรับผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น สามารถเขียนความคิดเห็นได้ที่ https://law.go.th/listeningDetail?survey_id=MzA4NkRHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ= ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 12 ม.ค. 67

‘ญี่ปุ่น’ ส่งซิกเปิดใช้ ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก’ หลังมีคำสั่งระงับใช้เมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 66 หน่วยงานกำกับพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น ยกเลิกคำสั่งระงับการดำเนินงานของ ‘โรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ’ (Kashiwazaki-Kariwa) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในความเคลื่อนไหวซึ่งอาจปูทางไปสู่การเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้าแห่งนี้อีกครั้ง หลังจากที่ถูกสั่งปิดไปเมื่อ 2 ปีที่ก่อน

‘บริษัท โตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ โค’ (เทปโก) มีความกระตือรือร้นที่จะเปิดใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดยักษ์แห่งนี้อีกครั้งเพื่อลดต้นทุน ทว่าการเปิดโรงไฟฟ้าจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากหน่วยงานท้องถิ่นจังหวัดนีงาตะ (Niigata) ซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นด้วย

โรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ ซึ่งมีกำลังผลิตสูงถึง 8,212 เมกะวัตต์ อยู่ในสถานะ Offline หรือ ‘ไม่มีการผลิตไฟฟ้า’ มาตั้งแต่ปี 2011 หลังจากภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่จังหวัดฟุกุชิมะ ทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจสั่งปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกือบทั่วประเทศในตอนนั้น

ต่อมาในปี 2021 หน่วยงานกำกับนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น (NRA) ได้มีคำสั่งแบนการดำเนินงานของเทปโกที่โรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ หลังพบว่า มีการละเมิดกฎความปลอดภัยหลายอย่าง ทั้งเรื่องมาตรการปกป้องวัสดุนิวเคลียร์ รวมถึงข้อผิดพลาดอื่น ๆ ที่ทำให้พนักงานซึ่งไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงพื้นที่เปราะบางของโรงไฟฟ้าได้

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด NRA ได้ยกเลิกคำสั่งห้ามเทปโกเคลื่อนย้ายเชื้อเพลิงยูเรเนียมใหม่เข้าไปยังโรงงาน หรือโหลดแท่งเชื้อเพลิงลงสู่เตาปฏิกรณ์ โดยอ้างผลตรวจสอบที่พบว่า บริษัทได้แก้ไขปรับปรุงระบบการจัดการจนเป็นที่น่าพอใจ

ราคาหุ้นเทปโกเริ่มดีดตัวขึ้นทันที หลังจากที่ NRA ออกมาแถลงเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ว่ากำลังพิจารณายกเลิกคำสั่งห้ามปฏิบัติการโรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ หลังจากที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและพูดคุยกับประธานเทปโกแล้ว

นับถอยหลัง ‘ไทยสมายล์’ เตรียมปิดฉาก 31 ธ.ค.นี้ พร้อมให้บริการ 4 เที่ยวบินสุดท้าย ก่อนปิดตำนาน

(28 ธ.ค. 66) รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจควบรวมสายการบินไทยสมายล์ โดยระบุว่า พร้อมดูแลลูกค้าของสายการบินไทยสมายล์ให้ได้รับความสะดวกสบายอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจฯ ตามแผนฟื้นฟูกิจการ และโอนย้ายการปฏิบัติการบินและบริการต่างๆ ทั้งหมดจากไทยสมายล์ไปยังการบินไทย ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 เป็นต้นไป 

โดยปัจจุบันเว็บไซต์ thaismileair.com ได้ปิดให้บริการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ขณะที่ศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ (Smile Contact Center) จะให้บริการจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566 เช่นเดียวกับเที่ยวบินของไทยสมายล์ภายใต้โค้ดการบิน WE จะทำการบินวันสุดท้ายในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ โดยมีเที่ยวบินไป-กลับ 4 เที่ยวบินสุดท้าย ประกอบด้วย

- เที่ยวบิน WE249 เส้นทางกรุงเทพฯ - กระบี่ เวลา 18.25 น.
- เที่ยวบิน WE250 เส้นทางกระบี่ - กรุงเทพฯ เวลา 20.20 น.
- เที่ยวบิน WE046 เส้นทางกรุงเทพฯ - ขอนแก่น เวลา 19.40 น.
- เที่ยวบิน WE047 เส้นทางขอนแก่น - กรุงเทพฯ เวลา 21.10 น.
- เที่ยวบิน WE136 เส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงราย เวลา 18.50 น.
- เที่ยวบิน WE137 เส้นทางเชียงราย - กรุงเทพฯ เวลา 20.50 น.
- เที่ยวบิน WE267 เส้นทางกรุงเทพฯ - หาดใหญ่ เวลา 18.40 น.
- เที่ยวบิน WE268 เส้นทางหาดใหญ่ - กรุงเทพฯ เวลา 20.45 น.

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับท่านผู้โดยสารที่ถือบัตรโดยสารของไทยสมายล์ที่ยังประสงค์เดินทางตามกำหนดเดิม บริษัทฯ จะดำเนินการจัดการด้านบัตรโดยสารและการสำรองที่นั่ง โดยท่านผู้โดยสารจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด สำหรับท่านที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการเดินทาง หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ในช่องทาง ดังนี้ 

- เว็บไซต์ thaiairways.com 
- สำนักงานขายการบินไทยและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ 
- THAI Contact Center 0-2356-1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง) หรือที่ [email protected]

ภาพยนตร์ไทยฟีเว่อร์ ‘สัปเหร่อ-ธี่หยด’ โกยรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท

ปีนี้ถือเป็นปีทองของภาพยนตร์ไทยจริง ๆ ดูได้จากกระแสคนไทยพร้อมใจซื้อตั๋ว ตบเท้าเข้าโรงภาพยนตร์กันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงครึ่งปีหลังปี 66 ที่ ‘สัปเหร่อ’ และ ‘ธี่หยด’ เข้าฉาย ก็ปลุกกระแสชมภาพยนตร์ไทยในโรงฯ ให้กลับมามีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น แถมทั้ง 2 เรื่องที่กล่าวถึงยังเดินหน้าทุบสถิติในรอบ 10 ปีอีกด้วย

หากจะนิยามว่า…ปีนี้ ‘ภาพยนตร์ไทย’ กลายเป็น Product ที่สร้างรายได้ให้กับโรงภาพยนตร์เป็นกอบเป็นกำ ก็คงไม่ผิดนัก!! เพราะด้วยเสน่ห์และรสชาติที่ถูกใจคนดู ทำให้ทั้ง ‘สัปเหร่อ’ และ ‘ธี่หยด’ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงและเรียกคนเข้ามาดูในโรงภาพยนตร์ได้ไม่ยาก

เริ่มจาก ‘สัปเหร่อ’ กำกับโดย ‘ต้องเต ธิติ ศรีนวล’ เป็นผลงานภาคแยกของจักรวาลไทบ้านเดอะซีรีส์ ซึ่งจะถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของภาคอีสาน ให้มองเห็นคุณค่าของการมีชีวิต ทำทุกอย่างให้เต็มที่ และดูแลคนที่เรารักให้ดีที่สุด 

โดยเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นในหมู่บ้านโนนคูณในจักรวาลไทบ้าน เล่าถึงชีวิตของ ‘เจิด’ (นฤพล ใยอิ้ม) หนุ่มวัย 25 ปีที่เรียนจบกฎหมาย หวังไปสอบเป็นทนายหรือปลัดอำเภอ แต่พ่อ (อัจฉริยะ ศรีทา) ที่ทำอาชีพสัปเหร่อมีอาการป่วย เขาจึงต้องมาช่วยทำงานแทน ทั้งที่กลัวผีมาก 

และอีกด้านหนึ่ง เล่าชีวิตของ ‘เซียง’ (ชาติชาย ชินศรี) ชายหนุ่มที่ยังทำใจไม่ได้ เพราะแฟนเก่า ‘ใบข้าว’ (สุธิดา บัวติก) ได้เสียชีวิตไป จึงพยายามหาวิธีด้วยการศึกษาทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อที่จะได้พบเธอในโลกหลังความตาย แต่กลับไปพบพ่อของเจิดที่รอการทำพิธีถอดจิตไปโลกความฝัน ซึ่งพ่อเจิดเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำพิธีถอดจิต เลยนำมาสู่ข้อแลกเปลี่ยน เซียงต้องมาช่วยเจิดทำอาชีพสัปเหร่อ โดยสุดท้ายแล้วนั้น…ทุกอย่างมีเวลาของมัน เพราะมันคือธรรมชาติของความจริง ทุกคนเรียนรู้ เข้าใจการยื้อ และการเสียคนที่รักไป

หลังจากสัปเหร่อเข้าฉาย ก็กลายเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์อย่างมาก และส่งผลออกมาเป็นรูปธรรมผ่านการสร้างรายได้แบบถล่มทลาย เพราะหลังจากเข้าฉายเพียงแค่ 25 วัน ก็ทำเงินแตะ 700 ล้านบาทแล้ว อีกทั้ง ยังขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงที่สุดในรอบ 8 ปีด้วย 

นอกจากนี้ ยังมีแผนโกอินเตอร์เข้าฉาย 9 ประเทศในทวีปเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ไต้หวัน, มาเลเซีย, เมียนมา, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเชีย และกัมพูชา บอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ 

อีกหนึ่งภาพยนตร์กระแสแรงก็คือ ‘ธี่หยด’ ภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญ ที่ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อ ‘ธี่หยด’ แว่วเสียงครวญคลั่ง ของ กฤตานนท์ หรือ คุณกิตติศักดิ์ กิตติวิรยานนท์ ผู้เป็นบุตรชายเจ้าของเรื่องราว เล่าถึงความลึกลับชวนขนลุกของเสียง ’ธี่หยด‘ ที่ถูกเขียนเล่าบนกระทู้พันทิปจนกลายเป็นนิยายดัง ก่อนที่คุณกิตจะนำมาเล่าอีกครั้งในรายการ The Ghost Radio ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย ‘คุ้ย ทวีวัฒน์ วันทา’

‘ธี่หยด’ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน พ.ศ. 2515 โดย ‘หยาด’ (เจลีลชา คัปปุน) และครอบครัวอาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแถบ จ.กาญจนบุรี ช่วงหน้าหนาว ‘แย้ม’ (รัตนวดี วงศ์ทอง) ซึ่งเป็นน้องสาวของหยาด เกิดอาการป่วย ประจวบเหมาะกับมีเรื่องราวประหลาด ที่เด็กสาวในหมู่บ้านเริ่มทยอยกันเสียชีวิตปริศนา และหลังจากที่แย้มเผชิญหน้ากับหญิงชุดดำปริศนาที่อาศัยโดดเดี่ยวอยู่กลางป่า ชีวิตแย้มก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 

ซึ่งความประหลาดยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ช่วงเวลายามค่ำคืน คนในครอบครัวเริ่มได้ยินเสียงพูดแปลก ๆ จากแย้มแว่วว่า "ธี่หยด...ธี่หยด..." ขณะเดียวกันกับที่พี่ชายคนโต ‘ยักษ์’ (ณเดชน์ คูกิมิยะ) กลับบ้านเกิดหลังจากปลดประจำการทหาร จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้แย้มหายจากอาการประหลาด และทำให้ครอบครัวมีชีวิตรอดไปจากเสียงเพรียกสยองยามค่ำคืน

เพียงเข้าฉายแค่ 1 วัน ธี่หยดก็สร้างรายได้ทั่วประเทศ 39 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินร้อยล้านไวที่สุดแห่งปี ใช้เวลาเพียงแค่ 3 วัน และโกยรายได้ 500 ล้าน ภายใน 20 วัน 

งานนี้โกยทั้งเงิน ทั้งคำชม และสร้างเสียงหลอนให้คนเอาไปเล่าขานจนสยองทั่วทั้งประเทศกันเลยทีเดียว

นอกจากนี้ 2 เรื่องที่หยิบยกมาแล้ว ก็ยังมี ‘4 Kings 2’ ภาพยนตร์สะท้อนปัญหาสังคม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์เรื่องราวระหว่างสถาบันอาชีวะ นักเรียนตีกัน และคำว่า ‘ครอบครัว’ ซึ่งก็ทำรายได้แตะ 200 ล้านภายใน 2 สัปดาห์

ก็หวังว่ากระแส ‘ชมภาพยนตร์ในโรงฯ’ จะยังคงอยู่ และช่วยให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเติบโตมากยิ่งขึ้น เพราะแรงกำลังสำคัญของวงการนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ บทดี ผู้กำกับเก่ง แล้วจะประสบความสำเร็จ แต่ต้องมีแรงหนุนจากผู้ชมด้วย 

และจะดียิ่งขึ้นหาก ‘รัฐบาล’ เข้ามาหนุนหลัง ปั้นให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์หลักของประเทศ ถึงตอนนั้น เราอาจจะได้เห็นภาพยนตร์ไทยเข้าชิงรางวัลระดับโลกก็ได้!!

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ
 

กิจกรรม ‘แปรอักษรจตุรมิตร’ ‘ความภูมิใจ’ สู่กระแสเรียกร้องให้ ‘ยกเลิก’

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 11-18 พ.ย. 2566 ได้มีการแข่งขันฟุตบอล ‘จตุรมิตรสามัคคี’ ซึ่งเป็นประเพณีการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนชายล้วนเก่าแก่ทั้ง 4 โรงเรียนของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย, โรงเรียนเทพศิรินทร์, โรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยจะจัดขึ้นประทุก 2 ปี ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ 

นอกจากการแข่งขันฟุตบอลแล้ว ยังมีกิจกรรมร้องเพลงเชียร์ที่ถือเป็นการเพิ่มสีสันและบรรยากาศสนุกสนานให้กับงานแข่งขันด้วย และอีกไฮไลต์สำคัญที่พลาดไม่ได้ก็คือ ‘การแปรอักษร’ ของทั้ง 4 สถาบัน ที่ถูกวางแผนและตั้งใจฝึกซ้อมกันมาอย่างดี จนออกมาเป็นภาพที่ประทับใจ 

สำหรับจตุรมิตรสามัคคี ครั้งที่ 30 ปี 2566 ก็จะมีหลากหลายภาพที่น่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นภาพสรรเสริญในหลวงกับพระราชินี ให้กำลังใจหมอกฤตไท หรือเป็นศิลปินท่านอื่น ๆ ให้ได้ชมและยิ้มตามกัน

แต่ทว่า งานจตุรมิตรสามัคคีปี 2566 กลับกลายเป็นประเด็นดรามาร้อน หลังมีศิษย์เก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์ เดินแปะข้อความ “เลิกบังคับแปรอักษร” ตั้งแต่หน้าโรงเรียนเทพศิรินทร์ ไปจนถึงบริเวณโดยรอบสนามศุภชลาศัย ก่อนจะลุกลามเข้าไปในโลกโซเชียลและกลายเป็นดรามาเดือดถึงขั้นติดแฮชแท็ก #เลิกบังคับแปรอักษร บนโลกทวิตเตอร์ (X) ซึ่งมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก และเสียงก็แตกออกเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่านักเรียนที่ร่วมงานจตุรมิตรถูกลิดรอนสิทธิมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการห้ามไปเข้าห้องน้ำ ต้องปลดทุกข์ใส่ขวดแทน รวมถึงการแปรอักษรที่จะมีคะแนนจิตพิสัยให้อีกต่างหาก

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงมีข้อเรียกร้องต่อผู้อำนวยการโรงเรียนในเครือจตุรมิตรในฐานะผู้จัดงานเกิดขึ้นว่าควร ‘ปรับปรุง’ การจัดงาน เช่น เพิ่มเวลาพักให้ชัดเจน เพื่อให้มีเวลากินข้าว พักเข้าห้องน้ำหรือหลบแดด และการขึ้นเชียร์หรือแปรอักษรควรเป็นไปตามความสมัครใจมากกว่าการบังคับกัน

ขณะเดียวกันอีกฝ่ายที่เป็นศิษย์เก่า หรือบุคคลอื่น ๆ ที่เห็นต่าง ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นโต้แย้งไปยังกลุ่มที่ต้องการให้เลิกบังคับแปรอักษร โดยชี้ว่างาน ‘จตุรมิตร’ มาพร้อมกับกิจกรรมแปรอักษร ซึ่งถ้าไม่มีกิจกรรมดังกล่าวก็คงไม่มีงานจตุรมิตร อีกทั้ง เป็นเรื่องที่ทำกันมาจนเป็นประเพณี ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันมีความภูมิใจอย่างยิ่ง 

ทางด้าน ‘วัน อยู่บำรุง’ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย และศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ว่า..“การแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตร ‘การแปรอักษร’ คือความภาคภูมิใจของนักเรียน อาจารย์ ศิษย์เก่า และผู้ปกครอง ทั้ง 4 โรงเรียน” 

เช่นเดียวกัน ‘ดู๋ สัญญา คุณากร’ พิธีกรชื่อดัง และเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบ ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนต่อเรื่องนี้ ระบุว่า…“คุณไม่เคยรับรู้ถึงเกียรติภูมิของโรงเรียน ความอดทน ความเสียสละ การภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน ที่จะสร้างเยาวชนที่มีเกียรติ มีรากเหง้า มีกำลังสติปัญญา และมีความเป็นมนุษย์ …ทั้งหมดต้องถูกหล่อหลอมโดยหลายช่องทาง หลายกิจกรรม มีทั้งยากและง่าย เหน็ดเหนื่อยและลำบาก” กล่าว

แต่ดูเหมือนว่า กระแสเรียกร้อง ‘ยกเลิกแปรอักษร’ จะเป็นเพียงอีเวนต์เล็ก ๆ ชั่วคราวของคนเพียงแค่ไม่กี่คน เพราะเมื่อการแข่งขันฟุตบอล ‘จตุรมิตรสามัคคี’ ครั้งที่ 30 จบลง เสียงเรียกร้องก็เงียบหายไป ตรงข้ามกับความภาคภูมิใจของ ‘ชาวจตุรมิตร’ ที่ยังคงอยู่ และจะอยู่ตลอดไปตลอดกาล

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

‘Xiaomi’ ประกาศเปิดตัว ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ คันแรก ตั้งเป้า!! จะขึ้นเป็นท็อป 5 ผู้ผลิตชั้นนำของโลก

(28 ธ.ค. 66) ‘เสียวหมี่ อีวี’ ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือของเสียวหมี่ ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านรายใหญ่ในจีน ประกาศเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เป็นครั้งแรกในวันนี้ กับรถซีดานรุ่น SU7 พร้อมประกาศเป้าหมายจะขึ้นเป็น 1 ใน 5 บริษัทรถยนต์อีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก

รถอีวี เสียวหมี่ SU7 ซึ่งย่อมาจาก Speed Ultra เป็นรถยนต์ซีดาน 4 ประตูโดยมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อยด้วยกันคือ SU7, SU7 Pro และ SU7 Max รถทั้งหมดจะถูกผลิตโดยบริษัท ปักกิ่ง ออโตโมทีฟ อินดัสทรี โฮลดิง (BAIC) ซึ่งเป็นบริษัทของทางการจีนในโรงงานที่กรุงปักกิ่ง โดยมีกำลังการผลิต 2 แสนคันต่อปี

สำหรับรถรุ่น SU7 จะเป็นเครื่องมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว กำลังสูงสุด 220 แรงม้า และสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้แบตเตอรี่เทอนารี ลิเธียม ส่วนรุ่น SU7 Pro และ SU7 Max จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 495 แรงม้า (มอเตอร์หน้า 220 และมอเตอร์หลัง 275 แรงม้า) และสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 265 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

รายงานข่าวอย่างไม่เป็นทางการระบุว่า รถอีวีคนแรกของเสียวหมี่รุ่นนี้คาดว่าจะมีราคาอยู่ระหว่าง 300,000 - 400,000 หยวน (ราว 1.5 - 2 ล้านบาท)

เล่ย จุน ผู้ก่อตั้งและปราะธานเจ้าหน้าที่บริหารของเสียวหมี่ กล่าวในการแถลงข่าววันนี้ว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการทดลองผลิตรถรุ่นดังกล่าว และคาดว่าจะพร้อมวางจำหน่ายได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

"ด้วยการทำงานอย่างหนักตลอด 15-20 ปีข้างหน้า เราจะก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก โดยมุ่งมั่นที่จะยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมของจีน" เล่ย จุน กล่าว

‘แฟนข่าว’ ถาม!! เหตุ ‘คุยถึงแก่น’ ถูกปลดจากผัง NBT ปี 67 เพราะอยากปรับลุคให้เหมือน ‘เกาหลี’ คือ ครอบงำสื่อใช่หรือไม่?

จากกรณี นายปรเมษฐ์ ภู่โต (ก๊อง) สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ได้ออกมาประกาศว่ารายการคุยถึงแก่น ถูกปลดออกจากผังของ NBT ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป

ล่าสุด (28 ธ.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Pat Sangtum' แฟนข่าวรายการคุยถึงแก่น ได้ออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

SO LONG DOESN'T MEAN YOU'RE GONE.

ข่าวเศร้าใจในวันนี้ คือรายการข่าวคุยถึงแก่น โดยคุณก๊องและน้องหนิง จะไม่อยู่ในผังรายการของ NBT ในปีหน้าอีกต่อไป

รายการคุณภาพทั้งเนื้อหา ความคมคายไหวพริบของผู้เสนอ และฝ่ายเทคนิค ฝ่ายภาพ ที่คล่องแคล่ว จัดภาพได้ตรงเนื้อหาว่องไว ถูกถอดออก เพราะผู้บริหารต้องการปรับให้เป็นช่องที่มีรสชาติและอารมณ์แบบ เกาหีล

คงไม่ได้หมายถึง สไตล์เกาหีล หรือรสนิยมเกาหีล เพราะความลึกซึ้งใน pop culture ของเกาหีลคงมีไม่พอ

แต่น่าจะหมายถึง ‘การควบคุมข่าวอย่างเข้มงวดโดยรัฐบาลเกาหีล’ มากกว่า เพราะ ‘คุยถึงแก่น’ เสนอข่าวตามความจริง ด้วยเสรีภาพของสื่อคุณภาพ ที่ตลกคือ เห่าหอนเรื่อง ซอฟต์เพาเวอร์ของไทยเป็นวรรคเป็นเวร แต่จะเอาช่องของกรมประชาสัมพันธ์ มาทำเป็น เก า หี ล ล ล..ล..ล...

All the best to คุณก้องและน้องหนิง ฝีมือระดับนี้ ฟ้าย่อมมีตา

คนใช้รถ EV กลับบ้านปีใหม่ แย่งกันใช้สถานีชาร์จไฟวุ่น เหตุมีไม่กี่ที่ แม้จะจองผ่านแอปฯ ไว้ล่วงหน้า แต่หากไปไม่ทัน ก็ต้องเสียสิทธิ

(28 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บนถนนมิตรภาพในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ได้มีประชาชนทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการจราจรหนาแน่นหลายจุด

ขณะเดียวกันพบว่า มีประชาชนหลายคนใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่หาสถานีชาร์จไฟฟ้าค่อนข้างยาก เนื่องจากจะมีเฉพาะบางปั๊มน้ำมันเท่านั้น ทำให้ต้องมีการวางแผนการเดินทางมากกว่าผู้ใช้รถยนต์น้ำมันปกติทั่วไป

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. สาขาถนนบายพาสเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ซึ่งมีสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ EV อยู่ 1 สถานี ที่มีสายชาร์จไฟฟ้ารถ EV ได้ครั้งละ 2 คันเท่านั้น ปรากฏว่ามีประชาชนนำรถยนต์ EV มาจอดชาร์จไฟฟ้าเต็มทั้ง 2 คันตลอดเวลา

นายวิเชียร จันทลุน อายุ 44 ปี กล่าวว่า ตนเดินทางจากกรุงเทพฯ จะไปบ้านที่ จ.กาฬสินธุ์ โดยใช้รถยนต์ EV เดินทาง รถคันนี้ชาร์จไฟฟ้าครั้งหนึ่งสามารถวิ่งได้ประมาณ 300 กิโลเมตร แต่ระยะทางกว่าจะถึงกาฬสินธุ์ประมาณ 500 กิโลเมตร ดังนั้น จึงต้องมีการวางแผนการชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ไว้ 2 ครั้ง โดยชาร์จ ที่ จ.นครราชสีมา 1 ครั้ง และชาร์จอีกครั้ง ที่ จ.มหาสารคาม

แต่เนื่องจากสถานีชาร์จไฟฟ้ารถ EV มีน้อย จึงต้องมีการจองชาร์จไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชันไว้ล่วงหน้า ซึ่งพบปัญหาว่า เมื่อจองแล้วเกิดปัญหาการจราจรติดขัด มาไม่ทันเวลาที่จองไว้ ต้องถูกยกเลิกการจองเพื่อให้รถคันอื่นที่มาทีหลังได้ชาร์จไฟแทน ขณะเดียวกันการชาร์จแต่ละรอบก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร อย่างรถของตนเองแบตเตอรี่เหลือ 30% ต้องใช้เวลาชาร์จประมาณ 56 นาทีกว่าจะเต็ม 100%

‘สำนักพุทธฯ’ จ่อลงโทษ ‘พระโจ’ เมืองตรัง หลังโพสต์คลิปรีวิวเที่ยวญี่ปุ่น-พาลุยหิมะ

(28 ธ.ค. 66) จากกรณี ‘Red Skull’ โพสต์คลิปวิดีโอความยาวกว่า 29 นาที เผยให้เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง ถ่ายคลิปรีวิวไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น-พาลุยหิมะ คล้าย Influencer ชาวเน็ตแห่วิจารณ์สนั่น จี้สำนักพุทธฯ ตรวจสอบ

ล่าสุดวันนี้มีรายงานว่า ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ตรัง นายสุขพิชัย เชาวกุล ได้ออกมาพูดถึงกรณีดังกล่าวว่า ได้ประสานไปยังเจ้าอาวาสวัดและเจ้าคณะปกครองแล้ว โดยพระโจจะเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยในวันที่ 30 ธ.ค.นี้

เบื้องต้นทางเจ้าอาวาสวัดได้ว่ากล่าวตักเตือนพระโจแล้วว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่เหมะกับสมณสารูปที่เป็นพระสงฆ์ พร้อมขอให้ลบคลิปออกจากโซเชียลทั้งหมด ไม่ให้เผยแพร่ในสื่อโซเชียล เพื่อเป็นการไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียต่อคณะสงฆ์

ด้าน สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ตรัง ยัน จะมีการลงโทษอย่างแน่นอน เนื่องจากเคยเกิดเหตุในลักษณะนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง โดย ในวันพรุ่งนี้ (29 ธ.ค.) จะมีการประชุมคณะสงฆ์ จ.ตรัง และนำเรื่องนี้เข้าในที่ประชุมใหญ่ของจังหวัดจะไม่นิ่งนอนใจ หรือปล่อยปละให้เรื่องนี้ลุกลามออกไป เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย และดีงาม และเหมาะควรแก่สมณะ

‘พันธมิตรยุโรป’ ข้องใจ!! แผนสกัดการโจมตีจาก ‘กลุ่มฮูตี’ ของสหรัฐฯ หลังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด-คลุมเครือ หวั่นเติมเชื้อไฟความรุนแรงเพิ่ม

‘กองทัพเรือสหรัฐฯ’ เดินหน้าตามแผนปฏิบัติการใหม่ล่าสุด ‘Operation Prosperity Guardian’ (OPG) ผนึกกำลังกับพันธมิตรหลัก ทั้งในยุโรป และตะวันออกกลาง รวมทั้ง แคนาดา และออสเตรเลีย ในการจัดตั้งกองกำลังป้องกันการโจมตีทางทะเลเฉพาะกิจ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดง ที่ตอนนี้กลายเป็นเป้าหมายของ ‘กองกำลังติดอาวุธฮูตี’ จนหลายบริษัทเดินเรือเปลี่ยนเส้นทาง งดแล่นผ่านทะเลแดง เพื่อความปลอดภัยของตน

‘ฮูตี’ เป็นกลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาวมุสลิม นิกายซายดิส นิกายย่อยสายหนึ่งของชีอะห์ ในเยเมน มีบทบาทสำคัญในการลุกฮือของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเยเมน ที่ได้รับการสนับสนุนจากซาอุดีอาระเบียในช่วงกระแสอาหรับสปริง จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในปี 2014 ที่กินเวลานานถึง 10 ปี จนถึงปัจจุบัน ที่มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 3.7 แสนคน และกลายเป็นคนพลัดถิ่นถึง 4 ล้านคน 

กองกำลังฮูตี ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของอิหร่าน และ กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน อีกทั้งยังประกาศตนเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตร ‘Axis of Resistance’ หรือ ‘กลุ่มอักษะแห่งการต่อต้าน’ แนวร่วมที่สนับสนุนกลุ่มฮามาส และต่อต้านการรุกรานของอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์

แผนการโจมตีเรือขนส่งในทะเลแดงของกลุ่มฮูติ เป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้าน และกดดันอิสราเอลให้ยุติการโจมตีทางทหารในฉนวนกาซา หลังจากที่เกิดสงครามเผชิญหน้าระหว่างอิสราเอล-ฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเรือบรรทุกสินค้าลำแรกที่ถูกจี้โดยกลุ่มฮูตี คือ ‘เรือ Galaxy Leader’ เรือสัญชาติบาฮามาส ดำเนินการโดยบริษัทขนส่งญี่ปุ่น ‘Nippon Yusen’ แต่จดทะเบียนโดยบริษัทอังกฤษ ที่มี ‘อับราฮัม เรมี อันการ์’ มหาเศรษฐีชาวอิสราเอลถือหุ้นอยู่

โดยกลุ่มฮูตี ขู่ที่จะโจมตีเรือบรรทุกสินค้าทุกลำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ แหล่งเงินทุนของอิสราเอล และภายหลังครอบคลุมถึงเรือสินค้าที่เทียบท่าเรือของอิสราเอลด้วย ซึ่งจนถึงตอนนี้มีเรือขนส่งที่ถูกกลุ่มฮูตีโจมตีแล้วถึง 12 ลำ โดยอาวุธที่ใช้มีตั้งแต่โดรนพิฆาต, ขีปนาวุธจากพื้นผิวสู่พื้นผิว, ขีปนาวุธนำวิถี, จรวดร่อน และอื่นๆ ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน

ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา กลุ่มฮูตี ยืนยันว่า ได้ใช้โดรนโจมตีท่าเรือเมืองไอลัต ของอิสราเอล และยิงขีปนาวุธโจมตีเรือขนส่ง ‘MSC United VIII’ ที่ออกจากท่าเรือคิง อับดุลลาห์ ของซาอุดีอาระเบีย เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองการาจี ในปากีสถาน หลังจากที่ทางกลุ่มได้ส่งสัญญาณแจ้งเตือนการโจมตีไปแล้ว 3 ครั้ง แต่ทว่าถูกเพิกเฉย

จึงกลายเป็นที่มาของแผนปฏิบัติการล่าสุดของสหรัฐฯ ‘Operation Prosperity Guardian’ (OPG) ในการจัดตั้งกองกำลังป้องกันทางทะเลร่วมกับชาติพันธมิตรอีก 9 ชาติ ได้แก่ อังกฤษ, บาห์เรน, แคนาดา, เดนมาร์ก, กรีซ, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, ออสเตรเลีย และเซเชลส์

รวมกันเป็นหน่วยเฉพาะกิจที่ 153 ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังผสมทางทะเลของสหรัฐฯ ที่ตอนนี้มีเรือพิฆาตของอังกฤษ, เรือรบฟริเกตของกองทัพเรือกรีก และกองเรือของสหรัฐฯ บางส่วน อาทิ  USS Laboon, USS Carney และ USS Mason พร้อมอาวุธ, ระบบต้านขีปนาวุธและโดรนพิฆาต

แต่ทว่าการป้องกันการลอบโจมตีในเขตน่านน้ำทะเลแดงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่เป็นสาเหตุให้อีก 3 ประเทศพันธมิตรใหญ่ และมีกองทัพเรือแข็งแกร่งอย่างฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน ขอถอนตัวตั้งแต่แผน OPG ยังไม่ทันเริ่ม เนื่องจากเป้าหมายของปฏิบัติการ OPG เพื่อรักษาเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเรือพาณิชย์มีความคลุมเครือเกินไป ขอบเขตของแผนการอยู่ที่ตรงไหน กับพื้นที่ทางทะเลตลอดชายฝั่งของเยเมน ในเขตยึดครองของกลุ่มฮูตีที่มีระยะทางถึง 450 กิโลเมตร ที่สามารถยิงขีปนาวุธจากชายฝั่งโจมตีเรือสินค้าที่แล่นผ่านได้ตลอดเวลา

ซึ่งกองทัพเรือสหรัฐฯ และหลายชาติพันธมิตรที่เข้าร่วมแผน OPG มีระบบเรดา และปืนต้านขีปนาวุธที่ทันสมัย สามารถสกัดการโจมตีของกลุ่มฮูตีได้อยู่แล้ว แต่หากต้องจัดเรือรบคุ้มกันเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ ที่เต็มได้ด้วยตู้คอนเทนเนอร์จำนวนมากและเทอะทะ ไม่สามารถแล่นได้เร็ว ก็ไม่ต่างจากเป้านิ่งที่ถูกเล็งได้ง่าย อีกทั้งกัปตันเรือบรรทุกสินค้ามักไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามแผนยุทธวิธีทางทหาร จึงเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการรับมือกับการโจมตี

อีกทั้งข้อจำกัดด้านอาวุธ ที่ติดตั้งภายในเรือรบคุ้มกัน และน้ำมันเชื้อเพลิง หากต้องเคลื่อนขบวนคุ้มกัน ตลอดพื้นที่เสี่ยงจากการโจมตี ที่ต้องใช้เวลาแล่นผ่านอย่างน้อย 16 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับกองกำลังฮูติที่มีคลังแสงสำรองไม่จำกัด และสามารถโจมตีได้ทุกทิศทาง ตลอด 24 ชั่วโมง

และหากปฏิบัติการ OPG หมายถึง ‘การป้องกัน’ นั่นก็หมายความว่า ต้องอยู่ในสถานะเป็นฝ่ายตั้งรับ ซึ่งกลุ่มฮูตีเองก็หาได้เกรงที่จะยิงขีปนาวุธ โจมตีกองเรือรบสหรัฐไม่ และได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อ 19 คุลาคมที่ผ่านมา โดยกองกำลังฮูติได้ปล่อยขีปนาวุธร่อน 4 ลูก กับโดรนพิฆาตอีก 15 ลูก ใส่เรือพิฆาต USS Carney ของสหรัฐฯ ขณะปฏิบัติภารกิจตามแผน OPG อยู่กลางทะเลแดง

ตามความเห็นของกองทัพเรือสหรัฐฯ มองว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสกัดการโจมตีของกองกำลังฮูตี หากไม่มีการโจมตีเชิงรุกจากฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตรในปฏิบัติการ OPG ด้วยการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานขีปนาวุธของกองกำลังฮูตีที่อยู่ในแผ่นดินเยเมน ด้วยขีปนาวุธทำลายล้างสูงคืนไปบ้าง

แต่นั่นก็จะอยู่นอกเหนือขอบเขตของปฏิบัติการ OPG ที่มีไว้เพื่อ ‘รักษาเส้นทางที่ปลอดภัย’ สำหรับเรือสินค้าในทะเลแดง และการโจมตีกลุ่มฮูตีบนภาคพื้นดินในเยเมน มีความสุ่มเสี่ยงที่จะพลาดเป้า หรือขยายวงความขัดแย้งทางการเมืองในตะวันออกกลางมากขึ้น จากจุดเริ่มต้นเดิมที่เขตฉนวนกาซาในปาเลสไตน์เท่านั้น และอาจทำให้กลุ่มพันธมิตรที่เข้าร่วมในแผน OPG ทั้งยวง ถูกพ่วงเข้าไปในประเด็นความขัดแย้งที่มากขึ้น อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้

เพราะไม่มีใครอยากรับเผือกร้อน หรือหากระดูกแขวนคอเพิ่ม ดังนั้น ฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน จึงขอถอนตัวจากปฏิบัติการ OPG โดยอ้างว่าไม่ต้องการอยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การรบของสหรัฐฯ แต่จะส่งเรือฟริเกตไปคุ้มกันเรือสินค้าของประเทศตัวเองจะสะดวกกว่า

ดั่งคำพังเพยที่กล่าวว่า “เรียนผูกได้ ก็ต้องเรียนแก้ได้” แต่ก่อนจะแก้ให้ถูกต้อง ก็ต้องมองให้ออกว่าปมที่เป็นปัญหา และคู่กรณีหลักนั้นอยู่ที่ไหน สุดท้ายปฏิบัติการชื่อเท่ๆ อย่าง ‘OPG’ อาจไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุก็ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top