Tuesday, 1 July 2025
NewsFeed

‘ไบโอเทค-บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร’ จัดอบรม ‘จุลินทรีย์มหัศจรรย์คุมโรคพืช’ ‘เสริมความรู้-สร้างทักษะวิจัย’ ให้แก่เยาวชนชั้น ม.ปลาย จากผู้เชี่ยวชาญ

(27 ธ.ค.66) ในช่วงใกล้ส่งท้ายปี เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ระหว่างวันที่ 12-14 ธ.ค.66) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมจัดกิจกรรมฝึกอบรมเฉพาะทาง ‘จุลินทรีย์มหัศจรรย์คุมโรคพืช’ โดยมีนักเรียนชั้นมัธยมปลายสายวิทย์จากทั่วประเทศกว่า 20 คนเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับจุลินทรีย์ โรคพืช และชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืช รวมถึงได้รับประสบการณ์ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ ลงมือปฏิบัติงานด้วยตัวเองในห้องแล็บ ทดลองทำวิจัยจริง เห็นผลจริง รับถ่ายทอดความรู้จากพี่ ๆ นักวิจัยโดยตรง หวังช่วยจุดประกายพร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้น้อง ๆ เยาวชนสามารถนำไปต่อยอดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ หรือเป็นแนวทางศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ตลอดจนประกอบอาชีพในอนาคตได้

ดร.จันทิรา ปัญญา นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. ได้ให้ข้อมูลว่า ในแต่ละปีพืชเศรษฐกิจของไทยเกิดความเสียหายจากโรคพืชเป็นมูลค่ามหาศาล และเกษตรกรส่วนใหญ่แก้ไขปัญหานี้โดยการใช้สารเคมีซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นพิษสารตกค้างทั้งในตัวผลผลิตและในสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อทั้งผู้บริโภคและตัวเกษตรกรเอง การใช้ชีวภัณฑ์ (Biocontrol) จากจุลินทรีย์ เช่น รา แบคทีเรีย และไวรัส ในการควบคุมหรือกำจัดโรคพืช จึงเป็นปัจจัยทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดหรือทดแทนการใช้สารเคมีทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เพื่อเป็นการถ่ายทอดความรู้และเสริมสร้างประสบการณ์ในการปฏิบัติงานด้านจุลชีววิทยาการเกษตรเกี่ยวกับโรคพืชและการควบคุมโรคพืชด้วยจุลินทรีย์ชีวภัณฑ์ ให้กับเยาวชนที่สนใจ สวทช. โดยฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงร่วมกับทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค ออกแบบหลักสูตรเสริมการเรียนรู้ทางด้านการใช้สารชีวภัณฑ์ควบคุมเชื้อก่อโรคในพืช ภายใต้หัวข้อ ‘จุลินทรีย์มหัศจรรย์คุมโรคพืช’

หนึ่งในทีมวิทยากร นางสาวรัศมี หวะสุวรรณ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมอบรมครั้งนี้เน้นในเรื่องจุลินทรีย์มหัศจรรย์ที่ใช้ในการควบคุมโรคพืช จุลินทรีย์หลัก ๆ คือ Trichoderma (ไตรโคเดอร์มา) ตัวแบคทีเรียที่เป็น Streptomyces (สเตรปโตมัยซีส) และแบคทีเรีย Bacillus (บาซิลลัส) ซึ่งทั้ง 3 ตัวเป็นจุลินทรีย์ที่ใช้ในการควบคุมโรคพืช ที่ทางทีมวิจัยได้คัดเลือกมาแล้ว และมีประสิทธิภาพนำมาสอนน้อง ๆ เยาวชน รวมถึงยังมีจุลินทรีย์ในการควบคุมศัตรูพืชอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแมลง ตัวไส้เดือนฝอย และวัชพืช โดยมุ่งหวังให้เยาวชนที่เข้าอบรมได้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้สารชีวภัณฑ์ที่เป็นจุลินทรีย์ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้รวมถึงผู้บริโภค เป็นทางเลือกให้นำไปเผยแพร่ เพราะการใช้ชีวภัณฑ์นั้นมีประโยชน์และเป็นทางเลือกทดแทนการใช้สารเคมีได้ นอกจากนี้ ยังหวังให้มีส่วนสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ เยาวชนเกิดความรู้ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์มากขึ้นด้วย

ด้านตัวแทนเยาวชนที่ร่วมกิจกรรม นางสาวธนภร สร้อยทอง นักเรียนชั้นมัธยมปลายสายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี เล่าว่า กิจกรรมอบรมเฉพาะทางครั้งนี้ทำให้ได้รับความรู้ ไอเดีย และแรงบันดาลใจจากพี่ ๆ ทีมวิจัย ได้เรียนรู้เทคนิคเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจุลินทรีย์ ซึ่งการมีทีมวิจัยที่มีประสบการณ์จริง การทดลองจริง เป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่นอกเหนือจากหลักสูตรในห้องเรียน สามารถนำความรู้ส่วนนี้ไปปรับใช้เป็นทักษะต่อยอดทำโครงงานวิจัยได้เป็นอย่างมาก

กิจกรรมฝึกอบรมเฉพาะทาง ‘จุลินทรีย์มหัศจรรย์คุมโรคพืช’ น้อง ๆ เยาวชนชั้น ม.ปลาย ได้มีโอกาสเรียนรู้ เข้าใจแบบเจาะลึก และลงมือทำ ตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงเชื้อ การนับจำนวนเชื้อ ไปจนถึงการสังเกตเชื้อโรคพืชด้วยตัวเอง ร่วมกับพี่ ๆ นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค เนื้อหาการอบรมระดับพื้นฐาน มีทั้งการเสริมความรู้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ ความรู้ด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ ระดับความปลอดภัยทางชีวภาพ และวิธีปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพในห้องปฏิบัติการทางจุลชีววิทยา รวมไปถึงเทคนิคเบื้องต้นทางจุลชีววิทยา อาทิ เทคนิคปลอดเชื้อ (Aseptic Techniques) และการนับสปอร์เชื้อรา, การนับจำนวนแบคทีเรีย ความรู้ในเรื่องโรคพืช และเชื้อก่อโรคในพืช, ความรู้ในเรื่องสารชีวภัณฑ์ความคุมเชื้อก่อโรคพืช (Plant biocontrol) เป็นต้น โดยรูปแบบของกิจกรรมจะเป็นการบรรยายสลับกับการลงมือทำในห้องปฏิบัติการจริง เช่น การเลี้ยงเชื้อในอาหารวุ้น การทดสอบการยับยั้งเชื้อก่อโรคพืชด้วยราไตรโคเดอร์มาบนต้นอ่อนพริก การทดสอบการยับยั้งเชื้อก่อโรคพืชด้วยเชื้อแบคทีเรีย Streptomyces ด้วยวิธี Dual culture บนจานอาหารวุ้น เทคนิคการถ่ายเชื้อรูปแบบต่าง ๆ streak plate, spread plate / การทดลองสังเกตเชื้อก่อโรคในพืชภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เป็นต้น

ทั้งนี้ การใช้สารชีวภัณฑ์ควบคุมเชื้อก่อโรคในพืช มีทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค ที่ทำการวิจัยและพัฒนาในเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจชีวภัณฑ์ไบโอเทค เพื่อผักผลไม้ปลอดภัย www.facebook.com/BIOTEC.Biocontrol รวมถึงบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร มีค่ายวิทยาศาสตร์และกิจกรรมฝึกอบรมความรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะและประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่เด็กและเยาวชนอีกเป็นจำนวนมาก ติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่ และ www.nstda.or.th/ssh  และ www.facebook.com/SSH.NSTDA   

‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ อดีตว่าที่นายกฯ สู่ ‘ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต’ จากนิตยสารไทม์

“กาก้าวไกล…ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” วลีเด็ดของ ‘พรรคก้าวไกล’ ที่ใช้หาเสียงในศึกเลือกตั้ง 2566 และมีการเลือกตั้งไปเมื่อ 14 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า พรรคก้าวไกลกวาดเก้าอี้ สส. ทั่วประเทศได้ 151 ที่นั่ง มากเป็นอันดับหนึ่ง 

ส่วนพรรคเก่าแก่อย่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ ครองอันดับ 2 ได้ 141 ที่นั่ง ทำให้กระแสจับมือจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 2 พรรคมาแรง และเหล่าโหวตเตอร์ก็หมายมั่นในใจแล้วว่า กำลังจะได้รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย และมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี อย่างแน่นอน

แต่การเมืองก็คือการเมือง เหตุการณ์ที่ (ไม่) คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อการโหวตเห็นชอบในครั้งแรก ‘ไม่ผ่านมติสภาฯ’ หรือได้เสียงโหวตไม่เกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ โดยขาดเสียงสนับสนุนนายพิธาอีก 64 เสียง ส่งผลให้พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมหวังจะเสนอชื่อครั้งที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. 66

แต่ผลปรากฏว่า การเสนอชื่อนายพิธา ชิงตำแหน่งนายกฯ ครั้งที่ 2 ถูกปัดตก ด้วยเหตุผลว่า… “การเสนอชื่อ นายพิธา เป็นการเสนอญัตติซ้ำ ส่งผลให้การเสนอชื่อ นายพิธาซ้ำอีกครั้ง ไม่สามารถทำได้” เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการปิดประตูการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของนายพิธาแล้ว 

แต่เวลาต่อในวันเดียวกันนั้น ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ มีมติเอกฉันท์ รับคำร้อง กกต. ที่ขอให้วินิจฉัยสมาชิกภาพ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีถูกร้องถือหุ้นสื่อ ITV พร้อมมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 คำสั่งให้ นายพิธา ในฐานะผู้ถูกร้อง หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

กลายเป็นว่า นายพิธาถูกปิดประตูใส่หน้า 2 ครั้งในวันเดียว ชวดเก้าอี้นายกฯ แถมยังไม่ได้ทำหน้าที่ สส.ในสภาฯ อีกด้วย ซึ่งนายพิธาก็ก้มหน้ารับ ยอมเดินออกจากสภาฯ แต่โดยดี

หลังจบเหตุการณ์อลหม่านไปไม่นาน วันที่ 13 ก.ย. 66 นิตยสารไทม์ (Times) เปิดเผยรายชื่อ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต ‘Times 100 Next’ หนึ่งในนั้นมีชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในหมวดหมู่ผู้นำ (Leaders) โดยนายพิธาก็ได้แสดงความดีใจ โดยบอกว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกเป็น ‘Times 100 Next’ จากนิตยสารไทม์ ร่วมกับบุคคลระดับโลกอีกหลาย ๆ คน

และอีก 2 วันต่อมา วันที่ 15 ก.ย. 66 นายพิธา ก็ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยให้เหตุผลว่า ‘ก้าวไกล’ จะเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ดีได้ จำเป็นต้องมี ‘หัวหน้าฝ่ายค้าน’ จึงเปิดทางให้พรรคได้เลือกหัวหน้าคนใหม่ แต่ถึงอย่างไร ตนก็จะทำงานกับพรรคก้าวไกล ไม่ได้หนีหายไปไหน ซึ่งการลาออกในครั้งนี้ก็สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในแวดวงการเมือง

แม้นายพิธาจะชวดเก้าอี้นายกฯ แถมยังไม่ได้ทำหน้าที่ สส. อันทรงเกียรติ แต่กระแสและชื่อเสียงก็ไม่ได้หายไปจากหน้าสื่อเลย ยังคงมีเรื่องราวให้ติดตามและพูดถึงไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปนิวยอร์กโดยมีคนไปต้อนรับมากมาย การร่วมงานจตุรมิตร การไปดูงานที่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้อย่าง YG Ent. หรือการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผลงาน 100 วันแรกของรัฐบาลภายใต้การนำของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’

ทุกย่างก้าวของนายพิธา ถูกสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศจับตามอง และตีแผ่ออกมาเป็นข่าวอยู่เสมอ ๆ

ล่าสุด Google ประเทศไทย ก็ได้เผยคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2566 หรือ ‘Year in Search 2023’ ที่คนไทยให้ความสนใจตลอดทั้งปี 2566 ที่ผ่านมาในหมวดต่าง ๆ ซึ่งในหมวด Trending Person บุคคลที่ถูกค้นหามากที่สุดในปี 2566 ก็คือ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ นั่นเอง

เท่านั้นยังไม่พอ ผลโพลจากสำนักต่าง ๆ ก็ยังมีชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ติดอยู่เสมอ และได้ตอกย้ำว่าคนไทยยัง ‘หวัง’ ให้นายพิธานั่งเก้าอี้นายกฯ 

…แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งหากไม่มี ‘ตัวแปร’ ใดเข้ามาทำให้เส้นทางการเมืองของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หยุดลง ก็คงได้เห็นชื่อนายพิธาเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรืออาจเป็นก้าวไปสู่ ‘นายกฯ พิธา’ ก็เป็นได้

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

‘บริษัทจีน’ ผลิต 'ลานจอดเฮลิคอปเตอร์' แบบเคลื่อนที่ได้ กางออกพร้อมใช้ใน 10 นาที แถมสะดวกต่อพื้นที่ที่ซับซ้อน

(27 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ชวนชมการสาธิตกาง ‘ลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบเคลื่อนที่ได้’ หรือโมบาย เฮลิแพด (Mobile Helipad) ซึ่งพัฒนาขึ้นเองโดยเซนซา เอวิเอชัน (SENSHA Aviation) บริษัทในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน

ลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบเคลื่อนที่ได้นี้รับรองการขึ้นบินและลงจอดแนวดิ่งของอากาศยานด้วยความคล่องตัวสูง ซึ่งจะอำนวยความสะดวกแก่การขึ้นบนและลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ในสภาพแวดล้อมซับซ้อน

‘โมบาย เฮลิแพด’ ซึ่งสามารถวิ่งสัญจรบนถนนหากอยู่ในสถานะพับเก็บ จะกลายเป็นลานกว้าง 9 เมตร ยาว 13 เมตร และมีพื้นที่ 117 ตารางเมตร เมื่อถูกกางออกมาภายในระยะเวลา 10 นาที

ทั้งนี้ ‘โมบาย เฮลิแพด’ ได้ผ่านการตรวจสอบรับรองผลทดสอบเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินและลงจอดแล้ว และจะเข้าสู่กระบวนการผลิตปริมาณมากอย่างเป็นทางการภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 การใช้งานหลักจะเป็นการลาดตระเวนในแนวหน้าและสภาพแวดล้อมซับซ้อนอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้การขึ้นบินและลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่พื้นดินหรือบนหลังคาเท่านั้น

‘ททท.’ ดึง ‘อินฟลูฯ จีน’ ช่วยโปรโมตภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย เสริมแรงเต็มพิกัด หลังยอด ‘ต่างชาติเที่ยวไทย’ ทะลุ 27 ล้านคน

(27 ธ.ค. 66) สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า จากรายงานของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (18-24 ธ.ค.) พบว่ามี ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติ’ เดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 796,808 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 120,303 คน คิดเป็น 16.60% หรือเฉลี่ย 113,830 คนต่อวัน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวเกือบทุกกลุ่มตลาด

โดยนักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นตลาดที่เดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 149,409 คน ปรับเพิ่มขึ้นถึง 35.34% จากสัปดาห์ก่อนหน้า (11-17 ธ.ค.) ส่วนอันดับ 2 จีน 96,662 คน เพิ่มขึ้น 7.16% อันดับ 3 รัสเซีย 47,071 คน เพิ่มขึ้น 7.50% อันดับ 4 เกาหลีใต้ 46,060 คน เพิ่มขึ้น 6.22% และอันดับ 5 อินเดีย 41,679 คน เพิ่มขึ้น 12.03%

หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มีปัจจัยจากวันหยุดต่อเนื่อง ‘ช่วงคริสต์มาส’ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้อย่าง ‘มาเลเซีย’ เดินทางเข้ามาจำนวนมาก 149,409 คน เพิ่มขึ้น 39,011 คนจากสัปดาห์ก่อนหน้า และการเดินทางใน ‘Winter Holiday’ ช่วงสิ้นปีของภูมิภาคยุโรป โดยพบว่าเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาค ‘ยุโรป’ มีจำนวน 197,987 คน เพิ่มขึ้น 32,825 คนจากสัปดาห์ก่อนหน้า ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 24 ธ.ค. 2556 แตะระดับ 27 ล้านคนในเดือนสุดท้ายของปีนี้ ด้วยจำนวนทั้งสิ้น 27,252,488 คน

สำหรับตลาด 5 อันดับแรกที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยสะสมสูงสุด อันดับ 1 มาเลเซีย 4,439,480 คน อันดับ 2 จีน 3,418,732 คน อันดับ 3 เกาหลีใต้ 1,616,858 คน อันดับ 4 อินเดีย 1,587,090 คน และอันดับ 5 รัสเซีย 1,428,985 คน

สุดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า วานนี้ (26 ธ.ค.) ‘ททท.’ ได้จัดงานต้อนรับคณะสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้กิจกรรม ‘อะเมซิ่ง เฟสทีฟ แอนด์ เอ็กซ์คลูซีฟ ทริป อิน ไทยแลนด์’ (Amazing Festive & Exclusive Trip in Thailand) มุ่งนำเสนอ ‘ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงบวก’ ของประเทศไทยผ่าน ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) และ ‘การท่องเที่ยวอย่างมีความหมาย’ (Meaningful Travel) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว และกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ต่อเนื่องตลอดปี 2567

“คาดว่าตลอดทั้งปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าประเทศไทย 3.5 ล้านคน โดยรัฐบาลมีความตั้งใจผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ด้วยการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ควบคู่กับการนำเสนอ Soft Power และ Meaningful Travel พร้อมยกระดับมาตรการความปลอดภัยและดูแลนักท่องเที่ยวในทุกมิติ เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว และส่งมอบประสบการณ์ที่มีคุณค่าและความหมายในทุกครั้งที่มาเยือน”

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า กิจกรรม ‘Amazing Festive & Exclusive Trip in Thailand’ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมเชิงกลยุทธ์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ท่องเที่ยวเชิงบวก โดย ททท. สำนักงานในจีนทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู และกว่างโจว ได้เชิญสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนที่มีชื่อเสียงจำนวน 93 ราย เดินทางมาประเทศไทยระหว่างวันที่ 21-28 ธ.ค. เพื่อร่วมสำรวจเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวไทย และผลิตเนื้อหาประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยในพื้นที่กรุงเทพฯ พัทยา (ชลบุรี) หัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) เชียงใหม่ จันทบุรี พังงา และเกาะหมาก (ตราด)

ซึ่ง ททท. ได้ออกแบบเส้นทางให้สอดคล้องกับการส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย 2566 โดยนำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ ทั้งเน้นย้ำเรื่อง ‘ความปลอดภัย คุณภาพ และเสริมสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยว’ ผ่านซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย

นอกจากการกระตุ้นตลาดต่างประเทศด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายกับพันธมิตรต่างๆ แล้ว ททท. ยังคงเพิ่มแรงส่งด้วยแคมเปญสื่อสาร ‘Thais Always Care’ ภายใต้แนวคิด ‘LAND OF CARE’ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางและส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ดีของประเทศไทย

โดยจัดทำข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวของไทยที่น่าสนใจ และมีประโยชน์เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งข้อมูลกิจกรรมท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ มาตรฐานความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานการให้บริการของผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมทั้งประชาสัมพันธ์เชิงรุกนำเสนอความสวยงามของประเทศไทย ผ่านคอนเทนต์ของ ‘KOLs’ ชาวต่างชาติและเผยแพร่ในแพลตฟอร์มชั้นนำ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติและกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญของไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ ฐาปนีย์ กล่าวถึงเป้าหมายการทำงานของ ททท.ว่า ในปี 2567 ตั้งเป้า ‘กรณีดีที่สุด’ (Best Case Scenario) ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยให้ได้อย่างน้อย 35 ล้านคน เท่ากับว่าจะต้องฟื้นฟูตลาดเพิ่มขึ้นราว 8 ล้านคน เมื่อเทียบกับตลอดปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะปิดที่ตัวเลข 27-28 ล้านคน

“เมื่อถามว่า 8 ล้านคนที่เพิ่มขึ้น ททท.จะเอามาจากไหน ในเมื่อเส้นทางบินบางตลาดมีปริมาณที่นั่งผู้โดยสาร (Capacity) ใกล้เคียงกับภาวะปกติเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาดแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นตลาดความหวัง ด้วยเป้าหมายปีหน้าตั้งไว้ว่าจะดึงชาวจีนเข้ามาเที่ยวไทยไม่น้อยกว่า 8 ล้านคน เท่ากับว่าเพิ่มขึ้นกว่า 4.5 ล้านคน เมื่อเทียบกับตลอดปีนี้ซึ่งน่าจะได้ 3.5 ล้านคน” ฐาปนีย์ กล่าวทิ้งท้าย

'สังคมออนไลน์' ยกนิ้ว!! 'BYD-CHANGAN-Tesla' แบรนด์รถยนต์ EV มาแรงที่สุดในโซเชียลไทย

(27 ธ.ค.66) ตลาดรถ EV มาแรง ดาต้าเซ็ต เจาะข้อมูลในโซเชียลมีเดีย พบคนไทยพูดถึงรถ EV คึกคักรับเทรนด์คนยุคใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พบ 3 แบรนด์ดังได้รับความสนใจสูงสุด ได้แก่ BYD, CHANGAN และ Tesla โดยมีการกล่าวถึง (Mention) และ เอ็นเกจเมนต์ (Engagement) มากที่สุด

ปัจจุบันความนิยมรถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ในไทยเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2566 จากข้อมูลของรอยเตอร์พบว่าไทยมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยมีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับงาน Motor Expo 2023 ครั้งที่ 20 พบว่ายอดจองรถยนต์ EV ถล่มทลายมาก โดยเฉพาะ BYD ที่เป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนซึ่งมียอดจองสูงเป็นอันดับ 1 ในงาน

ทั้งนี้ บริษัท ดาต้าเซ็ต จึงได้ใช้เครื่องมือ DXT360 แพลตฟอร์มติดตามข่าวสารและเสียงของผู้บริโภค (Social Listening) เก็บข้อมูลบน Social Media ระหว่างวันที่ 15 พ.ย.- 16 ธ.ค. 2566 เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มีการพูดถึงบนสังคมออนไลน์ว่าสอดคล้องกับแบรนด์รถที่มียอดจองสูงจากงาน Motor Expo 2023 หรือไม่

เมื่อพิจารณาข้อมูลจาก Social Media ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่า แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดใน 3 อันดับแรกจะมีความสอดคล้องกับยอด Engagement ที่ทางแบรนด์ได้รับ ซึ่งใน 3 อันดับ เป็นแบรนด์จากรถยนต์ EV ทั้งหมด โดยอันดับหนึ่ง คือแบรนด์ BYD มีการถูกกล่าวถึง (Mention) และมียอด Engagement มากที่สุด รองลงมาเป็นแบรนด์น้องใหม่ Changan และสุดท้าย คือแบรนด์ Tesla เป็นอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ

>> 10 แบรนด์ที่มีการกล่าวถึงมากที่สุด (By Mention)

1. BYD 19.6%
2. CHANGAN 14.7%
3. Tesla 11.6%
4. AION 10.3%
5. GWM 9.2%
6. MG 8.4%
7. NETA 7.8%
8. Hyundai 7.5%
9. Honda 3.0%
10. อื่น ๆ 7.9%

>> 10 แบรนด์ที่มีการกล่าวถึงมากที่สุด (By Engagement)

1. BYD 22.3%
2. CHANGAN 17.3%
3. Tesla 12.8%
4. Honda 9.4%
5. AION 7.7%
6. NETA 6.1%
7. GWM 5.4%
8. MG 4.4%
9. Hyundai 3.7%
10. อื่น ๆ 10.9%

>> Top 3 แบรนด์รถไฟฟ้าที่ได้รับความสนใจสูงสุด

BYD เรียกได้ว่าเป็นที่ฮือฮาในสังคมออนไลน์หลังจาก แบรนด์ BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากจีนได้ทำการปล่อยคลิปสาธิตโหมด ‘Emergency Float Mode’ ที่จะเป็นโหมดที่ตัวรถจะทำการขับบนผิวน้ำได้แบบอัตโนมัติ เมื่อรถตกน้ำ และจะพาผู้โดยสารในรถกลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย โดยจะเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่จะมาในรถ SUV ไฟฟ้า ตัว Top ของทางแบรนด์อย่าง YangWang U8 ที่เปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ความคิดเห็นส่วนใหญ่ชื่นชมการพัฒนาเทคโนโลยี และตื่นเต้นกับฟีเจอร์ดังกล่าวพร้อมทั้งรอติดตามที่จะได้เห็นการเทสฟีเจอร์นี้จากประสบการณ์ผู้ใช้จริง

CHANGAN รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนอีกแบรนด์หนึ่งที่กำลังมาแรงไม่แพ้ BYD เห็นได้จากการเอ็นเกจกับคอนเทนต์ ‘รีวิวเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่นใหม่จากฉางอัน’ ที่เปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา จาก YouTube Account Autilifethailand Official ที่ได้การเอ็นเกจสูงสุด และกวาดยอดวิวไปกว่า 340K แสดงให้เห็นความเป็นที่นิยม เนื่องจากโดดเด่นในด้านเทคโนโลยีและความแรงของรถที่ขับเคลื่อนกำลังสูงสุด 190 kW เทียบเท่า 258 แรงม้า นอกจากนั้นฉางอันยังตีตลาดไทยด้วยเรื่องของความคุ้มค่า โดยการมอบสิทธิพิเศษ มูลค่ารวมกว่า 250,000 บาท เช่น ฟรีประกันภัยชั้น 1, รับประกันแบตเตอรี่และบำรุงรักษาฟรี นาน 8 ปี, บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. นาน 8 ปี, ฟรีที่ชาร์จรถที่บ้าน และอื่น ๆ

Tesla แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายุโรปที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ คงไม่พ้น Tesla โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมาจากโพสต์เด่นพบการเปิดตัว Cybertruck หรือ รถกระบะไฟฟ้ารุ่นแรกของ Tesla สิ่งที่น่าสนใจในรถยนต์รุ่นนี้ก็คือฟีเจอร์ Powershare ที่ทำให้สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับรถคันอื่นหรือบ้านได้สูงสุด 9.6kW ความคิดเห็นต่างให้ความสนใจฟีเจอร์ดังกล่าวเป็นอย่างมากจึงได้รับฉายาในโซเชียลมีเดียว่า ‘พาวเวอร์แบงค์เคลื่อนที่’ โดยโพสต์ดังกล่าวได้รับ Engagement สูงกว่า 7,428 ครั้ง

>> ส่องความคิดเห็นใน Social Media

จากภาพรวมเสียงสะท้อนของผู้บริโภคที่มีต่อรถยนต์ EV และรถยนต์สันดาปนั้น พบว่าปัจจุบันเสียงส่วนใหญ่มีแนวโน้มไปในทิศทางเชิงบวกต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งนี้พบว่าเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เลือกซื้อรถยนต์ EV ได้แก่

1. ความคุ้มค่าและความประหยัด
2. ดีไซน์ของรถที่มีความทันสมัย
3. เทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือ AI ของตัวรถ
4. ลดมลพิษทางอากาศ

แต่อย่างไรก็ตามผู้บริโภคบางส่วนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับรถยนต์ EV ในด้านต่าง ๆ เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป ได้แก่

1. ปัญหาแบตเตอรี่
2. ความเพียงพอของสถานีชาร์จ
3. คุณภาพการใช้งาน
4. ราคาของประกันรถที่อาจแพงกว่ารถยนต์สันดาป

จากแบรนด์รถยนต์ EV ของ BYD ที่มีการกล่าวถึง (Mention) และยอด Engagement มากที่สุดเป็นอันดับ 1 พบว่า เหตุผลส่วนใหญ่ที่คนเลือกใช้รถยนต์ BYD จะสอดคล้องกับเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ที่คนเลือกใช้รถยนต์ EV ทั้งในเรื่องของดีไซน์รถ และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งนวัตกรรมด้านความปลอดภัยและความบันเทิง และยังเพิ่มความสามารถที่ทำให้ผู้คนสามารถนอนหลับบนรถได้ สุดท้ายในเรื่องของราคาที่มีความหลากหลายสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง

>> ยักษ์ใหญ่ไอทีจีนลงเล่นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

รู้หรือไม่? แบรนด์เทคโนโลยี 2 เจ้าดังของจีน ก็ได้มาเล่นตลาดรถอีวีด้วย อย่าง Xiaomi ล่าสุดได้มีการเปิดตัวรถ รุ่น SU 7 และ Huawei ร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์ Chery Auto เปิดตัว S7 ภายใต้แบรนด์ Luxeed

ทั้งนี้ ความต้องการรถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคนั้นได้สร้างความสะเทือนให้กับผู้ผลิตรถยนต์สันดาปเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดจากสถิติของ Forbes ที่เผยยอดการผลิตรถยนต์สันดาปในปี 2566 เทียบกับปี 2565 นั้นลดลงถึง 8% ผู้ผลิตหลายรายหันมาผลิตรถ EV กันมากขึ้น ล่าสุดทางแบรนด์รถยนต์จากค่ายใหญ่ เช่น Honda และ Toyota ก็ได้เริ่มมีการผลิตรถยนต์ EV ออกมา โดยทาง Honda ได้ออกรถยนต์ EV คือ รุ่น e:N1 และ ทาง Toyota คือ รุ่น bZ4X ซึ่งจากทาง 2 ค่ายใหญ่ที่ได้มีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์การเลือกซื้อรถยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค จึงคาดว่าแนวโน้มในอนาคตจะมีการผลิตรถยนต์ EV เพิ่มมากขึ้นจากทั้งหลายแบรนด์ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้เองทางรัฐบาลไทยจึงมีนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมผ่าน DXT360 แพลตฟอร์มติดตามข่าวสารและเสียงของผู้บริโภค (Social Listening) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด (dataxet:infoquest) โดยเก็บข้อมูลระหว่าง 15 พ.ย. - 16 ธ.ค. 2566

(สุรินทร์) มทบ.25 เปิดบ้านทหารใหม่ ผลัดที่ 2/66 “Open House อบอุ่นใจ ประทับใจ”

วันที่ 27 ธันวาคม 2566 เวลา 09.30 น. พลตรีชินวิช  เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานในพิธีเปิดบ้านทหารใหม่ (Open House) ผลัดที่ 2/66 เพื่อต้อนรับญาติทหารใหม่ ณ สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 ค่ายวีรวัฒน์โยธิน ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุรินทร์ มี คุณอุไรวรรณ  เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 25 เข้าร่วมพิธี โดยมีกิจกรรม ประกอบไปด้วย การชี้แจงด้านสิทธิกำลังพลแก่ทหารใหม่ ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ทราบ ชมการแสดงของทหารใหม่ มณฑลทหารบกที่ 25 และ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 

ทั้งการยิงปืนฉับพลัน ทหารทำได้ทุกอย่าง และศิลปะแม่ไม้มวยไทย เพื่อให้ญาติทหารใหม่ได้รับชมพัฒนาการ และความภาคภูมิใจในการเป็นทหารรับใช้ชาติ พลตรีชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ได้พบปะญาติทหารใหม่ ได้แนะนำการรับสมัครทหารออนไลน์ การสอบเข้ารับราชการชั้นประทวนและสัญญาบัตร และขอขอบคุณครอบครัวทหารใหม่ ที่ไว้วางใจให้มณฑลทหารบกที่ 25 ได้ดูแลฝึกฝนทหารใหม่ ต่อจากนี้คุณคือทหารเต็มตัวพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติ พิทักษ์รักษาราชบัลลังก์ และช่วยเหลือประชาชน อย่างสุดความสามารถต่อไป

‘นายกฯ’ มอบคำขวัญ ‘วันเด็กแห่งชาติ’ ประจำปี 67 เน้นย้ำ!! ประชาธิปไตย-มองโลกกว้าง-เคารพความแตกต่าง

(28 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ทวีตข้อความผ่าน X มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ปี 2567 ว่า “มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย”

เด็กไทยเก่ง มีศักยภาพ มีความคิดดี และทันสมัย หน้าที่ของรัฐบาลคือการสนับสนุนให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีศักดิ์ศรี มีความภูมิใจในตัวเอง

ผมอยากให้เด็กไทย Enjoy กับการใช้ชีวิตในวัยเด็ก แต่ขณะเดียวกันก็มีโลกทัศน์ที่กว้าง มีความเป็นไทยพร้อม ๆ กับมีความเป็นสากล เป็นพลเมืองของโลกที่สามารถเคารพความแตกต่างหลากหลายได้ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งต่อไป

ตัวผมเองในฐานะผู้นำประเทศจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กไทยทุกคน ได้เติบโตขึ้นมาในประเทศที่งดงาม มีความสุข และมีโอกาสสำหรับอนาคตของทุกคน

2023 เหตุการณ์ต้องจำ

ในปี 2023 นี้ มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีตั้งแต่เรื่องน่ายินดี ไปจนถึงเรื่องสลดน่าเสียใจ วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 12 เหตุการณ์ที่ต้องจดจำ ในปี 2023 จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย!! ✨

ดาวเทียมฝีมือคนไทย ‘THEOS-2’ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ

นับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ และถือเป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการวิทยาศาสตร์ไทย หลังจากดาวเทียม ‘THEOS-2’ ทะยานขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยขึ้นสู่วงโคจรจากท่าอวกาศยานยุโรปเฟรนช์เกียนา (Guiana Space Center) เมืองกูรู รัฐเฟรนช์เกียนา ทวีปอเมริกาใต้ ท่ามกลางความตื่นเต้นและยินดีของผู้คนที่จับตามองทั่วทั้งโลก 

สำหรับดาวเทียมสำรวจโลก หรือ ดาวเทียม ‘THEOS-2’ (Thailand Earth Observation Satellite 2) เป็นโครงการของหน่วยงาน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และเป็นรุ่นพัฒนาต่อยอดมาจาก ดาวเทียม THEOS-1 หรือ ไทยโชต (Thaichote) ที่ขึ้นสู่ห้วงอวกาศเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การพัฒนาดาวเทียม ‘THEOS-2’ เพื่อใช้เป็นดาวเทียมทรัพยากรดวงใหม่ที่ยกระดับเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอวกาศในทุก ๆ องค์ประกอบ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

นอกจากนี้ ดาวเทียม ‘THEOS-2’ ยังเป็นเทคโนโลยีดาวเทียมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยฝีมือคนไทย และถือเป็นดาวเทียมสำรวจดวงแรกของประเทศไทยในระดับ Industrial Grade ที่วิศวกรดาวเทียมไทยได้มีส่วนสำคัญในการออกแบบและพัฒนาร่วมกับองค์กรต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ และมีชื่อเสียงระดับโลกทางด้านเทคโนโลยีอวกาศอีกด้วย

สำหรับคุณประโยชน์ของดาวเทียมดวงนี้ก็มีอยู่หลายด้านด้วยกัน ได้แก่

1. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ปริมาณพื้นที่ป่าที่เคยมีและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าที่เกิดขึ้นว่ามีการลดลงหรือเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด ในพื้นที่ไหนบ้าง และประเทศไทยควรมีแนวทางในการบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

2. ด้านการจัดการภัยพิบัติ เพื่อส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ ไฟป่า น้ำท่วม น้ำแล้ง และ PM 2.5 สามารถวางแผนความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้อย่างเท่าทันต่อสถานการณ์และทันท่วงที

3. ด้านการจัดการเกษตร เพื่อติดตามและคาดการณ์การปลูกพืชเศรษฐกิจ เพื่อคาดการณ์ผลผลิตและราคาพืชผล รวมถึงการวิเคราะห์ความสมบูรณ์ของพืช เพื่อการใส่ปุ๋ยที่แม่นยำ หรือการแก้ปัญหาการระบาดของแมลงและโรคพืช เป็นต้น

4. ด้านการแบ่งปันข้อมูล โดยประเทศไทยจะเป็นเจ้าของข้อมูล ที่แบ่งปันกันได้ทั้งในแวดวงวิชาการ แวดวงธุรกิจ และความมั่นคง ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่ภาครัฐเท่านั้นแต่ยังรวมถึงภาคเอกชนและผู้ประกอบการเทคโนโลยีอวกาศทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย

5. ด้านการพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยที่สนใจในด้านวิทยาศาสตร์และอยากทำงานสายวิทยาศาสตร์ โดย GISDA ได้วางแผนระยะยาว เรื่องการส่งเสริมบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

‘บิ๊กป้อม’ เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2567 ด้าน ‘ผบ.ทบ.-ปธ.วุฒิฯ-อนุพงษ์-เพื่อนร่วมรุ่น’ ตบเท้าอวยพร

(28 ธ.ค. 66) ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด รับอวยพรเนื่องในวันปีใหม่ 2567 โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา, พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, พลเอกสนิทชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ พลเอกเจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก ตบเท้าเข้าอวยพร

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 6 หรือ ‘รุ่นฝนแรก’ รวมทั้งคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ มาอวยพรด้วย

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ได้ส่งแจกันดอกไม้ มาอวยพรสวัสดีปีใหม่พลเอกประวิตร เนื่องจากติดภารกิจไม่สามารถเดินทางมาด้วยตนเองได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top