Tuesday, 1 July 2025
NewsFeed

‘วราวุธ’ ยก ‘คัลแลน-พี่จอง’ ทรงเสน่ห์ ทำท่องเที่ยวไทยถูกพูดถึงอย่างมาก หลังทั้ง 2 เตรียมเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช

จากกรณี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เผยเตรียมดึง ‘พี่จอง-คัลแลน’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ชวนคนไทยและชาวต่างชาติท่องเที่ยวอุทยาน ด้าน 2 หนุ่มรับปากไม่คิดค่าตัว แต่ขอไปเที่ยวเองโดยธรรมชาติ

เมื่อวานนี้ (27 ธ.ค. 66) เฟซบุ๊ก ‘ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา’ หรือ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้โพสต์ระบุข้อความว่า “วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมใช้เวลาพักผ่อนไปกับการดู 2 หนุ่ม Youtuber ชื่อดังอย่าง คัลแลน กับพี่จอง เจ้าของช่อง Cullen HateBerry ซึ่งเป็นคลิปที่ไปเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี ได้รับคำแนะนำจากคุณ Jo Montanee คลิปนี้มีคุณจูดี้มาช่วยสร้างสีสันสนุกมาก ๆ 

ทั้ง 3 คน ไปท่องเที่ยวในแบบวิถีชาวบ้าน เดินเล่นทุ่งนา เก็บผัก หาปลา ได้เห็นความใจดีของชาวสุพรรณที่เข้ามาพูดคุยแบ่งปันทั้งผัก ผลไม้ ให้กับนักท่องเที่ยว และยังมีการพาไปชมทะเลสุพรรณ ซึ่งผมเชื่อเลยว่ามีหลายคนยังไม่รู้ว่าสุพรรณมี ได้แก่หาดทรายท้ายเขื่อนกระเสียว ที่มีกิจกรรมทางน้ำสนุก ๆ รอรองรับทุกคนอยู่

และที่ผมชอบมากที่สุดในคลิปนี้ก็คือการกระจายรายได้ให้กับคนในพื้นที่ กินอาหารตามร้านโลคัล เชื่อว่าความเป็นธรรมชาติ ความพยายามในการเปิดรับและเรียนรู้วัฒนธรรมไทย คงเป็นเสน่ห์ที่ทำให้หลาย ๆ คนติดตามช่องนี้ครับ

และในฐานะคนสุพรรณต้องขอบคุณทางช่อง Cullen HateBerry ที่ทำให้ผู้คนได้เห็นความน่ารักของคนสุพรรณ เห็นมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เป็น 1.40 ชม. ที่ดูแล้วใจฟูมาก น้อง ๆ ทั้งสามคนน่ารักมาก เหมือนได้ท่องเที่ยวพร้อมเรียนรู้วัฒนธรรม ใครดูแล้วแนะนำไปตามรอยกันได้ที่สุพรรณบุรีนะครับ ใกล้กรุงเทพฯ นิดเดียว Go..Go !!

#คัลแลนพี่จอง

ทั้งนี้ คัลแลน พี่จอง คือชื่อที่ชาวโซเชียลฯ หลายคนกำลังค้นหา และพูดถึงอย่างมากเนื่องจากคือ 2 หนุ่มชาวเกาหลีที่เปิดช่องยูทูบเบอร์เที่ยวไทยและพูดไทยตลอดเส้นทาง แม้จะพูดผิดพูดถูก และยังมีหน้าตาที่หล่ออีกด้วย โดยหลังจากเปิดช่องได้ไม่นาน ก็เป็นที่กล่าวถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ จนยอดฟอลโลว์ใกล้ล้านซับฯ ไปทุกทีแล้ว

‘เมืองตรัง’ ตกแต่งหอนาฬิการูป ‘พญานาค’ งบ 1 แสน รับปีมะโรง แต่กระแสตีกลับ!! ชาวเน็ตชี้ ไม่สื่อ-ไม่เหมาะสม นึกว่างานบุญบั้งไฟ

เมื่อวานนี้ (27 ธ.ค.66) นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผอ.สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง นายยุทธนา เจ้าพนักงาน ป.ป.ช.ชำนาญการพิเศษ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เทศบาลนครตรัง ที่ดูแลรับผิดชอบโครงการเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ประจำปี 2567

ร่วมกันตรวจสอบการติดตั้งประดับรูปพญานาค บริเวณหอนาฬิกา จ.ตรัง ภายเทศบาลติดตั้งรูปพญานาค 4 ตัว พร้อมป้าย 4 จุดรอบทั้ง 4 ทิศหอนาฬิกา ใช้งบประมาณ 1 แสนบาท แต่ถูกกระแสโซเชียลรวมทั้ง เพจ ชมรมตรังต้านโกง ยกประเด็นขึ้นมาโพสต์ และวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมกับงบประมาณ 1 แสนบาท และไม่เหมาะสมกับเทศกาล ควรจะเป็นการนำรูปอื่นมาแสดง หรือมีการแสดงติดตั้งที่มองแล้วว่าสื่อถึง จ.ตรัง เช่น พะยูน ฯลฯ และมองให้เห็นว่าเป็นเทศกาลปีใหม่จริงๆ ไม่ใช่ใช้พญานาค ที่ผู้คนมองว่าคล้ายกับงานบุญบั้งไฟเดือน 6

โดยเทศบาลนครตรัง ชี้แจงเป็นเอกสาร ระบุ คอนเซปต์งาน สวัสดีปีมะโรง ตามปีนักษัตรไทยตามตำราของคนไทย มะโรงตามความหมาย คือ ความเป็นสิริมงคล ยิ่งใหญ่ มั่นคง ความมุ่งหวังเพื่อ จ.ตรัง ได้รับสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ จ.ตรัง มีความยิ่งใหญ่ มั่นคง โดยคอนเซปต์ช่วงไฮไลต์เคาท์ดาวน์ จะมีการใช้เทคนิคไฟโพโล วางที่ปากพญานาค และพ่นไฟออกมา

ส่วนรายละเอียดตกแต่งบริเวณหอนาฬิกา พร้อมระบบเมนไฟ ค่าแรงติดตั้งรื้อถอน และเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย เป็นจำนวนเงิน 1 แสนบาท ประกอบด้วย พญานาคทั้ง 4 ตัว ทั้ง 4 ด้าน มีขนาดตัวละ 1.5×7 ตัวละ 2 หมื่นบาท โดยใช้วัสดุ ด้านในประกอบด้วยโครงสร้างเหล็ก และโครงสร้างไม้ หุ้มส่วนท้องด้านล่างด้วยวัสดุพลาสวู้ดทำสี

ด้านนอกไวนิลบุด้วยไม้กระดานอัดขนาดความหนา 6 มิลลิเมตรฉลุตามรูป โดยทั้งหมดเดินระบบไฟโดยรอบด้วยไฟเส้น LED สำหรับข้อความทั้ง 4 ด้าน คือ HAPPY NEW YEAR 2024 และสวัสดีปีใหม่ 2567 ทำจากไวนิลบุด้วยไม้กระดานอัด

นายบัณฑิต กล่าวว่า ข้อมูลรายละเอียด งบประมาณ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะนี้ยังไม่ได้รับ แต่ป.ป.ช.ตรัง มีหนังสือไปถึงเทศบาลนครตรัง ซึ่งน่าจะอีกไม่กี่วันคงจะได้รับข้อมูล รายละเอียดและข้อเท็จจริงทั้งหมด เกี่ยวกับการดำเนินโครงการ ทราบว่าใช้งบประมาณ 1 แสนบาท การดำเนินการโครงการต่างๆ จะต้องทำตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และต้องมีความเหมาะสมเรื่องราคาและที่มาที่ไป

10 เมืองรอง ที่ 'เศรษฐา ทวีสิน' เตรียมประกาศปั้นให้เป็น 'เมืองหลัก'

เปิดรายชื่อดาวเด่น 'เมืองรอง 10 จังหวัด' ที่ 'เศรษฐา ทวีสิน' เตรียมประกาศปั้นเป็น 'เมืองหลัก' ในเดือน ม.ค. 2567 หลังหอการค้าไทย และ ททท. ร่วมกันตกผลึก เคาะรายชื่อเพื่อเตรียมเปิดตัวนำร่องโปรโมต หวังกระจายรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจไทย

‘จีน’ เดินหน้าปราบอาชญากรรม ‘แลกเปลี่ยนเงินตรา ตปท.’ ผิด กม. ทลายแล้วกว่า 200 คดี ภายใน 2 ปี พร้อมออก กม.ควบคุมเข้มข้น

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า สำนักบริหารเงินตราต่างประเทศแห่งรัฐของจีน ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานตุลาการทั่วประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อปราบปรามคดีอาชญากรรมอันเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เช่น การดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย คิดเป็นจำนวนมากกว่า 200 คดี

รายงานระบุว่า สำนักบริหารฯ ได้จัดการกรณีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย การหลีกเลี่ยง การฉ้อโกง และการละเมิดข้อบังคับอื่นๆ มากกว่า 1,100 กรณี ซึ่งนำสู่การปรับเงินรวม 1.5 พันล้านหยวน (ราว 7.44 พันล้านบาท)

ด้านสำนักงานอัยการประชาชนสูงสุดของจีน ประกาศเตือนเกี่ยวกับข้อมูลการแลกเปลี่ยนกองทุนที่ผิดกฎหมายจำนวนมาก บนเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ และแพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมมิงหรือไลฟ์สด โดยสำนักงานฯ จะทำงานร่วมกับสำนักบริหารฯ เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือทางตุลาการ ในการรักษาระเบียบของตลาดเงินตราต่างประเทศ

‘รฟท.’ สั่งด่วน!! ย้ายรูปปั้นครูกายแก้วออกนอกพื้นที่หน้าโรงแรมเดอะบาซาร์ฯ พร้อมเจอค่าปรับอ่วมกว่า 1.3 ล้านบาท เหตุผิดกฎหมายควบคุมอาคาร

(28 ธ.ค. 66) ที่โรงแรมเดอะบาซาร์ แบงค็อก ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่โรงแรมได้ทำพิธีย้ายครูกายแก้วออกจากที่ตั้งเดิม โดยมีพระสงฆ์ 5 รูปทำพิธี และมีรถเครนจอดอยู่เพื่อเตรียมการย้ายในขั้นตอนต่อไป โดยจะย้ายรูปปั้นไปที่ด้านหลังโรงแรมก่อน เพื่อรอให้ผู้จัดสร้างมารับคืนออกนอกพื้นที่ โดย 10.30 ได้เริ่มทำการย้ายรูปปั้นครูกายแก้วและรูปปั้นจิ้งจอกเก้าหาง ออกจากพื้นที่ด้านหน้าโรงแรม

ก่อนหน้านี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เจ้าของที่ดินที่ตั้งโรงแรมเดอะบาซาร์ แบงค็อก สั่งให้ย้ายรูปปั้นครูกายแก้วออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2566 พร้อมกับให้บริษัท สวนลุมไนท์บาซาร์ รัชดาภิเษก จำกัด จ่ายค่าปรับกว่า 1.3 ล้านบาท เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวห้ามมีการก่อสร้างใดๆ ตามกฎหมายควบคุมอาคาร

ด้าน นายไพโรจน์ ทุ่งทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สวนลุมไนท์บาซาร์ รัชดาภิเษก จำกัด เปิดเผยกับสำนักข่าวมติชนว่า ขณะนี้ได้กลับมาเป็นผู้บริหารของโครงการแล้ว กำลังเร่งเคลียร์ปัญหารูปปั้นครูกายแก้ว ด้วยการย้ายออกไปพร้อมกับรูปปั้นจิ้งจอกเก้าหาง และได้ชำระค่าปรับแล้ว โดยพื้นที่ดังกล่าวจะนำมาทำเป็นลานกิจกรรม เพื่อรองรับลูกค้าที่มาพักโรงแรม

ก่อนหน้านี้ได้ให้บริษัทครูกายแก้วมาย้ายแล้ว แต่บริษัทไม่ดำเนินการใดๆ จึงต้องย้ายไปเก็บไว้ในพื้นที่ไม่มีคนเห็นก่อน หากใครสนใจสามารถติดต่อขอรับได้

'รมว.ปุ้ย' มอบ 'กนอ.' เร่งช่วยผู้ประสบอุทกภัยในนราธิวาส สนับสนุนงบฯ ฉุกเฉิน ตั้งครัวกลางแจกอาหารให้พี่น้องประชาชน

(28 ธ.ค.66) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดนราธิวาส หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องมาหลายวัน ทำให้น้ำล้นตลิ่งและมีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะที่อำเภอระแงะ อำเภอเมืองนราธิวาส อำเภอแว้ง และอำเภอสุไหงโก-ลก ที่ยังอยู่ในขั้นวิกฤติ ประชาชนบางส่วนต้องสร้างที่พักอยู่แนวริมตลิ่งริมแม่น้ำโก-ลก และบางส่วนต้องอพยพไปอยู่ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวโรงเรียนเทศบาล 4 บ้านทรายทองนั้น นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ดังกล่าวอย่างมาก จึงมอบหมายให้ กนอ. ซึ่งมีนิคมอุตสาหกรรมสงขลา (สะเดา) อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ เร่งประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

เบื้องต้น กนอ.ได้ประสานไปยังพื้นที่ประสบอุทกภัย พบว่า ขณะนี้มีการอพยพประชาชนมาอยู่รวมกันในพื้นที่ที่ปลอดภัยแล้ว ดังนั้น กนอ.จึงสนับสนุนเงินฉุกเฉินเร่งด่วน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นครัวกลาง เพื่อจัดหาและทำอาหารแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อน

"รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งที่จังหวัดยะลา และที่จังหวัดนราธิวาส เนื่องจากพี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จึงกำชับให้ กนอ. เร่งประสานกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว เบื้องต้นเราช่วยสนับสนุนในพื้นที่ให้สามารถจัดหาอาหารและน้ำดื่มให้กับประชาชนได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ และช่วยประสานงานต่างๆ เพื่อให้การดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กนอ. จะติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และพร้อมให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามความจำเป็นต่อไป" นายวีริศ กล่าว

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.นราธิวาส ล่าสุด (26 ธ.ค.66) ยังมีฝนตกลงมาประปรายทั้ง 13 อำเภอ ขณะที่แม่น้ำสายหลัก 3 สายยังคงมีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง แม้ระดับน้ำลดลงจากเดิม แต่ในพื้นที่ราบลุ่มของ อ.สุไหงโก-ลก อ.ระแงะ และ อ.ตากใบบางส่วน ยังมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีฝนตกลงมาระลอกใหม่นั้น คาดว่าสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ราบลุ่มของทั้ง 13 อำเภอของ จ.นราธิวาส จะเริ่มคลี่คลายและกลับคืน สู่สภาวะปกติได้

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! ปี 67 คลื่นการลงทุนลูกใหม่กำลังเคลื่อนเข้าไทย คาด!! น่าจะเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าใส่อย่างหนักแน่นด้วย

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น '2567 ปีทองการลงทุนไทย' เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

การลงทุนเป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ การลงทุนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวัฏจักรธุรกิจ (Business Cycle) เมื่อเศรษฐกิจถดถอย (Recession) การลงทุนจะล่มหายทันที ในทางตรงข้ามเมื่อการลงทุนทะยานขึ้น จะนำมาซึ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพียงแต่การลงทุนมักมีความผันผวนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ ดอกเบี้ย ภาษี ภาวะตลาด รวมทั้งการเมืองในและระหว่างประเทศ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การลงทุนเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่สำคัญและยั่งยืนที่สุด ในอดีตโดยเฉพาะก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีระดับการลงทุนสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง การลงทุนในประเทศอยู่ที่กว่า 40% ของ GDP และเป็นการขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment-FDI) ทำให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ 7.5% ต่อปี ต่อเนื่องยาวนาน จนเป็นที่คาดการณ์ว่าไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ในกลุ่มเดียวกับเกาหลีใต้, ไต้หวัน, ฮ่องกง และสิงคโปร์

ทว่า หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง การลงทุนในประเทศกลับเหือดหายไปอย่างไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการส่งออกจะยังสดใสจากค่าเงินบาทที่ลดค่าลงต่ำ แต่วิกฤตปี 2540 ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทย แม้ว่าจะมีการปรับโครงสร้างในหลายด้าน อาทิเช่น การสร้างความเข้มแข็งของสถาบันการเงินและตลาดทุน การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน แต่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศรวมทั้งผลิตภาพในภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถกลับคืนสู่ระดับก่อนวิกฤตได้ ระดับการลงทุนในประเทศลดลงเหลือไม่ถึง 20% ของ GDP หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการลงทุนก่อนวิกฤต อัตราเติบโตตามศักยภาพลดลงเหลือ 3-4% ต่อปีในปัจจุบัน

แต่มีเรื่องที่น่ายินดีว่า ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณบวกหลายประการเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าปี 2567 จะเป็นปีทองของการลงทุนไทย 

ประการแรก เศรษฐกิจมหภาคมีแนวโน้มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น การประชุม Fed เมื่ออาทิตย์ก่อนถือเป็นการยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างถาวร และ Fed ยังได้ประกาศล่วงหน้าว่าจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า แม้ว่านโยบายการเงินของไทยจะผิดพลาดมาโดยตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาและสร้างความผันผวนทางการเงินมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่ครั้งนี้เมื่อไร้แรงกดดันจาก Fed จึงเป็นโอกาสอันดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ทันที  

ดังนั้นภายใต้ภาวะการเงินที่ผ่อนคลายและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่ำลง น่าจะเป็นจังหวะเหมาะสมที่ภาคธุรกิจจะเริ่มลงทุนใหม่หลังจากได้ชะลอการผลิตและลดสินค้าคงคลังมาระยะหนึ่ง

ประการที่สอง การส่งออกเริ่มมีการเติบโตเป็นบวกหลังจากที่หดตัวต่อเนื่องมาเป็นเวลานานหลายเดือน ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เป็นไตรมาสแรกที่การส่งออกเติบโตเป็นบวกและคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างแข็งแรงตลอดปีหน้า นอกจากนี้การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ซึ่งปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของทางการ ก็เริ่มมีแนวโน้มสดใสขึ้นในไตรมาสนี้ และจะกลับมาใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิดในปีหน้า ภาคบริการมีการเติบโตอย่างมั่นคงและมีการลงทุนใหม่จำนวนมากในธุรกิจโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงาน

ประการที่สาม การดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่ชาญฉลาด สามารถเปลี่ยนความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ให้เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การแบ่งขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจ (Economic Decoupling) ระหว่างจีนและประเทศตะวันตก ได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้าย Supply Chain ของอุตสาหกรรมสำคัญๆ ออกจากจีน ไปสู่ประเทศที่ตะวันตกมองว่าเป็นประชาธิปไตยและมีความมั่นคงทางการเมือง การเมืองระหว่างประเทศกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกที่ตั้งฐานการผลิต เพิ่มเติมจากปัจจัยทางธุรกิจ

ประเทศไทยสูญเสียโอกาสสำคัญไปอย่างน่าเสียดายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ต้องถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ใน 100 วันแรกของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปพบผู้นำโลกและผู้นำธุรกิจชั้นนำมากมาย ขณะนี้มีความชัดเจนมากที่ธุรกิจสำคัญในอุตสาหกรรมดิจิทัล อาทิ Google, Amazon และ Microsoft จะย้ายฐานการผลิตมาไทย นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ EV รายสำคัญของโลก อาทิ Tesla, BYD และ MG ก็กำลังจะมาตั้งโรงงานในไทยเช่นกัน ส่วนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกำลังฟื้นตัวและเป็นเสาหลักดั้งเดิมของอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ก็มีแผนการที่จะ Upgrade โรงงานขึ้นสู่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย

ประการที่สี่ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมากกว่าประเทศอื่น ระบบสถาบันการเงินและตลาดเงินตลาดทุนไทยยังถือว่ามีความเข้มแข็งและสามารถให้บริการทางการเงินแกภาคเศรษฐกิจจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลาดทุนไทย ซึ่ง Underperform ตลาดอื่นทั่วโลกมานาน วันนี้เริ่มมีแนวโน้มสดใสและพร้อมที่เติบโตอย่างมั่นคงอีกครั้ง โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของไทยก็ไม่ด้อยกว่าประเทศใดในโลก ทั้งในด้านความมั่นคง ราคาพลังงาน รวมทั้งพลังงานสะอาด (Clean/Renewable Energy) ซึ่งกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเลือกที่ตั้งฐานการผลิต โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและ ICT ก็ถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทย

ประการที่ห้า การลงทุนใน Mega Projects ของภาครัฐ แม้ว่าการลงทุนภาครัฐในอดีตจะมีความล่าช้า และงบประมาณปี 2567 จะออกมาไม่ทันการ แต่เชื่อว่าโครงการ Flagship ขนาดใหญ่ของรัฐบาลจะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมในปี 2567 นี้ อาทิเช่น EEC โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการรถไฟรางคู่ โครงการทางยกระดับ โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพ รวมทั้งการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเมืองหลักทั่วประเทศ อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดของรัฐทั้งในเรื่องงบประมาณและความสามารถในการบริหารจัดการ อาจต้องอาศัยกลไกร่วมทุนและดำเนินการกับเอกชน (Public Private Partnership-PPP) โดยจะต้องปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพขึ้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของเอกชนหรือของรัฐก็ตาม ต่างก็ใช้ทรัพยากรของชาติที่มีอยู่จำกัด หน้าที่ของรัฐบาลคือการดูแล/ชี้นำให้ทรัพยากรของชาติมีการจัดสรรไปสู่โครงการที่มีความคุ้มค่าทางการเงินสูงสุด และต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ก่อให้เกิดความสูญเปล่าและความเสียหายทางเศรษฐกิจ ดังที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตและในประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นการจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาล

ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ล้วนบ่งชี้ว่า 2567 จะเป็นปีทองของการลงทุนไทย คลื่นการลงทุนลูกใหม่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยแล้ว และน่าจะเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าใส่อย่างหนักแน่น

‘หนุ่มไต้หวัน’ จับของขวัญปีใหม่ ลุ้น!! นึกว่าจะได้พัดลมไฟฟ้า Dyson เฉลย!! เป็นนมผง-ช็อกโกแลต ทำชาวเน็ตขำก๊ากกับไอเดียสุดบรรเจิด

(28 ธ.ค. 66) ในช่วงสิ้นปีของทุกปีผู้คนจำนวนมากจะรวมตัวกับญาติ เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานในช่วงคริสต์มาสหรือวันส่งท้ายปีเก่าเพื่อสังสรรค์ปาร์ตี้สนุกสนานในธีมต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงหลาย ๆ คนมีการแลกเปลี่ยนของขวัญกันอีกด้วย บางคนก็ได้ของขวัญสุดหรู บางคนได้ของใช้ แต่บางคนได้ของขวัญสุดขำ

ดังเรื่องราวที่เป็นกระแสไวรัลในเฟซบุ๊กทางกลุ่มนิรนามในไต้หวัน เผยว่าชายในภาพจับฉลากได้ของขวัญห่อด้วยถุงพลาสติกสีดำรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับพัดลมไฟฟ้าของ Dyson มาก โดยไม่คาดคิดหลังจากแกะถุงดำออกต่างพากันขำกรามค้าง

โดยระบุว่า “หลังจากทานอาหารเสร็จ แผนกก็มีการแลกของขวัญกัน ธีมคือของที่ Costco เพื่อนร่วมงานได้รับของขวัญที่หัวหน้างานเตรียมไว้ ทุกคนตื่นเต้นมาก นึกว่าพัดลม Dyson แต่หลังจากเปิดดูเป็นนมผงและช็อกโกแลต 1 พวง ผู้ชมทั้งหมดพากันหัวเราะ คล้ายมากจริง ๆ ได้ไอเดียมาจากไหน ประทับใจมาก ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์มาก”

พร้อมทั้งโพสต์ภาพความจริงของของขวัญว่าสิ่งที่อยู่ข้างใน คือ นมผงกระป๋องหนึ่งและช็อกโกแลตจำนวนหนึ่ง ซึ่งผู้ให้ถูกจงใจรวมเข้าด้วยกันเป็นรูปทรงของพัดลมไฟฟ้า

ภาพถ่ายดังกล่าวจุดประกายให้เกิดการพูดคุยอย่างดุเดือดในหมู่ชาวเน็ต “ช็อกโกแลตอร่อย เอามาผสมทำนมช็อกโกแลต”, “นึกว่าเป็นกระเช้าดอกไม้”, “แค่แพ็คกระป๋องนั้นก็นึกว่าจะกระโดดข้ามแล้ว”, “หน้าเหมือนไดสันจริง ๆ”, “หัวเราะแล้วหัวเราะอีก น้ำตาจะไหล”

ใจหาย!! ปลดฟ้าผ่า 'คุยถึงแก่น' รายการข่าวเด่นแห่งช่อง NBT ด้าน 'พิธีกรดัง' รับ!! วัฏจักรวงการสื่อ แย้ม!! แฟนๆ รอการขยับครั้งใหม่

(28 ธ.ค. 66) นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ออกอากาศทางช่อง NBT ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ขอทำความเข้าใจ เรื่องรายการ 'คุยถึงแก่น' อย่างเป็นทางการนะครับ

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ผังรายการของ NBT จะไม่มีรายการ คุยถึงแก่นอีกต่อไป

ผมเองได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากผู้บริหารสถานี ว่ารายการ 'หลุดผัง' ปีหน้าแน่นอน เมื่อวานเวลา 15.00 น. โดยประมาณ ซึ่งกระชั้นชิดมาก

โดยให้เหตุผลว่า มีนโยบายจะปรับรูปแบบรายการของสถานีให้เป็นแบบเกาหลี ซึ่งผมก็ไม่มีความรู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร แล้วแบบเกาหลีมันต้องถอดรายการที่คนดูเยอะ เรทติงดีออกด้วย ... งงมาก (หรือหน้าตาผมไม่ออกแนวเกาหลี555)

จริงๆ ผมและทีมก็เตรียมตัวเตรียมใจมานานแล้วว่า การเมืองมันเปลี่ยน วันนึงเราก็อาจจะได้รับผลกระทบก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องอยู่กันไปจนชั่วฟ้าดินสลายหรอก

เพียงแต่ บอกกันสักนิดนึงให้ เด็กๆ เขาเตรียมตัว กันบ้างแค่นั้นแหละนี่มาบอกกันข้ามวัน แบบนี้

แต่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่เสียดาย ความรู้สึกของแฟนๆ รายการที่ ติดตามเรามา 5 ปีเกือบ 6 ปีที่นับวันก็จะเพิ่มมากขึ้น และมีความผูกพันแน่นเหนียว

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกๆ กำลังใจที่ให้พวกเรา

เดี๋ยวจะขยับไปไหนจะรีบแจ้งให้ทราบครับ

คิดเสียว่า มันคือวิถีจอมยุทธ์ ยุทธภพมีไว้ให้เราย่ำเดิน!!

#คุยถึงแก่น

ปิดดีล 'FTA ไทย–ศรีลังกา' เตรียมลงนามเดือน ก.พ.67 มั่นใจ!! 'ทรัพยากรสมบูรณ์-ขนส่งทางเรือแกร่ง' เอื้อประโยชน์ไทย

(28 ธ.ค. 66) น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการประชุมเจรจา FTA ไทย-ศรีลังกา รอบที่ 9 ระหว่างวันที่ 18-20 ธ.ค.66 ที่ผ่านมา ณ กรุงโคลัมโบ โดยมีนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าคณะเจรจา FTA นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ว่า ที่ประชุมสามารถสรุปผลการเจรจา FTA ไทย-ศรีลังกา ได้ตามเป้าหมาย โดยครอบคลุมการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และหลังจากนี้ แต่ละฝ่ายจะดำเนินกระบวนการภายใน เพื่อนำไปสู่การลงนามความตกลงฯ ต่อไป

ทั้งนี้ ในส่วนของไทย กระทรวงพาณิชย์จะนำเสนอผลการเจรจาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอความเห็นชอบให้มีการลงนามความตกลงฯ ในช่วงการเดินทางเยือนศรีลังกาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ตามคำเชิญของประธานาธิบดีศรีลังกาในช่วงต้นเดือน ก.พ.2567

“การสรุปผลการเจรจาครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จของกระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Win ที่ต้องทำให้สำเร็จภายใน 99 วันเเรกของรัฐบาล โดยเป็น FTA ฉบับแรกของรัฐบาลชุดนี้ และนับเป็น FTA ฉบับที่ 15 ของไทย”น.ส.โชติมากล่าว

น.ส.โชติมา กล่าวว่า แม้ศรีลังกาจะเป็นประเทศขนาดเล็ก มีประชากรเพียง 22 ล้านคน แต่มีจุดเด่นด้านที่ตั้ง ซึ่งเป็นเกาะในมหาสมุทรอินเดีย โดยเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการขนส่งทางเรือ และมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เช่น แร่รัตนชาติ แร่แกรไฟต์ และสัตว์ทะเล โดยสินค้าไทยที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ ได้แก่ ยานยนต์  สิ่งทอ อัญมณี โลหะ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์เหล็ก กระดาษ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง อาหารสัตว์ เมล็ดข้าวโพด ภาคบริการที่ได้รับประโยชน์ เช่น การเงิน ประกันภัย คอมพิวเตอร์ ก่อสร้าง ท่องเที่ยว และวิจัยและพัฒนา และด้านการลงทุนที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ สาขาการผลิตอาหารแปรรูป การผลิตรถยนต์และส่วนประกอบ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์การแพทย์

ในช่วง 10 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-ต.ค.) การค้าระหว่างไทยและศรีลังกา มีมูลค่า 320.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปศรีลังกา มูลค่า 213.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากศรีลังกา มูลค่า 106.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ยางพารา ผ้าผืน อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องเพชรพลอยและอัญมณี เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช และเคมีภัณฑ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top