บุคคลแห่งปี 2023 Time To Be Proud
รวม 12 บุคคลแห่งปี 2023 ที่ THE STATES TIMES อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ” ✨👍🏻👏🏻

รวม 12 บุคคลแห่งปี 2023 ที่ THE STATES TIMES อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ” ✨👍🏻👏🏻
(27 ธ.ค.66) จากช่องติ๊กต็อก ‘GodfatherofStarup’ ได้โพสต์คลิปการประชุมหารือหัวข้องานวิจัย ‘Selected Topic’ ที่มีผลกระทบสูง โดยมีผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ มาแชร์มุมมองของตนเองเกี่ยวกับภาคการเกษตร ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้…
เปิดด้วย คุณวิชัย ทองแตง นักธุรกิจและอดีตนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า “อาชีพหลักของผมคือ ‘การต่อยอด’ หากพวกคุณเดินไปความสำเร็จแล้ว มี 2G แล้ว เดี๋ยวผมปั้นเข้าตลาดให้ สิ่งนี้คืออาชีพของผม…”
นายชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กล่าวว่า “สวก.เป็นหน่วยบริการทุนวิจัย ซึ่งจะได้รับเงินแต่ละปีประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งจะโฟกัสไปที่การซัปพอร์ต เรื่องของงานวิจัยภาคการเกษตรของประเทศ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีความสําคัญกับทางเศรษฐกิจ”
ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ทุเรียนไทย ออกก่อนชาวบ้านเขา เพราะฉะนั้นในตลาดจีน ยังไงก็คิดว่าซีซั่นแรกเราครองตลาดได้แน่นอน ปลอกแล้วเก็บได้นาน ยืดอายุได้นาน จะไปถึงปลายทางแล้วคุณภาพยังดี ส่วนของ สวก.ก็ได้ให้ทุนวิจัยไปส่วนหนึ่ง อย่างเครื่องวัดความอ่อนแก่ของทุเรียน ซึ่งความแม่นยําจะอยู่ที่ประมาณ 60 ยังไม่ได้ถึง 90”
คุณทรงสมร สุขบุญทิพย์ บริษัท ไทย ไฮไซแพค จำกัด กล่าวว่า “ระบบ Tracking ซึ่งจริง ๆ แล้วถามว่า QR Code สามารถระบุอะไรได้บ้าง เช่น ID Product, Product Type, วันที่เก็บเกี่ยว/สวนที่เก็บเกี่ยว, ผลวิเคราะห์คุณภาพ, รหัสการติดตาม, คำแนะนําการเก็บรักษา เป็นต้น และถ้าเกิดมี Egap ขึ้นมา ที่กรมวิชาการเกษตรเขาอยากทําในส่วนตรงนั้น คิดว่าเอามาปลั๊กอินกันได้ และตรงนั้นเราสามารถประเมินได้เลยว่า สวนไหน ออกดอกเมื่อไหร่ มี Output เท่าไหร่ และเราจะต้องให้อะไรมากขึ้นที่เท่าไหร่ ซึ่งเราคุมตั้งแต่ต้นน้ำเลย ตั้งแต่สวน มือตัด มี QC และมาตรฐานที่จะเช็กแต่ละอย่าง”
ดร.เสริมสุข สลักเพ็ชร์ กรรมการบริหาร สวก. กล่าวว่า “เห็นด้วยกับในเรื่องของการที่ไม่อ่อนไม่หนอน ก็คือขายแต่ ‘เนื้อ’ ซึ่งเขาไปขายทั้งผลเป็นทุเรียนสดแช่เย็น แล้วก็ขายเฉพาะเนื้อแช่เย็น นั่นคือสิ่งที่ สวก. กําลังให้ทุนดําเนินการอยู่เช่นกัน ส่วนเปลือกสามารถเอากลับมาใช้ประโยชน์ในประเทศไทยได้”
คุณวิชัย ทองแตง Godfather of startup กล่าวเสริมว่า “เปลือกสามารถเอามาทําอะไรได้หลายอย่าง ทั้งกระบวนการสามารถเอาไปจัดการได้หมด เป็น Zero waste ได้ และจะเป็นสตอรี่ที่ทางการตลาดให้ความสําคัญ”
คุณสุภาลักษณ์ กมลธรไท บริษัท สารัชมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า “เสียงที่เราเคยพูดเกี่ยวกับ ‘มะขาม’ มันยังดังไม่พอ…และก็เป็นความหวังลึกๆ… เพราะมีการคุยกันตลอดเรื่องปัญหามะขาม ที่มันเยอะ อีกทั้งมะขามคุณภาพต้องมะขามเพชรบูรณ์ และส่วนตัวที่มีปัญหาเรื่องเชื้อรามากที่สุด ก็คือมะขามที่มันหวาน โดยมันต้องเริ่มตั้งแต่การปลูกถ้าจะไม่ให้มีรา ซึ่งปุ๋ยบางตัวที่ใส่ไปแล้วก็จะทําให้เกิดราน้อย”
คุณอรพินทร์ พญาพิทักษ์สกุล บริษัท ทีเอสซีจี กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “มะขามหวานเป็นเชื้อราจริง ๆ ซึ่งมันเกิดจากดิน ทั้งนี้ ‘ดินเบา’ เป็นแร่ชนิดหนึ่งที่สามารถดูดซับกลิ่นแล้วก็ทําเป็นปุ๋ยได้ ไปเพิ่มประสิทธิภาพในธาตุดินให้มันมีเอ็นพีเคได้ และยังทําเป็นซีโร่เอสได้ในขณะที่มันเอาไปดูดซับน้ำมัน แล้วส่งเข้าโรงไฟฟ้าได้ จึงอยากให้ทางสวก.ช่วยในเรื่องรับรองผลว่า มันสามารถปราบพวกศัตรูพืชต่าง ๆ ได้จริง”
คุณปวีณา ว่านสุวรรณา บริษัท สกลนครนวกิจ จำกัด กล่าวว่า “สามารถเอา ‘ดินเบา’ ของเราไปทดลองใช้ได้ ด้วยการเอาไปโรยในแปลงหญ้า จากนั้นหนอนที่ขึ้นมากัดกินใบไม้ตอนช่วงกลางคืน พอถูกดินเบาติดตามผิวหนัง ก็จะถูกดินเบาดูดซับน้ำหล่อเลี้ยงในตัว ดังนั้นพอตื่นเช้ามา เราจะเห็นเขาตายตามร่องน้ำ และนี่ก็เป็นการใช้งานจริง”
คุณพงศ์ศักดิ์ จิระพันธ์พงศ์ กล่าวว่า “วันนี้ที่ได้มีการเอามาโชว์เป็นพิเศษ ก็จะเป็นตัวน้ำที่เป็นอัลคาไลน์ เป็นซิลิกา (Silica) ซึ่งมาจากดินเบาตัวนี้ ซึ่งมีซิลิกา (Silica) สูงมาก โดยมีถึง 74-76% และมันจะต่อยอดกับทางการเกษตรได้อีกเยอะมาก อีกทั้งข้อดีของดินเบาตรงนี้สามารถเอาไปเผาเป็นพลังงานได้”
คุณชาญวิทย์ เอนกสัมพันธ หญ้าเนเปียร์ในอาหารสัตว์ กล่าวว่า “หญ้าเนเปียร์ปลูกได้ปีนึงประมาณ 4-6 ในการตัดต่อครั้ง ซึ่งกระทรวงเกษตรเคยได้รับการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่นั้นปลูกหญ้าในเปียร์ แต่พอปลูกไปปลูกมาหายไปเลย เกษตรกรก็งงส่งเสริมให้เราปลูกแต่ทําไมคุณไม่มาทําอะไรต่อ…”
คุณชนเมศ เจนสถิตวงศ์ บริษัท มิดแลนเน็กซื จำกัด กล่าวว่า “เรามีการทดลองเอา ‘วัวที่ไม่ได้กิน’ กับ ‘วัวที่กิน’ มาเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าน้ำนมวัวเพิ่มขึ้นทุกตัวเลยในส่วนที่อัตราเฉลี่ย 1.6 กิโลต่อวัน”
อีกทั้งยังมีความคิดเห็นของผู้บริหารท่านอื่นที่ต่างแชร์มุมมองกัน ดังนี้
- “เนเปียร์จริง ๆ แล้วเป็นหญ้าที่ต้องมีน้ำเยอะ ๆ เพราะปัญหาของการเกษตรเราก็คือว่าหลังจากทําไปแล้วก็ถ้าขายไม่ได้ก็หยุด”
- “การปลูกเนเปียร์มันดีอย่างหนึ่ง เพราะมันใช้เครื่องจักรห่ออ้อยได้เลย กระบวนของการดูแลรักษาให้ปุ๋ยอะไรต่าง ๆ สามารถใช้เครื่องจักรอ้อยได้ ซึ่งถ้าหากเราจะทําเป็นแมสก์ เป็นอุตสาหกรรมมันจะไม่ยาก”
- “คําว่า ‘Zero Waste’ คํานี้เป็นคําที่ใหญ่มาก ๆ ถ้าเราดูในเรื่องของกระบวนการทั้งหมด มันคือการเพิ่มมูลค่าทั้งวงจรของการผลิตทางด้านการเกษตร ถ้าเราจะมาทํางานวิจัยที่เป็นชุมชน หมู่บ้าน หรือตําบล ภาคการเกษตร ก็จะมีรายได้มากขึ้น”
และปิดท้ายด้วย คุณวิชัย ทองแตง “ธุรกิจอาหารสัตว์ คือธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงที่สุด และนี่คือเรื่องใหญ่ของประเทศ ถ้าหากว่าคุณสามารถโตไปในทางเรื่องอาหารสัตว์ได้ คุณจะสามารถไปสู่เป้าหมายและประเทศไทยจะยิ่งใหญ่ได้…”
(27 ธ.ค. 66) กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ‘ดีพร้อม’ (DIPROM) เดินหน้าต่อเนื่อง จัดงานแฟร์ ปักหมุด 5 ภาค หวังกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วประเทศ หลังกระแสตอบรับ ‘อุตสาหกรรมแฟร์ เมืองใต้ 2023 นครศรีธรรมราช-ชอป ชิม เที่ยวเพลิน เดินหลาด’ ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย และประชาชนในพื้นที่เข้าชมงานตลอด 5 วัน อย่างล้นหลาม เผยยอดผู้เข้าชมงานกว่า 1 แสนคน โดยเฉพาะผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง ให้ความสนใจเข้ารับบริการโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ กว่า 5,600 คน และเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 340 ล้านบาท
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ‘ดีพร้อม’ เป็นหน่วยงานหลักในการเดินหน้าจัดงาน ‘อุตสาหกรรมแฟร์เมืองใต้ 2023 นครศรีธรรมราช’ ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2566 ณ ลานอเนกประสงค์ ตลาดเสาร์อาทิตย์ ถนนพัฒนาการคูขวาง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยผนึกกำลังระดมสุดยอดผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง หน่วยงานพันธมิตรภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน และหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี สินค้าและบริการที่ทันสมัย ภายใต้แนวคิด ‘การส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจเขตพื้นที่ภาคใต้’ (Southern Industrial Fair) เพื่อแสดงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยและกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงพื้นที่ จากการออกร้านของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชนกว่า 300 ร้านค้า
รวมถึงเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ส่งท้ายปีและช่วยลดค่าครองชีพ ให้กับประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนช่วยพัฒนาพี่น้องประชาชนชาวใต้สู่การเป็นผู้ประกอบการ พร้อมสร้างความเข้มแข็งในชุมชน อันจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย
สำหรับผลการจัดงานอุตสาหกรรมแฟร์เมืองใต้ 2023 นครศรีธรรมราช ที่ผ่านมา รวมจำนวน 5 วัน ได้รับการตอบรับจากผู้เข้าชมงานเป็นอย่างดี โดยมียอดผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 1 แสนคน ยอดผู้เข้าร่วมฟังการสัมมนาเพิ่มองค์ความรู้ จำนวนกว่า 3,000 ราย ขณะที่ยอดขายภายในงาน ซึ่งเน้นการนำสินค้ามาทดสอบตลาดของผู้ประกอบการ ที่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับศักยภาพการประกอบการสู่ยุค ‘Now Normal’ มียอดการจำหน่ายรวมทั้งสิ้นกว่า 8 ล้านบาท ยอดรับบริการขอสินเชื่อภายในงาน รวมจำนวนทั้งสิ้น 212 ล้านบาท
ยอดผู้ขอรับบริการคำปรึกษาแนะนำโครงการ/กิจกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน 2,520 ราย แบ่งเป็น โซนสุขสันต์วันทำธุรกิจ Happiness & Business จำนวน 600 ราย โซนดีพร้อมดิจิทัลสร้างฝันให้ธุรกิจเป็นจริง จำนวน 640 ราย โซน AGRO Solution จำนวน 260 ราย โซนสร้างสรรค์เติมฝันให้ดีพร้อม จำนวน 40 ราย โซนขยายธุรกิจด้วยสถาบันการเงิน จำนวน 15 ราย และยอดขอรับบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรี จำนวนทั้งสิ้น 965 คัน
นอกจากนี้ ยังมีการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ (Business Matching) จำนวน 60 คู่ ก่อให้เกิดมูลค่ามากกว่า 120 ล้านบาท โดยสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในภาพรวมได้กว่า 340 ล้านบาท
นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า “การจัดงานอุตสาหกรรมแฟร์ฯ ในครั้งนี้ ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ประกอบการ และพี่น้องประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียงเป็นอย่างดี นอกจากเป็นของขวัญปีใหม่ส่งท้ายปีให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพแล้ว ยังถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการตลาดที่ช่วยผลักดัน ฟื้นฟู และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในเชิงพื้นที่ให้เติบโตมากขึ้น รวมทั้งสอดรับกับ 6 นโยบายสำคัญเพื่อการพัฒนา และยกระดับภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย”
“ทั้งนี้ ในปี 2567 กระทรวงอุตสาหกรรม นอกจากจะเดินหน้ายกระดับศักยภาพภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องด้วยแนวทางการผลักดันอุตสาหกรรมสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้เศรษฐกิจ และสังคมยุคใหม่ รวมทั้งการพัฒนาชุมชน โดยบริบทของอุตสาหกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้วางแผนเดินหน้าจัดงานแฟร์ในพื้นที่ 5 ภาค ทั่วประเทศ เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยให้กลับมาคึกคัก โดยจะดึงเอาจุดเด่นและศักยภาพของแต่ละพื้นที่มาเป็นแนวคิดของการจัดงานแฟร์ในแต่ละภาค อันจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคได้เป็นอย่างดี และคาดว่า จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 1,000 ล้านบาท” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวทิ้งท้าย
‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ หรือที่คนไทยทั้งประเทศรู้จักในนาม ‘ลุงตู่’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย และเป็นหนึ่งในนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็น ‘องคมนตรี’ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา
สำหรับเส้นทางทางการเมืองของ ‘ลุงตู่’ นั้น ได้เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ภายหลังจากได้ตัดสินใจเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการ (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. กระทั่งมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562
และเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ภายหลังการประชุมร่วมรัฐสภา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภา ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี (สมัยที่ 2)
แม้จุดเริ่มต้นของการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 จะมาจากการทำรัฐประหาร แต่ ‘ลุงตู่’ ก็พิสูจน์ให้พี่น้องคนไทยทั้งประเทศเห็นแล้วว่า ‘ตั้งใจ’ เข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ โดยมุ่งมั่นทำงาน ทุ่มเททั้งแรงกายและหยาดเหงื่อ สร้างความเจริญ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างให้แก่ประเทศไทย ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ในฐานะ ‘ผู้นำประเทศ’
และนี่คือ 9 เรื่องดี ๆ ที่ ‘ลุงตู่’ ได้ฝากไว้ให้คนไทยทั้งประเทศ
1. กำหนด ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ
2. ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศ รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ
3. สร้างความพร้อมเรื่อง ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ และ ‘เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม’ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ
4. กำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคต และการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21
5. สร้างกลไกในการบริหารจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ได้แก่
-‘น้ำ’ ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ
-‘ดิน’ ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร
-‘ป่า’ ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ
6. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ ๆ ของโลกในอนาคต
7. ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก
8. ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย - สะดวก - โปร่งใส เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ และ UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น
9. สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้ภายใต้การบริหารประเทศของ ‘ลุงตู่’ และแม้การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา จะไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ซ้ำยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวนแปรปรวน
ก็ต้องบอกว่า ‘ประเทศไทย’ นับจากวันนี้ จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่ ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างมานั้นได้รับการ ‘ต่อยอด’ ก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางเข้าสู่ ‘เส้นชัย’ ได้เร็ววันยิ่งขึ้น
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
ในวันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 1 มกราคม 2567 เป็นห้วงหยุดยาววันคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2567 ซึ่งจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อเยี่ยมเยียนบิดา มารดา ญาติพี่น้อง และเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนในภูมิภาคต่างๆ เป็นจำนวนมาก และการเดินทางดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
และการก่อความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้นได้
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมตลอดระยะเวลาห้วงเทศกาล โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายและระดมกำลังทั่วประเทศร่วมกันกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท ในห้วงวันที่ 18 ธันวาคม ถึง 27 ธันวาคม 2566 เพื่อเตรียมพร้อมช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2567 โดยมีเป้าหมายหลักเป็นความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืน และ การลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย ทั้งทางออฟไลน์
และออนไลน์ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยาเสพติด การควบคุมสถานบริการ และความผิดเกี่ยวกับ
คนเข้าเมือง กลุ่มแก็งอาชญากรรมข้ามชาติผิดกฎหมาย ตลอดจนบุคคลตามหมายจับที่ทางการต้องการตัวทุกข้อกล่าวหา โดยมีผลการระดมกวาดล้าง ห้วงวันที่ 18 ธันวาคม ถึง 27 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาดังนี้
1.จับกุมความผิดอาชญากรรม On ground รวมจับกุม 23,535 คดี ผู้ต้องหา 24,543 ราย เป็นความผิด ดังต่อไปนี้
1.1 ความผิดเกี่ยวกับการพนัน รวม 2,778 คดี ผู้ต้องหา 3,498 ราย
1.2 ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด รวม 13,722 คดี ผู้ต้องหา 13,741 ราย
1.3 ความผิดเกี่ยวกับคนเข้าเมือง รวม 6,589 คดี ผู้ต้องหา 6,856 ราย
1.4 ความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ รวม 446 คดี ผู้ต้องหา 448 ราย
คดีรายสำคัญ
-กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดจับกุมเครือข่ายจำหน่ายยาเสพติดข้ามชาติ ตรวจยึด
ยาเสพติดชนิดไอซ์อัดในถุงผลไม้อบแห้ง และคีตามีนอัดในถุงชา น้ำหนักรวม 2,200 กิโลกรัม ได้บริเวณบริษัทท่าเรือบางปะกง อำเภอ บางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ทำการสืบสวนขยายผลสามารถจับกุมและยึดทรัพย์ นายชาญชัยฯ หรือกัปตันตุ้ย ตัวการกับพวก ซึ่งมีพฤติกรรมลำเลียงส่งยาเสพติดในน่านน้ำสากลปลายทางไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ ได้ทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ประเภท ร้านอาหาร กิจการเดินเรือ เงินสด ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ พระเครื่อง รถยนต์ ฯลฯ มูลค่ากว่า 140 ล้านบาท
- ตำรวจภูธรภาค 2 ตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 38/2 ตำบล สำนักทอง อำเภอ เมืองระยอง ตรวจยึดของกลางจำพวกรถยนต์ 9 คัน รถจักรยายนต์ 4 คัน เอกสารการจำนำรถ สัญญาเงินกู้ สมุดบัญชีเงินฝาก ฯลฯ ดำเนินคดี นางสาววรรณิดา ฟุ้งมาก ข้อหาประกอบธุรกิจสินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด มูลค่าเงินหมุนเวียนกว่า 2.5 ล้านบาท
- ตำรวจภูธรภาค 7 จับกุม การจำหน่ายยาเสพติดประเภท 1 และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ของกลางยาไอซ์ 37 กิโลกรัม ยาอี 220 เม็ด เคตามีน 6.54 กิโลกรัม และยาบ้ากว่า 170,000 เม็ด
- กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จับกุม นางสาวคนึง ยอดยิ่ง กับพวก ฐานเป็นเจ้าหนักงานทุจริตต่อหน้าที่ฯ ที่ อำเภอ พรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จับกุมโรงงานผลิตลูกชิ้นเถื่อนที่ อำเภอ คลองหลวง ปทุมธานี ดำเนินคดี นางสาวธันย์ดารินทร์ ธัญญจินดากุล ความผิดตาม พ.ร.บ.อาหารฯ จับกุมหมอเถื่อนชาวเวียดนามดำเนินคดี นายเหงี่ยน ดัง เทียน ข้อหาประกอบกิจการสถานพยาบาล(เสริมความงาม) โดยไม่ได้รับอนุญาต ย่านพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ และจับกุมทลายโกดังเถื่อน อำเภอ ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ลักลอบผลิตวัตถุอันตรายทางการประมงเพื่อส่งจำหน่ายแก่เกษตรกร ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฯ ข้อหาเก็บวัตถุอันตรายที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่ไม่ขึ้นทะเบียนไว้ มูลค่าความเสียหายกว่า 1,500,000 บาท
2.จับกุมความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี Online รวมจับกุม 3,430 คดี
ผู้ต้องหา 3,350 ราย โดยเป็นความผิดดังต่อไปนี้
2.1 ความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน รวม 240 คดี ผู้ต้องหา 232 ราย
2.2ความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย รวม 562 คดี ผู้ต้องหา 538 ราย
2.3 ความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่ข่าวปลอม รวม 823 คดี ผู้ต้องหา 745 ราย
2.4 ความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก รวมจำนวน 176 คดี
ผู้ต้องหา 176 ราย
2.5 ความผิดเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และอื่น ๆ
รวม 1,629 คดี ผู้ต้องหา 1,659 ราย
คดีรายสำคัญ เช่น การจับกุมนายธราธิป ปิ่นกุมภีร์ ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ
(พระเครี่อง) และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนฯ มูลค่าความเสียหายกว่า 400 ล้านบาท ย่านสำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ การจับกุมกลุ่มคนร้ายพฤติกรรมหลอกลวงเทรดหุ้น AURORAเงินหมุนเวียนกว่า 70 ล้านบาท การจับกุมนายเขมมิกา สิมสา ข้อหา เป็นธุระจัดหา พาไปเพื่อการอนาจาร อำเภอ กระนวน จังหวัด ขอนแก่น
3. ผลการกวดขันจับกุมบุคคลตามหมายจับ รวม 5,618 หมายจับ ผู้ต้องหา 5,428 ราย
หมายจับรายสำคัญ
- หมายจับกุม นายฟงเหา จัง ,พลเรือตรี ประกายพฤกษ์ ศรีฟ้า และ นายเทวราช มังกร ฐานเป็นผู้ใช้จ้างวานฆ่าผู้อื่นฯ
- หมายจับ นางสาวพิมพ์นารา จันทร์ศรี ฐานกันร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ มูลค่าความเสียหายกว่า 130 ล้านบาท
- หมายจับ น.ส.สิริธร ตรันเจริญ ฐาน ฉ้อโกงประชาชน และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หมายจับตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 ถึง 2566 จำนวน 11 หมาย ผู้เสียหายนับ 100 ราย มูลค่าความเสียหาย 10 ล้านบาท
4. ผลการกวดขันจับกุมตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปราม อาชญากรรม
ทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 รวมจำนวน 189 คดี ผู้ต้องหา 183 ราย
คดีรายสำคัญ เช่น การจับกุมนายอาเจาเต๋อ แซ่จาง กับพวก เป็นธุระจัดหาบัญชีม้าเพื่อใช้
การหลอกลวงรายใหญ่ ผ่านการลวงลวงบริการสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดทางแอพพลิเคชั่นของบริษัทบีบาท จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยใบอนุญาตประกอบธุรกิจปลอม
5. ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน
5.1 อาวุธปืนสงคราม จำนวน 9 คดี ผู้ต้องหา 9 ราย ของกลาง 5 กระบอก
5.2 อาวุธปืนไม่มีทะเบียน จำนวน 1,900 คดี ผู้ต้องหา 1,863 ราย ของกลาง 2,057 กระบอก
5.3 อาวุธปืนมีทะเบียน จำนวน 324 คดี ผู้ต้องหา 315 ราย ของกลาง 483 กระบอก
5.4 วัตถุระเบิด จำนวน 43 คดี ผู้ต้องหา 50 ราย ของกลาง 49 ลูก
5.5 เครื่องกระสุนปืน จำนวน 579 คดี ผู้ต้องหาราย 521 ของกลาง 37,394 นัด
คดีรายสำคัญ เช่น การตรวจค้นจับกุม นายสุเมธ ลัดดาวัลย์ (ขยายผล) กับพวก บริเวณบ้านพักใน อำเภอ ศรีมโหสถ อำเภอ บ้านสร้าง จังหวัด ปราจีนบุรี และ อำเภอ แปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา ดำเนินคดีฐาน ครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ จำนวน 110 กระบอก และกระสุนปืนรวม 12,061 นัด
พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายในการให้ความสำคัญในแก้ไขปัญหาอาชญากรรมอย่างจริงจังมาโดยตลอด จึงได้มีการบูรณาการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและความผิดต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศอยู่เสมอ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก เชื่อมั่นว่าจะทำให้ความรุนแรงของอาชญากรรมลดลงและเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งต่อพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักลงทุนจากต่างประเทศ อันจะส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศ
การระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศจนทำให้สามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดอาวุธปืน ตลอดจนของกลางอื่นๆ ได้จำนวนมากในครั้งนี้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เพื่อเป็นของขวัญแด่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และการนี้ขอได้ฝากประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากมีเบาะแส/เรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรมหรือเรื่องอื่น ๆ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ในบรรดารัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลเศรษฐา 1 ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถือเป็นรัฐมนตรีที่ถูกจับตามองมากที่สุด เนื่องจากกระทรวงพลังงานเป็นกระทรวง ‘เกรดเอ’ ที่ใคร ๆ ก็อยากเข้ามากุมบังเหียน อีกทั้งยังเป็นกระทรวงสำคัญที่จะเข้ามาควบคุม กำกับดูแลราคาพลังงาน ซึ่งมีผลเกี่ยวโยงกับปากท้องของประชาชนโดยตรง
สำหรับนายพีระพันธุ์ ก่อนจะเข้ามารับตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน’ ก็มีบทบาทสำคัญทางการเมืองในหลาย ๆ ด้าน แต่ที่โดดเด่นและถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงก็คือ…การสอบสวนการทุจริต ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ หรือ ‘คดีโฮปเวลล์’ ซึ่งถูกนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลและประสบชัยชนะ ทำให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่พร้อมดอกเบี้ยนับหมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมทีมผ่าตัด ‘การบินไทย’ เส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจการบินประจำชาติ ด้วยการให้ความสำคัญกับการบิน ‘เส้นทางในประเทศ’ คู่ขนานกับการ ‘สะสางคอร์รัปชัน’ และระบบ ‘เส้นสาย’ ในฝ่ายบริหาร โดยขีดเส้นไว้ชัดเจนว่าจะต้องไม่อยู่ใต้ ‘เงา’ ของนักการเมืองอีกต่อไป
หลังจากนั้นก็เดินหน้าตามแผนฟื้นฟูกิจการ พร้อมทั้งสร้างกลยุทธ์เพื่อคืนชีพการบินไทย รวมไปถึงมุ่งสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานได้ร่วมกันฝ่าฟัน จนวันนี้ผ่านพ้นวิกฤติและเข้าสู่ช่วงพาสายการบินแห่งชาตินี้ ตั้งลำ พร้อมเชิดหัวขึ้นอย่างเฉิดฉาย
แน่นอนว่าผลงานก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงานนั้นเข้าขั้น ‘มาสเตอร์พีช’ แต่หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน’ แล้ว ฝีมือและความมุ่งมั่นก็ไม่แผ่วลงแต่อย่างใด เพราะทันทีที่เข้าคุมกระทรวงพลังงาน ก็ประกาศลดราคาค่าไฟฟ้า จาก 4.10 บาท เหลือ 3.99 บาท ทันที ทำให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลง ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาและลดภาระประชาชนได้อย่างมากมาย
ไม่เพียงแค่จัดการเรื่องราคาไฟฟ้า แต่ยังเดินหน้าลดราคาน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันดีเซลกำหนดให้มีราคาไม่เกิน 30 บาท ปรับลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ลง 2.50 บาท พร้อมทั้งตรึงราคาก๊าซหุงต้มขนาด 15 กก. ไว้ที่ราคา 423 บาท ต่ออีก 3 เดือน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2566
และนอกจากนี้ยังมีแผนรื้อถอนโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบให้ยั่งยืนและมั่นคง โดยไม่โอนอ่อนต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปรายวัน
ทั้งนี้นายพีระพันธุ์ยังเคยแสดงความมุ่งมั่นต่อแผนการปรับโครงสร้างราคาพลังงานในประเทศไว้หลายครั้ง เช่น การให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ฟังหูไว้หู’ ในหัวข้อ ‘The Special คุยกับรัฐมนตรีพลังงาน’ ออกอากาศทาง ช่อง 9 MCOT HD นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงราคาก๊าซว่า…
"ก๊าซ LNG อิงกับราคาตลาดโลก เรื่องนี้เข้าใจได้ แต่ผมมองว่าในฐานะรัฐบาล จะเล่นราคาพลังงานเหมือนตลาดหุ้นไม่ได้ เพราะพลังงานไม่ใช่สินค้าที่จะนำมาหาจังหวะทำกำไร พลังงานเกี่ยวโยงกับชีวิตคน รัฐบาลจึงต้องวางรูปแบบที่สามารถควบคุมได้ ราคาในตลาดโลกจะเป็นแบบใดก็เป็นไป แต่ราคาในประเทศต้องนิ่ง รัฐต้องควบคุมตรงนี้ให้ได้ จะใช้วิธีการใดก็ได้ และผมกำลังคิดเรื่องตรงนี้ให้ประเทศไทย"
นอกจากนี้ยัง กล่าวถึงการยกเครื่องโครงสร้างราคาพลังงานด้วยการแก้ไขกฎหมายที่มีทั้งความ ‘ยาก’ และ ‘ต้องใช้เวลา’ ว่า “สำหรับผมนะ ไม่มีทั้ง 2 คำนั้นเลย ต้องเร็ว และไม่ยาก จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับพลังงานทั้งระบบ เมื่อได้คำตอบ ก็จะยกร่างฯ ทันที โดยที่ผมเป็นคนกำกับดูแล เพราะฉะนั้น สำหรับผมแล้วร่างกฎหมายไม่ใช่เรื่องยาก เพราะผมร่างกฎหมายมาตลอดชีวิตของผมอยู่แล้ว และเมื่อผมมีทีมงานมาช่วย ก็จะไม่มีความล่าช้า แต่กว่าจะถึงตรงนั้น ต้องศึกษาปัญหากฎหมายให้ละเอียดเสียก่อน”
สิ่งที่นายพีระพันธุ์ ‘คิดจะทำ’ ถือเป็นก้าวสำคัญและก้าวที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศและประชาชนคนไทย หวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยจะได้ใช้พลังงาน ทั้งก๊าซ น้ำมัน ไฟฟ้า แก๊สหุงต้ม ที่มีราคาเป็นธรรม เข้าถึงง่าย และถูกควบคุมอย่างดีภายใต้โครงสร้างที่เข้มแข็ง ดังที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หมายมั่นเอาไว้
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
ภายหลังการแถลงนโยบายการทำงานของรัฐบาลต่อรัฐสภา เพื่อเริ่มต้นทำหน้าที่บริหารประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11-12 ก.ย.66 ที่ผ่านมา...
‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ก็ถือเป็นอีกบุคคลที่เดินหน้าทำงานและขับเคลื่อนรัฐบาลให้เข้ามาแก้ปัญหาแก่พี่น้องประชาชนแบบทันทีทันใด ภายใต้การคลอดมาตรการและแนวทางช่วยเหลือประชาชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งลดราคาน้ำมันดีเซล ลดค่าไฟฟ้า ยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน รวมทั้งเร่งรัดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และพักหนี้เกษตรกร ฯลฯ
แต่เศรษฐกิจไทยสะสมปัญหาและความเปราะบางมายาวนาน ขณะที่ ‘ค่าครองชีพ’ ยังคงสูงต่อเนื่อง ความท้าทายของ ‘ผู้นำ’ ของประเทศไทยท่านนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะเดียวกันก็เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ผลงานตามธรรมชาติของผู้นำไทยที่อาจไม่ถูกใจคนทุกกลุ่ม แต่แน่นอนว่า เมื่อจอดป้ายที่ตำแหน่งผู้นำของประเทศไทยแล้ว ก็มีแต่ต้องใส่เกียร์เดินหน้าลูกเดียว ถอยหลังไม่ได้อีก
“ผมไม่ได้อยากเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะอยากมีตำแหน่งว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง” หนึ่งในถ้อยคำของนายเศรษฐาที่เคยประกาศเป็นจุดยืนไว้ชัดตั้งแต่เปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า…
“ผมจะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ลืมความเหน็ดเหนื่อย ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน...ผมเข้ามาตรงนี้เพราะอยากทำให้ประเทศชาติและเศรษฐกิจดีขึ้น เพิ่มรายได้ให้ประเทศ ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากวันแรกที่ผมตัดสินใจจะทำจนถึงวันนี้ ผมมั่นใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติเหมือนเดิม ย้ำอีกครั้ง ศัตรูของผม คือ ความยากจน”
คำมั่นสัญญาจากนายกฯ ที่ตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นายกฯ ไทย ผู้แบกรับภาระที่สูงไม่แพ้กันไว้บนบ่าจะเป็นดั่งว่าได้มากเพียงใด?
4 ปีนับจากนี้ ก็คงต้องจับตากันแบบไม่กะพริบ ว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไม่แพ้เพื่อนบ้านตามวิสัยทัศน์ของ ‘นายกฯ เศรษฐา’ จะปรากฏได้อย่างจริงแท้เพียงใด?
แต่สำหรับมุมมองคนไทย ที่มิได้นำอคติทางการเมืองมาเจือปน ก็ขอรอพิจารณาคำมั่นสัญญาของ ‘ผู้นำประเทศไทย’ ท่านนี้ ที่ประกาศกร้าวว่า “จะขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่ทุ่มเททำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นดินแดนแห่งความสุขของคนทุกวัย เป็นประเทศที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีในเวทีนานาชาติอีกครั้ง สายรุ้งแห่งความหวังกำลังพาดผ่านประเทศไทย” … เฝ้าติดตามแบบคนไทยคนหนึ่งที่ขอให้กำลังใจมากกว่าทำลายพลังใจละกัน!!
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
นับว่าเป็นที่สุดของการแบ่งปัน ที่ทำเอาสังคมลุกขึ้นมาชื่นชมอย่างไม่ขาดสาย เมื่อนายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ ได้ออกมาประกาศว่า ตนเองได้ทำพินัยกรรมมอบทรัพย์สินส่วนตัวให้กับมูลนิธิอมตะมูลค่ากว่า 95% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ มูลค่า 20,000 ล้านบาท เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 70 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 66 ที่ผ่านมา
“อายุ 70 ปีแล้ว สะท้อนว่าเราเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง และมองไปเมื่อวัยเด็กเราเคยลำบากแต่ไม่ใช่ยากจนนะ ครอบครัวเราเป็นนักธุรกิจตั้งแต่ปู่ทวด ร่ำรวยสุดในกาญจนบุรีแต่ถูกพ่อใช้งานหนักมาก ได้ทุนไปเรียนที่ไต้หวันกำลังจะต่อปริญญาโทวิศวกรรมอวกาศ ที่มหาวิทยาลัยโทรอนโต ปี 1975 แต่ไม่มีทุนเรียนต้องกลับมาหาเงิน
เราจึงคิดว่า ถ้าเราได้ดิบได้ดี เราจะนำมาแบ่งปัน ผมจึงตั้ง ‘มูลนิธิอมตะ’ ขึ้นมาเมื่อ 27 ปีก่อน โดยใช้เงินส่วนตัว 100% เพราะกำหนดเรื่องที่อยากจะทำได้ และที่สำคัญการทำธุรกิจที่ผ่านมา เงินที่ได้มาจากแผ่นดินนี้ สังคมนี้ จึงต้องคืนกลับไป จึงทำพินัยกรรมมอบให้กับมูลนิธิอมตะ และถ้าเสียชีวิตก็จะโอนทั้ง 100% ให้มูลนิธิทั้งหมด” นายวิกรม กล่าวถึงที่มาของเจตนารมณ์ในการมอบทรัพย์สิน
สำหรับ ‘มูลนิธิอมตะ’ ได้ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยมีโครงการภายใต้วัตถุประสงค์ เช่น โครงการรางวัล นักเขียนอมตะ, โครงการทุนเรียนดี, โครงการประกวดศิลปกรรม อมตะ อาร์ต อวอร์ด, โครงการด้านนวัตกรรม, โครงการหนังสือดีมีประโยชน์สร้างการเปลี่ยนแปลง และโครงการปรับปรุงอุทยานเขาใหญ่สู่อุทยานมาตรฐานโลกภายในเวลา 10 ปี ฯลฯ
ด้านประวัติส่วนตัวของนายวิกรม ที่เผยแพร่โดยเว็บไซต์มูลนิธิอมตะ นายวิกรม กรมดิษฐ์ เกิดวันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2496 จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรชายคนโตของตระกูล มีน้องมารดาเดียวกันและต่างมารดารวม 21 คน จบการศึกษาปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกล จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน
เนื่องจากนายวิกรมมีความสนใจการค้าตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เมื่อเรียนจบ ปี พ.ศ. 2518 เขาจึงได้กลับมาเปิดบริษัท วี แอนด์ เค คอร์ปอเรชัน จำกัด เป็นธุรกิจนำเข้าส่งออก ต่อมาหันมาบุกเบิกธุรกิจด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 2 แห่งในประเทศไทยและอีก 1 แห่งในประเทศเวียดนาม มีโรงงานกว่า 1,300 โรง มียอดการผลิตที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองประเทศมูลค่าการผลิตกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีประชากรที่ทำงานในนิคมทั้งหมดกว่า 3 แสนคน
กระทั่งในปี พ.ศ. 2547 นายวิกรมได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในต่างจังหวัดเรื่อยมา โดยมุ่งมั่นถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดผ่านการเขียนหนังสือมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเขาได้ได้นำประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่วัยเด็กมาเรียบเรียงเขียนเป็นหนังสือ และได้เผยแพร่ไปแล้วกว่า 11.6 ล้านเล่ม และยังคงจะเขียนต่อไปเพื่อให้สังคมสามารถเรียนรู้ และนำไปปรับใช้ได้ในโอกาสต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามความตั้งใจ หลังจากที่ได้เรียนรู้ ฝึกฝนชีวิตกับวิกฤตต่าง ๆ จนขับเคลื่อนให้ธุรกิจกลุ่มอมตะประสบความสำเร็จในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้เป็นเมืองนวัตกรรมเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ด้วยแนวคิดที่ว่า “เราเกิดมาจากศูนย์และจากไปเป็นศูนย์ ระหว่างศูนย์เราควรสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์ และคุณค่าฝากไว้ให้กับสังคมในระยะยาวตลอดไป”
ภารกิจของ ‘วิกรม กรมดิษฐ์’ ที่หลากหลายทั้งผู้บริหารอมตะ การทำงานเพื่อสังคม รวมไปถึงในฐานะนักเขียน ทำให้เขามีฐานแฟนคลับทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังส่งผลให้ชื่อ ‘วิกรม กรมดิษฐ์’ ติดอยู่บนทำเนียบ ‘มหาเศรษฐีใจบุญปี 2023’ จาก ‘ฟอร์บส์ เอเซีย’ ซึ่งถือเป็น ‘คนไทยเพียงคนเดียว’ ที่ติดอันดับในครั้งนี้ด้วย
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ในสมัยก่อนหากมีปัญหาทุกข์ใจ ถูกทำร้าย รังแก เอารัดเอาเปรียบ คนก็จะเรียกหา ‘ตำรวจ’ เป็นอย่างแรก ก่อนจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป แต่สมัยนี้เอะอะอะไรก็โพสต์ลงโซเชียลและแท็กหาบุคคลดังที่มีแสงในวงการสื่อ ซึ่งคนที่ถูกแท็กหาบ่อยมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย’ พิธีกรดังจาก ‘รายการโหนกระแส’ ที่ผันตัวจากอาชีพนักแสดงมารับบทพิธีกร คอยเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนผ่านรายการที่ทำ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนหรือตกทุกข์ได้ยาก
ไม่แปลกเลย…หากประชาชนมีปัญหาเดือดร้อน จะแท็กหา ‘หนุ่ม กรรชัย’ อยู่บ่อย ๆ และเรียกได้ว่าเป็นพิธีกรที่มีกระแสมากที่สุดคนหนึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา
สำหรับเส้นทางการเป็นพิธีกรชื่อดังนั้น ‘หนุ่ม กรรชัย’ เริ่มจัดรายการประเภททอล์กโชว์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม ตั้งแต่ยุคทีวีดิจิทัลราว พ.ศ. 2557 เริ่มที่ช่อง 8 อาร์เอส กับรายการปากโป้ง ซึ่งทำเป็นระยะเวลานาน 4 ปี จนเมื่อได้ย้ายมาอยู่กับช่อง 3 จึงนำรูปแบบรายการนี้มาด้วย โดยรายการโหนกระแสออกอากาศทางช่อง 3 เอสดีครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2560
รายการโหนกระแส เป็นรายการโทรทัศน์ประเภท ‘ทอล์กโชว์’ เชิงข่าว มีพิธีกรดำเนินรายการเพียงคนเดียวคือ ‘หนุ่ม กรรชัย’ ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีพิธีกรคนเดียวนั้น เนื่องจากรูปแบบการจัดรายการต้องซักถามผู้ร่วมรายการ หากมีพิธีกรหลายคนอาจทำให้การสัมภาษณ์สะดุดได้ เพราะอาจจะมีการถามในมุมมองประเด็นที่แตกต่างกันออกไป โดยเนื้อหาหลัก ๆ จะเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม ที่มีการเรียกแขกรับเชิญมา 2 ฝั่ง และกำลังมีประเด็นร้อนกันอยู่ ให้มานั่งพูดคุยต่อหน้าเพื่อหาข้อสรุป และให้ผู้ชมทางบ้านได้ฟังความจากทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งรายการก็ได้รับกระแสจากประชาชนไปในทิศทางที่ดีมาก ๆ จนมักจะติดเทรนด์อันดับ 1 ของทวิตเตอร์ (X) ในช่วงเวลาที่ออกอากาศอยู่บ่อย ๆ
นอกจากนี้ในปี 2566 ‘หนุ่ม กรรชัย’ สามารถคว้ารางวัล ‘พิธีกรแห่งปี’ จากไนน์เอ็นเตอร์เทนอวอร์ดมาครองได้สำเร็จ ทำเอาเจ้าตัวเกือบร้องไห้บนเวที เพราะถือเป็นบทพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่จากดารานักแสดงที่เปลี่ยนผันมาเป็นพิธีกรรายการข่าว
อย่างไรก็ตาม ‘หนุ่ม กรรชัย’ ยังมีผลงานพิธีกรในรายการอื่น เช่น เที่ยงวันทันเหตุการณ์ รายการ 3 แซ่บ และยังรับงานโฆษณาอีกด้วย
กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘หนุ่ม กรรชัย’ ต้องเผชิญกับความกดดันและแบกความหวังของผู้คนไว้มากมาย ซึ่ง ‘หนุ่ม กรรชัย’ ก็เคยออกมาเปิดเผยด้วยว่า… “ต้องการทำรายการโหนกระแสให้เป็นกระบอกเสียงของสังคมที่คนสามารถพึ่งพาได้ และในที่สุดวันนี้มันก็มาถึง”
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า ‘เราภูมิใจในตัวคุณ’ และขอขอบคุณที่เป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนมาเสมอ
เมื่อไม่นานมานี้ เฟซบุ๊ก ‘Atikhun Thongtang’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…
‘Santa Lucia’
ถ้าคุณเป็นคอกาแฟ และชอบฮอปร้านกาแฟตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุคหลัง ๆ มานี้ คงจะเคยเจอถุงกาแฟ Santa Lucia หรือแม้แต่เคยได้ลองชิมมาแล้ว ซึ่งส่วนมากเกือบทั้งหมดเป็นรสพีชที่ชัดและรุนแรง ถ้าชอบก็ชอบไปเลย ไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย และเนื่องจาก Traceability หรือการตรวจสอบย้อนกลับได้เป็นหัวใจหลักของเป้าหมายองค์กรของเรา เราจึงอยากนำข้อมูลที่เราไปสืบทราบความเป็นมาของชื่อกาแฟ Santa Lucia มาให้ทุกคนได้ทราบกัน
ในปี 2019 ในเวที ‘COE (cup of excellence)’ ซึ่งเป็นเวทีประกวดกาแฟระดับสากล ได้จัดการประกวดสุดยอดกาแฟของประเทศฮอนดูรัส และตัวที่ได้อันดับ 1 ในปีนั้นคือกาแฟสายพันธุ์ Gesha จากแปลงปลูก Cosana ของฟาร์ม Santa Lucia นั้นเอง ซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นกาแฟที่ได้คะแนนสูงสุดของ COE เลยทีเดียว จากนั้นมาทำให้ฟาร์มมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นและมีแฟนคลับเกิดขึ้นทั่วโลก ในประเทศไทยเราก็เช่นกัน
แต่เนื่องจากว่าชื่อ Santa Lucia นับเป็นชื่อที่ใช้กันทั่วไปมาก การใช้ชื่อนี้ในหลาย ๆ ที่ โดยเฉพาะโซนอเมริกากลาง ทำให้ไม่สามารถจดลิขสิทธิ์ชื่อฟาร์มได้ และทำให้เราอาจจะเห็นกาแฟที่ถูกตั้งชื่อว่า Santa Lucia กันมากมาย โดยเฉพาะตัวที่เจอกันบ่อย ๆ ในไทย หมายความว่าแม้จะใช้ชื่อเดียวกัน แต่กาแฟเหล่านั้นมิได้ถูกผลิตจากฟาร์ม Santa Lucia ในฮอนดูรัสที่ชนะการประกวด และไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย
คุณ Erwin Mierisch เจ้าของฟาร์ม Santa Lucia นี้เป็นทายาทรุ่นที่ 4 ของครอบครัวผู้ผลิตกาแฟ ที่พยายามพัฒนาคุณภาพกาแฟมาโดยตลอดหลายรุ่น รวมถึงทำงานในการสนับสนุนเกษตรกรหลากหลายภาคส่วน ในการพัฒนาคุณภาพของเมล็ดกาแฟและการปลูกกาแฟ โดยให้ความเคารพต่อธรรมชาติและอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืน จนปัจจุบันนี้ได้เข้ามาทำงานใน ‘COE’ อย่างเต็มตัวในตำแหน่ง Director และได้ยกเลิกการนำกาแฟของฟาร์มตัวเองเข้าเวทีประกวดของ COE แต่ได้นำกาแฟคุณภาพสูงของตัวเองมาจัดเป็นการประมูลในรูปแบบ Private Auction และการขายแบบ Microlot แทน
ทั้งนี้หมายความว่าถ้าเราต้องการชิมกาแฟ Santa Lucia ฟาร์มเดียวกับที่ชนะการประกวดมาหลายเวที จะต้องซื้อกาแฟของบริษัท Fincas Mierisch เท่านั้น (ซึ่งโลโก้บริษัทนี้มีลิขสิทธิ์นะจ๊ะ)
และด้วยความโชคดีจากการตามติดเรื่องราวของเรา ทำให้เรามีโอกาสได้แบ่งกาแฟคุณภาพสูงที่มีน้อยนิดจากฟาร์มนี้มาทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วย Casona (Geisha washed), Trianglo (Geisha washed), และสุดท้าย Los Favoritos Auction Lot rank 2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ Pacamara (washed) ของ Santa Lucia ที่ได้ข่าวมาว่ามีความโดดเด่น ชนะสายพันธุ์ Geisha อีกหลายตัวบนโต๊ะชิม ซึ่งคั่วออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร รวมถึงเรื่องราวเพิ่มเติมของกาแฟแต่ละตัว รอติดตามชม (หรือตามชิม) กันได้อีกไม่นานนี้ครับ…
แล้วมาล้างความเชื่อที่ว่า Santa Lucia มีแต่กลิ่นพีช (เหมือนที่เราเคยเชื่อ) ไปด้วยกัน ที่เพจเฟซบุ๊ก Somdul Agroforestry Home นะครับ