Monday, 30 June 2025
NewsFeed

‘ปตท. - กองทัพเรือ’ ชูนวัตกรรมโซลาร์ลอยน้ำ ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด มุ่งสู่ความยั่งยืน 

เมื่อไม่นานมานี้ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ และประธานกรรมการบริหารเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของกองทัพเรือ และดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมพลังงาน และระบบการบริหารจัดการน้ำ ระหว่าง กองทัพเรือ และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อศึกษาและพัฒนานวัตกรรมพลังงานทดแทน การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ ระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงระบบบริหารจัดการแหล่งน้ำและการใช้น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกของกองทัพเรือ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า ยังเป็นการส่งเสริมนวัตกรรมพลังงาน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากร ตลอดจนสนับสนุนภารกิจของกองทัพเรือด้านการสร้างความมั่นคงของประเทศและการช่วยเหลือดูแลประชาชนอีกด้วย

ฉายาตำรวจ แห่งปี 66 “ต่อ”เฟรนด์ลี่-เชอร์ล็อค”นพ” “จ๋อ”-โคนันนครบาล -“เต่า”-มือปราบกังฉิน” “จี”-ที่สุดของแจ้

วันที่ 27 ธันวาคม ที่ศูนย์ปฏิบัติการสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นายไพโรจน์ เทศนิยมนายกสมาคม นายสมชาย จรรยา นายสุรชัย นิโคธานนท์ อุปนายก นายธนากร ริตุ ประชาสัมพันธ์สมาคมฯ แถลงข่าวฉายาตำรวจ ประจำปี 2566 ปีนี้มีทั้งหมด 11 ฉายา

นายไพโรจน์ กล่าวว่า ปีนี้ สื่อมวลชนสายงานด้านอาชญากรรมได้ติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนำเสนอผลงานสู่สายตาประชาชน เพื่อสะท้อนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงร่วมกันตั้งฉายาตำรวจประจำปีขึ้นถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา ซึ่งเกณฑ์ในการตั้งฉายานั้น มีการประชุมร่วมกันกับตัวแทนสื่อมวลชนจากสังกัดต่างๆ เสนอรายชื่อนายตำรวจเข้ามา และทำการคัดเลือกในปีนี้เหลือเพียง 11 นาย ดังนี้

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล  ผบ.ตร.ฉายา  “ต่อ เฟรนด์ลี่” 
สื่อมวลชนสายอาชญากรรม ขนานนามให้ว่าเป็น “มือปราบสายธรรมะ” เนื่องจากเป็นนายตำรวจที่ใช้หลักธรรมในการทำงานและหลักรัฐศาสตร์ เดินสายปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆในขณะเดียวกัน “บิ๊กต่อ” ยังเป็นคนเรียบง่ายไม่ถือเนื้อถือตัว บ่อยครั้งจะเห็นภาพของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ร่วมวงกินข้าว กินก๋วยเตี๋ยวกับผู้ใต้บังคับบัญชา เวลาออกเดินสายตรวจเยี่ยมกำลังพลตามโรงพักต่างๆที่ห่างไกล และยังวางตัวเป็นกันเองกับลูกน้อง เน้นสวัสดิการให้ลูกน้อง ใครต่อใครก็เข้าถึงได้เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายเป็นที่รักของลูกน้องจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของฉายาว่า “ต่อเฟรนด์ลี่”

พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผบ.ตร. ฉายา “สุภาพบุรุษสีกากี” เป็นนายตำรวจที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ด้วยฝีไม้ลายมือในการทำงานและผ่านงานระดับ ตร. ทุกหน้างาน ทั้งงานปราบปราม, งานสืบสวน และความมั่นคง เป็นนายร้อยตำรวจรุ่น 40 เกษียณอายุราชการปี 2567 และเป็นรองผบ.ตร.อาวุโส อันดับที่ 1 ในการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนที่ 13 และคนที่ 14 ที่ผ่านมา ทำให้มีลุ้นเป็นตัวเต็งนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ถึงสองครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง เมื่อไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็น ผบ.ตร. แต่ยังก้มหน้าก้มตาทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีแม้จะฟ้องร้องหรือทวงสิทธิ์แต่อย่างใด แม้จะมีกระแสข่าวว่าจะโยก พล.ต.อ.รอย ไปรับตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นการตอบแทนที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผบ.ตร. เพื่อแก้ปัญหาด้านคุณธรรม คืนความเป็นธรรมและเยียวยาความรู้สึกผิดหวังให้พล.ต.อ.รอย สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น “บิ๊กรอย” ก็ยังคงปักหลักทำงานในหน้าที่ จึงเป็นที่มาของฉายาว่า “สุภาพบุรุษสีกากี”

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ฉายา “โจ๊ก รอได้”
หากเอ่ยถึงชื่อ “บิ๊กโจ๊ก” เชื่อได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก และด้วยฝีไม้ลายมือการทำงานที่ปรากฏต่อสายตาประชาชน ประกอบกับอายุราชการที่ยังคงเหลืออีกหลายปี ทำให้ถูกจับตาว่ามีสิทธิ์ที่จะขึ้นเป็น ผบ.ตร.และสื่อมวลชนสายตำรวจวิเคราะห์ว่า หากไม่มีอะไรสะดุด ในปี 2567 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะกลายเป็นอาวุโสอันดับ 1 ทันที และก็อาจจะมีสิทธิ์ได้ใช้นามเรียกขาน “พิทักษ์ 1” แต่ก็ต้องผ่านอีกกี่ขวากหนามบนเส้นทางสู่ ผบ.ตร. อีกทั้งเจ้าตัวก็เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “ตนเองรอได้ ใครอยากเป็นผบ.ตร.ก็เป็นไปก่อน” จึงเป็นที่มาของฉายา “โจ๊ก รอได้”

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  ผู้ช่วย ผบ.ตร.ฉายา “หลวงโดดปราบยา”
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ มีชื่อเล่นว่า “หลวง” เป็นนายตำรวจที่เก่งทั้งบู๊และบุ๋นและเป็นหนึ่งเดียวในระดับผู้ช่วย ผบ.ตร.ได้รับความไว้วางใจจาก ผบ ตร. ดูแลงานครบทุกหน้างานและทุกมิติ ทั้งงานสืบสวน สอบสวน งานป้องกันปราบปราม งานมั่นคงและกิจการพิเศษ อีกทั้งยังได้รับมอบหมายให้ดูแลงานป้องกัน บำบัด ผู้ติดยาเสพติด ที่ผ่านมานำกำลังตำรวจระดมกวาดล้างอาชญากรรมและยาเสพติดจับผู้ต้องหาได้มากกว่า 60,000 คนขยายผลจนไปถึงผู้ซื้อและตัวแทนจำหน่ายยาเสพติด 209 แห่งทั่วประเทศ ยึดของกลาง ยาเสพติด อาวุธปืนเถื่อน กระสุน และวัตถุระเบิดได้อีกเป็นจำนวนมาก จนได้รับการเสนอชื่อกระโดดข้ามห้วยเป็นข้าราชการพลเรือน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จึงเป็นที่มาของฉายา “หลวงโดดปราบยา”

พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ฉายา “จ้าว แข็งโป๊ก”
พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง นามเรียกขาน “น.1” ด้วยฝีไม้ลายมือที่เป็นที่ยอมรับให้คุมพื้นที่เมืองหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นนายตำรวจที่ได้ชื่อว่ามีความตงฉิน ยอมหักไม่ยอมงอ และไม่ยอมรามือให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ออกนอกลู่นอกทาง เน้นย้ำภารกิจสำคัญสูงสุด “ถวายความปลอดภัย” รวมถึงการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล กำชับเรื่องปัญหายาเสพติด บ่อนการพนัน สถานบริการ และการแต่งตั้งที่ผ่านมาหลายคนคิดว่า พล.ต.ท.ธิติ  ต้องได้ย้ายหรือไม่ก็ขยับขึ้นเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. เนื่องจากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ แต่ก็ยังรักษาเก้าอี้ “น.1.” ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นจึงเป็นที่มาของ ฉายา “จ้าว แข็งโป๊ก”

พล.ต.ท.ไตรรงค์  ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. ฉายา “บิ๊กอรรถกัดไม่ปล่อย”
พล.ต.ท.ไตรรงค์  มีชื่อเล่นว่า “อรรถ” ที่ผ่านมาเคยเป็นหัวหน้าทีมคดี “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุเกินกว่า 15 ปี 2 คดี และคดีข่มขืนกระทำชำเรา 1 คดี ในพื้นที่ สน.ลุมพินี โดยทำคดีอย่างตรงไปตรงมาไม่เลือกปฏิบัติ แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะมีตำแหน่งใหญ่ก็ตามช่วงในรอบปีที่ผ่านมาก็ฝากผลงานไว้มากมาย จากการที่สวมหมวกเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT นำกำลังไล่กวาดล้างจับกุมเครือข่ายพนันออนไลน์ ที่สร้างความเดือดร้อนมอมเมาเยาวชนและพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก และเกาะติดไล่ล่าชนิดถอนรากถอนโคน จึงเป็นที่มาของ ฉายา “บิ๊กอรรถกัดไม่ปล่อย”

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ฉายา “เพชฌฆาต โจรไซเบอร์”
พล.ต.ท.วรวัฒน์ เป็นอีกหนึ่งนายตำรวจที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับของประชาชน ที่ผ่านมานำกำลังขุนพลไซเบอร์ออกปราบปรามเหล่าร้าย กวาดล้างภัยออนไลน์กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งเว็บพนันออนไลน์ต่างๆ ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน รวมไปถึงการจับกุมแก๊งมิจฉาชีพหลอกนักเรียน ม.6 โอนเงินดาวน์ผ่อนซื้อไอโฟน 13 ทางออนไลน์ เกือบ 2 หมื่นบาท สุดท้ายปิดเฟซบุ๊กหนี นักเรียน ม.6 เครียด ตัดสินใจผูกคอเสียชีวิต และทุกครั้งที่มีการปฏิบัติการ พล.ต.ท.วรวัฒน์ จะลงพื้นที่คุมงานเองเสมอ ขณะเดียวกันยังแจ้งเตือนประชาสัมพันธ์กลโกงของคนร้ายต่างๆให้รับทราบเปรียบเสมือนการให้วัคซีนทางไซเบอร์กับพี่น้องประชาชนให้รู้เท่าทันมีสติเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ จึงเป็นที่มาของ ฉายา “เพชฌฆาต โจรไซเบอร์”

พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบช.ภ.1 ฉายา “ที่สุด ของแจ้”
พล.ต.ท.จิรสันต์ หรือที่สื่อมวลชนเรียกว่าติดปากว่า “บิ๊กจี” แต่น้อยคนจะรู้ว่าชื่อเล่นจริงๆของ พล.ต.ท.จิรสันต์ มีชื่อว่า “แจ้” และด้วยบุคลิกที่เป็นนายตำรวจใฝ่รู้ มาดสุขุม นุ่มลึก มีรอยยิ้มและสมองเป็นอาวุธ บวกกับสไตล์การทำงานคลุกคลีตีฝุ่นเป็นกันเองกับผู้ใต้บังคับบัญชา ยามว่างลงพื้นที่เสริมสร้างสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับประชาชน พล.ต.ท.จิรสันต์ เป็นรอง ผบช.น.ยาวนานถึง 5 ปีทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งก็คาดหมายว่าจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้บัญชาการตำรวจ เพราะจะเกษียณอายุราชการในปี 2567 แต่สุดท้าย ปรากฏชื่อได้เป็นผู้บัญชาการ ซึ่งถือเป็นปีสุดท้ายก่อนเกษียณแต่ที่สำคัญไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 หรือที่ใครเรียกว่าผู้บัญชาการตัวเลข จึงเป็นที่มาของฉายา “ที่สุด ของแจ้”

พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบช.น.  ฉายา “เชอร์ล็อคนพ”
พล.ต.ต.นพศิลป์ เรียกได้ว่าเป็นนักสืบยุค 5 จีจริงๆ มีผลงานเป็นที่ยอมรับมากมาย ด้วยประสบการณ์ที่สะสมบนเส้นทางนักสืบได้ถ่ายทอดวิชาแก่นักสืบรุ่นหลัง และบ่อยครั้งมักจะถูกดึงตัวมาอยู่ในชุดทีมคลี่คลายคดีสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลายยุคหลายสมัย ล่าสุดกับผลงานการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” ถือว่าเป็น“ตัวจักร” สำคัญ และเป็นบทพิสูจน์ชุดคลี่คลายคดีหลังศาลชั้นต้นสั่งจำคุกนายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” 20 ปี จน ผบ.ตร.ชื่นชมยกเป็นโมเดลให้นักสืบรุ่นใหม่ และด้วยฝีไม้ลายมือเป็นที่ประจักษ์ ทำให้ชื่อของรองนพศิลป์ ติดทำเนียบเป็นนักสืบชั้นครูของวงการตำรวจไทย เทียบคล้ายกับนักสืบดังในภาพยนตร์ “เชอร์ล็อคโฮล์ม” และในอดีตมีนักสืบชั้นครูอย่าง “เชอร์ล็อคนู” พล.ต.ท.มนู หอมหวล  จึงเป็นที่มาของ ฉายา “เชอร์ล็อคนพ”

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ฉายา“มือปราบกังฉิน”
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เป็นมือปราบที่ไม่เคยเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ และผ่านคดีดังมากมายที่เกี่ยวข้องกับการจับข้าราชการระดับสูง ที่ทุจริตเรียกรับสินบน ด้วยภาพของการปราบข้าราชการทุจริตคอรัปชั่น เรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ฮั้วประมูลงานต่างๆ ตั้งแต่สมัยเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ปัจจุบันได้รับ ความไว้วางใจให้ขยับตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แต่ยังคงรับผิดชอบหน่วยงาน (บก.ปปป.) ล่าสุดเป็นผู้นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมนายวีระชาติ รัศมี  นายกเทศบาลตลุกดู่ อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี ลูกเขยของ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจับกุมตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ จ.167-169/2566 ข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงเป็นที่มาของ ฉายา “มือปราบกังฉิน”

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล “โคนัน นครบาล”
พล.ต.ต.ธีรเดช เป็นหนึ่งในลูกหม้อนครบาล ด้วยฝีมือระดับตำนานน

‘NGO’ สิทธิเด็กฯ ผุดแคมป์นานาชาติพันธุ์-ชนเผ่า ที่ จ.เชียงราย เปิดแล้ว 10 ห้อง รายได้ส่วนหนึ่งสมทบ ‘มูลนิธิเพื่อนลูกสาวไทย’

(27 ธ.ค. 66) ผู้บริหารจากองค์กรภาคเอกชนที่ทำงานด้านสิทธิเด็กหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน ได้ร่วมลงทุนสร้างแคมป์หรูหรา ‘Visama Mae Chan’ อยู่ติดกับป่าเขาใกล้ดอยจระเข้ เลขที่ 614 หมู่บ้านสันโค้ง หมู่ 10 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่เดือนเมษายน 66 จนแล้วเสร็จ และเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2566 เป็นต้นมา

ซึ่งรูปแบบสิ่งปลูกสร้างที่พักแห่งนี้ดูแปลกตา สร้างอิงอยู่กับธรรมชาติของต้นไม้ ทุ่งนาและภูเขา บนเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 120 ไร่ รวมถึงที่พักและบริการต่างๆ ก็เน้นให้เข้ากับธรรมชาติ ไร้การให้บริการเรื่องโทรทัศน์ แต่ราคาค่าบริการในระดับเดียวกับโรงแรมขนาดใหญ่

โดย Visama Mae Chan ตั้งอยู่ห่างไกลชุมชนบ้านสันโค้งเข้าไปใกล้กับเขตป่า ด้านหน้าเป็นกอไผ่และใช้ไม้ไผ่ทำรั้ว มีทุ่งนาและเลี้ยงควายเผือกเป็นฉากทิวทัศน์ และด้านข้างมีอาคารต้อนรับ-ร้านอาหารเป็นเรือนไม้ 1 ชั้น ส่วนห้องพักจะอยู่ใต้ต้นไม้ เป็นสิ่งปลูกสร้างทรงยกสูงแต่ใช้ผ้าใบเต็นท์เป็นผนังหลัก มุ่งให้ผู้เข้าพักอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่มีความเป็นเอกลักษณ์และหรูหรา หรือ ‘ลักชัวรีเต็นท์แคมป์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ’

ปัจจุบันมีที่พักรูปแบบดังกล่าวที่สร้างแล้วเสร็จอยู่จำนวน 10 หลัง แบ่งเป็นเต็นท์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ในเชียงราย คือ กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า 7 หลัง, เย้า 1 หลัง, ลาหู่ 1 หลัง และ ลีซู 1 หลัง แต่ละเต็นท์มีขนาด 48-80 ตารางเมตร และมีเฉลียงขนาด 12-20 ตารางเมตร แล้วแต่ชนิดของเต็นท์

ภายในมีเตียงนอน ห้องน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทันสมัยและหรูหรา แต่เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ โดยคิดค่าเข้าพักสำหรับเต็นท์อาข่าคืนละประมาณ 18,000 บาท และถ้าเป็นช่วงโปรโมชันลดเหลือ 13,600 บาท, เต็นท์เย้า 16,000 บาท, เต็นท์ลาหู่ 19,000 บาท และเต็นท์ลีซูประมาณ 40,000 บาท

ทุกเต็นท์จะไม่มีโทรทัศน์ให้เพื่อให้ผู้พักอยู่กับธรรมชาติอย่างสงบใจ แต่มีระบบอินเทอร์เน็ต หรือ WI-FI ให้ มีสถานที่นั่งพักผ่อนกลางทุ่งนาโดยไม่มีหลังคา เพื่อดูภาพยนตร์กลางแปลงพร้อมมีบริการเครื่องดื่มยามค่ำคืน

รวมทั้งมีกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้เข้าพักได้ทำ เช่น ทำอาหารและทำความเข้าใจกับอาหารล้านนา, วาดภาพ, ปั้นดินเผาและงานมืออื่นๆ, ยิงธนู, ปลูกต้นไม้แล้วติดป้ายชื่อเพื่อให้ระลึกถึง, นวด-สปากลางทุ่งนา, ผจญภัยกลางแจ้ง, สระว่ายน้ำ, บริการนำเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในเชียงราย ฯลฯ

ซึ่งบางรายการมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น วาดภาพประมาณ 3,200 บาท ฯลฯ โดยมีข้อมูลเผยแพร่และเปิดให้จองทาง https://maechan.visamalodges.com/ พร้อมระบุ รายได้ส่วนหนึ่งจะนำเข้าช่วยเหลือเด็กๆ ใน ‘มูลนิธิเพื่อนลูกสาวไทย’ ด้วย

‘Mr.Christopher Stafford’ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Visama Mae Chan กล่าวว่า “เราตั้งใจให้ Visama Mae Chan เป็นสถานที่เต็นท์แคมป์แบบหรูหรา ซึ่งจะไม่เป็นเพียงแค่สถานที่ส่วนตัว แต่เป็นสาธารณะด้วย ทั้งนี้ เราพยายามเชื่อมโยงผู้เข้าพักกับอาหารไทย เพราะถือเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก และในฐานะที่ตนอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน 23 ปี ก็รู้สึกรักอาหารไทยที่มาจากทุกภูมิภาคของประเทศมาก”

ด้าน ‘นายสุพจน์ วงค์หนังสือ’ ผู้จัดการทั่วไป Visama Mae Chan กล่าวว่า “หลังจากเปิดให้บริการก็พบว่า มีนักท่องเที่ยวเข้าไปใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของเราคือ ชาวอเมริกันและยุโรป แต่เราก็อยากประชาสัมพันธ์ให้ท้องถิ่นได้รับทราบด้วย”

ทั้งนี้ Visama Mae Chan เกิดจากผู้บริหารขององค์กรเอกชนที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ บางคนอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี ได้พัฒนาพื้นที่นี้ทำธุรกิจ เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือเด็กๆ ดังกล่าว ซึ่งนอกจากลักชัวรีเต็นท์แคมป์ทั้ง 10 หลังดังกล่าว แล้วยังมีแผนจะขยายออกไปอีก 10 หลังในภูเขาบริเวณใกล้กันด้วย โดยจะเริ่มดำเนินการขยายในปี 2567 ที่จะถึงนี้

เพชรบูรณ์ Army Open House มทบ.36 จัดกิจกรรมเปิดบ้านทหารใหม่ ต้อนรับผู้ปกครองและญาติทหารใหม่ ก่อนส่งตัวกลับบ้านช่วงปีใหม่

ที่อาคารเอนกประสงค์มณฑลทหารบกที่ 36 (มทบ.36) อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ พลตรีวัชรพงศ์ แก้วแจ้ง ผบ.มทบ.36 เป็นประธานเปิดกิจกรรมเปิดบ้านทหารใหม่ (open house) หน่วยฝึกทหารใหม่ มทบ.36 โดยมีพ่อแม่ผู้ปกครองทหารใหม่เข้าร่วมในกิจกรรมจำนวนมาก โดยมีการแสดงของทหารใหม่ในชุดต่างๆ สร้างความประทับใจให้แก่พ่อแม่ผู้ปกครองและญาติทหารใหม่เป็นอย่างมากหลังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของบุตรหลานที่เข้ามารับการฝึกทหาร

สำหรับการจัดกิจกรรมเปิดบ้านทหารใหม่ (open house) หน่วยฝึกทหารใหม่ มทบ.36ได้เปิดโอกาสให้พ่อแม่ผู้ปกครองทหารใหม่ได้เยี่ยมชมภายในหน่วยทหารให้ทราบถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ รับรู้ข้อมูลข่าวสาร และมีความเชื่อมั่นว่าหน่วยทหารจะดูแล การฝึกภายใต้มาตรการและข้อสั่งการของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด

พลตรีวัชรพงศ์ แก้วแจ้ง ผบ.มทบ.36 กล่าวว่า ทหารใหม่ที่เข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการได้ทำการฝึกอบรมให้มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ มีความรู้ความสามารถที่จะปฏิบัติงานตามภารกิจของหน่วย แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในทุกภารกิจนอกจากนี้การกองทัพบกยังส่งเสริมให้มีการอบรมในวิชาชีพต่างๆ รวมถึงมีโอกาสสมัครเข้ารับราชการในส่วนของกองทัพบกต่อไป 

สำหรับหน่วยฝึกทหารใหม่ของ มทบ.36 ผลัด 2 รุ่นปีพุทธศักราช 2566 เข้าประจำการในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 จำนวน 110 นาย ทำการฝึกตามหลักสูตรทหารใหม่ 6 สัปดาห์ และฝึกหลักสูตรเฉพาะหน้าที่ทหารใหม่ 3 สัปดาห์ ซึ่งได้เสร็จสิ้นการฝึกตามหลักสูตรทหารใหม่แล้ว และในวันนี้ทหารใหม่ทุกนาย จะได้อยู่พร้อมครอบครัวและญาติ กินข้าวด้วยกัน รวมทั้งจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านในห้วงเทศกาลปีใหม่ด้วยก่อนจะกลับมาปฎิบัติหน้าที่ตามกรมกองต่างๆต่อไป ทำให้บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างมีความสุขกันทั่วหน้า

ตร. เตือน 6 ภัยออนไลน์ส่งท้ายปี ที่มิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกหลวงประชาชน

วันนี้ (27 ธันวาคม 2566) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งช่วงเวลาของการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องประชาชนออกไปท่องเที่ยว ซื้อของขวัญ และทำกิจกรรมต่าง ๆ ในวันหยุดร่วมกับครอบครัว นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเอาโอกาสนี้มาเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังตนเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ เพราะอย่าลืมว่า แม้จะเป็นวันหยุด แต่มิจฉาชีพไม่เคยหยุด ซึ่งรูปแบบของภัยออนไลน์ที่พี่น้องประชาชนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มีดังนี้

1. “การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์” โดยมิจฉาชีพจะหลอกลวงด้วยการโฆษณาขายสินค้าราคาถูก หรือส่วนลดพิเศษเฉพาะในช่วงเทศกาล เพื่อจูงใจให้เหยื่อหลงเชื่อสั่งซื้อสินค้า

2. “การหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล” โดยมิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นร้านค้าต่าง ๆ แล้วโฆษณาว่าจะมีโปรโมชันพิเศษในช่วงเทศกาล หรือแจกของรางวัลต่าง ๆ แต่จะต้องลงทะเบียนก่อน หากเหยื่อหลงเชื่อ กรอกข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์มือถือ และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก็จะถูกมิจฉาชีพนำไปใช้แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบต่อไป

3. “การหลอกรับบริจาค” โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ ประชาชนอาจต้องการทำบุญเพื่อให้เกิดความเป็นศิริมงคลกับชีวิต มิจฉาชีพอาจมีการประกาศเชิญชวนให้ร่วมทำบุญ โดยอ้างบุคคลหรือกิจกรรมต่างๆ จึงควรตรวจสอบข้อมูลในกิจกรรมที่จะร่วมทำบุญว่า เป็นความจริงหรือไม่ อย่างไร ก่อนจะร่วมบริจาคเงินร่วมทำบุญออนไลน์ต่าง ๆ

4. “การสร้างข่าวปลอม” เพื่อสร้างยอดติดตาม หรือสร้างความตื่นตระหนก ซึ่งมิจฉาชีพอาจเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงหรือบิดเบือน เกี่ยวกับ อุบัติเหตุ การเดินทาง หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ในช่วงเทศกาล มาเผยแพร่เพื่อแสวงหาประโยชน์ หรือสร้างความเสียหายให้สังคม

5. “การหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม” ที่เกี่ยวข้องกับเทศกาล เช่น แอปพลิเคชันแต่งรูปปลอม แอปพลิเคชันจองที่พักปลอม เป็นต้น โดยหากเหยื่อหลงเชื่อติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม ก็อาจถูกมิจฉาชีพควบคุมเครื่องระยะไกล หรืออาจถูกเข้าถึงข้อมูลภายในโทรศัพท์มือถือได้

6. “การหลอกขายทัวร์และที่พักราคาถูก” ซึ่งในช่วงเทศกาล กลุ่มมิจฉาชีพมักจะหลอกลวงด้วยการแอบอ้างเป็น โรงแรม ที่พัก หรือบริษัททัวร์ จากนั้นจะลงโฆษณาในช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะที่พบได้บ่อยคือทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่มักจะมีการสร้างเพจปลอมเพื่อหลอกลวงพี่น้องประชาชน

โดย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังและอย่าเชื่อในสิ่งที่ราคาถูกหรือดีเกินจริง เพราะสิ่งที่เห็นหรือได้ยินในสื่อสังคมออนไลน์ อาจเป็นกลลวงของมิจฉาชีพในการหลอกลวงแสวงหาประโยชน์จากพี่น้องประชาชน โดยขอให้ยึดหลัก “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงทางสื่อสังคมออนไลน์ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เปิดประวัติ 'สุดฤทัย เลิศเกษม' อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนที่ 39

(27 ธ.ค.66) หลังจากที่ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมี ‘นางสุดฤทัย เลิศเกษม’ รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ 

สำหรับ นางสุดฤทัย เลิศเกษม เกิดวันที่ 28 ธันวาคม 2508 และมีประวัติดังต่อไปนี้…

>> การศึกษา

- ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต การสื่อสารมวลชน วิชาเอกโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2529
- ปริญญาโท นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต การสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2535 
- ประกาศนียบัตร (Certificate) กลยุทธ์การผลิตรายการโทรทัศน์ สถาบัน DEUTSCHE WELLE สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พ.ศ.2557
- วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. รุ่นที่ 61) พ.ศ.2561

>> ประวัติการรับราชการ

- รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ (พ.ศ.2563)
- ผู้อำนวยการสำนักข่าวแห่งชาติ (พ.ศ.2562)
- ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT (พ.ศ.2561) 
- ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 สุราษฎร์ธานี (พ.ศ.2558)
- ประชาสัมพันธ์จังหวัดพังงา (พ.ศ.2556)
- ผอ.สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง11) ภูเก็ต (พ.ศ.2555)
- ผอ.ส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศ (พ.ศ.2553)
- ผอ.สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง11) กาญจนบุรี (พ.ศ.2543-2552)

>> ผลงานเด่น

- ประธานคณะกรรมการบริหาร (Chair of EXBO) ของ Asia-Pacific Institute for Broadcasting Development/AIBD (พ.ศ.2566) 
- ประธานประชุมอาเซียนด้านสื่อสารสนเทศ (SCI/พ.ศ.2565)
- กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ (พ.ศ.2563-2565)
- ผู้สื่อข่าวภาคสนามรายงานสดเกาะติดสถานการณ์กลุ่ม God's Army บุกยึดโรงพยาบาล ศูนย์ราชบุรี จนสื่อรัฐได้รับการชื่นชม (พ.ศ.2543)

>> รางวัลพิเศษ

- สื่อมวลชนสตรีดีเด่น เนื่องในวันสตรีสากล ปี พ.ศ.2563 จากกระทรวงแรงงาน
- ประกาศเกียรติคุณชมเชย บทโทรทัศน์รางวัล Japan Prize, NHK พ.ศ. 2546 และ 2547 (2 ครั้ง) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ยังเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้เกิดรายการข่าวจริงสุดเข้ม อย่าง 'คุยถึงแก่น' ดำเนินรายการโดย นายปรเมษฐ์ ภู่โต ออกอากาศทุกจันทร์-ศุกร์อีกด้วย

‘ชาวนครศรีฯ’ โอด!! เหตุประสบปัญหา ‘วัยรุ่นแก๊งซิ่ง’ ป่วนมา 10 ปี ร้องเรียนแล้ว แต่ไร้หน่วยงานดูแล เหมือน ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’

เมื่อสัปดาห์ก่อน 20-22 ธันวาคม 2566 ผมลงไปทำพิธีปล่อยปลาดุกลำพัน ตามโครงการลำพันคืนถิ่น ป่าพรุควนเคร็ง ครั้งที่ 8 บริเวณศูนย์อนุรักษ์ปลาดุกลำพัน ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีฯ

เย็นของวันที่ 20 ธันวาคม ระหว่างไปนั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านอาหารถนนเลี่ยงเมือง ได้มีคนที่รู้จัก #นายหัวไทร เข้ามาร้องเรียนเรื่องความเดือดร้อนรำคาญถึงกับนอนไม่หลับมายาวนานร่วม 10 ปี แต่ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลแก้ไข

ความเดือดร้อนรำคาญเกิดจากแก๊งซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่พอดึก ๆ จะมีกลุ่มวัยรุ่นนำรถจักรยานยนต์มาซิ่งแข่งกันบนถนนสายหลัก ช่วงตั้งแต่หน้าโรงพยาบาลหัวไทร ไปวนกลับตรงวงเวียน วนแล้ววนอีกกันอยู่คืนละหลาย ๆ รอบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนกำลังพักผ่อน สี่ทุ่ม ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ตีหนึ่งตีสอง

วัยรุ่นแก๊งซิ่งเหล่านี้มาจากหลายตำบล บางวันก็มีจากต่างอำเภอเข้ามาสมทบ นัดหมายกันผ่านกลุ่มไลน์ บางคันก็จะมีสก๊อยติดสอยห้อยตามมาด้วย

ชาวบ้านเคยร้องเรียนทางอำเภอ ทางตำรวจให้เข้ามาแก้ไขปัญหา แต่เสียงร้องของชาวบ้าน เหมือนเสียงนกเสียงกา ไม่เคยได้รับการแก้ไข ผ่านนายอำเภอมาแล้วหลายคน ผ่านผู้กำกับมาก็หลายคน ผ่านผู้ว่าฯ ผู้การฯ มาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แต่ปัญหาก็ยังอยู่

‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ คือคำขวัญของฝ่ายปกครอง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย แต่ทุกข์ชาวบ้านในตลาดหัวไทรสิบกว่าปี ยังไม่เคยได้รับการเยียวยาแก้ไข

ทราบว่า…เช้าของวันที่ 21 ธันวาคม นายอำเภอได้เชิญชาวบ้าน (คนเดียว) ไปให้ข้อมูล ซึ่งจริง ๆ เรียกผู้กำกับ สารวัตรสืบสวนสอบสวน สารวัตรปราบปรามไปสอบถามก็น่าจะมีข้อมูลมากพอ ถ้ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีข้อมูล แสดงว่า ที่ผ่านมา ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’ ทุกข์ของชาวบ้าน ไม่ใช่ทุกข์ของเรา ยิ่งตอนหลังศูนย์ราชการ ทัังที่ว่าการอำเภอ โรงพัก ย้ายออกไปอยู่นอกชุมชน ยิ่งห่างไกลชาวบ้าน ห่างไกลปัญหา

จริง ๆ ก็ไม่น่าจะยากส่งตำรวจไปตั้งป้อม หรือตั้งจุดสกัด แจ้งผู้ปกครองให้ทราบถึงพฤติกรรมของลูก หรืออาจจะทำทัณฑ์บนไว้ทั้งลูก และผู้ปกครอง

หวังว่าที่เขียนมาจะได้รับทราบกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และนำมาสู่การแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของชาวบ้าน จะได้นอนหลับสนิทเสียที และเรื่องแค่นี้คงไม่ต้องถึง มท.1 อนุทิน ชาญวีรกูล หรอกนะ แต่ถ้าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข อาจจะถึงเสี่ยหนูนะ

"เชียงราย"แน่นแฟ้น!!ฉก.ทัพเจ้าตากประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย – เมียนมาครั้งที่ 98 (TBC– 98)  ณ.โรงแรมแม่โขงเดลต้า อำเภอแม่สาย"

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2566 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง ได้จัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย – เมียนมา ครั้งที่ 98 (TBC - 98) โดยฝ่ายไทย เป็นเจ้าภาพ  โดยมี พันเอก ณฑี  ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก/ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย–เมียนมา (TBC) ฝ่ายไทย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และ พันโท จี่โซ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 244/ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมา – ไทย (TBC) ฝ่ายเมียนมา จังหวัดท่าขี้เหล็ก เป็นประธานร่วม ณ ห้องประชุมโรงแรมแม่โขงเดลต้า อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

โดยในห้วงเวลาประมาณ 09.45 นาฬิกา ได้มีการพบปะพัฒนาสัมพันธ์และมอบของที่ระลึก กันระหว่าง พันเอก ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก/ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) ฝ่ายไทย และ พันเอก ตู๋ล่า ส่อ หวิน โซ ผู้บังคับการกองบังคับการยุทธศาสตร์ท่าขี้เหล็ก  บริเวณกลางสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 อำเภอแม่สายฯ โดยมีคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นของทั้ง 2 ฝ่าย เข้าร่วมการพบปะพัฒนาสัมพันธ์

หลังจากนั้น คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นของทั้ง 2 ฝ่ายได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมฯ ณ ห้องประชุมโรงแรมแม่โขงเดลต้า อำเภอแม่สายฯ ซึ่งคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) จากหน่วยงานต่างๆ ของทั้งไทยและเมียนมา เข้าร่วมประชุมฯ รวมทั้งสิ้น จำนวน 65 คน โดยการประชุมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นทั้ง 2 ฝ่าย ได้ประสานความร่วมมือ และสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อขจัดเงื่อนไขและปัญหาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อันจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย การประชุมในวันนี้ได้มีการหารือในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน การขอความร่วมมือต่างๆ ทั้งด้านความมั่นคง และด้านอื่นๆ รวมทั้งยังได้มีการขอบคุณที่ทั้ง 2 ฝ่าย ให้การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาต่างๆ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้สำเร็จอย่างดียิ่ง สำหรับบางปัญหาที่อยู่เหนือกว่าอำนาจที่คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) ไม่สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้ ก็จะนำเรียนหน่วยเหนือ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

หลังจากจบการประชุมฯ ฝ่ายไทยได้จัดเลี้ยงรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน และในห้วงบ่าย มีกิจกรรมทำบุญร่วมกัน รวมทั้งเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์โฮงหลวงแสงแก้ว ณ วัดพระแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และวัดพระธาตุดอยเวา อำเภอแม่สายฯ

ในห้วงเย็น ฝ่ายไทยได้ส่งฝ่ายเมียนมา บริเวณกลางสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 อำเภอแม่สายฯ เพื่อเดินทางกลับเมียนมา ต่อไป ซึ่งจากการจัดประชุมฯ ดังกล่าว ทำให้ทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายเมียนมา มีความสัมพันธ์ที่ดี และแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีอย่างนี้สืบต่อไป 

สันติ วงศ์สุนันท์/ผู้สื่อข่าวเชียงราย

‘รศ.ดร.วินัย’ ชี้!! ‘การฉลองปีใหม่’ แท้จริงถือกำเนิดขึ้นก่อนจะมีศาสนาคริสต์ จึงไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ‘ชาวมุสลิม’ สามารถร่วมฉลองได้

(27 ธ.ค. 66) รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการ ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของการเฉลิมฉลอง ‘วันปีใหม่’ ในวันที่ 1 มกราคม’ ระบุว่า…

มีคำถามจากพวกเราถึงผมเป็นครั้งคราว เร็วๆ นี้ มีคำถามมาว่า การเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม ตามปฏิทินสากล เป็นประเพณีหรือพิธีกรรมในศาสนาคริสต์ใช่หรือไม่ หากใช่ การที่คนในศาสนาอื่นเข้าไปร่วมเฉลิมฉลอง จะผิดหลักการในศาสนาของตนเองหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ‘มุสลิม’ ก่อนจะตอบ เราควรเข้าใจก่อนว่าการนับวันเวลาเป็นสิ่งสมมุติ เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ โดยเป็นเช่นนั้นมาแต่โบราณแล้ว

การกำหนดวันปีใหม่สากลให้เป็นไปตามปฏิทินสุริยคติคือ ‘วันที่ 1 มกราคมของทุกปี’ เรื่องนี้เริ่มโดยชาวโรมันมานานนับพันปีแล้ว โดยก่อนหน้านั้น ชนโบราณ ทั้งบาบิโลน จีน อินเดีย กำหนดวันปีใหม่ตามปฏิทินสุริยคติมาก่อนชาวโรมันเสียด้วยซ้ำ โดยกำหนดไว้ว่า ‘วันขึ้นปีใหม่’ คือ วันเริ่มต้นการเพาะปลูก ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงพฤษภาคม ชาวจีนกำหนดวันตรุษจีนไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ ชาวอินเดียกำหนดวันสงกรานต์ในเดือนเมษายน ส่วนชาวบาบิโลนเฉลิมฉลองวันเริ่มเพาะปลูกในเดือนมีนาคม

กระทั่งถึงปีที่ 46 ก่อนคริสตกาล ‘จักรพรรดิจูเลียส ซีซาร์’ แห่งจักรวรรดิโรมัน เห็นว่าช่วงฤดูหนาวคือ เดือนธันวาคมถึงมกราคม อากาศหนาวเหน็บ บรรยากาศหดหู่ ผู้คนซึมเศร้า ว้าเหว่ จึงย้ายวันปีใหม่จากช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่สดใสไปเป็นฤดูหนาว เพื่อให้ผู้คนในจักรวรรดิได้รื่นเริงกันบ้าง การกำหนดวันปีใหม่ให้เป็นวันที่ 1 มกราคมจึงเริ่มต้นในปีนั้น วันปีใหม่จึงเกิดขึ้นก่อนการมาของคริสต์ศาสนา การเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในบางชุมชนอาจมีพิธีกรรมทางศาสนาเข้ามาปนบ้าง แต่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์อย่างแน่นอน

ชนคริสต์ในจักรวรรดิโรมันกว่าจะยอมรับให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่ก็ล่วงเลยมาถึง ค.ศ. 313 แล้ว เหตุที่ก่อนหน้านั้นไม่ยอมรับก็เนื่องจากเห็นว่า การฉลองปีใหม่เป็นกิจกรรมของคนนอกศาสนา ต่อเมื่อเข้าใจได้ว่า วันเวลาคือความเป็นสากลไม่เกี่ยวข้องกับศาสนานั่นแหละจึงยอมรับ นอกจากนี้ ชาวคริสต์ในแต่ละนิกายยังเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่ไม่ตรงกัน ที่น่าสังเกตคือ ไม่มีชนกลุ่มใดยึดถือว่าวันปีใหม่เป็นวันสำคัญทางศาสนา การเฉลิมฉลองจะเป็นไปในลักษณะใด เอาศาสนามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ให้ขึ้นกับแต่ละสังคมเป็นสำคัญ

ในประเทศมุสลิมปัจจุบัน การนับถอยหลัง หรือ ‘เคาท์ดาวน์’ ตอนเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม มีให้เห็นอยู่บ้าง เช่น ที่อาคารทวินทาวเวอร์ในกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย หรืออาคารเบิร์จคาลิฟาของดูไบ ยูเออี และในอีกหลายประเทศมุสลิม นั่นเป็นเพราะวันปีใหม่ไม่ใช่การเฉลิมฉลองทางศาสนา

ส่วนประเด็นที่มีมุสลิมบางคนเข้าใจว่าวันที่ 1 มกราคม เกี่ยวข้องกับการสูญเสีย ‘กรานาดา’ หรือ ‘ฆัรนาเฎาะฮฺ’ ของจักรวรรดิมุสลิมให้แก่จักรวรรดิคริสต์ในสเปน เหตุการณ์นั้นเกิดในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1492 ไม่เกี่ยวข้องกับวันปีใหม่ ที่อธิบายมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่า จะแนะนำให้มุสลิมฉลองวันปีใหม่ สังคมมุสลิมมีวันเฉลิมฉลองอยู่แล้ว คือ ‘วันอิดิลอัฎฮาและอิดิลฟิตริ’ การเฉลิมฉลองกันสุดเหวี่ยงเลียนแบบคนอื่นในวันอื่นคงไม่เหมาะ ส่วนใครจะฉลองคงไม่มีใครตำหนิ

ปักธง!! 'เมืองรอง 10 จังหวัด' จาก 5 ภูมิภาค นายกฯ พร้อมเปิดตัว ม.ค.67 ลุยกระตุ้น ศก.ไทย

(27 ธ.ค.66) แหล่งข่าวกล่าวว่า ตามที่หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ผลักดันเมืองรองที่มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจ ทั้งมิติการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ให้เป็นเมืองหลัก

ล่าสุดได้ข้อสรุปรายชื่อ 10 จังหวัด จากทั้ง 5 ภูมิภาคที่ได้รับการคัดเลือกจากหอการค้าไทยกับ ททท. ที่จะร่วมกันโปรโมตนำร่องแล้ว ได้แก่

1. แพร่
2. ลำปาง
3. นครสวรรค์
4. นครพนม
5.  ศรีสะเกษ
6. จันทบุรี
7. ราชบุรี
8. กาญจนบุรี
9. นครศรีธรรมราช
10. ตรัง

แม้บางจังหวัดอย่างกาญจนบุรีจะเป็นเมืองหลักอยู่แล้ว แต่มองว่าควรส่งเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจที่มีอยู่แล้วให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีกำหนดเปิดตัวในเดือน ม.ค. 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเป็นประธานในการแถลงข่าว สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยว 4 ด้าน ดึงศักยภาพของทุกจังหวัดสู่สากล เพื่อกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในประเทศให้คึกคัก ผลักดันรายได้จาก 4 ด้าน ซึ่งล้วนเป็นโจทย์สำคัญในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของไทย ดังนี้

1.ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง
2.ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายไฮซีซันตลอดทั้งปี
3.เร่งพัฒนาการบริการด้านข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น
4.เพิ่มค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อทริป และเพิ่มระยะเข้าพักเพื่อให้นักท่องเที่ยวพำนักนานขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top