Tuesday, 30 April 2024
Isan

ศรีสะเกษ - ผู้ว่าฯศรีสะเกษ สั่งคุมเข้มมาตรการโควิดในงานประเพณีบุญบั้งไฟ 12 เม.ย.-11 พ.ค.นี้ ย้ำเว้นระยะห่าง-ปลอดเหล้า-ปลอดการพนันเด็ดขาด ฝ่าฝืนอาจมีโทษปรับ 4 หมื่น คุก 2 ปี

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา พุฒิชาติ ผวจ.ศรีสะเกษ ได้ลงนามในประกาศคำสั่งจังหวัดศรีสะเกษ ที่ 1559/2564 ลงวันที่ 8 เม.ย. 64 เรื่องมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในงานประเพณีบุญบั้งไฟ ประจำปี 2564 เพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟ โดยจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 12 เม.ย. ถึงวันที่ 11 พ.ค. 64 นี้

โดยเนื้อหาสาระสำคัญระบุว่า การจัดงานประเพณีดังกล่าว ห้ามมิให้มี การเล่นการพนัน ทุกประเกท รวมถึงให้งดการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายในบริเวณจัดกิจกรรม งดกิจกรรมโยนโคลน และกิจกรรมอื่น ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรค ระมัดระวังการรวมกลุ่มดื่มสุรา การรวมกลุ่มเซิ้งขอสรา หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ในบริเวณงาน หรือสถานที่จัดงาน   โดยเน้นย้ำดำเนินการตามมาตรการ การป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ในการเว้นระยะห่างระหว่างกัน สวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ก่อนเข้าพื้นที่ และใช้แอปพลิเคชันไทยชนะหรือหมอชนะ นอกจากนี้ผู้จัดงานหรือคณะกรรมการหมู่บ้าน ต้องเสนอมาตรการในการป้องกันโรคฯและยื่นต่อนายอำเภอท้องที่ล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 7 วัน

ซึ่งมาตรการดังกล่าวต้องประกอบด้วย แผนผังการจัดงาน จำนวนผู้ข้าร่วมงาน โดยให้พิจารณาผู้ข้าร่วมงานให้เหมาะสมกับพื้นที่ ไม่แออัด การจัดมาตรการรักษาความปลอดภัย การจัดมาตรการ ควบคุมโรค ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดศรีสะเกษกำหนด  ส่วนกรณีมีผลกระทบต่อพื้นที่ หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านและได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานพร้อมความเห็นให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดศรีสะเกษ พิจารณา โดยให้นายอำเภอ หรือผู้แทน พร้อมผู้ขออนุญาตจัดงาน เข้าร่วมชี้แจงในการประชุมพิจารณา ของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดศรีสะเกษ 

ทั้งนี้ได้กำชับให้ผู้จัดงาน เจ้าของสถานที่ ผู้ประกอบการ ผู้เข้าร่วมงานและผู้เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด หากมีการกระทำใด ๆ ที่ฝ่าฝืนมาตรการที่กำหนด ต้องได้รับโทษ ตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และฐานความผิดตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ด้วย


ข่าว/ภาพ  บุญทัน  ธุศรีวรรณ  ศรีสะเกษ

ขอนแก่น - สั่งปิดสถานบันเทิง 2 แห่ง เป็นเวลา 14 วัน หลังพบพนักงานติดเชื้อไวรัสโควิด-19

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 11 เม.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น ได้ออกประกาศ คำสั่งจังหวัดขอนแก่น ที่ 1555/2564 เรื่อง ปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นการชั่วคราว

โดยเนื้อหาระบุว่า ด้วยเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2564 ได้ปรากฏมีพนักงานสถานบริการ ตะวันแดง มหาชน ณ ขอนแก่น และร้าน จีสตาร์พาเลซ (ร้านอันเดอร์กราวน์ ขอนแก่น) ติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVD -19) โดยที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ติดเชื้อได้กระจายตัวออกไปในหลายพื้นที่อย่างรวดเร็ว จากการติดตามและสอบสวนโรคของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสาธารณสุขพบว่า การแพร่ระบาดในลักษณะกลุ่มก้อนนี้ ผู้ติดเชื้อหลายรายมีกรณีเชื่อมโยงกับการเข้าใช้บริการของสถานบันเทิงหรือสถานบริการประเภทต่าง ๆ โดยที่มิได้แสดงอาการของโรคและได้แพร่โรคออกไปยังผู้สัมผัสใกล้ชิด

ซึ่งมีข้อมูลว่าเป็นเชื้อโรคกลายพันธุ์ที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วกว่าสายพันธุ์ปกติ ประกอบกับการเริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุดที่เป็นปัจจัยเสียงเพิ่มขึ้น และจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่อยู่ในกลุ่ม 41 จังหวัด ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดที่ได้ตรวจพบการระบาดแล้ว และมีความเสี่ยงต่อการแพรโรคที่ จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 19) ลงวันที่ 9 เม.ย. 2564 โดยให้สั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่อการ แพรโรคไว้เป็นการชั่วคราว

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ประกอบข้อ 2 ข้อ 7 (1) ของข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 ข้อ 1 ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 19) ลงวันที่ 9 เม.ย. 2564 และ ประกาศจังหวัดขอนแก่น เรื่อง มาตรการ การเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จังหวัดขอนแก่น (ฉบับที่ 29)  ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดขอนแก่น ตามมติที่ประชุม ครั้งที่ 14/2564 เมื่อวันที่ 8 เม.ย.2564 จึงให้ปิดสถานบริการ ตะวันแดง มหาชน ณ ขอนแก่น และ ร้าน จีสตาร์พาเลซ (ร้านอันเดอร์กราวน์ ขอนแก่น) เป็นการชั่วคราว เป็นเวลา 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ 11 - 24 เม.ย. 2564

 

 

ขอนแก่น – เจ้าของร้านขายเสื้อลายดอก โอดลูกค้ามาซื้อน้อยลงจนใจหาย ขณะที่ชาวขอนแก่นส่วนใหญ่ เสียใจงดเล่นน้ำแต่ก็เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 เม.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ร้านแฟมิลี่บอย ตั้งอยู่ที่ตลาดบางลำพู เขตเทศบาลนครขอนแก่น มีชาวขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียงเดินทางเข้ามาเลือกซื้อเสื้อลายดอกที่เป็นที่นิยมสำหรับการสวมใส่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยพบว่าบรรยากาศโดยทั่วไปค่อนข้างเงียบเหงา จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างมาก ซึ่งจากการสอบถามเจ้าของร้านขายเสื้อลายดอกต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สงกรานต์ปีก่อนว่าเงียบเหงาแล้วแต่สงกรานต์ปีนี้หนักกว่า ประชาชนมาจับจ่ายซื้อสินค้าน้อยจนน่าใจหาย โชคดีที่ตัดสินใจไม่สั่งเสื้อมาเพิ่ม เพราะยังเหลือเสื้อลายดอกที่ค้างสต๊อกจากสงกรานต์ปีที่แล้วจำนวนมาก ถึงขนาดนั้นก็ยังขายไม่ได้ แต่ก็ต้องเปิดขายแม้คนจะน้อยเพื่อขอทุนคืน ส่วนเสื้อแบบอื่น ๆ ไม่ต้องพูดถึงขายแทบไม่ได้เลย

ขณะที่ น.ส.ศกุลนภัทร พลสุวรรณ ชาว อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า วันนี้ตั้งใจเดินทางเข้ามาในตัวเมืองขอนแก่นเพื่อมาซื้อเสื้อลายดอกและเสื้อคอกระเช้าไปเป็นของขวัญให้ผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งทำแบบนี้ทุกปี ราคาก็ไม่ต่างจากปีก่อน ๆ โดยเสื้อคอกระเช้าราคาตัวละ 60 บาท ส่วนเสื้อลายดอกราคาอยู่ที่ 120 – 150 บาท และการที่ปีนี้รัฐบาลขอความร่วมมือให้งดเล่นน้ำ ตนเองและครอบครัวก็จะไปรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ โดยได้แบ่งวันกันมารดน้ำเพื่อไม่ให้มีการรวมตัวลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19ไปยังผู้สูงอายุ

เช่นเดียวกันกัย นางเพ็ญ รามมนตรี ชาวอำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม บอกว่า วันนี้เดินทางมาซื้อเสื้อลายดอกรวม 10 กว่าตัวเพื่อไปแจกญาติ ๆ และเพื่อนฝูงได้สวมใส่กันเหมือนเช่นทุก ๆ ปี ต่างกันตรงที่ทุกปีจะได้เล่นสาดน้ำ แต่ปีนี้ต้องงดเพราะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็รู้สึกเสียใจ เพราะเป็นประเพณีที่ทำกันมายาวนาน ในวันสงกรานต์ก็คงได้เพียงรดน้ำแบบเบา ๆ กับคนสนิท เพราะตัวเองก็ระมัดระวังตัวเช่นกัน และหวังว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะหมดไปจากบ้านเราโดยเร็ว

ขอนแก่น - “มาดามแป้ง” เข้ารับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ว.บัณฑิตเอเซีย

“มาดามแป้ง” นายหญิงสิงห์เจ้าท่า เข้าพิธีประสาทปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย โดยมีแข้งฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยเข้าร่วมยินดี

วันที่ 12 เมษายน 2564 ณ ห้องพิธีการ ขอนแก่นฮอลล์ “มาดามแป้ง” เข้ารับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย ประจำปี 2564 โดยมี ศ.ดร.นพ. กระแส ชนะวงศ์ ประธานในพิธี, รศ.ดร. จินตนา บุญบงการ นายกสภาวิทยาลัยฯ, ผศ.ดร. กษม ชนะวงศ์ อธิการบดี พร้อมด้วยคณาจารย์ และบัณฑิต ร่วมเป็นเกียรติ ซึ่งการจัดนั้นอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีเหล่านักฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และนักฟุตบอลหญิงสโมสรบีจี-บัณฑิตเอเซีย ทีมแชมป์ไทยวีเมนลีก ดิวิชั่น 1 เข้าร่วมแสดงความยินดีคับคั่ง

“มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ CEO บมจ. เมืองไทยประกันภัย และประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟ.ซี. กล่าวว่า “นับเป็นเกียรติอย่างสูงต่อแป้งและครอบครัวที่สถาบันที่สร้างคนคุณภาพให้แก่สังคม ได้กรุณามอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่แป้ง ซึ่งผลิตบุคลากรคุณภาพทั้งด้านวิชาการ และที่สำคัญยังได้สร้างชื่อเสียงด้านกีฬาให้แก่ประเทศไทยอย่างมาก แน่นอนว่าแป้งจะไม่หยุดพัฒนาตนเอง เพื่อพัฒนางานต่าง ๆ ที่มีอย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไป”

ทั้งนี้ ‘มาดามแป้ง’ ถือเป็นนักธุรกิจหญิงที่มีความโดดเด่นในงานบริหารธุรกิจ งานด้านกีฬา งานเพื่อสังคม รวมทั้งมีวิสัยทัศน์จนได้รับรางวัลสำคัญมากมาย อาทิ รางวัล 1 ใน 25 สุดยอดนักธุรกิจหญิงแห่งปี จากนิตยสาร Forbes Asia, รางวัลสตรีผู้ประกอบการดีเด่นแห่งอาเซียน, ผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยชุดประวัติศาสตร์เข้าแข่งขันฟุตบอลโลกได้ถึง 2 สมัย คือ ในปี 2015 และ 2019, ประธานสโมสรฟุตบอลการท่าเรือ เอฟ.ซี. นอกจากนี้ ยังทำกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น การตั้ง ‘ครัวมาดาม’ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทั้งสองระลอก, กระทั่ง ล่าสุด การสานต่อภารกิจสำคัญในการช่วยเหลือสังคมอย่างมุ่งมั่นทุ่มเท ด้วยก่อตั้ง “มูลนิธิมาดามแป้ง” ให้เป็นหน่วยงานกลางที่รวบรวมน้ำใจจากผู้คนในสังคม เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนสังคมไทยในมิติต่าง ๆ ภายใต้แนวคิด ส่งต่อน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกัน

ขอนแก่น - ไฟไหม้รถทัวร์โดยสารสายบึงกาฬ- กรุงเทพฯ ผู้โดยสารดับคาที่ 5 ราย เจ็บสาหัส 12 ราย เหตุเกิดจากยางรถระเบิดและเกิดประกายไฟติดห้องเครื่องด้านหลังก่อนลุกลามทั่วทั้งคัน

เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 13 เม.ย.2564 เจ้าหน้าที่กู้ภัย รพ.สิรินธร อ.บ้านแฮด จ.ขอแนก่น ได้รับแจ้งจากศุนย์วิทยุ 1669 ว่าเกิดเหตุ  รถทัวร์โดยสารปรับอากาศชั้น 1 สายอุดรธานี-กรุงเทพฯ  เกิดไฟไหม้ที่บริเวณเครื่องยนต์ด้านหลังก่อนที่จะลุกลามไหม้ทั้งคัน หลังรับแจ้งจึงประสานงานร่วมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านแฮด ,ปภ.เขต 6 พร้อมระดมทีมแพทย์ฉุกเฉินจากพื้นที่ใกล้เคียงเข้าตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุถนนถนนมิตรภาพ  บ้านหนองขาม ต.โนนสมบูรณ์ อ.บ้านแฮด ขอนแก่น เจ้าหน้าพบรถทัวร์โดยสาร 2 ชั้นของบริษัท 407 พัฒนาทัวร์ จำกัด สายอุดรธานี -กรุเทพฯ หมายเลขทะเบียน 22-34 หมายเลขทะเบียน 10-7387 อุดรธานี    

เกิดเพลิงไหม้อยู่ริมถนน ขณะที่ผู้โดยสารต่างพากันหนีตายออกจากรถกันจ้าละหวั่น เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานกว่า 1 ชม. จึงสามารถคบคุมเพลิงได้ ตรวจเบื้องต้นพบมีผู้เสียชีวิตภายในรถรวมทั้งหมด 5  ราย และมีได้รับบาดเจ็บจำนวน 12 รายเจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงต้องเร่งนำตัวส่ง รพ.สิรินธร และ รพ.ขอนแก่น เป็นการเร่งด่วน ส่วนอีก 16 รายปลอดภัย

จากการสอบถามผู้โดยสารที่รอดชีวิต ทราบว่า รถทัวร์โดยสารคันดังกล่าวออกจากสถานีข่นสง จ.บึงกาฬ เพื่อนำผู้โดยสารกว่า 30 คนเดินทางเข้า กรุงเทพฯ โดยแวะรับผู้โดยสารจาก จ.อุดรธานี และ ขอนแก่น และกำลังจะเดินทางไปที่กรุงเทพฯ  โดยเมื่อวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุได้เกิดยางรถแตกเสียงดังสั่นก่อนที่จะเกิดประกายไฟลุกลามติดห้องเครื่องจากนั้นได้เกิดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วผู้โดยสารทั้งหมดจึงวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่สามารถสกัดและควบคุมเพลิงไว้ได้  รถพบร่างผู้เสียชีวิตรวม 5 ราย เป็นผู้ใหญ่ 3 ราย เด็กอีก 2 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ  ขณะที่คนขับรถทัวร์คันดังกล่าวซึ่งได้รับบาดเจ็บและถูกส่งตัวเข้าทำการรักษา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะมีการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

นครพนม - เจอรายที่ 3 สาวติด 'โควิด-19' หลังจากเดินทางกลับจาก กทม.

วันที่ 12 เม.ย.54 ทีมตระหนักรับรู้สถานการณ์โควิด สำนักงานสาธารณสุข จ.นครพนม เปิดเผยว่า พบหญิง อายุ 30 ปี อาชีพแม่บ้าน อ.เมือง จ.นครพนม ติดโควิดเป็นรายที่ 3 หลังมีความเสี่ยงเดินทางกลับจาก กทม.เปิดไทม์ไลน์ดังนี้

วันที่ 1 เม.ย. ไปทานอาหารที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว

วันที่ 2-4 เม.ย. เข้าอบรมที่พหลโยธินเพลส มีผู้เข้าร่วมอบรมประมาณ 50 คน เวลา 19.00 น. ทานอาหารร่วมพับเพื่อน 4 คนที่ร้านอาหารทะเล เวลา 21.00 น. ไปทานข้าวกับเพื่อนที่ร้านย่านรามอินทรา กับเพื่อน 3 คน

วันที่ 5 เม.ย. ไปสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งใน กทม. ไปทานข้าวกับเพื่อน 3 คน ที่ร้านอาหารย่านรามอินทรา

วันที่ 6 เม.ย. ไปทานอาหารที่ห้านเซ็นทรัลลาดพร้าว ต่อด้วยไปงานวันเกิดที่สนามกอล์ฟใน กทม. มีผู้ร่วมงานราว 30-40 คน

วันที่ 7 เม.ย. อยู่บ้านที่ กทม. เริ่มมีอาการระคายคอ

วันที่ 8 เม.ย. เวลา 13.00-18.00 น. ไปซื้อของที่แพลตตินั่ม เดินทางกลับนครพนมด้วยรถยนต์ส่วนตัว ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ผู้ร่วมเดินทาง 3 คน พักรถที่ปั๊มน้ำมัน จ.นครราชสีมา และ จ.กาฬสินธุ์

วันที่ 9 เม.ย. เวลา 08.00 น. เดินทางถึงบ้านพักที่นครพนม เริ่มมีอาการปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว เดินทางมาขอรับการตรวจ Rapid ที่ รพ.นครพนม แต่คิวเต็ม จึงเดินทางกลับบ้านพัก

วันที่ 10 เม.ย. พักอยู่บ้าน

วันที่ 11 เม.ย. เวลา 09.00 น. ไปขอรับการตรวจที่ รพ.ปลาปาก แต่ไม่ได้ตรวจเนื่องจากคิวยาว จึงเดินทางไปขอรับการตรวจ ณ จุดคัดกรองเกณ์ทหาร อ.ปลาปาก ก่อนกลับบ้าน

วันที่ 12 เม.ย. พักอยู่ที่บ้าน ทราบผลการตรวจว่าพบเชื้อโควิด สสจ.แจ้ง 1669 รับเข้ารับการรักษาที่ รพ.นครพนม

ด้าน เฟซบุ๊ก ไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าฯ นครพนม โพสต์ระบุว่า “รายที่ 3 แล้วนครพนม พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายนี้เป็นคนอำเภอเมืองนครพนม ไปกรุงเทพฯมากับครอบครัว โดยรถยนต์ส่วนตัวรถคันเดียวกัน ทีมสาธารณสุข จ.นครพนม ลงไปสอบสวนโรค กักตัวผู้เสี่ยงสูงจำนวน 6 ราย ไว้ตรวจหาเชื้อและสังเกตอาการต่อไป” น่าเป็นห่วงครับ คนที่มาจากพื้นที่เสี่ยงครับ ญาติพี่น้องใครช่วยกันตักเตือนให้กักตัว จนกว่าจะได้รับการตรวจหาเชื้อ ถ้าไม่ฟังแจ้งนายอำเภอท้องที่ได้เลยนะครับ

 


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

กาฬสินธุ์ – สั่งปิดสถานบันเทิง พบหัวหน้าการ์ดผับดังปทุมธานี กลับบ้านติดโควิดเพิ่ม

ประชาชนชาวกาฬสินธุ์กลุ่มเสี่ยงนับพันคน แห่เข้าตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 หลังพบเป็นกลุ่มเสี่ยงสัมผัสช่างแต่งหน้าติดเชื้อโควิด-19 ร่วมงานวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์รวมคน 4 ภาค เที่ยวตะวันแดง เดินซื้อของตลาดสด และกลุ่มเสี่ยงร่วมคอนเสิร์ตซองดูฮี พบนักดนตรีติดเชื้อโควิด-19 ในผับดังตากอากาศ ขณะที่ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์เรียกประชุมด่วนติดตามสถานการณ์โรคอย่างใกล้ชิด หลังพบชายวัย 33 ปี หัวหน้าการ์ด Brothere pub จ.ปทุมธานี เดินทางกลับบ้านอำเภอยางตลาดติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 1 ราย พร้อมประกาศสั่งปิดสถานบันเทิง 14 วัน และคุมเข้มงานรวมคนจำนวนมาก 

เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 13 เมษายน 2564 ที่บริเวณศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วย นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผอ.โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ร่วมกันลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานเชิงรุกในการตรวจเชื้อผู้สัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งเป็นชายอาชีพช่างแต่งหน้าวัย 26 ปี มาจาก จ.นครราชสีมา แล้วมาร่วมงานมหกรรมศิลปวัฒนธรรมไทย “เบิกฟ้าบัณฑิตพัฒนศิลป์ สู่แผ่นดินถิ่นอีสาน” ในระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2564 ซึ่งวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์เป็นเจ้าภาพจัดงาน ซึ่งไทม์ไลน์พบไปเที่ยวผับตะวันแดงกาฬสินธุ์ เดินซื้อของตลาดสดทุ่งนาทอง โดยได้สัมผัสกับประชาชนคนกาฬสินธุ์ส่วนหนึ่งที่ตลาดสดทุ่งนาทอง สถานบันเทิงตะวันแดง และวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์

โดยมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ มารอการตรวจหาเชื้อตั้งแต่เช้า ซึ่งมีทีม แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ที่ทำการปกครอง อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ร่วมปฏิบัติภารกิจ คาดว่ากรณีดังกล่าวจะมีผู้มาตรวจตลอดทั้งวันประมาณ 600 คน

ส่วนกรณีงานคอนเสิร์ตซองดูฮี ของผับตากอากาศ อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ ที่พบนักดนตรีชาว จ.ขอนแก่น มาร่วมงานแล้วกลับไปตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2564 นั้น จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่ามีกลุ่มเสี่ยงที่เข้าร่วมคอนเสิร์ตครั้งนี้กระจายใน 8 อำเภอ ประกอบด้วย อ.นามน อ.สมเด็จ อ.ห้วยผึ้ง อ.เขาวง อ.ร่องคำ อ.ฆ้องชัย อ.หนองกุงศรี และ อ.กมลาไสย เบื้องต้นคาดว่ามีจำนวนกว่า 400 คน โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจคัดกรองเชิงรุกพบมีกลุ่มเสี่ยงสัมผัสผู้ป่วย ซึ่งพบมีอาการไข้ และน้ำมูกเข้าข่ายเกณฑ์สอบสวนโรคจำนวน 20 ราย กลุ่มเสี่ยงสูง 34 ราย กลุ่มเสี่ยงต่ำ 82 ราย ซึ่งทั้งหมดยังรอผลตรวจ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการติดตามและตรวจสอบ

จากนั้นเวลา 11.00 น.วันที่ 13 เมษายน 2564 นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดและวางมาตรการป้องกัน โดยมีนายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ ในฐานะเป็นเลขานุการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์  กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด- 19)  ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงล่าสุดวันที่ 13 เมษายน 2564 พบผู้ติดเชื้อรวม 3 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นหญิงวัย 35 ปี ได้เข้ารักษาตัวหายดีกลับบ้านแล้ว ส่วนผู้ติดเชื้อช่วงเดือนเมษายน 2564 หรือการระบาดระลอก 3 จ.กาฬสินธุ์ มีผู้ป่วยยืนยัน 2 ราย โดยคนแรกเป็นหญิง อายุ 28 ปี อาศัยอยู่ ต.หลักเมือง อ.กมลาไสย ผลตรวจยืนยันเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2564 และผู้ป่วยรายที่ 2 ซึ่งเป็นรายล่าสุด เป็นชายอายุ 33 ปี ทำงานเป็นหัวหน้าการ์ดในสถานบันเทิง Brothere pub จ.ปทุมธานี ได้เดินทางกลับบ้านใน ต.คลองขาม อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งยืนยันผลตรวจ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564  จากโรงพยาบาลการุญเวช จ.ปทุมธานีพบติดเชื้อ โดยทั้ง 2 ราย ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ นอกจากนี้ยังมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจากผู้ป่วยทั้ง 2 ราย และกลุ่มเสี่ยงสูงกลุ่มอื่นๆเบื้องต้น 3 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลยืนยัน

นายทรงพล กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อวันนี้ จึงได้มีคำสั่ง จ.กาฬสินธุ์ ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19  ได้แก่ สถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบกิจการอาบน้ำ สถานประกอบกิจการ อาบ อบ นวด หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เป็นเวลา 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ 13 -26 เมษายน 2564 หากฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ และกำชับแต่ละอำเภอเข้มงวดในการจัดงานรวมคนจำนวนมาก พร้อมทั้งขอให้ประชาชนใน จ.กาฬสินธุ์ ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT โดยการเว้นระยะห่าง ใส่แมส ล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ ร่วมมือใช้แอปฯไทยชนะ พร้อมกับหลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนแออัด เพื่อปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์ ประชากูล

ขอนแก่น - "บิ๊กตู่" ส่งกระเช้าเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บเหตุไฟไหม้รถทัวร์ที่ขอนแก่น ขณะที่ผู้ว่าฯ สั่งทุกหน่วยงานช่วยเหลือเต็มที่ พร้อมเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินประกันช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสรายละ 1.1ล้านบาท

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 13 เม.ย.2564 ที่ รพ.สิรินทร ต.โนนสมบูรณ์ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น นำกระเช้าจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมและมอบให้กับผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถทัวร์โดยสารสายอุดรธานี-กรุงเทพฯ เหตุเกิดในพื้นที่ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บอีก 12 ราย ซึ่งผู้บาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสิรินทร 3 ราย ถูกไฟไหม้ที่แขน ใบหน้า และใบหู อาการโดยรวมอยู่ในขั้นปลอดภัยเฝ้าระวังแผลติดเชื้อ พร้อมทั้งพูดคุยและให้กำลังใจกับผู้บาดเจ็บและครอบครัวด้วย พร้อมทั้งยืนยันให้การช่วยเหลือทุกครอบครัวตามสิทธิเต็มที่

นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเมื่อทราบข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กำชับลงมายังพื้นที่ให้มีการตรวจสอบช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิตรวมทั้งครอบครัวและผู้บาดเจ็บทุกราย ซึ่งทาง คปภ.และบริษัทประกันภัยรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประชุมร่วมกันและสรุปค่าเยียวยาให้กับผู้บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตรายละ 1.1 ล้านบาทตามสิทธิที่จะได้รับจากประกันภัยและพรบ.รถ โดยทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขณะนี้ทราบชื่อผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย คือ น.ส.สุกัญญา เกดหอม อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ 14 ต.เมืองเพียง อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ส่วนที่เหลืออีก 4 รายยังไม่ทราบชื่อ อายุ และที่อยู่ และขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจอัตลักษณ์บุคคล ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ส่วนผู้บาดเจ็บมีทั้งหมด 12 ราย ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสิรินทร ส่วนหนึ่ง และทีโรงพยาบาลขอนแก่นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งในทางคดีขณะนี้ทราบว่าได้มีการแจ้งข้อกับพนักงานขับรถแล้ว และทราบรายชื่อผู้โดยสารทั้งหมดหมดแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นใคร โดยจะต้องคัดแยกรายชื่อผู้บาดเจ็บและผู้ที่รอดจากเหตุการณ์ทั้ง ก็จะเหลือรายชื่อของผู้เสียชีวิต เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ในภาพรวมทั้งหมด

ขณะที นาย ปัญจพล ภาคสังข์ อายุ19 ปี ชาว อ.เสาไห้ จ.สระบุรี 1 ในผู้รอดชีวิตและได้รับบาดเจ็บ กล่าวว่า กลับมาหาแม่ที่ จ.อุดรธานี และได้ซื้อตั๋วกลับเพื่อไปลง จ.สระบุรี โดยขึ้นรถเที่ยว 3 ทุ่ม ที่ บขส.อุดรธานี ระหว่างทางก็นอนมากับรถ ก่อนรถจะแวะเติมแก๊สที่ จ.ขอนแก่น พร้อมกับพักรถ 20 นาที ก่อนจะขับออกมาเพื่อเดินทางต่อกระทั่งได้ยินเสียงระเบิดขึ้น 1 ครั้งก็ทราบว่ารถน่าจะยางเกิดระเบิด แล้วก็เห็นไฟลุกขึ้นบริเวณด้านหลังและเห็นจนรีบลงจากรถ ตนเองจึงรีบลงมาจากชั้นสองและวิ่งออกไปได้ทัน ซึ่งในช่วงที่วิ่งลงมาชั้น 1 นั้นทุกคนต่างเบียดเสียดกันบางคนล้มบ้าง และมีเสียงระเบิดดังขึ้นอีก 1 ครั้ง

"พอมาถึงชั้นหนึ่งก็ได้กลิ่นแก๊สลอยเข้าคอจนเกือบจะหมดสติ พูดไม่ออกและพยายามพุ่งออกไปข้างหน้าจนถึงทางออก ๆได้สำเร็จและวิ่งเข้าไปในป่าแล้วก็ได้ยินเสียงระเบิดขึ้นอีกครั้ง รวมเป็น 3 ครั้ง ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลและแจ้งแม่ให้ทราบและแม่ก็เดินทางมาหาที่โรงพยาบาล

พ.ต.อ.ถนอมศักดิ์ โสภา ผกก.สภ.บ้านแฮด กล่าวว่า ขณะนี้ พนักงานสอบสวน ได้นำตัวนายพัศดี คำคอน อายุ 48 ปี พนักงานขับรถทัวร์โดยสารกันเกิดเหตุ มาสอบปาก โดยทราบว่าขณะที่เพลิงลุกไหม้ นายพัศดีได้ใช้ถังดับเพลิงฉีดพ่นใส่ไฟที่ลุกไหม้ พร้อมกับให้ผู้โดยสารลงจากรถ ส่วนการตรวจร่างกายหาสารเสพติด โดยผลออกมาไม่พบสารเสพติดและปริมาณแอลกอฮอล์ แต่ได้แจ้งข้อกล่าวหา “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” และจากรายงานพนักงานสอบสวนระบุว่ารถทัวร์คันดังกล่าว ได้เติมเชื้อเพลิงประเภทก๊าซ NGV โดยก่อนเกิดเหตุได้แวะเติมที่สถานีบริการในพื้นที่ ต.สำราญ อ.เมืองขอนแก่น ก่อนจะขับมาได้ประมาณ 30 กิโลเมตร แล้วเกิดเหตุสลดขึ้น จากนี้จะให้ขนส่งจังหวัดขอนแก่น ตรวจสอบว่า รถทัวร์คันนี้ได้มีการขอจดทะเบียนติดตั้งก๊าซ NGV ถูกต้องตามกฎกระทรวงคมนาคมหรือไม่

พร้อมกันนี้ผู้สื่อข่าวยังได้เดินทางไปที่ห้องเก็บศพ รพ.ศรีนครินทร์ ซึ่งยังไม่มีญาติของผู้เสียชีวิตมาติดต่อรับศพหรือแสดงตัวเป็นญาติแต่อย่างใด ซึ่งตามขั้นตอนหากมีญาติผู้เสียชีวิตมาติดต่อรับศพก็จะทำการตรวจดีเอ็นเอของญาติและผู้เสียชีวิตเพื่อส่งมอบศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิดต่อไป

 

กาฬสินธุ์ – ร่วมสืบสานประเพณีเทศกาลสงกรานต์และวันครอบครัว เลี้ยงวิญญาณบรรพบุรุษวิถีภูไท

ชาวภูไทอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมสืบสานประเพณี “เหยา” เลี้ยงทะหลา (มเหศักดิ์หลักเมือง) บวงสรวงอนุสาวรีย์ อดีตเจ้าเมืองและวิญญาณบรรพบุรุษ เพื่อความเป็นสิริมงคล สร้างความรัก ความสามัคคี ในเทศกาลสงกรานต์และวันครอบครัว มีการละเล่นสาดน้ำเฉพาะกลุ่มของคณะหมอเหยาเพื่อพยากรณ์ฝนฟ้า ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่น โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข อสม.ตั้งจุดคัดกรอง ป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2564 ที่บริเวณหอทะหลา (มเหศักดิ์หลักเมือง) เชิงสะพานลำพะยัง ต.กุดสิมคุ้มใหม่ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ นายคงคา ชื่นจิต นายอำเภอเขาวง เป็นประธานพิธีเลี้ยงทะหลา (มเหศักดิ์หลักเมือง) บวงสรวงอนุสาวรีย์พระธิเบศร์วงศา (ด้วง) อดีตเจ้าเมืองกุดสิมนารายณ์คนที่ 2 และพระธิเบศร์วงศา (กินรี) อดีตเจ้าเมืองกุดสิมนารายณ์คนที่ 3 โดยมีนายประเสริฐ บุญเรือง ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 5 นายนพรัตน์ สายสมบัติ พัฒนาการอำเภอเขาวง นายปุณณรัตน์ วรรณวงศ์ ครูโรงเรียนกุดกว้างสวาสดิ์วิทยา พร้อมด้วยผู้นำชุมชน กลุ่มสตรี เยาวชน แต่งกายด้วยชุดภูไท ซึ่งเป็นชุดแต่งกายพื้นเมือง ตั้งขบวนฟ้อนรำบวงสรวง ด้วยลีลาอ่อนช้อยสวยงาม สื่อถึงอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ภูไท

นายคงคา ชื่นจิต นายอำเภอเขาวง  กล่าวว่า พิธีเลี้ยงทะหลา (มเหศักดิ์หลักเมือง) บวงสรวงอนุสาวรีย์พระธิเบศร์วงศา (ด้วง) อดีตเจ้าเมืองกุดสิมนารายณ์คนที่ 2 และพระธิเบศร์วงศา (กินรี) อดีตเจ้าเมืองกุดสิมนารายณ์คนที่ 3 ดังกล่าว เพื่อน้อมรำลึกและแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ที่ได้ปฏิบัติเป็นประจำทุกปีในเทศกาลสงกรานต์ ที่เริ่มจากวันที่ 13 เม.ย.วันสงกรานต์ วันที่ 14 เม.ย.วันครอบครัว และวันที่ 15 เม.ย.วันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีไทย นอกจากนี้ยังมีการสาธิตพิธี “เหยา” หรือการรักษาคนป่วยตามความเชื่อของชาวผู้ไท ที่สืบทอดจากมายาวนานหลายชั่วอายุ เพื่อให้ลูกหลาน เยาวชน ที่กลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ ได้ร่วมสืบสาน แสดงความกตัญญูกตเวที เสริมสร้างความรัก ความอบอุ่น ในครอบครัวและในชุมชน โดยทุกคนที่ร่วมพิธีปฏิบัติตนตามมาตรการของคณะกรรมการโรคติดต่อ ในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัย ตั้งจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกาย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ 

ด้านนายปุณณรัตน์ วรรณวงศ์ ครูโรงเรียนกุดกว้างสวาสดิ์วิทยา อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า พิธีเหยาเป็นประเพณีที่เกิดจากความเชื่อของชาวภูไท ซึ่งเป็นพิธีสำหรับรักษาอาการเจ็บป่วย ที่ชาวภูไทอนุรักษ์และสืบสานมาอย่างเหนียวแน่น โดยหมอเหยาหรือผู้นำในการประกอบพิธีมีทั้งชายและหญิง หากเป็นชายจะเรียกว่าพ่อเมือง หรือหากเป็นหญิงเรียกว่าแม่เมือง ซึ่งพิธีบวงสรวงและเลี้ยงทะหลาในเทศกาลสงกรานต์หรือในวันครอบครัวนี้ มีการจัดเตรียมเครื่องบวงสรวงเซ่นไหว้ พานบายศรี ข้าวสาร  ไข่ไก่ ข้าวต้มมัด กล้วยสุก เหล้าขาว ยาสูบ พร้อมด้วยคณะหมอเหยา ทำการร่ายรำตามจังหวะดนตรีพื้นเมือง เป็นการบำรุงขวัญกำลังใจให้คนป่วยไข้หายเป็นปกติ ถือเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องของภูตผี วิญญาณ บรรพบุรุษ ยึดมั่นในความกตัญญู ที่สืบสานกันมาแบบรุ่นต่อรุ่นอย่างไม่เสื่อมคลาย

ทั้งนี้ พิธีเหยาเกิดจากเคยมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประจำตัวมาก่อน รักษาตามกรรมวิธีทางการแพทย์ไม่หาย  จึงหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งวิญญาณบรรพบุรุษ ซึ่งชุมชนชาวผู้ไทเชื่อว่าสถิตอยู่ ณ หอทะหลา หรือมเหศักดิ์หลักเมือง ชาวผู้ไทแต่ละเผ่าจะมีกรรมวิธีเหยาที่คล้ายคลึงกัน แต่มีจุดหมายเดียวกันคือบอกกล่าว ขอขมา และร่ายรำช่วยรักษาอาการเจ็บป่วย พิธีเหยาจึงเป็นการติดต่อสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังเป็นการทำนายหรือดูลางบอกเหตุในบางกรณีได้ เช่น  พยากรณ์อากาศ  ทำนายโชคชะตา เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในการประกอบพิธีเลี้ยงทะหลา (มเหศักดิ์หลักเมือง) บวงสรวงอนุสาวรีย์พระธิเบศร์วงศา พร้อมร่วมพิธีเหลา เพื่อแสดงความกตัญญูต่อวิญญาณบรรพบุรุษ สืบสานวัฒนธรรมประเพณี และปลูกจิตสำนึกลูกหลาน ที่มาเยี่ยมบ้านและก่อนเดินทางกลับไปทำงานหลังสงกรานต์ ได้รักบ้านเกิด ได้ร่วมกันขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสริมสิริมงคลในเทศกาลสงกรานต์ด้วยความสุข และเดินทางปลอดภัย ทั้งนี้ หลังสาธิตพิธีเหยาในวันครอบครัว ยังมีการทำนายฝนฟ้า โดยแม่เมืองเป็นผู้นำคณะหมอเหยา ร่ายรำรอบโอ่งบรรจุน้ำหน้าปะรำพิธี และร่วมเล่นสาดน้ำคลายร้อนอย่างชุ่มฉ่ำ ซึ่งพยากรณ์ว่าฝนฟ้าปีนี้จะดี มีฝนตกต้องตามฤดูกาล


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์  ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

หนองคาย - “ตม.จว.หนองคาย ใช้รถยนต์ตรวจการณ์อัจฉริยะ(BMW) สกัดจับขณะขนต่างด้าว ขบวนการลักลอบขนคนเข้าเมือง”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 พร้อมชุดสืบสวนฯร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

ตม.จว.หนองคาย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับกุมตัวนายถาวร อายุ 48 ปี สัญชาติไทย และ MR.MAI อายุ 33 ปี สัญชาติ เวียดนาม ในข้อหา “ร่วมกันให้ความช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการถูกจับกุม” พร้อมบุคคลต่างด้าวสัญชาติเวียดนามอีก 9 คน ในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมของกลาง รถยนต์กระบะอิซูซุ และโทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุง จำนวน 2 เครื่องเจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลางส่ง พงส.สภ.เวียงคุก เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.จว.หนองคาย สืบทราบว่า จะมีขบวนการขนคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนามจาก สปป.ลาว เข้ามาในราชอาณาจักรผ่านช่องทางธรรมชาติชายแดน จ.หนองคาย เพื่อส่งไปยังพื้นที่จังหวัดชั้นในโดยใช้รถยนต์กระบะอิซูซุ ในการดำเนินการ จึงสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบจับกุมตามที่ได้สืบทราบมา จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสืบทราบว่า รถยนต์กระบะคันดังกล่าวได้ไปรับบุคคลต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ซึ่งลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง และจะพาไปส่งให้นายหน้าที่รออยู่ที่สถานีขนส่งอุดรธานี จึงนำรถยนต์ตรวจการณ์อัจฉริยะ(BMW) ออกตรวจสอบ จนกระทั่งพบรถยนต์กระบะลักษณะตรงกับข้อมูลจากการสืบสวน โดยรถยนต์กระบะคันดังกล่าววิ่งมาจากริมฝั่งแม่น้ำโขง ต.เมืองหมี อ.เมือง จ.หนองคาย มุ่งหน้าไปตามถนนสาธารณะ บ.นาพิพาน ม.4 ซึ่งเป็นเส้นทางรอง เข้ามาบริเวณจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงเปิดไฟวับวาบพร้อมแสดงตัวให้สัญญานหยุดรถผู้ขับขี่รถยนต์กระบะจึงหยุดรถให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมเข้าตรวจสอบ จากการตรวจสอบพบนายถาวร อายุ 48 ปี เป็นผู้ขับขี่โดยมีบุคคลต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม รวม 9 คนโดยสารมาด้วย เมื่อตรวจสอบบุคคลต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม 9 คน ไม่พบตราประทับการอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร พร้อมรับว่าพวกตนหลบหนีเข้าเมืองจริง โดยติดต่อชายสัญชาติเวียดนามที่อยู่ สปป.ลาว เพื่อให้ส่งพวกตนเข้ามายังฝั่งไทยด้วยเรือเล็ก

โดย MR.MAI ได้ใช้โทรศัพท์ติดต่อนายถาวร ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะ ให้ไปรับที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อไปส่งยังสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุดรธานี แห่งที่ 1 สอบถามนายถาวร รับว่า ตนได้รับการติดต่อว่าจ้างจาก MR.MAI โดยตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 3,000 บาท เพื่อให้พาไปส่งยังสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุดรธานีจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงทำการขยายผลโดยให้นายถาวรฯ พาไปหา MR.MAI ซึ่งรอรับบุคคลต่างด้าวทั้ง 9 คน ที่บริเวณอาคารที่ตั้งบริษัทเชิดชัยทัวร์ เมื่อจอดรถ ขณะ MR.MAI กำลังเดินเข้ามาพบนายถาวรฯ เพื่อจะรับเอาคนต่างด้าวไปขึ้นรถประจำทาง และจ่ายเงินค่าจ้าง เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่www.immigration.go.th จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top