Sunday, 27 April 2025
ElectionTime

'พลังประชารัฐ' ล้มดีลลับ 'เพื่อไทย' แค่เกมปรับกระบวนท่า ดูลมบนการเมือง

ทำเอาวงการการเมือง 'ช็อกซีนีมา' ไปพอประมาณ เมื่อไพบูลย์ นิติตะวัน มือกฎหมายและรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมาแถลงเสียงดังฟังชัดเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ว่า พรรคพลังประชารัฐจะไม่ขอร่วมงานทางการเมืองหรือร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย....

เหตุเพราะพรรคก้าวไกลนั้นมีจุดยืนชัดเจนที่จะแก้มาตรา 112 ซึ่งพลังประชารัฐไม่เห็นด้วย ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจน อีกทั้งกรณีการเสนอนโยบายแจกเงินดิจิตัล 1 หมื่นบาท ถือเป็นนโยบายที่อันตรายสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาใหญ่...

หะแรก...ทั้งนักข่าวและคนโตในพรรคให้ค่าเพียงความเห็นส่วนตัวของไพบูลย์ แต่วันที่ 11 เม.ย.เมื่อ 'ลุงป้อม' พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมาปั๊มตราประทับรับรองสั้นๆว่า "นโยบายไม่ตรงกัน..."

ผู้สันทัดกรณีแทบจะวิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า...ความพยายามเดินทางแนวทางสายกลางในนามของการ 'ก้าวข้ามความขัดแย้ง' ทำให้ผู้คนไม่น้อยตีความและเชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐมีดีลลับจะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยนั้น รังแต่จะทำให้พรรคตกต่ำในสถานการณ์ที่กระแสหลักของการเลือกตั้งเริ่มโน้มเอียงถูกลากไปในทางการเมืองสองข้างสองขั้ว...คล้ายๆ กับปี 2562...เอาทักษิณกับไม่เอาทักษิณ...อะไรประมาณนั้น...

“เราถูกกล่าวหามาโดยตลอดเรื่องดีลลับว่าจะจับมือกับพรรคเพื่อไทย ตอนแรกคิดว่าจะค่อยๆ เงียบหาย แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น วันนี้ก็เลยต้องประกาศให้ชัด...” นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของไพบูลย์   

แต่ทั้งนี้นายไพบูลย์ก็ยืนยันว่าลุงป้อมและพรรคพลังประชารัฐยังยึดมั่นในแนวทางก้าวข้ามความขัดแย้ง...และมั่นใจว่าถึงอย่างไรลุงป้อมก็จะได้รับการโหวตจากรัฐสภาให้เป็นนายกฯ คนที่ 30 อย่างแน่นอน...

‘มาดามเดียร์’ กระทุ้งรัฐหนุนส่งออกอุตสาหกรรมบันเทิง ชูนโยบายกองทุนไอเดียหมื่นล้านปั้น Soft Power ไทย

(12 เม.ย.66) น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แชร์โพสต์ของ YOUNGOHM ศิลปินเจ้าเพลง ‘ธาตุทองซาวด์’ ที่กำลังเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ที่โพสต์ถึงความสำเร็จของเพลงนี้ที่ตัวเองลงทุนไปด้วยเงินส่วนตัว 1,200,000 บาทยังดังขนาดนี้ แล้วถ้าได้รับการสนับสนุนจากรัฐหรือคนไทยจะดังกว่านี้แค่ไหน ลงในเพจ ‘เดียร์ วทันยา บุนนาค’ มีเนื้อหา ระบุว่า…

“คนไทยไม่แพ้ชาติไหนในโลก!!! นอกจากแพ้กันเอง เบื่อแล้วที่ต้องนั่งดูคนที่มีความสามารถผลักดันตัวเองจนโด่งดัง แล้วสุดท้ายก็มานั่งเคลมว่าเป็นความภูมิใจของคนในชาติ”

‘บิ๊กป้อม’ ตอบปม ‘สวัสดิการผู้สูงอายุ’ ยัน!! ทุกคนในพรรคช่วยกันคิดมาอย่างดีแล้ว

(12 เม.ย.66) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ กับ สรยุทธ สุทัศนจินดา ในกรรมกรข่าว เปิดอกคุย 'บิ๊กป้อม' โดยระบุถึง สวัสดิการผู้สูงอายุ ว่า…

"ถามว่าทำไม สวัสดิการผู้สูงอายุ (3 พัน/4พัน/5พัน) ไม่ทำในรัฐบาลนี้เลย เพราะผมไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีไง และเราก็มั่นใจนโยบายนี้ เพราะทุกคนในพรรคช่วยกันคิดมาอย่างดีแล้ว มีที่มาของเงินที่จะนำมาบริหารจัดการแล้ว"


ที่มา: https://www.youtube.com/live/ijlLuYGHe9k?feature=share 
 

‘ชวน’ ห่วง!! คอร์รัปชันระบาดหนัก เหตุ!! เป็น ‘ยุคโกงปราบรัฐธรรมนูญ’

(12 เม.ย.66) นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่หาเสียงที่จังหวัดเพชรบุรีโดยสรงน้ำพระเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ที่วัดมหาธาตุวรวิหารและรับพรจากท่านเจ้าอาวาส พระครูวาทีวรวัฒน์ จากนั้นจึงเดินทักทายประชาชนและขึ้นรถแห่พร้อมด้วยนายอลงกรณ์ พลบุตร ผู้สมัครเขต 1 นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ผู้สมัครเขต 3 นายอรรถพร พลบุตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อและทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ตระเวนในตลาดเทศบาลเมืองเพชรบุรีมีประชาชนให้การต้อนรับมอบดอกไม้พวงมาลัยผลไม้ข้าวแช่ขนมหวานเมืองเพชรเป็นกำลังใจตลอดเส้นทาง

นายชวนกล่าวปราศรัยว่า สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกพร้อมกับนายอลงกรณ์ พลบุตรได้รับเลือกเป็น ส.ส.เพชรบุรีพรรคประชาธิปัตย์ครั้งแรกได้ส่งเสริมจังหวัดเพชรบุรีเป็นเขตส่งเสริมการลงทุนพิเศษเขต 3 ทำให้มีการลงทุนมีการสร้างงานสร้างอาชีพเกิดขึ้นอยากมากในเพชรบุรีตลอดจนการสร้างสะพานข้ามปากอ่าวบางตะบูนเกิดถนนคลองโคน-ชะอำเป็นประโยชน์ต่อการเดินทางและการท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลเพชรบุรีช่วยพัฒนาเศรษฐกิจนับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงวันนี้นอกจากนี้ยังช่วยเด็กไทยนับล้านคนให้มีโอกาสทางการศึกษาด้วยกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ริเริ่มในจำนวนนี้มีลูกหลานเพชรบุรีกว่า 3 หมื่นคนด้วยรวมทั้งการที่ตนได้ริเริ่มดำเนินการให้มีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเด็กนักเรียนได้ดื่มนมและมีอาหารกลางวันรับประทาน

“ผมห่วงใยต่อปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกงแต่จริงๆ กลับเป็นยุค ‘โกงปราบรัฐธรรมนูญ’ ซึ่งประชาชนร่วมแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นได้โดยสนับสนุนนักการเมืองที่สุจริตมีความซื่อสัตย์จึงขอให้ช่วยเลือก อลงกรณ์ พลบุตร เขต 1 กัมพล สุภาแพ่ง เขต 2 อภิชาติ สุภาแพ่ง เขต 3 เบอร์ 7 อดีต ส.ส.เพชรบุรีทั้ง 3 เขตและพรรคประชาธิปัตย์เบอร์ 26” นายชวน กล่าว


ที่มา: https://www.naewna.com/politic/723869 

สมุทรปราการ- เบอร์ 6 มาแล้ว!! “ดร.ยงยุทธ” ผู้สมัคร สส.เบอร์ 6 ลุยหาเสียงพบปะพี่น้องในชุมชน ลั่น!! ก้าวข้ามความขัดแย้ง มุ่งมั่นพัฒนาสมุทรปราการ

ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร ผู้สมัคร สส.เบอร์ 6 เขต 2 สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่หาเสียงอย่างต่อเนื่องภายในชุมชนพื้นที่ เขต 2 สมุทรปราการ ประกอบด้วย ต.บางปู ต.บางปูใหม่ ต.แพรกษา และ ต.ท้ายบ้านใหม่ โดยพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในชุมชนต่างๆ พร้อมทั้งรับฟังปัญญาและพร้อมหาทางออกเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เขต 2 สมุทรปราการ ซึ่งการลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้มีประชาชนจำนวนมากมาคอยให้กำลังใจ พร้อมทั้งส่งเสียงเชียร์อย่างต่อเนื่อง

อีกทั้ง ยังมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขเพื่อพัฒนาพื้นที่สมุทรปราการให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป โดยยึดมั่นอุดมการณ์ขอก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่

‘กรณ์’ ลงพื้นที่ ‘ยานนาวา-บางคอแหลม-สาทร’ ชูแก้ปัญหา ศก.-ปากท้อง เน้นหารายได้เข้าประเทศ

(12 เม.ย.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่ บางคอแหลม สาทร ยานนาวา เพื่อช่วย 2 ผู้สมัคร ส.ส.ได้แก่ นายวรนนท์ อัศวกิตติเมธิน ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 3 และ นายปรัชญา อึ้งรังษี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 14 โดยมี นายปรินต์ ทองปุสสะ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 เบอร์ 12 และ นางสาวริณดา คงตาละนันท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 18 เบอร์ 2 ร่วมให้กำลังใจ โดยขึ้นรถแห่พร้อมผู้สมัคร พบปะพี่น้องประชาชนแถวมัสยิดดารุลอบีดีน ถนนจันทน์ ทะลุ ซอยกิ่งจันทน์ ซอยวัดไผ่เงิน เพื่อขอคะแนนพี่น้องประชาชน และผู้ที่สัญจรผ่านไปมาด้วย 

นายกรณ์ กล่าวว่า จากการพบปะพี่น้องประชาชนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ทุกคนมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พวกเขาต้องการพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาล เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนทั้งเรื่องของแพง ค่าน้ำมันแพง ค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งตรงกับชุดนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าที่นำเสนอ ซึ่งทำให้เราเชื่อมั่นว่ามาถูกทาง หลายพรรคการเมืองอาจจะมีนโยบายที่สร้างความหวือหวา ลด แลก แจก แถม ซึ่งมีจำนวนมากและมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สำหรับพรรคชาติพัฒนากล้า เราตั้งธงยุทธศาสตร์ว่า จะหารายได้เข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาทภายใน 4 ปี เราจึงคิดนโยบาย 12 นโยบายเฉดสี ที่เรานำเสนอมาอย่างต่อเนื่อง 

นายกรณ์ ได้ยกตัวอย่างเศรษฐกิจเฉดสีเหลือง คือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยระบุว่า คนไทยทุกคนมีชีวิตอยู่บนแพลตฟอร์ม แต่ประเทศไทยกลับไม่มีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของการท่องเที่ยว ในแต่ละปีมีการจองโรงแรมที่พัก โดยรวมปีละนับล้านล้านบาท ซึ่งต้องเสียค่าการตลาดให้กับแพลตฟอร์ตหลายแสนล้านบาท ทำให้เราเสียโอกาสในรายได้ดังกล่าว ดังนั้นเราจึงควรพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นของเราเอง เพื่อเก็บเงินไว้ให้กับผู้ประกอบการชาวไทย 

นอกจากนี้ ในเรื่องของซอฟท์พาวเวอร์ เรามีเยอะมากแต่ขาดการส่งเสริม เช่น ตอนนี้ซีรีส์วาย ของคนไทยเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ซึ่งหากมีการส่งเสริมผู้ผลิตคอนเทนท์เหล่านี้ มันจะนำไปสู่โอกาสในการขยายผล ประชาสัมพันธ์ผ่านอาหารไทย สินค้าไทย แหล่งท่องเที่ยวไทย ซึ่งเป็นช่องทางผลักดันไปสู่ตลาดโลก ทำให้เขาอยากมา และประเทศไทยเองก็จะมีรายได้จากการขายคอนเทนท์เหล่านั้นด้วย  

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เศรษฐกิจสีเงิน เป็นนโยบายผู้สูงอายุ ที่พรรคเรามองต่างจากพรรคอื่น คือเรามองผู้สูงอายุเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า ไม่ใช่ภาระ เรามีนโยบาย ‘สูงไวไฟแรง’ ส่งเสริมผู้สูงอายุที่ยังมีไฟ ยังมีแรงที่จะทำงานต่อ เราจะสนับสนุนเงินชดเชยเงินเดือนให้กับผู้ประกอบการที่ว่าจ้างผู้สูงอายุ รายละ 5,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการพร้อมที่จะจ้างผู้สูงอายุให้ทำงานต่อไป รวมถึงเรามีนโยบายทางภาษีด้วย สำหรับทุกคนถึงวัยเกษียณและต้องการทำงานต่อ จะลดภาระภาษีเงินได้บุคคลให้ 50% 

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ด้วยโครงการ อารยสถาปัตย์ อัดฉีดเม็ดเงิน 50,000 บาท ให้กับบ้านที่มีผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้น เพื่อปรับปรุงบ้านให้มีความปลอดภัย โดยตั้งเป้าภายใน 4 ปี จะซ่อมแซมบ้านให้ได้ครบ 1,000,000 หลัง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของแรงงานและผู้รับเหมา

‘วิโรจน์’ ชี้!! ‘พปชร.-รทสช.’ กลับลำ พร้อมดีลทุกพรรค สะท้อนการเมืองแบบเก่า ลั่น!! ‘ก้าวไกล’ ไม่เอาระบบแบบนี้

‘วิโรจน์’ ชี้ ‘พปชร.-รทสช.’ กลับลำแทงกั๊ก พร้อมดีลทุกพรรค สะท้อนการเมืองเก่า-ไร้จุดยืน

เมื่อวันที่ 12 เมษายน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกาศไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรค ก.ก. แต่ภายหลังนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค พปชร. กลับบอกว่าพร้อมดีลทุกพรรค ว่า ตอนนี้ประชาชนต้องแยกให้ออกว่า นี่คือความเห็นส่วนบุคคล หรือเป็นความเห็นของพรรค เท่าที่ตามข่าวพบว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.พะเยา และประธานภาคเหนือ พรรค พปชร. ก็บอกว่าเป็นความเห็นของนายไพบูลย์ คนเดียว เช่นเดียวกับนายสันติ ตอนนี้น่าจะมีแต่พรรค ก.ก. พรรคเดียวที่ยืนยันเป็นมติพรรคว่า จะไม่ร่วมกับรัฐบาลทหารจำแลง คำพูดของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. หรือคำพูดของผู้สมัคร ส.ส.เขต และผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อคนใด ก็พูดตรงกัน เพราะเป็นมติของพรรคก.ก. ที่จะไม่ร่วมงานกับพรรค พปชร. และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การประกาศว่าเราไม่ร่วมกับพรรคทหารจำแลง ไม่ใช่แค่การประกาศเชิงสัญลักษณ์หรือเอาเท่ห์อย่างเดียว แต่มีเหตุผลคือพรรค ก.ก. มีนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 รวมทั้งการปฏิรูปองค์กรอิสระที่เป็นนั่งร้านให้กับเครือข่ายรัฐประหาร และการจัดการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เป็นพิมพ์เขียวของการแบ่งปันผลประโยชน์ของเครือข่ายอุปถัมภ์ของผู้ก่อรัฐประหาร ดังนั้นถ้าเรามีจุดยืนที่จะแก้ไขบ้านเมืองแบบนี้ แต่กลับไปเอาพรรคที่เป็นสารตั้งต้นของปัญหาเหล่านี้มาร่วมรัฐบาลด้วย เราจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร

‘พปชร.’ เตรียมปล่อยทีเซอร์ซิงเกิล ต้อนรับวันสงกรานต์ ด้าน ‘บิ๊กป้อม’ นำทัพขุนพล-ผู้สมัคร มุ่งมั่นทำงานเพื่อ ปชช.

(12 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่พรรคพลังประชารัฐ ได้เผยแพร่ข้อความและภาพ ประกอบเพลง เพื่อใช้สำหรับหาเสียงเลือกตั้ง ผ่านไลน์พรรค พปชร. ข้อความระบุว่า…

“พปชร.เซอร์ไพรส์ เปิดทีเซอร์ซิงเกิล!!! ก่อนปล่อย MV ฉบับเต็มต้อนรับปีใหม่ไทย 13 เมษายน 2566 ของขวัญจากใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือ ‘ลุงป้อม’ ของทุกคน นำทัพขุนพลและผู้สมัคร ส.ส.พปชร.ที่พร้อมอาสาทำงานให้ประชาชนด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ มอบความสุข รอยยิ้มให้กับคนไทยทุกคน”

หนึ่งในการยกระดับการคมนาคมของประเทศไทย ด้วยการมาถึงของ “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์”

เชื่อว่าถ้าเป็นชาว กทม. ร้อยทั้งร้อยต้องคุ้นเคยกับ “สถานีรถไฟดอนเมือง” แต่อย่างที่หลายคนทราบ ในวันนี้ สถานีรถไฟดอนเมือง(เดิม) ได้มีการหยุดใช้งานไปเรียบร้อย โดยเปลี่ยนไปใช้ สถานีรถไฟร่วมสายสีแดง (บริเวณตลาดดอนเมืองใหม่) ที่มีความสะดวกและทันสมัยมากขึ้น

ย้อนเวลากลับไป ด้วยการมาถึงของ “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์” หรือสถานีกลางบางซื่อ ส่งผลให้มีการปรับเส้นทางขบวนรถไฟทางไกล เหนือ ใต้ อีสาน และกลุ่มขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว โดยให้มาใช้บริการ ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์แทน ในคราวเดียวกัน ขบวนรถไฟทางไกลสายเหนือและสายอีสาน ที่ออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จะวิ่งบนโครงสร้างทางยกระดับเช่นเดียวกับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และจะไม่หยุดรับ-ส่ง ผู้โดยสารสถานีรายทาง ได้แก่ ที่ป้ายหยุดรถ กม.11, สถานีบางเขน, ที่หยุดรถไฟทุ่งสองห้อง, สถานีหลักสี่, ที่หยุดรถการเคหะ กม.19

นอกจากนี้ บริเวณสถานีรถไฟดอนเมืองเก่า ก็ให้หยุดทำการลงไป โดยผู้โดยสาร ทั้งที่ประสงค์ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง หรือผู้โดยสารจากรถไฟทางไกล สามารถใช้สถานีร่วมกันได้ที่สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง (บริเวณตลาดใหม่ดอนเมือง) ซึ่งมีความทันสมัย และสะดวกสบาย ทั้งนี้สถานีรถไฟดอนเมืองเปิดทำการมากว่า 125 ปี กระทั่งหยุดให้บริการ และปรับปรุงให้ใช้สถานีร่วมของรถไฟฟ้าสายสีแดงแทน

 

ไม่ทำผิด ไม่ต้องกลัว ทวนย้ำซ้ำๆ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ป้องกันการหมิ่นฯ เหมือน กม.อาญาธรรมดาทั่วไป

การเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคการเมืองนำเรื่องของกฎหมายอาญา มาตรา 112 มากล่าวถึงมากมาย ตามแต่แนวคิดและความเชื่อของแต่ละพรรค โดยเฉพาะสมาชิกที่เป็นแกนนำของพรรคนั้น ๆ ก่อนอื่นอยากผู้อ่านได้อ่านสามบทความก่อนที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ ได้แก่ :

‘Thailand Spring’ ความพยายามที่ไม่มีวันสำเร็จ ตราบที่คนไทยยังยึดมั่นใน 3 สถาบันหลักของแผ่นดิน https://thestatestimes.com/post/2023040420

เปิดหลักฐานความพยายามให้สยามเกิด Thailand Spring เรื่องจริง!! อันตรายพุ่งเป้าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ https://thestatestimes.com/post/2023041016

ปัญหาใหญ่ของโลก คนรุ่นใหม่คลั่ง ‘ลัทธิปัจเจกชนนิยม’ ขั้นรุนแรง จนขาดความเข้าใจใน ‘ลัทธิเสรีนิยม’ https://thestatestimes.com/post/2023041053

อันที่จริงแล้วประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเพียงกฎหมายป้องกันการหมิ่นประมาทเช่นเดียวกับกฎหมายอาญาธรรมดาทั่วไปมาตราหนึ่งเท่านั้น หากไม่ทำผิดก็ไม่ผิดกฎหมาย แล้วกลัวไปทำไม เมื่อไม่ได้ทำผิดแล้ว...ทำไมจึงต้องกลัว

กฎหมายหมิ่นประมาทของไทยมีอยู่ 3 จำพวก เช่นเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทของนานาประเทศได้แก่

1) หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา (มาตรา 326 ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย)

2) หมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่ของรัฐ (มาตรา 136 ตามประมวลกฎหมายอาญา และหากหมิ่นประมาทศาลก็จะมีความเฉพาะเจาะจงลงไปอีก)

3) หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐ (มาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย)

ขอบคุณภาพจากเพจ ‘ฤๅ’

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"

และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 133 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ราชาธิบดี ราชินี ราชสวามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 7 ปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

บรรดาเด็กน้อย เด็กโข่งที่โดนหมายเรียกและหมายจับตามความผิดฐานนี้ เป็นเพราะ ได้กระทำการอันเป็นการ "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท" ถ้าสิ่งที่พูดนั้นเชื่อไม่ได้พูดผิดก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ในกระบวนการยุติธรรม ทำไม่ผิดย่อมไม่ต้องติดคุก หากแต่ทำผิดแล้วก็ย่อมต้องติดคุกเป็นปกติธรรมดาเช่นเดียวกับการทำผิดกฎหมายอาญาทั่วไปที่มีโทษหนักเบาเป็นไปตามโทษานุโทษ

ขอบคุณภาพจากเพจ ‘ฤๅ’

มาตรา 112 จึงเป็นเพียงกฎหมายที่มีไว้เพื่อปกป้องพระเกียรติของ ในหลวง พระราชินี และรัชทายาท เฉกเช่นเดียวกับ กฎหมายอาญา มาตรา326 อันเป็นการปกป้องการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไป และมาตรา 126 การปกป้องการหมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเหมือนกับกฎหมายปกป้องการหมิ่นประมาทต่อประมุขแห่งรัฐ (Head of State Defamation Law) ของทุกประเทศในโลกนี้

ส่วนคำว่า Lèse majesté Law ที่มักมีการนำมาเอ่ยอ้างนั้น ใน Wikipedia ระบุว่า หมายรวมถึงผู้นำที่เป็นทั้ง พระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดี และตำแหน่งประมุขแห่งรัฐอื่น ๆ ด้วย และมักถูกนำมาแปลใช้เป็นคำว่า ‘กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ’ อันเป็นวาทกรรมที่บิดเบือน โดย นักการเมือง นักเคลื่อนไหว และกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง เพราะประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 แล้ว จึงไม่มีกฎหมายนี้อยู่อีกต่อไป

สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐ ในประเทศต่าง ๆ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาทิ

สเปน มาตรา 490 และ 491 ของประมวลกฎหมายอาญาควบคุมการหมิ่นพระมหากษัตริย์ บุคคลใดที่หมิ่นหรือดูหมิ่น พระมหากษัตริย์ พระราชินี บูรพกษัตริย์หรือรัชทายาท มีโทษจำคุกได้สองปี นิตยสาร El Jueves เคยลงบทความเสียดสีภาษาสเปน จึงถูกปรับในข้อหาละเมิดกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ของสเปน หลังจากตีพิมพ์ภาพล้อเลียนปัญหาเกี่ยวกับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสเปน (ในขณะนั้นยังทรงเป็นเจ้าชายแห่ง Asturias (องค์มกุฏราชกุมาร)) ในปี ค.ศ. 2007

บรูไน การหมิ่นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนถือเป็นอาชญากรรมในบรูไนดารุสซาลาม มีโทษจำคุกสามปี

กัมพูชา กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 รัฐสภากัมพูชาได้ลงมติให้การกระทำอันเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์ใด ๆ ก็ตาม มีโทษจำคุกสูงสุดหนึ่งถึงห้าปี และปรับ 2 ถึง 10 ล้านเรียล โดยเมื่อมกราคม ค.ศ. 2019 ชายชาวกัมพูชาคนหนึ่งถูกตัดสินจำคุก 3 ปีจากการโพสต์บน Facebook

มาเลเซีย มีพระราชบัญญัติการปลุกระดม ค.ศ. 1948 เพื่อตั้งข้อหาผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่า หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ในปี ค.ศ. 2013 Melissa Gooi และเพื่อนอีก 4 คนถูกควบคุมตัวเนื่องจากถูกกล่าวหาว่า ดูหมิ่นราชวงศ์ ในปี ค.ศ. 2014 Ali Abd Jalil ถูกคุมขังและถูกคุมขัง 22 วันในข้อหาดูหมิ่นราชวงศ์ยะโฮร์และสุลต่านแห่งสลังงอร์ มีการลงโทษจำคุกในยะโฮร์ในข้อหาดูหมิ่นราชวงศ์กับ Muhammad Amirul Azwan Mohd Shakri

โมร็อกโก มีชาวโมร็อกโกถูกดำเนินคดีจากข้อความที่ถือว่าเป็นการล่วงละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ บทลงโทษขั้นต่ำสำหรับความผิดดังกล่าวคือ จำคุกหนึ่งปี หากคำแถลงดังกล่าวจัดทำขึ้นเป็นการส่วนตัว (เช่นไม่ออกอากาศ) และจำคุกสามปีหากเผยแพร่ในที่สาธารณะ ในทั้งสองกรณีสูงสุดคือ 5 ปี คดีของ Yassine Belassal และ Nasser Ahmed (อายุ 95 ปี ซึ่งเสียชีวิตในคุกหลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์) และ Fouad Mourtada Affair ได้อภิปรายเกี่ยวกับรื้อฟื้นการกฎหมายเหล่านี้และการบังคับใช้งานของพวกเขา ใน ปีค.ศ. 2008


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top