Monday, 28 April 2025
ElectionTime

‘ไพบูลย์’ รับเรื่องสมาคมคนตาบอด แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ยัน!! พร้อมดัน กม. สร้างความเท่าเทียม-สร้างอาชีพมั่นคง

วันนี้ (10 เม.ย.) ที่พรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้รับข้อเสนอของสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำนโยบายในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนพิการทางสายตา โดยได้มีการหารือร่วมกัน ซึ่งสมาคมฯ ได้นำเสนออุปสรรคและปัญหาด้านคุณภาพชีวิตของผู้พิการทางสายตาใน 4 ประเด็น ที่ต้องการให้พรรคนำไปเป็นนโยบายและหาแนวทางแก้ไข ประกอบด้วย 

1. เบี้ยคนพิการ 3,000 บาท ถ้วนหน้า 
2. การเข้าเว็บไซต์แอปพลิเคชันสำหรับผู้พิการทางสายตา 
3. การส่งเสริมอาชีพให้ผู้พิการทางสายตา ได้ใช้ความสามารถในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ลดภาระครอบครัวและสังคม 
4. การเลือกปฏิบัติสำหรับผู้พิการทางสายตา 

ฟังชัดๆ 'พุทธิพงษ์' ยืนยัน 'ภูมิใจไทย' ไม่เอากัญชาเสรีอยู่แล้ว แต่ผลักดันออกกฎหมายควบคุม เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ลั่น 'ผมก็มีลูกหลานเหมือนกัน'

(10 เม.ย.66) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกรุงเทพฯ พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย ว่า ประเด็นกัญชาที่เป็นที่พูดถึงกัน เชื่อว่าอาจต้องการคำอธิบายบ้าง ในส่วนที่มีการพูดกันว่า"กัญชาเสรี"นั้น จริงๆ แล้วพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่ผลักดันในเรื่องของกฎหมาย เพื่อจะมาดูแลเรื่องกัญชา ซึ่งชัดเจนว่า เราไม่ได้สนับสนุนกัญชาเสรี

"ผมคนหนึ่งถ้ามาอยู่สมาชิกภูมิใจไทย ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ผมก็มีญาติพี่น้องมีลูกหลานเหมือนกัน ผมก็ไม่ได้เห็นด้วย หากมีกัญชาเสรี จะเดินสูบที่ไหนก็ได้หรือใช้กัญชาอิสระ ผมก็ไม่เห็นด้วย ดังนั้นผมดูแล้วภูมิใจไทย เป็นผู้สนับสนุนและผลักดันในเรื่องของกฎหมายเข้าสภา เพื่อให้กัญชาได้มีกฎหมายควบคุม ในทางกลับกันต้องไปถามว่าพรรคการเมืองไหนต่างหากที่ไม่สนับสนุนกัญชาในเรื่องกฎหมายที่ออกมาควบคุมกัญชา อยากให้ไปถามเขาว่าทำไมไม่ช่วยผลักดันให้กฎหมายมันออกมาในวันนั้น ทำให้กัญชาวันนี้มันเลยยังไม่มีกฎหมายที่ออกมาดูแลจริงจัง แต่ในส่วนที่บอกว่าเรา จะสนับสนุนกัญชาเสรี ผมคนนึงที่ไม่เห็นด้วยแน่นอน" นายพุทธิพงษ์ กล่าว

'เพื่อไทย' แจง 10 ประเด็น 'กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท' ไม่ใช่สกุลเงินใหม่ ตรวจสอบโปร่งใส ใช้จ่ายได้จริง

(19 เม.ย.66) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และกรรมการ เลขานุการ โฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ชี้แจงเพิ่มเติม 10 ประเด็น 'กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท' ดังนี้...

1. กระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี่ ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็นเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไปในนั้น เพื่อนโยบายการคลังที่ตรงจุด สามารถเอามาแลกเป็นเงินบาทได้ทุกเมื่อ

2. เหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่มีความเสี่ยง ไม่มีการเก็งกำไร ไม่มีการถูกทุบ ไม่มีการขาดทุน ไม่มีการสร้างมูลค่า ไม่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้ ไม่มีราคาตก-ราคาขึ้น เพราะทุกเหรียญมีค่าเท่าเงินบาทเสมอ รับประกันโดยรัฐบาล

3. กระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้นต่อความมั่นคงของระบบการเงิน ไม่เกี่ยวกับทุนสำรองระหว่างประเทศ เพราะไม่ใช่การสร้างสกุลเงินใหม่

4. กระเป๋าเงินดิจิทัล เงิน 10,000 บาท ลงถึงมือประชาชนทุกคน (16 ปี ขึ้นไป) ทุกบาททุกสตางค์ ใช้จ่ายจริง ซื้อของได้จริง ไม่มีการสูญหายของงบประมาณ ตรวจสอบได้ทุกธุรกรรมตลอดเส้นทาง

5. กระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่ใช่กรณีเดียวกับ Bitcoin Luna USDT ตามมีผู้กล่าวอ้าง เหล่านั้นออกโดยเอกชนและมุ่งหมายเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน กระเป๋าเงินดิจิทัลคือเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไป ออกโดยรัฐบาล ไม่ใช่สกุลเงินคู่ขนานกับเงินบาท

ไขปม!! ต้นเหตุเข็นแคมเปญแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาท อุปสรรคแลนด์สไลด์ ที่อาจไม่ได้มาจากแค่ 2 ลุง

โพลสายความมั่นคงที่ว่ากันว่าเป็นของ กอ.รมน. เมื่อเดือน มี.ค.ประเมินให้พรรคเพื่อไทยได้จำนวน ส.ส.ต่ำเตี้ยแค่ 164 ที่นั่ง แยกเป็น ส.ส.เขต 137 ปาร์ตี้ลิสต์ 27 ที่นั่ง ขณะที่ให้พรรคสองลุง คือ รทสช.และ พปชร.ได้คะแนนเว่อร์วังอลังการเท่ากันที่พรรคละ 84 เสียง...

ถ้าเป็นจริงตามโพลนี้พรรคเพื่อไทยก็มีทางเลือกเดียวคือ ช้อยเก็บฉาก...ไปรับบทฝ่ายค้านอีกสมัยได้เลย...

อย่างไรก็ตามอุปสรรคและหลุมขวากของพรรคเพื่อไทยที่ 'วงใน' ของพรรคสรุปวิเคราะห์กันในขณะนี้มิได้อยู่ที่พรรคของสองลุง...หากแต่อยู่ที่ 'พรรคส้ม-ก้าวไกล' ที่มาแย่งคะแนนตลาดเดียวกันหรือตกปลาบ่อเดียวกัน...

ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยพยายามหาเสียงตอกย้ำในพื้นที่อีสานและภาคเหนือว่า...เพื่อไทยไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง นัยว่าเพื่อให้ชาวบ้านร้านตลาดชัดเจนว่าพรรคก้าวไกล ตลอดจนพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงหน่อยกับพรรคเพื่อไทยไม่เกี่ยวกัน มีแต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่เป็นพรรคของคนเสื้อแดงจริงๆ...เป็นพรรค 'ของจริง' ในฝ่ายประชาธิปไตย...

แต่กลยุทธ์ดังกล่าวก็ดูเหมือนจะไม่ตอบโจทย์สักเท่าใดนัก...มิหนำซ้ำยังโดนพรรคก้าวไกลโยนโจทย์กลับมารัดคอพรรคเพื่อไทยอีกด้วย นั่นคือโจทย์ที่ว่า...พรรคเพื่อไทยโปรดตอบให้ชัดว่าจะร่วมรัฐบาลกับพรรคของสองลุงโดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐหรือไม่... เจอเข้าโจทย์นี้พรรคเพื่อไทยไปแทบไม่เป็น พยายามใช้คำว่าแลนด์สไลด์ เป้าหมาย 310 เสียงมากลบเกลื่อนก็เอาไม่อยู่...ช่วงหลังๆ ถึงค่อยหลุดออกมาว่ายังไงๆ ก็ไม่ร่วมกับพรรคเผด็จการสืบทอดอำนาจออกมาบ้าง...

นั่นยังไม่นับเกมที่ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลชักธงรบเรื่องการลบผลพวงการรัฐประหารเมื่อไม่มีกี่วันก่อนอีกด้วย...

วันนี้พรรคก้าวไกลจึงเป็นเสมือน 'ก้อนกรวดในรองเท้า' ของพรรคเพื่อไทยโดยแท้...ไม่เพียงมาประชันขันแข่งนโยบายการต่อเผด็จการ แต่นโยบายด้านเศรษฐกิจ นโยบายก้าวทันโลกพรรคก้าวไกลก็ไม่บันเบา เก็บกวาดตลาดคนรุ่นใหม่ไปได้เป็นกอบเป็นกำ...

ว่ากันว่าทั้งหมดดังกล่าวมาเป็นเป็นแรงผลักดันสำคัญส่วนหนึ่ง ที่ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องงัดแคมเปญนโยบาย แจกเงินดิจิตัลคนละหนึ่งหมื่นบาทให้กับผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีประมาณ 54 ล้านคน...ใช้งบประมาณ 5.4 แสนล้านบาท...

ปัญหาใหญ่ของโลก คนรุ่นใหม่คลั่ง ‘ลัทธิปัจเจกชนนิยม’ ขั้นรุนแรง จนขาดความเข้าใจใน ‘ลัทธิเสรีนิยม’

คนรุ่นใหม่และพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ซึ่งคลั่งไคล่ใน Individualism (ลัทธิปัจเจกชนนิยม) อย่างรุนแรง มีวิธีคิดและการปฏิบัติที่ล้ำเส้นของ Liberalism (ลัทธิเสรีนิยม) ที่ได้นำมากล่าวอ้างจะทำให้สังคมอยู่อย่างสงบสุขได้ยากมากขึ้น

เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งในสังคมไทยกำลังพยายามทำให้ Individualism กลายเป็นกระแสหลัก ซึ่งที่สุดเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น สังคมก็จะต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ เยอะแยะมากมายที่จะตามมา

เรื่องแรกคือ...การตรากฎหมายใหม่ ๆ จะทำได้ยากมากขึ้น เพราะการตรากฎหมายมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครอง Public interest (ผลประโยชน์สาธารณะ) ซึ่งตรงข้ามกับ Individual requirement (ความต้องการของแต่ละปัจเจก)

คนกลุ่มนั้นเองที่จงใจบิดเบือน โดยกล่าวอ้างถึงความเป็น Liberalism (ลัทธิเสรีนิยม) แต่เปล่าเลย สิ่งซึ่งคนเหล่านั้นแสดงออก และเรื่องต่าง ๆ ที่คนเหล่านั้นพูดและทำล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง Individualism ทั้งหมดทั้งสิ้น

อันที่จริงแล้ว Individualism เป็นลัทธิที่เบี่ยงเบนไปจาก Liberalism (ลัทธิเสรีนิยม) มาก เพราะแม้ Liberalism จะเน้นถึงเสรีภาพ แต่ก็ยังยอมรับว่า ทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่คุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของสังคม แต่ Individualism นั้นกลับไปเน้นที่เสรีภาพของปัจเจกบุคคล โดยยึดปัจเจก (ตนเอง) เป็นศูนย์กลาง โดยไม่ถึงความผิด ชอบ ชั่ว ดี ตามบรรทัดฐานของสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ

เพราะกระแสของ Individualism จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยอ้างเหตุผลว่า การปฏิบัติตามกฎหมายหรือการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่นั้น ขัดต่อ Free will (เจตจำนงเสรี) อันเป็น Fundamental right (สิทธิขั้นพื้นฐาน) ของ Free people (เสรีชน) ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยพยายามเรียกกันให้ดูดีว่า อารยะขัดขืน (Civil disobedience) และใช้ช่องทางกฎหมายที่มีอยู่ในการต่อสู้ หากไม่ชนะคดีก็จะกล่าวหาว่า กฎหมายไม่เป็นธรรม หรือกระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรม เพื่อสถาปนาความชอบธรรมให้แก่ข้ออ้างของตนเอง ซึ่งตอนนี้ก็เห็นกันมากมายเกิดขึ้นทั้งโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเมืองของเราในห้วงเวลาที่ผ่านมาไม่นาน

ภาวะเช่นนี้อันตรายต่อความเป็นอยู่ (Existing) ของรัฐ แต่ใครก็ตามที่โต้แย้งปรากฏการณ์เช่นนี้จะถูก Classify (จัดประเภท) ว่าเป็นบุคคลจำพวกอำนาจนิยมโดยอัตโนมัติ และเป็นฝ่ายตรงข้ามของคนรุ่นใหม่ เพราะแนวคิดของ Individualism จะให้น้ำหนักแก่ Individual interest (ผลประโยชน์ของแต่ละปัจเจก) โดยไม่สนใจ Public interest ระบบกฎหมายมหาชนจึงถูกท้าทายและทดสอบโดยมีความถี่มากขึ้น แล้วต่อไปการตรากฎหมายเพื่อกลุ่มผลประโยชน์ยิบย่อยก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันเองระหว่างกฎหมายเก่าที่มุ่งรักษา Public interest กับกฎหมายใหม่ที่สนับสนุน Individualism เหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจัดกระจาย แต่ก็ชัดเจนมากขึ้น

 

‘เพื่อไทย’ ชู แก้กฎหมาย พิสูจน์สิทธิ จัดหาที่ดินทำกิน ลั่น!! ทุกครัวเรือนจะมีที่ดินทำกินอย่างพอเพียง

(10 เม.ย.66) นายปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมการนโยบายที่ดินและสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นโยบายโฉนดในที่ดินทำกิน ที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอต่อพี่น้องประชาชน มีหลักคิดดังนี้...

1. ประชาชนทุกคนต้องมีที่ดินเป็นของตนเองเกษตรกรทุกครัวเรือนจะมีที่ดินทำกินอย่างพอเพียง
2. ดำเนินการให้มีการออกโฉนดให้กับประชาชน 50 ล้านไร่ โดยแปลงที่ดินที่มีความขัดแย้ง ไปเป็นพื้นที่วนเกษตร ต้นไม้ทุกต้นมีราคา
3. ที่ดินที่เป็นโฉนดจะถูกใช้เป็นพื้นที่สีเขียว เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน นำสู่สภาวะเป็นกลางทางคาร์บอน และสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต

สำหรับการดำเนินการ โดยวิธีการดังนี้…
1. ผู้ครอบครองที่ดินก่อน 1 ธันวาคม 2497 ประมวลกฎหมายที่ดินบังคับใช้ โดย สค. 1 จำนวน 1 ล้านแปลง จะได้รับการพิสูจน์สิทธิ์ และได้รับโฉนด ทั้งนี้ผู้ครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่อง โดยไม่มี สค.1 จะได้รับการพิสูจน์ และได้รับโฉนด

2. ที่ดินประเภท ส.ป.ก. สำหรับที่ดินประเภทเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือทายาทโดยธรรม จะได้รับโฉนดทันที ส่วนกรณีบุคคลอื่นที่ได้ที่ดินมาจากผู้เช่าซื้อ หรือจากทายาทโดยธรรม จะได้เอกสารสิทธิ์และจะได้เอกสารสิทธิ์ และจะต้องปลูกไม้ยืนต้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่ และจำกัดรายละไม่เกิน 20 ไร่

สำหรับที่ดินประเภทเช่า ผู้เช่าที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือทายาทโดยธรรม จะต้องปลูกไม้ยืนต้น ไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่และจะได้รับโฉนด ส่วนกรณีบุคคลอื่น มาถึงคิวที่ได้ที่ดินจากผู้เช่าหรือทายาทโดยธรรมจะได้รับอนุญาตให้เช่าต่อไปโดยจะต้องปลูกไม้ยืนต้นไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่และจะได้ไม่เกิน 20 ไร่

เทียบกันชัดๆ!!

เทียบกันชัดๆ!! ระหว่างโครงการคนละครึ่ง และเงินดิจิทัลเพื่อไทย

‘จุรินทร์’ นำทีม ‘ปชป.’ บุกปักธงฟ้า ที่เมืองกาญจน์  อ้อนปชช. เลือกเบอร์ 26-ผู้สมัครทั้ง 5 เขต เชื่อนโยบายโดนใจ

เดินสายไม่หยุด ‘จุรินทร์’ บุกเมืองกาญจน์ เชื่อผู้สมัครทั้ง 5 เขต มีโอกาสปักธงฟ้าแน่นอน

(10 เม.ย. 66) ที่ จ.กาญจนบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกเดินทางจากตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร เพื่อไปพบปะพี่น้องประชาชนที่ตลาดท่าม่วง ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี พร้อมกับแนะนำ ผู้สมัคร ส.ส. กาญจนบุรี เขต 1 นายธนพัต ทองใบ เบอร์ 2 เขต 2 นายฉัตรพันธ์ เดชกิจสุนทร เบอร์ 6 เขต 3 นายสมปอง คำเที่ยง เบอร์ 8 เขต 4 นายอนุกูล แพรไพศาล เบอร์ 1 และเขต 5 นายชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์ เบอร์ 1 โดยมีชาวบ้านมารอพบเป็นจำนวนมาก พร้อมกับระบุว่า พวกเรารักประชาธิปัตย์เต็มร้อย และอยากให้นายจุรินทร์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายจุรินทร์ ได้ฝากให้พี่น้องชาวตลาดท่าม่วงให้กาบัตรใบที่ 1 เลือกผู้สมัครของพรรค และใบที่ 2 ให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 เพื่อให้ทั้งคนและพรรคได้มีโอกาสเข้าไปทำงานเป็นตัวแทนชาวกาญจนบุรีต่อไป

ทั้งนี้นายจุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในสนามการเลือกตั้ง จ.กาญจนบุรีว่า ความจริงเราเคยมี ส.ส. มาหลายสมัย เที่ยวนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราเชื่อว่าจะสามารถปักธงที่กาญจนบุรีได้หลายเขต ซึ่งพรรคฯส่งผู้สมัครครบทุกเขตและลงพื้นที่มาแล้ว โดยเฉพาะที่ อ.ท่าม่วง ซึ่งเป็นเขตของ นายฉัตรพันธ์ ซึ่งเป็นอดีต ส.ส. ของพรรค และมีความหนักแน่นมั่นคงอยู่กับพรรค ซึ่งต้องถือว่านายฉัตรพันธ์เป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ประชาธิปัตย์ตัวอย่างคนหนึ่งของพรรคฯ ที่พวกเราชื่นชม และตนสนับสนุน รวมทั้งอยากเห็น นายฉัตรพันธ์ มีโอกาสได้รับเลือกตั้ง กลับมารับใช้พี่น้องชาวท่าม่วงอีกครั้ง

“เที่ยวนี้แมนเป็นคนที่ลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ 4 ปีเต็มไม่ไปไหน คลุกอยู่ในพื้นที่ดูแลพี่น้องประชาชนที่เขตนี้อย่างต่อเนื่อง ต้องถือว่ามีเสียงตอบรับดีมาก ขอความกรุณาพี่น้องชาวกาญจนบุรี และสมาชิกพรรคทุกคน ได้ช่วยกันสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 และผู้สมัครทั้ง 5 เขตด้วย ผมเชื่อว่าเมืองกาญจน์เที่ยวนี้ฟื้นดีขึ้นกว่าการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

‘ปิยบุตร’ ชูจุดยืน 'ก้าวไกล' ไม่ขอร่วมรัฐบาลกับคนเหล่านี้ 'พวกทำรัฐประหาร-เกี่ยวข้องสลายชุมนุม ปี 53'

(10 เม.ย.66) แกนนำพรรคก้าวไกล ประกอบด้วย ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล และ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมรำลึกครบรอบ 13 ปีการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง 10 เมษายน 2553 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว โดยวางพวงมาลาและกล่าวคำไว้อาลัยร่วมกับญาติวีรชน อดีตแกนนำ นปช. และพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ก่อนเข้าสู่ช่วงเวทีแสดงวิสัยทัศน์และนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้

ขณะที่อีกด้าน นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ก็ได้กล่าวถึงวาระครบรอบ 13 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง 10 เมษายน 2553 บนเวทีปราศรัยหาเสียงจังหวัดอุดรธานี ด้วยเช่นกัน โดยมีความตอนหนึ่งว่า...

คณะประชาชนทวงคืนความยุติธรรม 2553 (คปช.53) ที่มี ธิดา ถาวรเศรษฐ เป็นตัวแทนเข้ายื่นหนังสือกับตัวแทนพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงพรรคก้าวไกล เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมาว่า ข้อเสนอที่อยู่ในหนังสือนั้น ตนทราบว่าได้กลายเป็นนโยบายของพรรคก้าวไกลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น...

‘ธรรมนัส’ นำทัพ ‘พปชร.’ เปิดเวทีปราศรัยนครปฐม ลั่น!! ก้าวข้ามขัดแย้ง มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเปราะบาง

‘ธรรมนัส-วิรัช’ นำผู้สมัคร ส.ส.นครปฐม เปิดเวทีปราศรัย ลั่น พร้อมก้าวข้ามความขัดแย้ง มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเปราะบาง

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 10 เมษายน ที่ลานสนามหน้า อ.ดอนตูม จ.นครปฐม พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดเวทีปราศรัย นำโดย นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ ร่วมขึ้นปราศรัยนโยบายพรรค พร้อมผู้สมัคร ส.ส.นครปฐมประกอบด้วย เขต 1 นายมารุต บุญมี เบอร์ 8,เขต 2. นายรัฐกร เจนกิจณรงค์ เบอร์ 9,เขต 3. นายศิรวริศ สวนแก้ว เบอร์ 6,เขต 4. นายณัฐวัฒน์ ชั้นอินทร์งาม เบอร์ 8,เขต 5. นายจักรพงษ์ ทิมมณี เบอร์5 และเขต 6. นายมนตรี บุญประคอง เบอร์ 5

โดยนายวิรัช กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า พรรคพลังประชารัฐอยากได้ ส.ส.ของจังหวัดนครปฐมที่เราจะไปอยู่เป็นรัฐบาลด้วยกัน เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ที่ผ่านมา ผู้แทนของชาวนครปฐมมีแต่ฝ่ายค้านมากกว่ารัฐบาล วันนี้ตนไม่โกรธเลยที่หลายคนย้ายไปอยู่พรรคการเมืองต่าง ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นฝ่ายรัฐบาล เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ขอให้ทุกคนเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ถ้าถามว่าทำไมต้องเลือก ก็เพราะว่านโยบายของเราในครั้งนี้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่น บัตรประชารัฐครั้งที่แล้วให้ประชาชน 300 บาท แต่ครั้งนี้จะเพิ่มเป็น 700 บาท ซึ่งโครงการบัตรประชารัฐ ถูกตั้งคำถามอย่างมาก เมื่อตอนเปิดตัวออกมาว่าจะใช้ได้นานหรือไม่ แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่า เราสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาได้ถึง 4 ปี

“ถ้าพี่น้องติดใจ ถูกใจบัตรประชารัฐ หลายคนบอกว่าขาดบัตรนี่ไม่ได้แล้ว ช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาได้อยู่ได้กินก็ขอบัตรนี้ โดยวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บอกว่า 300 บาทไม่พอ ขอเพิ่มให้เป็น 700 บาท ในพื้นที่จังหวัดนครปฐมมีผู้ได้รับสิทธิบัตรประชารัฐ 300,000 คน ถ้าพี่น้องช่วยกันเลือกภายใน 6 เขต พรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส.ยกจังหวัด และจะเข้ามาสานต่อโครงการเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี” นายวิรัช กล่าว

นายวิรัช กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น พรรคพลังประชารัฐยังมีนโยบายดูแลผู้สูงอายุ โดยการเพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน หรือเรียกว่า‘เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8’ ซึ่งเราเห็นความสำคัญ และมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันนโยบายเพิ่มเติมเพื่อดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุ ที่เป็นบุคคลที่มีคุณค่า และเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า ได้มาเยี่ยมเยียนพี่น้องชาวนครปฐมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายก สมาชิกต่าง ๆ เรามีความผูกพันมานาน ดังนั้น วันนี้ผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐติดภารกิจสำคัญ ติดประชุมยุทธศาสตร์ของพรรค ทำให้เหลือตนกับท่านวิรัชที่สามารถมาพบปะกับพี่น้อง จังหวัดนครปฐมเป็น 1 ใน 5 จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งนครปฐมถือว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ทำไมถึงยังน้อยหน้ากว่าอีก 4 จังหวัดรอบข้าง ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐจะพัฒนาจังหวัดนครปฐมให้มีความเจริญเทียบเท่า และไม่น้อยหน้าจังหวัดอื่น

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐ ยึดหลักสำคัญก็คือ เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะคนไทยเราพูดภาษาเดียวกัน มีศิลปะและวัฒนธรรมเหมือนกัน เรามีเสาหลักของบ้านของเมืองที่อยู่คู่กับประเทศไทยมานาน นั่นคือ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เราจะเชิญชวนลูกลานของเรามาเดินด้วยกัน สิ่งไหนที่มันไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนเราจะนำไปพูดกันในสภาผู้แทนราษฎร กฎหมายที่ล้าหลัง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เราก็จะไปแก้ไขให้ดีขึ้น

“พรรคพลังประชารัฐประกาศนโยบายชัดเจนว่าเราจะเยียวยากลุ่มเปราะบางให้มีความเข้มแข็ง ก่อนที่เราจะมอบเบ็ดให้เขาไปทำมาหากิน ถ้าคนยังป่วยอยู่ นอนอยู่บนเตียง ถึงเราจะมอบเบ็ดให้เขา เขาจะมีปัญญาไปตกปลาหรือไม่ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราต้องรักษาให้เขาแข็งแรง เราจึงกำหนดนโยบายเหล่านี้ขึ้น เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐดูแลผู้มีรายได้น้อย ซึ่งในบัตรยังมีการบรรจุเรื่องการประกันชีวิต ทันทีที่ท่านหมดลมหายใจ รัฐจะมีเงินประกันให้ 200,000 บาท เพื่อไม่ให้เป็นภาระลูกหลานในการจัดงานขาวดำ ซึ่งสามารถไปเบิกออกมาใช้ได้ทันที รวมไปถึงนโยบายดูแลผู้สูงอายุ ที่เป็นเรื่องอนาคตของพวกเราทุกคน เราต้องใส่ใจในฐานะที่เราเป็นเจ้าของประเทศ”ร.อ.ธรรมนัส กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top