Tuesday, 29 April 2025
ElectionTime

‘ปชป.’ ส่ง ‘กานต์’ แกนนำผู้พิการทางสายตา นั่งปาร์ตี้ลิสต์ ชู เพิ่มเบี้ยยังชีพ-สร้างโอกาส-เป็นปากเสียงให้กลุ่มเปราะบาง

(1 เม.ย. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำพรรคภาคเหนือ เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันการเมืองที่ได้รับความสนใจจากคนทุกภาคส่วน และให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมกับกลุ่มเปราะบาง ที่จะมีตัวแทนในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประวัติการณ์อย่างยิ่ง โดยในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคได้รับรอง นายกานต์ ปิงเมือง เลขาสมาคมคนตาบอด จังหวัดพะเยา ตัวแทนกลุ่มเปราะบาง เป็นสมาชิกพรรค และ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ โดยผ่านการประชุมคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว

ทางด้านนายกานต์ กล่าวภายหลังได้รับคัดเลือกให้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนรู้สึกดีใจมากเพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ให้โอกาสกับคนเปราะบาง ซึ่งน่าจะเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในประเทศไทยที่มองเห็นพี่น้องคนพิการ และตนมุ่งหวังว่าจะได้มีโอกาสขับเคลื่อนงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องคนพิการ ที่สำคัญมุ่งหวังที่จะผลักดันนโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพคนพิการเป็น 2,000 บาทถ้วนหน้า และ เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 2,000 บาทถ้วนหน้า

ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ให้โอกาสที่จะได้นำเสนอนโยบายเหล่านี้ โดยตนได้นำเสนอนโยบายให้กับทุกพรรค มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มเปาะบางมาตั้งแต่เริ่มต้น เห็นได้ว่ากฎหมายด้านคนพิการก็ออกมาในสมัยของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ การเพิ่มเบี้ยยังชีพจาก 500 บาทเป็น 800 บาทก็มาจากพรรคประชาธิปัตย์ และการแก้ไขกฎหมายด้านคนพิการหรือการให้เบี้ยผู้สูงอายุก็เริ่มต้นจากพรรคประชาธิปัตย์ และที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์พิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นว่า พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองที่ยืนหยัดมั่นคงในหลักการและอุดมการณ์

นายกานต์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ได้รับการผลักดันจาก นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ปี 2562 และอดีตปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยตนได้ประสานงานกับมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน และงานภาคประชาสังคมของจังหวัดพะเยารวมทั้งภาคเหนือมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นอกจากนั้น แล้วยังร่วมกันผลักดันโอกาสของกลุ่มเปราะบาง และพยายามในการส่งเสริมให้ผู้พิการในแต่ละสมาคมมีปากเสียงในกองทุน และสวัสดิการของรัฐฯ ในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อความเป็นธรรมให้กับกลุ่มผู้พิการซึ่งมีอยู่จำนวนไม่น้อยในประเทศ


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/721410

‘ก้าวไกล’ เผย ข้อจำกัดดับไฟป่าเขาแหลม ขาดอุปกรณ์-แผนรับมือ ชี้ ต้องกระจายอำนาจ เปลี่ยนงบในกระทรวงเป็นเงินหนุนท้องถิ่น

(1 เม.ย. 66) พล.ท. วีรากร ประกอบ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครนายก เขต 1 พรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์ไฟป่าที่เขาแหลมและรอบบริเวณหลังโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก ว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ไฟยังคงลามไหม้กินพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณที่มีหญ้าแห้ง กอไผ่แห้ง ยิ่งในเวลากลางคืนมีกระแสลม ทำให้ไฟปะทุขึ้นมา

จากการลงพื้นที่ ตนรู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอย่างเหน็ดเหนื่อยทุ่มเท และเห็นข้อจำกัดในการแก้ไขรับมือสถานการณ์ อย่างน้อย 2 เรื่อง

1.) การขาดความพร้อมของอุปกรณ์ เครื่องมือที่จำเป็นต่อการดับไฟยังขาดหรือมีไม่เพียงพอ โดยตนเสนอว่าควรใช้อากาศยานไร้คนขับ (UAV) เพื่อบินลาดตระเวนในเวลากลางคืน ถ่ายภาพเรียลไทม์ส่งมาที่ศูนย์บัญชาการสถานการณ์ ให้ทราบพิกัดที่ชัดเจนของจุดที่ไฟป่าปะทุขึ้น ทั้งเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพื่อสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่

2.) การเตรียมหรือซักซ้อมแผนเผชิญเหตุเพื่อความพร้อมในการดับไฟป่า ทั้งที่เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และทั้งที่ล่วงเลยหน้าฝนมาแล้วหลายเดือน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น จังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หรือกรมอุทยานแห่งชาติฯ ควรมีประสบการณ์ในการเตรียมรับมือภัยที่มาในช่วงหน้าร้อน ไม่ว่าจะเป็นการทำแนวกันไฟป่า ประชาสัมพันธ์ประชาชนที่จะเข้าไปในพื้นที่ป่าเพื่อดักสัตว์ ซึ่งอาจกระทำบางอย่างเป็นต้นเหตุของไฟป่าได้ เช่น สูบบุหรี่

‘จูรี’ ชวน ปชช.มาถ่ายรูปสวมหัวเป็นจูรี หลังโดนมือดีกรีดป้าย ลั่น!! ทำลายได้แค่ป้าย แต่ทำลายความตั้งใจที่จะเป็นผู้แทนไม่ได้

(1 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สงขลาว่า ป้ายหาเสียงของว่าที่ผู้สมัครของพรรคชาติพัฒนากล้า ที่มีภาพของ นายจูรี นุ่มแก้ว ถูกตัดหัวออก เหลือไว้แต่ตัว ซึ่งป้ายดังกล่าวเป็นป้ายที่ถ่ายร่วมกับนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอีก  3 คนในจังหวัดสงขลา

ทั้งนี้ นายจูรี ซึ่งเป็นขวัญใจชาวใต้ และเป็นดาวติ๊กตอกชื่อดัง ได้ตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคชาติพัฒนากล้า และมีเสียงตอบรับจากพี่น้องชาวใต้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ผู้สมัคร ทั้ง 4 คนของ จ.สงขลา ได้แก่ นายกัณฑ์ นวกัณฑ์ เขต 1, นายจูรี นุ่มแก้ว เขต 2, ผศ.ดร.ประสิทธิ์ รัตนพันธ์ เขต 3 และนายพงศธร สุวรรณรักษา เขต 9 หรือ ทนายอาร์ม ซึ่งทั้ง 4 จึงได้ร่วมทำกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนชาวสงขลาเป็นทีมอย่างต่อเนื่อง และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและเนืองแน่น ดังนั้น ในป้ายของผู้สมัคร นอกจากจะมีรูปของหัวหน้าพรรคแล้ว ยังมีรูปของนายจูรี ประกบไปด้วยทุกป้าย และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีมือมืดมาตัดหัวของจูรีออกกว่า 100 ป้าย ซึ่งเป็นการจงใจตัดออกเฉพาะหน้า

ล่าสุด นายจูรี ได้อัดคลิปลงติ๊กตอก พร้อมกับเสนอไอเดีย ให้พี่น้องประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาก็สามารถสามารถเอาหน้ามาสวมในป้ายที่ถูกตัดเป็นนายจูรี แล้วก็เช็กอินไปเลยว่า มาที่นี่แล้ว

“ฉันก็คิดว่าคนกรีดเขาก็ไอเดียดี เขาก็คงมีเจตนาดี เพราะเขากรีดเฉพาะหน้าฉัน เวลาเธอผ่านไปผ่านมาก็เอาหัวมาแยงในภาพแล้วก็ถ่ายรูปเช็กอินเป็นฉันไปเลย ตอนนี้ 150 ป้าย คงเหลือดีสัก 2 ป้าย แต่ก็ไม่เป็นไร ใครอยากทำอะไร ทำเลย เพราะคุณทำลายได้แค่ป้าย แต่ทำลายความตั้งใจของฉันที่จะมาลงผู้แทนของชาวบ้านไม่ได้” นายจูรี กล่าว

‘พิธา’ กร้าว!! ปลดล็อก ‘สวัสดิการผู้สูงอายุ’ ชี้!! เคาะแล้วตกมื้อนึงได้ไข่ต้มแค่ฟองเดียว

‘พิธา’ ควงผู้สมัครปักธงชัย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ชูนโยบาย 4 ป. ปลดล็อกสวัสดิการ-ที่ดิน-หนี้สิน-ท้องถิ่น แก้ปัญหาประชาชน ก่อนขนทัพใหญ่เปิดเวทีปราศรัย ‘ก้าวไกล’ กลางเมืองพิษณุโลกเย็นนี้ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครครบ 5 เขต

(1 เม.ย.66) แกนนำพรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.เบญจา แสงจันทร์ กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล และ นายวาโย อัศวรุ่งเรือง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมหาเสียงร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดพิษณุโลก ทั้ง 5 เขต ก่อนที่จะร่วมเปิดเวทีปราศรัยในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้

ในส่วนของนายพิธา ได้ร่วมกิจกรรมเดินหาเสียงพบปะประชาชนในเขตชุมชน ที่ อ.นครไทย ร่วมกับนายศุภปกรณ์ กิตยาธิคุณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 5 ตามด้วยการเปิดเวทีพูดคุยพบปะประชาชน ที่วัดหนองกะท้าว ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย และที่ ต.ไทรย้อย อ.เนินมะปราง ร่วมกับ โชคดี สายนำพามีลาภ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 3 โดยประชาชนส่วนมากประสบปัญหาร่วมกันในเรื่องที่ดินทำกิน

นายพิธากล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานในสภาฯ มาตั้งแต่ครั้งเป็นพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการที่ดินฯ ตนได้เดินทางมา จ.พิษณุโลกบ่อยครั้ง เพราะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีปัญหาที่ดินหลายกรณีมาก และนั่นเป็นเหตุผลที่ตนต้องมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อนำข้อเสนอ ‘4 ปลดล็อก’ มาเสนอเพื่อแก้ปัญหาให้กับทุกคนที่นี่ รวมถึงประชาชนทั่วประเทศที่เผชิญปัญหาแบบเดียวกัน จากปัญหาระยะสั้นไปถึงปัญหาระยะยาว ให้แก้ปัญหาไปถึงอนาคตของลูกหลานทุกคน

ปลดล็อกที่หนึ่ง คือปลดล็อกสวัสดิการผู้สูงอายุ จากที่ตนได้เห็นงบประมาณของประเทศที่ถูกจัดสรรผ่านมาทั้ง 4 ปี พบว่ามีงบประมาณที่ถูกนำไปใช้อย่างไม่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะงบประมาณของกองทัพ มากมายกว่างบประมาณที่เอามาดูแลประชาชนเสมอ ปัจจุบันสวัสดิการที่ให้กับผู้สูงอายุ เริ่มต้นที่ 100 บาท เฉลี่ยออกมาได้แค่วันละ 20 บาท หรือเป็นค่ากินแค่มื้อละ 7 บาท ได้ไข่ต้มแค่ฟองเดียว ไม่สอดคล้องกับสังคมสูงวัย ของแพงค่าแรงถูกในปัจจุบัน

พรรคก้าวไกล จึงมีนโยบายที่จะเปลี่ยนงบกองทัพที่ไม่จำเป็น เอามาทำเป็นงบประมาณ เพิ่มเบี้ยสูงอายุจาก 600 เป็น 3,000 บาทต่อเดือน นี่คือรัฐสวัสดิการที่ทำให้ผู้สูงอายุอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี คนหนุ่มสาวกล้าเสี่ยงเดินตามความฝันโดยไม่ต้องกังวลถึงพ่อแก่แม่เฒ่า

ปลดล็อกที่สอง คือการปลดล็อกที่ดิน หลายพื้นที่ เช่น อ.นครไทย แห่งนี้ มีสถานะเป็นเหมือนขนมชั้น คือ ส.ป.ก. ครอบทับกับกรมป่าไม้ ดูแลกันสองหน่วยงาน อำนาจบางส่วนทับซ้อนกัน ทำให้เวลาชาวบ้านไปเดินเรื่องก็ทำอะไรไม่ได้ เกี่ยงกันเป็นเก้าอี้ดนตรี พรรคก้าวไกลจึงมีนโยบาย เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ทวงคืน ส.ป.ก. จากนายทุนทั่วประเทศ 4 ล้านไร่ หาที่ดินเพิ่มให้ประชาชนอีก 6 ล้านไร่ รวมเป็น 10 ล้านไร่ ซึ่งแม้ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับที่ดิน 320 ล้านไร่ที่ประเทศไทยมีอยู่ แต่อย่างน้อยนี่จะเป็นกระดุมเม็ดแรกที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ดินในระยะยาว

ปลดล็อกที่สาม คือปลดล็อกหนี้สิน โดยเฉพาะในภาคเกษตร สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าสำหรับใครก็ตามที่เป็นหนี้ ธ.ก.ส. มีอายุเกิน 60 ปี และชำระหนี้เกินครึ่งของเงินต้นไปแล้ว นโยบายคือการปลดหนี้ให้ทันที

เจาะนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารและปฏิรูปกองทัพ พรรค 'ก้าวไกล-เพื่อไทย-เสรีรวมไทย' คิดอะไรกันอยู่?

วิเคราะห์นโยบายของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๖

การเกณฑ์ทหารคือ การระดมและเตรียมพร้อมสรรพกำลังของชาติ เพื่อดำรงคงไว้ซึ่ง ‘ศักย์สงคราม’ (War Potential) เพื่อให้ประเทศชาติมีความพร้อมต่อภัยคุกคามจากอริราชศัตรู

หลาย ๆ คนที่ตั้งคำถามว่า เราจะเตรียมทหารให้พร้อมเพื่อรบกับใคร การรบครั้งล่าสุดของกองทัพไทยเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาคือ กรณีการปะทะกับกัมพูชาตามแนวชายแดน อันเนื่องมากจากข้อพิพาทระหว่างกันในเรื่อง ‘เขาพระวิหาร’ พ.ศ. 2553 และพึ่งจะครบ 35 ปี ในกรณีการปะทะกับสปป.ลาว อันเนื่องมากจากข้อพิพาทระหว่างกันในเรื่อง ‘ชายแดนบริเวณบ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก’   

อีกทั้งบนโลกใบนี้มีสงครามและความไม่สงบเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา การดำรงคงไว้ซึ่ง ‘ศักย์สงคราม’ เพื่อให้ประเทศชาติมีความพร้อมในการป้องกันประเทศจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ด้วยถือเป็นการประกันเอกราชและอธิปไตยของชาติ

นอกจากนั้นแล้ว หน่วยทหารของเราตลอดแนวชายแดนไม่ว่าทางบกหรือทางน้ำ ต้องทำหน้าที่สกัดกั้นหยุดยั้งภัยคุกความต่อความมั่นคงและสังคม ไม่ว่าจะเป็น การจับกุมคาราวานยาเสพติด การค้าอาวุธ การค้ามนุษย์ การจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมือง สินค้าหนีภาษี การบ่อนทำลายทรัพยากรธรรมชาติของชาติ เช่น การลักลอบตัดไม้ การจับสัตว์น้ำ ฯลฯ ด้วยกำลังและยุทโธปกรณ์ของหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบภารกิจนั้น ๆ ไม่เพียงพอต่อภารกิจที่ต้องดูแลรับผิดชอบ

กองทัพไทยยังต้องรับผิดชอบดูแลสถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้นับแต่เหตุการณ์ปล้นปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือค่ายปิเหล็ง ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ซึ่งถูกมองว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในระลอกใหม่ ต่อเนื่องยาวนานมากว่า 19 ปีแล้ว 

และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมื่อเกิดบรรดาพิบัติภัยต่าง ๆ ขึ้น ก็ต้องอาศัยกำลังพลตลอดจนยุทโธปกรณ์ของกองทัพในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในทุกมิติ

‘มณีรัตน์’ ลงพื้นที่รับฟังปัญหา ปชช. เขตพระโขนง-บางนาทุกวัน ชู ‘จยย.ไฟฟ้า’ ลด PM2.5-รายจ่ายค่าน้ำมัน ‘ไรเดอร์-วินฯ’

(1 เม.ย. 66) น.ส.มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตพระโขนง-บางนา พรรคภูมิใจไทย ลงพื้นที่รับฟังปัญหาพี่น้องประชาชนในพื้นที่เขตพระโขนง-บางนา ต่อเนื่องทุกวัน ทั้งในชุมชนและตลาด โดยได้รับการตอบรับจากชาวบ้านให้ความรักและให้การต้อนรับจำนวนมาก พร้อมให้การตอบรับนโยบายภูมิใจไทยกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี 

น.ส.มณีรัตน์ ได้นำเสนอนโยบายของพรรคภูมิใจไทย อาทิ ตั๋ว One Day Pass การกำหนดค่าโดยสารสาธารณะ รถ เรือ เริ่มต้น 15 บาท ตลอดวัน ไม่เกิน 50 บาท ส่วนรถไฟฟ้า เริ่ม 15 บาท ตลอดสายไม่เกิน 40 บาท, นโยบายพักหนี้ 3 ปีหยุด ต้นปลอดดอกเบี้ยคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท, การตั้งศูนย์ฟอกไตฟรี โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ฟอกไต 1 เขต 1 ศูนย์ ให้บริการประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและญาติ, ศูนย์ฉายรังสีมะเร็งฟรี เป็นการจัดตั้งศูนย์ ฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งฟรี 1 จังหวัด 1 ศูนย์ ให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น

'ธนาธร’ ขอคะแนน 'โคราช-เพชรบูรณ์' ส่ง ‘ก้าวไกล’ เป็นรัฐบาล ยาหอม!! ทำงานคุ้มค่าภาษีประชาชนแบบตรงไปตรงมา

(1 เม.ย.66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อช่วยหาเสียงให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล 

โดยเมื่อวานนี้ (31 มีนาคม) ธนาธรเดินตลาดใหม่แม่กิมเฮง ร่วมกับ ฉัตร สุภัทรวณิชย์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. นครราชสีมา เขต 1 ระหว่างพูดคุยพบปะชาวโคราช มีประชาชนกลุ่มหนึ่งเข้ามาถามนโยบายของพรรคก้าวไกล ว่าจะตัดลดบำนาญข้าราชบำนาญหรือไม่ ซึ่งธนาธรตอบคำถามอย่างชัดเจนว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นข่าวปลอมหรือเฟกนิวส์ จากที่ตนติดตาม พรรคก้าวไกลได้ยืนยันอย่างหนักแน่นแล้วหลายครั้ง ว่าไม่มีและไม่เคยมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญของข้าราชการ สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอคือให้ลดงบประจำ ที่ไม่ใช่เงินเดือนของข้าราชการ เช่น การไปดูงานเมืองนอก โครงการอบรมสัมมนา โครงการที่ซ้ำซ้อน ดังนั้น ข้าราชการบำนาญทุกคนวางใจเรื่องนี้ได้

จากนั้นธนาธร เดินทางไปยังตลาดไนท์ขามทะเลสอ ช่วยหาเสียง พ.ต.ท.อัครพงษ์ วรรณพงษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 4 มีพี่น้องประชาชนและพ่อค้าแม่ขายให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยธนาธรปราศรัยกลางตลาดว่า ขอแลกคะแนนเสียงพี่น้องประชาชนกับความสามารถในการทำงานของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล ตนในฐานะผู้ช่วยหาเสียง มั่นใจว่าพรรคก้าวไกลจะทำงานคุ้มค่ากับทุกคะแนนที่พี่น้องประชาชนมอบให้ จะทำงานอย่างตรงไปตรงมา และพร้อมแก้ไขปัญหาของประเทศที่ต้นตอ หากใครมีภาพประเทศไทยที่อยากเห็นเหมือนกับพรรคก้าวไกล ต้องขอแรงให้ช่วยกันเพิ่มคะแนนเสียงแห่งความเปลี่ยนแปลง ช่วยกันบอกพ่อแม่พี่น้อง เพื่อน คนข้างบ้าน อธิบายว่าพรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้นอย่างไร

สำหรับรายชื่อว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา พรรคก้าวไกล ทั้ง 16 เขต ประกอบด้วย...
เขต 1 ฉัตร สุภัทรวณิชย์
เขต 2 ปิยชาติ รุจิพรวศิน
เขต 3 ศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์
เขต 4 พ.ต.ท.อัครพงษ์ วรรณพงษ์
เขต 5 เสนีย์ หาญศรี
เขต 6 สามารถ ธนกุลชัยสุข
เขต 7 อุดม เพชรอ่อน
เขต 8 กำพล แจ่มศรี
เขต 9 สมศักดิ์ บุญเสริฐ
เขต 10 วุฒิศักดิ์ พิมพ์พิสาร
เขต 11 ณฐพงศ์ สอบกิ่ง
เขต 12 ชรินทร์ ทำดี
เขต 13 ศุภวัฒน์ พันธ์นัทธีร์
เขต 14 ดร.สาธิต ปิติวรา
เขต 15 พัชริดา กีรตินพดล
เขต 16 กรฉัตรชัย นาสมใจ

ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน 2566 ธนาธร เดินทางถึงจังหวัดเพชรบูรณ์ ร่วมปราศรัยช่วยหาเสียงให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ที่สวนสาธารณะเพชบุระ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีพี่น้องประชาชนร่วมรับฟังอย่างอบอุ่น

'ปลอดประสพ' แนะแนวทางแก้ปัญหา 'ขยะ-กากอุตสาหกรรม' ลั่น!! ถ้าได้เป็น รบ. พร้อมเดินสายกำจัดขยะรอบ กทม.

(1 เม.ย.66) ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวทีทางออกปัญหามลพิษขยะอุตสาหกรรม ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา ถึงปัญหาขยะและกากขยะจากโรงงานอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก โดยมุ่งใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในการควบคุม ใช้เทคโนโลยีในการติดตามตรวจสอบการจัดเก็บขยะกากอุตสาหกรรม และเน้นย้ำว่าส่วนมากการกำจัดขยะเหล่านี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของบ้านใหญ่รอบๆ กรุงเทพมหานครทั้งนั้น เพราะเกี่ยวพันการเมืองจึงแก้ไขไม่ได้ ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะขอจองเดือนแรกเดินสายกำจัดขยะรอบกรุงเทพมหานครให้หมดสิ้น

ปลอดประสพ สุรัสวดี กล่าวว่า โรงงานอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกมีมากกว่า 70,000 โรงงาน ซึ่งผลิตขยะอุตสาหกรรมทุกวัน แต่เรามีโรงบำบัดหรือกำจัดแค่ 2,000 โรงเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอ จึงเกิดปัญหาตามข่าวคือแอบเอาขยะไปทิ้ง เอาน้ำเสียสารมีพิษไปปล่อยกระจัดกระจายไปหมด แต่ก่อนเรายังมีกฎหมายผังเมืองคอยควบคุมขอบเขตการจัดตั้งโรงงานแต่เพราะมีคำสั่งของ คสช. ไปยกเลิกจึงทำให้กลุ่มโรงงานกระจัดกระจายออกไป ดังนั้น ต้องไปแก้คำสั่ง คสช. เป็นเบื้องแรก

นโยบายพรรคเพื่อไทย ยืนบนหลักชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนสิ่งอื่น ดังนั้นอุตสาหกรรมต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงให้เป็น เซอร์คูลาร์อีโคโนมี (Circular Economy) หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน หลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนคือการมุ่งใช้ทรัพยากรให้เกิดคุณค่าสูงสุด ลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุด และสามารถบริหารจัดขยะ รีไซเคิลขยะนำกลับมาใช้ให้ได้มากที่สุด ต้องสามารถตรวจสอบขยะอันตรายย้อนหลังได้ว่าแหล่งที่มาจากไหน เคลื่อนย้ายไปเก็บพักกำจัดไว้ที่ใด และใครคือผู้รับผิดชอบ

‘ซูเปอร์โพล’ เผย ผลสำรวจเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 2 กลุ่มหนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้น ฝ่ายค้านลดลง ชี้พลังเงียบเป็นตัวแปร

เมื่อวานนี้ (1 เม.ย. 66) สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 1 (ฉบับเต็ม) กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 53,094,778 คน ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,257 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 26 - 31 มีนาคม พ.ศ.2566 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95

เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจจุดยืนทางการเมืองของประชาชนระหว่าง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 พบว่า กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.1 เป็นร้อยละ 39.1 ในขณะที่กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาลลดลงจากร้อยละ 29.6 เป็นร้อยละ 24.5 และกลุ่มพลังเงียบยังคงเป็นตัวแปรสำคัญไม่เปลี่ยนแปลงคือร้อยละ 36.3 ในการสำรวจครั้งที่ 1 และร้อยละ 36.4 ในการสำรวจครั้งที่ 2

ที่น่าสนใจคือ ความตั้งใจจะเลือกพรรคการเมือง แบ่งออกระหว่างกลุ่มแฟนคลับพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล กับ กลุ่มแฟนคลับพรรคร่วมฝ่ายค้าน เปรียบเทียบครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 พบว่า ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลรวมกันเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 51.6 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.7 ในครั้งที่ 2 โดยพบว่าเป็นการเทคะแนนมาจากกลุ่มพลังเงียบ

ในขณะที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านตอนนี้รวมกันลดลงจากร้อยละ 43.3 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 36.3 ในการสำรวจครั้งที่ 2 โดยในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล อันดับหนึ่งได้แก่ พรรคภูมิใจไทยเพิ่มจากร้อยละ 19.1 ในครั้งที่ 1 มาเป็น ร้อยละ 20.5 ในครั้งที่ 2 รองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์เพิ่มจากร้อยละ 13.4 ในครั้งที่ 1 มาเป็นร้อยละ 14.2 ในครั้งที่ 2 อันดับสามได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.1 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 10.9 ในครั้งที่ 2 อันดับที่สี่ ได้แก่ พรรครวมไทยสร้างชาติเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.3 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 9.3 ในครั้งที่ 2 เป็นต้น

ในขณะที่ ความตั้งใจของประชาชนจะเลือก ส.ส. ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า อันดับแรก พรรคเพื่อไทย ลดลงจากร้อยละ 36.9 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 29.1 ในการสำรวจครั้งที่ 2 รองลงมาคือ พรรคก้าวไกล ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.9 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 6.7 ในครั้งที่ 2 ส่วนพรรคเสรีรวมไทยยังคงเท่าเดิมคือ ร้อยละ 0.5 ในการสำรวจทั้งสองครั้ง

‘ปชป.’ เตรียมนำทัพผู้สมัคร ยื่นสมัครทั่วประเทศ 3 เม.ย.นี้ พร้อมใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่าเพื่อสร้างศรัทธา-พัฒนาชีวิต ปชช.

(2 เม.ย. 66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 3 เม.ย.นี้ เวลา 5.00 น. ตนจะนำผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 คน เดินทางไปสมัครรับเลือกตั้งที่สนามกีฬาเวสน์ 2 ซึ่งคาดว่าจะเดินทางถึงสถานที่สมัครรับเลือกตั้งเวลา 6.00 น.

หลังจากสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้สมัครจะเดินทางไปศาลหลักเมือง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เพื่อสักการะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) จากนั้นจะเดินทางกลับพื้นที่เขตเลือกตั้งเพื่อเดินหน้าหาเสียงอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากได้เบอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 400 เขต ทั่วประเทศ จะเดินทางไปสมัครรับเลือกตั้งทุกเขตเลือกตั้งพร้อมกัน ในเช้าวันจันทร์ที่ 3 เม.ย. นี้ เช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top