Tuesday, 29 April 2025
ElectionTime

‘สกลธี’ จับมือ ‘นฤมล’ นำทัพ กทม. พปชร. 33 เขต สมัครเลือกตั้ง ลั่น!! กระแสดี ไม่กลัวพรรคอื่น ย้ำอย่างน้อยบวกลบไม่ต่ำกว่าเดิม

‘สกลธี-นฤมล’ นําทีม กทม. พปชร. 33 เขต สมัครเลือกตั้ง ลั่นกระแสดี ไม่กลัวพรรคไหน ยํ้าเป้าบวกลบไม่ตํ่ากว่าเดิม

(3 เม.ย.66) – เมื่อเวลา 06.45 น. ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ กทม. และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พปชร. นํากลุ่มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ของพรรค พปชร. ทั้ง 33 เขต เดินทางมาสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. โดยรวมตัวกันเพื่อรอเวลาที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเปิดให้รับสมัคร รวมถึงรอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. เดินทางมาถึง

จากนั้น นายสกลธี ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งเป้า ส.ส.กทม.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า บวกลบให้ได้อย่างน้อยเท่าเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่อยากได้เท่าเดิม แต่ปัจจุบัน ส.ส. เก่าเหลือคนเดียว จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร นายสกลธี กล่าวว่า ครั้งที่แล้วในสนาม กทม. ส.ส.ทั้ง 12 คนของ พปชร. เป็นคนใหม่ทั้งหมด ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง คน กทม.จะกาคนใหม่เยอะ ไม่กังวลว่าจะเป็น ส.ส.เก่ากี่คน อยู่ที่ว่าพรรคเราจะทำตามแผนหาเสียงที่วางไว้ได้หรือไม่

เมื่อถามถึงกระแส พล.อ.ประวิตร ในพื้นที่ กทม. นายสกลธี กล่าวว่า ก็ดี เสียงตอบรับประชาชนก็ดี

เมื่อถามว่า เวลาไปลงพื้นที่กระแสตอบรับดีขึ้นหรือไม่ หรือเท่าเดิม นายสกลธี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน ได้ลงพื้นที่บางคอแหลม กระแสดีมาก ตอนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หลายคนที่เลือกตนยังคงยึดมั่นในพรรค

เมื่อถามย้ำว่า การเลือกตั้งครั้งนี้กลัวพรรคเพื่อไทย (พท.) หรือพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายสกลธี กล่าวว่า ไม่กลัวเลย ตอนนี้ทุกคนเท่ากัน ไปวัดกันช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง


ที่มา : https://www.thaipost.net/politics-news/353408/

'พิธา' เสียดาย 'บิ๊กป้อม' ไม่ขึ้นดีเบต มองสื่อสารทางเดียว ปิดโอกาส ปชช.ฟังวิสัยทัศน์ 'วิธีทำงาน-ความตั้งใจ'

‘พิธา’ นำทีม ผู้สมัครกทม.33 เขต จับเบอร์ มั่นใจติวเข้มผู้สมัคร ไม่มีงูเห่า เสียดาย ‘บิ๊กป้อม’ ไม่ขึ้นดีเบต มองสื่อสารทางเดียว งัดกลยุทธ์ เคาะทุกประตู เดินทุกถนน แจกใบปลิวทุกคน

(3 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกล(ก.ก.) ได้เดินทางถึง ที่สนามกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์กีฬาไทย-ญี่ปุ่น เวลา6.50น. นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พาผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33คน เดินทางด้วยรถเมล์ สาย97 เลขทะเบียนตต9243 โดยบรรยากาศมีกองเชียร์จำนวนมากมารอให้การต้อนรับ  

นายพิธา กล่าวว่า วันนี้กำลังใจเกินร้อย รู้สึกทั้งภูมิใจและตื่นเต้น ภูมิใจที่ได้ทำงานกับคนข้างหลัง และตื่นเต้นที่จะได้เลือกตั้งอย่างสมศักดิ์ศรี ขอบคุณกองเชียร์ทุกคนที่มาตั้งแต่เช้า พรรคก้าวไกลจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังอย่างแน่นอน

การเลือกตั้งครั้งนี้หลังจากได้เบอร์ เชื่อว่าจะหาเสียงอย่างสนุกขึ้น และอยากให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเยอะ ๆ ตอนนี้ตั้งเป้า กทม.ต้องได้ทั้ง 33 เขต เพราะโพลนำมาเป็นที่หนึ่งตลอด และ ส.ส.ในพื้นที่ก็พื้นที่ดี สภาเด่น

เมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนกับครั้งนี้ ครั้งไหนยากกว่ากัน นายพิธากล่าวว่า สองครั้งนี้แตกต่างกันเยอะ ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง เพราะฉะนั้นเรามีผู้สมัครที่เข้มแข็ง สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือผลงานในสภาถ้าเราได้เข้าทำเนียบรัฐบาลต้องทำได้ดีกว่าเดิมแน่นอน ว่าที่ผู้สมัครตอนสมัยอนาคตใหม่อาจจะมีโอกาสน้อยแต่ว่าที่ผู้สมัครชุดนี้สามารถทำหน้าที่ ส.ส.ได้ในวันพรุ่งนี้เลย

เมื่อถามว่า กทม.ยากกว่าต่างจังหวัดหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า กทม.พร้อมสู้ทุกเขตอยู่แล้ว เพราะจาก ส.ก.ที่ผ่านมาเราไม่แพ้ใครและผลงานก็จะส่งมาในสภา ถ้าประชาชนชอบการทำงานแบบก้าวไกลก็ต้องแก้กฎหมายในสภา ซึ่งถ้าอยากทำงานไร้รอยต่อต้องเลือกให้ครบทั้ง 33 เขต อยากแก้ปัญหาการคมนาคมและฝุ่น PM2.5 ต้องเลือกก้าวไกล 

เมื่อถามว่าการมี ส.ส.เพียง 2 คน จากเขตเดิม กังวลหรือไม่ นายพิธา ย้ำว่า ไม่มี เพราะเราต้องรักษาเขตเดิมเพิ่มเติมเขตใหม่ มองว่าการมีคนใหม่ ๆ เข้ามา ต้องทำอะไรให้ประชาชน คนเดิมก็ทั้งนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ และนายเท่าพิภพ ลิ้มลิจิตรกร 

เมื่อถามว่ากระแสการเลือกตั้งครั้งอนาคตใหม่ต่างกับครั้งนี้หรือไม่ เราเปรียบเทียบกับตัวเองในเมื่อวาน คิดว่ากระแสดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่ภาคเหนือถึงภาคใต้ การเลือกตั้งครั้งนี้มีนโยบายมากกว่า 300 นโยบายที่ตอบโจทย์ในแต่ละพื้นที่ เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนจะออกไปใช้สิทธิอย่างถล่มถลายมากกว่า 80% และจะกระแสจะชนะกระสุนอย่างแน่นอน

'อิ๊งค์' ขนแกนนำพาผู้สมัคร ส.ส.กทม.เพื่อไทยลุ้นจับเบอร์ เชื่อ!! ผลลัพธ์ ส.ก.ที่ผ่านมา หนุนชาวกทม. เลือก ส.ส.

(3 เม.ย.66) ที่พรรคเพื่อไทย แกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย, นายภูมิธรรม เวชยชัย, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำ, นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อไทย ทั้ง 33 เขต เดินทางออกจากพรรคเพื่อไทย ด้วยรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า หรือรถเมล์ EV จำนวน 2 คัน เพื่อเดินทางมารับสมัครเลือกตั้งที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ไทย-ญี่ปุ่นฯ โดยก่อนหน้านั้นได้ถ่ายรูปร่วมกัน จากนั้นเวลา 06.35 น. แกนนำพรรคเพื่อไทย มาถึงยังสถานที่รับสมัครเลือกตั้งศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ไทย-ญี่ปุ่นฯ โดยกองเชียร์และกลุ่มสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เดินทางมาให้กำลังใจจำนวนมาก ต่างตะโกน “เพื่อไทยสู้ๆ”

หลังจากนั้น น.ส.แพทองธาร เดินทางมาถึง สถานที่รับสมัครส.ส.กทม. พร้อมกับให้สัมภาษณ์ถึงความคาดหวังจำนวนส.ส.ในพื้นที่กทม. ว่าเรามากันอย่างฟูลทีม ตนมาเอาใจช่วยผู้สมัครส.ส. โดยคาดหวังมาก และพื้นที่ กทม.เราทำกันเต็มที่ นอกนั้นเป็นเรื่องของประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงกัน ส่วนจำนวนส.ส.แล้วแต่ประชาชน เพราะพรรคเพื่อไทยทำอย่างเต็มที่ เมื่อถามว่าการมาสัมผัสบรรยากาศการรับสมัครส.ส.จริงครั้งแรกรู้สึกอย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่มาแบบไม่ได้ดูผ่านทีวี ก็ตื่นเต้นว่าผู้สมัครแต่ละคนจะได้เบอร์อะไร

เมื่อถามว่าภาพรวมทั้งประเทศคาดหวังกี่เก้าอี้ เป้าหมายแลนด์สไลด์ยังเหมือนเดิมหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เป้าหมายเหมือนเดิม เราสู้เต็มที่เพื่อให้ถึงเป้าหมาย 

เมื่อถามถึงผลโพลที่ดีขึ้นทำให้รู้สึกดีขึ้นหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า ขอบคุณสำหรับผลโพล ถือเป็นกำลังใจให้พรรคเพื่อไทย ตัวผู้สมัครทุกคนและทีมบริหาร แต่พรรคเพื่อไทยไม่ประมาทเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นเราต้องเดินหน้าต่อไปทุกวันมีความหมายทุกวันมีค่า เราทำอะไรได้เราทำเต็มที่แน่นอน เพื่อให้ได้มายืนเคียงข้างและรับใช้ประชาชนอีกครั้ง 

เมื่อถามว่าการเลือกตั้งส.ก.ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้เก้าอี้สูงสุด จะส่งผลต่อการเลือกตั้งสนามใหญ่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า มีผลสะท้อน การที่ ส.ก.ได้เยอะ ฉะนั้นเรื่องของ ส.ส.เราก็มีความมั่นใจและกำลังใจที่ดี ทีมงานก็ลงพื้นที่ตลอด เวลาตนไปช่วยหาเสียงจะทราบเลยเพราะชาวบ้านตอบรับดี จึงคิดว่ามีลุ้นถือเป็นกำลังใจที่ดี ตนก็หวังจะได้มากที่สุดฝากประชาชนช่วยกันนะ 

‘พุทธิพงษ์’ นำทีมภูมิใจไทย กทม. สมัครเลือกตั้ง ส.ส. ลั่น!! พรรคพร้อมทุกด้าน ขอมัดใจคนกรุงด้วยนโยบาย

(3 เม.ย.66) ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถ.พหลโยธิน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หัวหน้าทีมกทม. พรรคภูมิใจไทย พร้อมผู้สมัครส.ส.กทม. ของพรรค ทั้ง 33 เขต ได้รวมตัวกันเพื่อขึ้นรถเมล์ไฟฟ้า EV เดินทางไปยังอาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) ดินแดง ซึ่งเป็นสถานที่รับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ของ กทม. ทั้ง 33 เขต

จากนั้น เวลา 07.15 น. นายพุทธิพงษ์ และคณะผู้สมัครส.ส.กทม. 33 เขตพรรคภูมิใจไทย ได้เดินทางมาถึงบริเวณสถานที่รับสมัคร โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก บรรดาพี่น้องประชาชนแต่ละพื้นที่ในเขต กทม. ที่สนับสนุนพรรคภูมิใจไทย ได้มารอรับ ชูป้ายพร้อมตะโกนส่งเสียงเชียร์ผู้สมัครของตัวเองอย่างคึกคัก 

โดย นายพุทธิพงษ์ เปิดเผยว่า วันนี้มาด้วยความมั่นใจ เพราะทุกนโยบายตกผลึกจากการร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ขอให้มั่นใจว่าเป็นนโยบายที่ทำได้จริง แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่เคยมีส.ส.กทม.มาก่อน แต่จากยุทธศาสตร์ และบุคลากรของพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้เราพร้อมมาก

ขณะที่ นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตห้วยขวาง - วังทองหลาง เปิดเผยก่อนการรับสมัครว่า ส่วนตัวอยากได้เบอร์ 9 ทั้งนี้ เมื่อเวลา 06.09 น. ก่อนเดินทางมาสถานที่รับสมัคร ตนได้ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำนักงานเขตห้วยขวาง ซึ่งส่วนตัวทำเป็นประจำทุกครั้งที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง วันนี้มาด้วยความมั่นใจรายการเข้ามาอาสาทำหน้าที่ส.ส. ในนามพรรคภูมิใจไทย เพื่อคนกทม. และประชาชนคนไทย

2 ป. นั่งคู่!! ระหว่างรอเวลาเปิดรับสมัครส.ส. ร่วมลุ้นเบอร์ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคตัวเอง

(3 เม.ย.66) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพ (ไทย-ญี่ปุ่น) ตั้งแต่เวลา 07.00 น. บรรดาแกนนำและว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง กรุงเทพมหานคร (กทม.) จากพรรคการเมืองต่าง ๆ พร้อมด้วยกองเชียร์และผู้สนับสนุนแต่ละพรรค ทยอยเดินทางมาถึงสถานที่สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร(กกต.กทม.) กำหนดไว้ ซึ่งกกต. ประจำกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.)  กำหนดเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 3-7 เม.ย. โดยใช้พื้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 2  เป็นสถานที่รับสมัคร

ผู้สื่อข่าวรายงาน ระหว่างรอเวลาเปิดรับสมัครส.ส. แกนนำพรรคการเมืองต่าง ๆ ทยอยเข้าอาคารกีฬาเวสน์ 2 ซึ่งเป็นสถานที่รับสมัครส.ส. เพื่อร่วมเป็นกำลังใจและลุ้นการจับสลากเบอร์ที่ใช้ในการหาเสียงของผู้สมัครของพรรคตนเอง พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)  และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั่งเก้าอี้บริเวณโถงกลางของอาคาร ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้รองรับหัวหน้าพรรค แกนนำพรรค และผู้ติดตามผู้สมัครส.ส.


ที่มา : https://www.thaipost.net/hi-light/353485/

‘โรม’ นำทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีฯ ทั้ง 10 เขต ลุ้นเบอร์ อ้อน!! ชาวนครฯ กาก้าวไกล เลือกคนใหม่ไปเปลี่ยนประเทศ

(3 เม.ย.66) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล นำทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. นครศรีธรรมราช ทั้ง 10 เขต ของพรรคก้าวไกล เดินทางไปสมัคร ส.ส. และลุ้นเบอร์ ที่หอประชุมเมืองเทศบาลนครนครศรีธรรมราช บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยรังสิมันต์กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมีความตั้งใจและมั่นใจว่าครั้งนี้มีโอกาสชนะทุกเขต เพราะเรามีความพร้อม การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 กับครั้งนี้ แตกต่างกันสิ้นเชิง เราเห็นแล้วว่าพี่น้องประชาชนเปิดรับพรรคก้าวไกล จึงมั่นใจว่าครั้งนี้เรามาเพื่อชนะ ปักธงในนครศรีธรรมราชได้ ประชาชนจะให้โอกาสพรรคก้าวไกล เลือกคนใหม่เข้าไปเปลี่ยนประเทศ ให้นครศรีธรรมราชเปลี่ยน ประเทศไทยเปลี่ยน

รังสิมันต์กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้ตนเดินทางไปที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะกับการเริ่มต้นของฤดูการเกณฑ์ทหารประจำปี 2566 จึงเดินทางไปที่อำเภอคีรีรัฐนิคม เพื่อจัดแคมเปญยกเลิกการเกณฑ์ทหาร โดยที่ตนและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้สอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ต้องเข้าร่วมการจับใบดำใบแดงและครอบครัวที่มาให้กำลังใจว่าต้องการเปลี่ยนระบบการเกณฑ์ทหารเป็นระบบสมัครใจหรือต้องการให้ใช้ระบบเดิมต่อไป ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาที่ 62:3 เป็นคะแนนที่ทำให้เราเห็นได้ชัดว่าประชาชนส่วนมากไม่ต้องการให้มีการบังคับเกณฑ์ทหารอีกต่อไป

หนึ่งในนโยบายหลักของพรรคก้าวไกลคือการปฏิรูปกองทัพและยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร โดยเปลี่ยนมาเป็นระบบสมัครใจ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทหารชั้นผู้น้อยและสามารถทำให้การสมัครเป็นทหารเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ โดยผู้ที่สมัครเข้าไปเป็นทหารจะได้รับเงินเดือนและสวัสดิการจากรัฐเพิ่มมากขึ้น เช่นประกันสุขภาพที่ครอบคลุมถึงครอบครัว มีทุนการศึกษาและทุนประกอบอาชีพหลังปลดประจำการ สามารถต่อยอดไปเป็นทหารชั้นประทวนและสัญญาบัตรที่มีสิทธิในการเลื่อนขั้นได้สูงสุดถึงพันโท นอกจากนี้นโยบายของเราจะผลักดันให้เกิดการเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ให้มีการทำร้ายร่างกาย จิตใจ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมีการกำหนดโทษวินัยร้ายแรงสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน

ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย (Aging Society) นั่นหมายความว่าเราจะมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงานน้อยลง ซึ่งตนและพรรคก้าวไกลเชื่อว่าการนำคนหนุ่มที่อยู่ในวัยทำงานนี้ไปอยู่ในกองทัพเป็นการใช้งานบุคคลากรของประเทศที่สิ้นเปลืองที่สุด หลายคนต้องลาออกจากงานที่กำลังไปได้ด้วยดี ต้องจากครอบครัวที่เพิ่งมีลูกอ่อน หรือจากพ่อแม่ที่ชราเริ่มภาพและขาดคนดูแลไป เพียงเพื่อไปเป็นทหารรับใช้ส่วนตัว สู้กับมดรบกับหญ้า เป็นเวลา 1 - 2 ปีก่อนจะโดนปลดประจำการออกมาโดยไม่มีสวัสดิการอะไรรองรับพวกเขาเลย

‘กกต.’ เตือน!! หลังรับหมายเลข ระวังแห่หาเสียงผิด กม. แนะทุกพรรคการเมือง ‘ติดป้ายหาเสียง’ ไม่บดบังการจราจร

(3 เม.ย.66) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพ (ไทย-ญี่ปุ่น) นายฐิติเชฏฐ์​ นุชนาฎ กรรมการ​การเลือกตั้ง​ (กกต.)​ กล่าวภายหลังร่วมสังเกตการณ์​ผู้สมัครส.ส. 33 เขต​ ของ​กรุงเทพมหานคร​ว่า​ กกต.พอใจการเปิดรับสมัครในวันนี้​ ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย​ โดยเจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมมาเดือนเศษ​ ปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในการรับสมัครส.ส.เมื่อปี​ 2562 เราได้ถอดบทเรียน​ และกรรมการการเลือกตั้งแต่ละคนก็ได้ลงพื้นที่สังเกตการณ์​ในแต่ละจังหวัด​ จึงเชื่อว่าในการรับสมัครครั้งนี้จะไม่มีปัญหา 

ทั้งนี้หลังปิดการรับสมัครทางกกต.จะทำการตรวจสอบ​คุณสมบัติ​ภายใน​ 7 วัน และประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง​ หากใครไม่มีรายชื่อก็สามารถยื่นร้องต่อศาลฎีกา​ โดยขณะนี้ผู้สมัครได้หมายเลขประจำตัวแล้วสามารถหาเสียงได้ทันที​ ส่วนผู้สมัครบางคนที่ในวันนี้เตรียมเอกสารมาไม่ครบถ้วน​ ซึ่งพบว่าไม่ได้นำใบรับรองการส่งสมัครของหัวหน้าพรรคมายื่นก็ยังสามารถมายื่นใหม่ได้​ เพราะยังเปิดรับสมัครถึงวันที่​ 7 เม.ย.

‘บิ๊กตู่’ ย้ำ!! ไม่ได้มอง ‘บิ๊กป้อม’ เป็นคู่แข่ง ปัด!! รวมกันวันหน้า วันนี้แยกมาก็คือแยก

‘ประยุทธ์’ แจงปมไม่ลงปาร์ตี้ลิสต์ หวังส่งไม้ต่อให้ "พีระพันธุ์" หลังได้นั่งนายกฯ อีก 2 ปี ปัดมอง ‘บิ๊กป้อม’ เป็นคู่แข่ง แค่แยกมาอยู่คนละพรรค โอดบังคับใครไม่ได้ แค่พรรคตัวเองก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เตือนคนแซะต้นเหตุทำสภาล่ม เป็นผู้ใหญ่แล้วพูดจาให้ระวัง

(3 เม.ย.66) อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพ (ไทย-ญี่ปุ่น) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงการลงสนามการเมืองอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก ว่า ก็ดี มาครั้งแรกก็เรียบร้อยดี ไม่มีใครทะเลาะกัน ไม่มีใครใช้ความรุนแรงต่อกัน แถมอยู่คนละพรรคก็มาทักทายกัน สวัสดีกัน ทุกคนก็คือคนไทยด้วยกัน บางคนก็คุ้นเคยกัน ก่อนหน้านี้ตนก็รู้จักกับแกนนำพรรคหลายคน คุ้นเคยกัน 

อย่างไรก็ตาม หลายอย่างเปลี่ยนไป เพราะอยู่กันคนละพรรคแต่ความผูกพันส่วนตัวไม่มีปัญหา ความเป็นเพื่อน ความคุ้นเคย การทำงานร่วมกัน แต่การที่เขาจะเลือกพรรคไหนก็เป็นเรื่องของเขา ก็เพียงแต่ขอว่าให้ทุกคนช่วยกันทำเพื่อบ้านเมือง ถ้าหวังแต่เพียงหาเสียง สมมติว่าได้จากนโยบายที่หาเสียง แล้วทำไม่ได้จะตอบประชาชนว่ายังไง บางอย่างที่ตนกลัวว่ามันอันตรายพอสมควร เช่น การใช้จ่ายงบประมาณ ถ้าทำตรงนี้ต้องบอกว่ารายได้จะเอามาจากไหน บางนโยบายล่อไป 9 แสนล้านบาท จะเอามาจากไหนนี่คือสิ่งที่อันตรายและต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ต้องดูว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร 

เมื่อถามว่า ตอนที่นั่งติดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการพูดคุยอะไรกันบ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็พูดคุยกันไป สนุกสนานกันไป เมื่อถามย้ำว่า วันนี้มาในฐานะคู่แข่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่เห็นแข่งอะไรกับใครเลย เมื่อกี้นั่งคุยกัน ก็แหย่กันไปแหย่กันมา ท่านก็ทำของท่านตนก็ทำของตน แต่ให้รู้ว่าวันนี้เราอยู่คนละพรรคแล้ว ส่วนจะคิดว่าจะรวมกันวันหน้าหรือเปล่า ตนก็แจ้งแล้วว่าตนแยกมา แยกก็คือแยก ไม่อย่างนั้นตนจะมานั่งสัมภาษณ์ตรงนี้ทำไม ก็ให้ พล.อ.ประวิตรสัมภาษณ์ไปแล้ว พรรคตนก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว

ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรสาคร ตกลงนอกรอบ เคลียร์เบอร์เดียวกันทุกเขตทั้งจังหวัด

‘สมุทรสาคร’ เลือกตั้งสมานฉันท์ ผู้สมัครส.ส.ตกลงนอกรอบ ได้เบอร์เดียวกันทั้ง 3 เขต

(3 เม.ย.66) ที่ห้องประชุมสาครบุรีชั้น3 อาคารสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจัดให้เป็นสถานที่รับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.สมุทรสาคร ทั้ง 3 เขต ปรากฏว่าบรรยากาศในตอนเช้าเป็นไปอย่างคึกคัก โดยผู้สมัครจากพรรคการเมืองพร้อมกองเชียร์ติดตามกันมาให้กำลังใจกับผู้สมัครเป็นจำนวนมาก ทั้ง 10 พรรคต่างได้เดินทางมาถึงก่อนเวลา 08.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เปิดรับสมัคร

เมื่อถึงเวลารับสมัครทางเจ้าหน้าที่ที่รับสมัครได้ให้ผู้สมัครทุกพรรคการเมืองให้ไปตกลงกันก่อนในการที่จะยื่นใบสมัคร หากตกลงกันไม่ได้ก็จะใช้วิธีการจับเบอร์ ปรากฏว่าทุกพรรคการเมืองต่างออกมาตกลงกันและอยากได้เบอร์เดียวกันทั้ง 3 เขต เพื่อที่จะง่ายต่อการใช้หาเสียง

ผลการหารือใช้เวลา 10 นาที เป็นที่ตกลงกันได้ โดยทุกพรรคเห็นเหมือนกันว่าอยากได้เบอร์เดียวกันทุกเขตทั้งจังหวัด จึงมีการจับเบอร์กันก่อน หากพรรคไหนได้เบอร์อะไร ก็จะไปยื่นใบสมัครเรียงตามลำดับเบอร์

ทั้งนี้ ปรากฏว่า เบอร์ 1 พรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย เบอร์ 4 พรรคไทยภักดี เบอร์ 5 พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 6 พรรคไทยสร้างไทย เบอร์ 7 พรรคภูมิใจไทย เบอร์ 8 พรรคเสรีรวมไทย เบอร์ 9 พรรคก้าวไกล และเบอร์ 10 พรรคคลองไทย

เจ้าหน้าที่ที่รับสมัครจึงได้มีการทำบันทึกข้อตกลงเอาไว้ ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกพรรคตกลงกันได้ และง่ายต่อการหาเสียงเลือกตั้ง


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/721755

จาก 'อนาคตใหม่' ถึง 'ก้าวไกล' บทพิสูจน์ว่า 'ของจริง' แค่ไหน ในเลือกตั้ง66

เลือกตั้ง 24 มีนาคม 62 พรรคอนาคตใหม่ กวาดเก้าอี้ในสภาได้เกินคาดถึง 81ที่นั่ง ได้คะแนนรวมกว่า 6 ล้านเสียง กลายเป็นพรรคอันดับ 3 ในสภา จากระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ที่ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ส่งให้พรรคอนาคตใหม่ ได้จำนวน ส.ส. ทะลุเป้า ทั้งที่ผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งมาก่อนเลย 

พรรคอนาคตใหม่เริ่มนับหนึ่ง โดยมีนักธุรกิจหมื่นล้านอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับ ปิยบุตร  แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นผู้ร่วมกันปลุกปั้น โดยมี 'ช่อ' พรรณิการ์ วานิช อดีตบรรณาธิการและพิธีกรรายการข่าว วอยซ์ทีวี เข้ามารับบทบาทเป็นโฆษกพรรค ขณะที่กลุ่มผู้ก่อตั้งพรรค ที่ส่วนใหญ่เป็นนักกิจกรรมทางสังคมและคนรุ่นใหม่ เป็นส่วนผสมที่โดนใจกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก จำนวนกว่า 7 ล้านคน

แต่เส้นทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ก็ถูกสังคมจับจ้อง ด้วยภูมิหลังของ 'ธนาธร' ตั้งแต่ นามสกุล 'จึงรุ่งเรืองกิจ' ของเขา บทบาทนายทุนนิตยสารฟ้าเดียวกัน รวมถึงการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553 ไม่ต่างจาก 'ปิยบุตร' ที่เคยมีบทบาทเป็นหนึ่งในนักวิชาการกลุ่ม 'นิติราษฎร' ที่ออกมาจุดประเด็นในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้ด้านหนึ่ง พวกเขาถูกโจมตีในฐานะบุคคลอันตราย แต่อีกด้าน ก็ทำให้พวกเขาและพรรคอนาคตใหม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในช่วงเวลาไม่นาน

พรรคอนาคตใหม่ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน หลายจุดยืนและวิธีคิดของพรรคอนาคตใหม่ ก็ถูกตั้งคำถามจากสังคม ทำให้พรรคอนาคตใหม่ ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา ถูกร้องในหลายกรณี ซึ่งมีไม่น้อยที่มีความผิดถึงขั้นยุบพรรค 

ย้อนไปในวันที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก หลังเลือกตั้ง 62  ยังไม่ทันได้เริ่มต้นทำหน้าที่ 'ธนาธร' ก็ต้องเดินออกจากที่ประชุมสภา เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่กรณีถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย ก่อนมีคำวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ส.ส. ในวันที่ 20 พ.ย.62

ห่างจากนั้นไม่ถึง 2 เดือน 21 ม.ค.63 พรรคอนาคตใหม่รอดพ้นจากการถูกยุบพรรค หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยปมอิลลูมินาติ ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง 

กระทั่งเดินมาถึงจุดพลิกผันสำคัญ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของ กกต. กรณีที่ 'ธนาธร' ให้พรรคอนาคตใหม่กู้เงินจำนวน 191.2 ล้านบาท ซึ่งในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ 'ยุบพรรค' ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่จำนวน 16 คน ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง  10 ปี 

จุดสิ้นสุดของพรรคอนาคตใหม่ นำมาสู่การตัดสินใจแยกสายกันเดิน โดยที่ ธนาธร ปิยบุตร และ ช่อ พรรณิการ์ แยกไปตั้ง 'คณะก้าวหน้า' เดินหน้าทำงานการเมืองท้องถิ่น หวังผลักดันการกระจายอำนาจ แต่ประสบความล้มเหลวในการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดในปี 2563 เพราะใน 42 จังหวัดที่คณะก้าวหน้า ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งนายก อบจ. สอบตกทั้งหมด แต่ยังได้เก้าอี้สมาชิก อบจ. 57 คน จาก 20 จังหวัด 

ส่วนงานในสภาฯ ส.ส.จากพรรคอนาคตใหม่เดิม ที่เหลือ 55 คน หลังบางส่วนแยกตัวไปอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาล ประกาศสานต่อนโยบายเดิม ด้วยการพากันย้ายไปบ้านใหม่ ที่ชื่อ 'พรรคก้าวไกล' โดยมี 'ทิม' พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รับไม้ต่อเป็นหัวหน้าพรรค 

ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่าพรรคก้าวไกลมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน หยิบยกประเด็นสำคัญขึ้นมาตั้งกระทู้ หรืออภิปรายตรวจสอบรัฐบาล อย่างไรก็ตาม บางจุดยืนที่แข็งแรงของพรรคอนาคตใหม่ที่ส่งต่อมายังพรรคก้าวไกล เช่น ประกาศเป็นขั้วตรงข้ามกับรัฐประหาร จุดยืนเรื่องการแก้ 112 และปฏิรูปสถาบัน ล้วนแต่เป็นยาขมของพรรคการเมืองอื่น และเริ่มกลายเป็นเค้าลางว่าเส้นทางของพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งจะไม่ราบเรียบเหมือนปี 62

พรรคก้าวไกล กำลังเผชิญกับทั้ง 'ศึกนอก' ทั้งระบบการเลือกตั้งที่จะกลับมาใช้บัตร 2 ใบ เป็นระบบที่เอื้อ 'พรรคใหญ่' ที่มีกลุ่ม 'บ้านใหญ่' ทำให้พรรคใหม่อย่างก้าวไกลคาดหวังเก้าอี้ในสภาได้น้อยกว่าปี 62 ขณะเดียวกัน ยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ของ 'พรรคเพื่อไทย' หวังเก็บกวาดคะแนนเสียงจากฝั่งประชาธิปไตยไปทั้งหมดเพื่อตั้งรัฐบาลให้ได้ เป็นการส่งนัยถึงการโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกลไว้ข้างหลัง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top