Tuesday, 29 April 2025
ElectionTime

'ชพก.' เตรียมเผยโฉม 33 ขุนพลสู้ศึก กทม. 31 มี.ค.นี้ ชูสโลแกน “กล้า FIGHT : ชาติพัฒนากล้า เราสู้เพื่อคุณ”

(30 มี.ค.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี, นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค และ นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเตรียมแถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร ครบทั้ง 33 เขต ในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 14.15 น. ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ 

โดยว่าที่ผู้สมัครทุกคนเป็นนักสู้ที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปลี่ยนแปลงประเทศไทย รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้คนไทยมีโอกาสลืมตาอ้าปาก หลุดพ้นจากความยากจนได้ ภายใต้สโลแกน  “กล้า FIGHT : ชาติพัฒนากล้า เราสู้เพื่อคุณ” เพื่อนำพาประชาชนคนไทยสู่เป้าหมาย งานดี มีเงิน และของไม่แพง 

ทั้งนี้ภายในงานจะใช้ธีมเวทีมวยในการเปิดตัว มีการแบ่งผู้สมัครเป็น 7 กลุ่มที่พร้อมมา ทุบ ฟัน ฟาด ต่อย ลุยกับปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน 

"ผู้สมัครกทม.ของเรา หลากหลาย มีทั้งผู้บริหารธุรกิจมืออาชีพ ประสบการณ์แน่น มีทั้งสตาร์ตอัปไฟแรง มีแนวลงพื้นที่คลุกชาวบ้านเข้มข้น ขอให้จับตาดูผู้สมัครของเรา ที่พร้อมชนทุกปัญหาเศรษฐกิจ ไม่กลัวพรรคไหนในเวทีเลือกตั้งครั้งนี้แน่นอน" หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว

‘เศรษฐา’ โชว์วิสัยทัศน์ ขับเคลื่อน ‘เศรษฐกิจ-เกษตร’ ไทย ชี้!! ต้องยกระดับ ก.ต่างประเทศ เน้นค้าขายกับต่างชาติ

(30 มี.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin’ โดยระบุว่า 

ทาง Maybank Kim Eng ได้ให้เกียรติและเปิดโอกาสให้ผมและทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนักลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจในนโยบายเศรฐกิจของพรรคครับ

ผมได้พูดถึงนโยบายภาคการเกษตรที่พรรคให้ความสำคัญมาตลอด เพราะหากการเกษตรดีก็จะสร้างรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรง และส่งผลต่อ GDP ของประเทศอย่างมหาศาล

เรื่องการต่างประเทศที่ผมเน้นย้ำอยู่บ่อยครั้ง ที่เราต้องยกระดับกระทรวงการต่างประเทศ และออกไปเจรจาค้าขายกับทั่วโลก เราต้องกล้าที่จะต่อรอง เพราะเรามีศักยภาพ มีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้ครบทุกด้าน 

ปัจจัยที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือการสร้างสังคมที่แข็งแรง มีสิทธิ มีความเท่าเทียม และมีสวัสดิการที่ดี เราต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เราต้องเร่งพัฒนาสังคมพื้นฐาน เพื่อให้ผู้คนสบายใจที่จะอาศัยอยู่ในประเทศ ไม่ย้ายออกไปไหน และอยากมีลูก เพราะเห็นความหวังในการอยู่ในสังคม

ผมมองว่าทุกเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราต้องแก้ไขไปพร้อม ๆ กัน สิ่งใดที่ทำได้ก่อน เราต้องทำ เพื่อพี่น้องประชาชน และด้วยศักยภาพของพรรคเพื่อไทย ผมเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำได้ เพราะมีผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่พร้อมจะแก้ไขปัญหา พัฒนาประเทศ สร้างความอยู่ดี กินดีให้กับพี่น้องประชาชนชนได้อย่างรวดเร็วที่สุดครับ

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid07jLHNKKeRmu3U6Q7whTBgA7Ji4fCC2q9xdfgCtcekaHDL5MprTSZ823NKrNjSLw8l&id=100090705406699&mibextid=Nif5oz

‘ธนาธร’ นำทัพเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สุรินทร์ ทั้ง 8 เขต อ้อนชาวสุรินทร์ เพิ่มคะแนนเสียง กา 'ก้าวไกล' 2 ใบยกจังหวัด

‘ก้าวไกล’ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สุรินทร์ ทั้ง 8 เขต ‘ธนาธร’ ขอแรงประชาชน เพิ่มคะแนนเสียงแห่งความเปลี่ยนแปลง กาก้าวไกล 2 ใบยกจังหวัด สร้างการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

(30 มี.ค.66) เมื่อวันที่ 29 มี.ค.66 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคก้าวไกล เพื่อเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุรินทร์ ทั้ง 8 เขต ที่สวนรัก อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

ธนาธร ปราศรัยช่วงหนึ่งว่า ความฝันของอดีตพรรคอนาคตใหม่และเชื่อว่าเป็นความฝันของพรรคก้าวไกลเช่นกัน คือการสร้างสังคมที่เป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย ทำให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอ ว่าต้องการทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

การเมืองดีคืออำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน จะเกิดขึ้นได้นักการเมืองของเราต้องมีอุดมการณ์ เพราะเกียรติภูมิของนักการเมือง ไม่ได้มาจากการที่นายจ้างสัมภาษณ์หรือการตอบข้อสอบ แต่อาชีพนี้มีเกียรติเพราะประชาชนเป็นคนเลือกเรามา แต่ที่ผ่านมา เราเห็นนักการเมืองในตระกูลดังๆ ย้ายพรรค บางคนในกลุ่มเดียวกันนี้เพิ่งเป็นนั่งร้านยกมือให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี นักการเมืองเช่นนี้จะสร้างการเมืองดีได้อย่างไร และหากประเทศไทยไม่มีการเมืองดี การทำให้ประเทศไทยปากท้องดีและมีอนาคต ย่อมเป็นเรื่องยาก

ธนาธรกล่าวต่อว่า ส่วนปากท้องดีเป็นเรื่องสำคัญ ขอยกประสบการณ์การเดินตลาดของตน เดินมาหลายสิบตลาดในเดือนนี้ พ่อค้าแม่ขายพี่น้องประชาชนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำมาค้าขายลำบาก หลายคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต ยังไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในช่วงบั้นปลาย พรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบายสร้างรัฐสวัสดิการ ซึ่งไม่ใช่นโยบายแบบลดแลกแจกแถมเหมือนที่แล้วมา แต่เป็นการคิดอย่างเป็นระบบ ดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่มั่นคง ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังสามารถดึงศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่

การสร้างรัฐสวัสดิการจะช่วยคืนความเข้มแข็ง ทำให้คนกล้าคิดกล้าฝัน เพราะหากชีวิตไม่มั่นคง ก็ต้องมองอนาคตเป็นรายสัปดาห์รายวัน ไม่สามารถวางแผนในชีวิตได้ แต่การให้สวัสดิการต้องทำพร้อมกับการสร้างงานสร้างอาชีพและลดรายจ่าย เช่น จังหวัดสุรินทร์ ที่โด่งดังเรื่องข้าวและการทำสุรา หากพรรคก้าวไกลเข้าไปเป็นรัฐบาล เขาประกาศนโยบายสุราก้าวหน้า ซึ่งจะเป็นตัวช่วยปลดล็อกศักยภาพ เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร กระจายรายได้ในธุรกิจสุราออกจากกลุ่มทุนใหญ่ ไปสู่ประชาชน ชาวสุรินทร์จะได้ประโยชน์มหาศาล

‘พิธา’ ชู นโยบาย ‘เกษตรก้าวหน้า’ แก้ปัญหาเผาป่า ตัดต้นตอ PM 2.5 ใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนวิถีเกษตรกรรม

(30 มี.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ‘Pita Limjaroenrat – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เรื่องวิธีแก้ปัญหาไฟป่า โดยข้อความระบุว่า…

ดับจุดแดง PM2.5 ด้วยนโยบาย ‘เกษตรก้าวหน้า’

หลังจากที่ผมได้เสนอต้นตอปัญหา PM2.5 ที่เกิดจากการขยายพื้นที่ทางการเกษตรในต่างประเทศ มีคำถามเข้ามาจำนวนมาก ว่า “ถ้าไม่เผา เรามีทางเลือกอะไร”

การลบจุดแดงที่เกิดจากการเผาในภาคเกษตรจากแผนที่ มองภาพให้ใหญ่กว่านั้นคือประเทศไทยต้องเปลี่ยนจากเกษตรที่พึ่งพาการเผา เป็นภาคเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีที่มีการลงทุนมากขึ้น ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีเข้มข้นขึ้น และสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปวัสดุเศษเหลือจากการเกษตร ให้เปลี่ยนจากขยะที่ต้องเผาทิ้งไปสร้างมูลค่า

1.) เปลี่ยนเกษตรแบบเผา เป็นเกษตรที่ใช้เครื่องจักร
สิ่งที่รัฐบาลทำได้ทันทีคือไปคุยกับธุรกิจเครื่องจักรทางการเกษตร และทำโครงการร่วมกัน เพื่อให้เกษตรกรสามารถ ซื้อเครื่องจักรในการเก็บเกี่ยว (อ้อย) และเตรียมดิน (ข้าว และข้าวโพด) โดยขอรับสินเชื่อที่ดอกเบี้ย 0% พร้อมการดูแลหลังการขาย สำหรับกลุ่มเกษตรกร/ สหกรณ์/ ผู้ประกอบการในชุมชนที่ให้บริการเกษตรกรในพื้นที่จำนวนมาก รัฐบาลสามารถให้เงินสนับสนุนอีกทางสูงสุด 25% เพื่อเร่งให้ภาคเกษตรไทยในพื้นที่ต่างๆ ให้ใช้เครื่องจักรกลมากยิ่งขึ้น นอกจากจะช่วยลดการเผาแล้ว ยังเป็นการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ของภาคเกษตรกรรมของประเทศในระยะยาว

นี่คือความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นระหว่างรัฐบาลและกลุ่มทุน พรรคก้าวไกลเราไม่ได้มองกลุ่มทุนเป็นศัตรูในทุกเรื่อง แต่ในเรื่องที่ต้องทำงานร่วมกันแล้วเกิดผลดีกับประเทศเราต้องสนับสนุนให้กลุ่มทุนสร้างการแข่งขันให้กับประชาชนคนตัวเล็ก แต่ในเรื่องที่กลุ่มทุนทำธุรกิจอย่างไม่รับผิดชอบจนเกิดผลกระทบกับประชาชน รัฐบาลก็ต้องกล้าจัดการอย่างถูกต้องเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังสนับสนุนให้เกษตรกรที่ปลูกพืชไร่ สามารถเปลี่ยนมาเป็นการปลูกไม้ยืนต้น ที่มีความหลากหลายและมีมูลค่าได้ โดยสามารถเลือกที่ใช้เพื่อการปลดหนี้ หรือการรับเป็นรายได้ประจำเป็นรายเดือนด้วย ซึ่งจะเป็นการลดการเผาวัสดุการเกษตรในระยะยาว

2.) เปลี่ยนขยะที่ต้องเผา เป็นเงินในกระเป๋าเกษตรกร
อีกอุตสาหกรรมที่เราจำเป็นต้องทำให้เกิดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรคืออุตสาหกรรมแปรรูปเศษวัสดุการเกษตร (by-product) ทั้งฟางข้าว ใบอ้อย และต้นข้าวโพด ซึ่งไม่ใช่แค่การลดการเผา แต่เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุดและทำให้ผลผลิตจากการเกษตรสร้างเงินในกระเป๋าประชาชนมากที่สุดอีกด้วย

พรรคก้าวไกลมีนโยบาย สนับสนุนงบประมาณผ่านผู้ประกอบการ/ผู้รวบรวมรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตร ทั้งฟางข้าว ใบอ้อย และต้นข้าวโพด ให้สามารถรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้ในอัตรา 1,000 บาท/ตัน เพื่อมาใช้ประโยชน์ (เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ยอินทรีย์) และการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ (เช่น ภาชนะบรรจุ) เกษตรกรสามารถได้รับการสนับสนุนโดยการขายให้กับผู้รวบรวมรายใดก็ได้

3.) ทุนสร้างตัว 100,000-1,000,000 ล้านบาท สร้างผู้ประกอบการแปรรูปวัสดุการเกษตร
นอกจากการรับประกันราคาฝั่งเกษตรกรแล้ว ผู้ประกอบการที่นำเศษวัสดุทางการเกษตรไปแปรรูป และ/หรือไปใช้ประโยชน์ก็เป็นภาคเศรษฐกิจที่ประเทศไทยต้องส่งเสริมให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่จะลดการเผาในระยะยาว

ถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลหรือบริหารกระทรวงเกษตรฯ เราจะมีนโยบายจัดสรรเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย+ทุนตั้งตัว 100,000 บาท/ราย เพื่อก่อตั้งธุรกิจ และทุนสร้างตัว 1,000,000 บาท/ราย เพื่อขยายกิจการให้ยั่งยืนในระยะยาว

4.) ฟรี! รับรองมาตรฐาน GAP-GMP-เกษตรอินทรีย์ ส่งสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปทั่วโลก
เนื่องจากเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าถึงการเข้าสู่กระบวนการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าประเภทพืชไร่และข้าว ซึ่งทำให้ไม่สามารถขายสินค้าเกษตรได้ราคาส่งออกต่างประเทศได้ เราจึงมีนโยบาย ‘รับรองมาตรฐาน GAP-GMP-เกษตรอินทรีย์ฟรี! ส่งสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปทั่วโลก’

เมื่อเกษตรกรดำเนินการโดยปลอดการเผา และการดำเนินการอื่นๆ ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (หรือ GAP) เกษตรกรจะสามารถขอรับมาตรฐาน GAP และ/หรือมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ได้ฟรี! โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นเวลา 2 ปี

5.) เลิกงบไฟป่าไม่โปร่งใส ให้งบตรงไปที่ท้องถิ่นและประชาชน
สุดท้าย การลบจุดแดง PM2.5 อย่างยั่งยืน เราต้องแก้ปัญหาไฟป่า ถามว่าทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาไฟป่าได้อย่างยั่งยืนกันแน่?

ส่องนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดของ ‘ก้าวไกล’ ความไม่เข้าใจในหลักการจัดระเบียบการปกครองของไทย

วิเคราะห์นโยบายของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๖

น่าแปลกที่พรรคการเมืองพรรคนี้ ไม่เข้าใจในหลักการจัดระเบียบการปกครองของประเทศไทย ซึ่งแบ่ง
เป็น ๓ รูปแบบได้แก่ 

๑. ส่วนกลาง โดยราชการส่วนกลางมีอำนาจการตัดสินใจและการดำเนินการต่าง ๆ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่สังกัดราชการส่วนกลาง ที่สามารถใช้อำนาจบริหารครอบคลุมทั่วประเทศ เป็นหลักที่ถือเอาสิทธิขาดในการปกครองเป็นที่ตั้ง

๒. ส่วนภูมิภาค โดยเกิดขึ้นจากข้อจำกัดของราชการส่วนกลางทำให้ล่าช้า และไม่ทั่วถึงทุกท้องที่พร้อม ๆ กัน ราชการส่วนกลางจึงแบ่งมอบอำนาจการตัดสินใจทางการบริหารในบางเรื่องให้เจ้าหน้าที่ของราชการส่วนกลางที่ส่งไปประจำปฏิบัติหน้าที่ในภูมิภาค/เขตการปกครองต่าง ๆ (Field office) สามารถปฏิบัติงานให้บรรลุ นโยบาย และเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ของราชการส่วนกลาง

๓. ส่วนท้องถิ่น โดยราชการส่วนกลาง โอนอำนาจการปกครอง หรือ การบริหารบางส่วนบางเรื่องที่เกี่ยวกับการให้บริการสาธารณะให้องค์กรหรือนิติบุคคลอื่นรับไปดำเนินการแทน ภายในอาณาเขตตามแต่ละท้องถิ่น ด้วยงบประมาณและเจ้าหน้าที่ของท้องถิ่น โดยมีอิสระพอสมควร มีราชการส่วนกลางทำหน้าที่เพียงกำกับดูแลและสนับสนุน (มิใช่การบังคับบัญชา) เป็นหลักที่ถือเอาเสรีภาพของประชาชนที่จะปกครองตนเองเป็นที่ตั้ง

รูปแบบของหน่วยงานปกครองท้องถิ่น แม้จะมีความหลากหลายในการจัดองค์กร/รูปแบบของหน่วยการปกครองท้องถิ่น แต่โดยทั่วไปอาจสรุปได้ว่า มีหน่วยการปกครองท้องถิ่นอยู่ ๓ รูปแบบ คือ...

(๑) หน่วยการปกครองท้องถิ่นประเภทมหานคร ได้แก่การบริหารมหานครต่าง ๆ อาทิ กรุงโตเกียว นครนิวยอร์ก กรุงลอนดอน สำหรับบ้านเราได้แก่ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา (ทั้งสองแห่งถูกจัดให้เป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษ) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ฯลฯ

(๒) หน่วยการปกครองท้องถิ่นของชุมชนที่เป็นเมือง อาทิ เทศบาล (บ้านเรามี ๓ ประเภทตามความหนาแน่นของประชากรได้แก่ นคร เมือง และตำบล) หรือ ในสหรัฐอเมริกา เรียกว่า เทศมณฑล (County)

(๓) หน่วยการปกครองท้องถิ่นของชุมชนขนาดเล็ก / ชุมชนชนบท อาทิ เมืองขนาดเล็ก/หมู่บ้าน (Village) ของสหรัฐอเมริกา หรือ องค์การบริหารส่วนตำบลของไทย

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ประเทศไทยมีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดครบทุกจังหวัด โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๔๙๘ เพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย สภาจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัด โดยสภาจังหวัดประกอบด้วยสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติ กำหนดนโยบายการบริหารและควบคุมฝ่ายบริหาร อันมีหัวหน้าฝ่ายบริหาร คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด (ปัจจุบันหัวหน้าฝ่ายบริหารคือ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง) เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารงาน ด้วยการนำมติหรือนโยบายของสภาจังหวัดไปพิจารณาดำเนินการ โดยมีพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้แก่พื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของเทศบาลและสุขาภิบาล (ซึ่งยกเลิกไปแล้ว หลังจากการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลจนครบทั่วประเทศ)

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้มีพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งกำหนดให้สภาตำบลซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยย้อนหลัง ๓ ปีตั้งแต่ ๑๕๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป จัดตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล มีฐานะเป็นราชการส่วนท้องถิ่น และเป็นนิติบุคคล ทำให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดไม่มีพื้นที่ในการดำเนินกิจการ จึงสมควรปรับปรุงบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้สอดคล้องกันและปรับปรุงโครงสร้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ได้มีการตราพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยกำหนดให้พื้นที่จังหวัดเป็นพื้นที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด มีผู้บริหารสูงสูด คือ ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มาจากการเลือกตั้งของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยความเห็นชอบของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ปัจจุบันมาจากการเลือกตั้งโดยตรงแล้ว) เป็นผู้ปกครองและบังคับบัญชาข้าราชการส่วนจังหวัด และดำเนินกิจการส่วนจังหวัดควบคู่ไปกับสภาจังหวัด  

‘สมหวัง’ อดีต นปช. จ่อเดินสายหาเสียงภาคอีสาน หวังโน้มน้าวคนเสื้อแดง หนุน ‘บิ๊กตู่’ นั่งนายกฯ อีกสมัย

(30 มี.ค. 66) นายสมหวัง อัสราษี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)และอดีตแกนนำ นปช. กล่าวว่า ตนมีกำหนดการลงพื้นที่ขึ้นเวทีปราศรัยกับ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคอีสาน ของพรรค รทสช. ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป เพื่อช่วยพรรคโน้มน้าวใจให้คนเสื้อแดงที่เคยอยู่ร่วมกันมา ให้หันมาสนับสนุนว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค เพื่อมาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย รวมถึงจะไปชี้แจงนโยบายของพรรคให้ชาวบ้านได้เข้าใจ และบางเวทีจะไปร่วมกับนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ

นายสมหวัง กล่าวว่า ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจ ตนก็เฝ้าดูมาตลอดว่าทําอะไรบ้าง กระทั่งเข้ามาสู่ระบบการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีบางพรรคพยายามพูดโจมตีเวลาหาเสียง กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเผด็จการ ตนอยากถามว่าเอาสมองส่วนไหนคิด เวลานี้เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยแล้ว การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งในสภาฯ เวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ลงเลือกตั้งในระบบพรรค ทำไมยังมาพูดโจมตีอีกว่าเป็นเผด็จการ ถ้าเป็นเผด็จการจะมีการเลือกตั้งไหม ดังนั้น เลิกพูดได้แล้ว

“ประเทศชาติทุกวันนี้ ความขัดแย้งลดลงไหม ต้องยอมรับ ไอ้ที่จะมาเย้ว ๆ ไม่มีแล้ว เพราะทุกคนเข้าใจ แต่มีพวกบางคนที่เข้าเส้นเลือดไม่เปลี่ยนความคิด คิดด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ผมไม่ใช่อย่างงั้น ที่ผมมาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ผมถือสุภาษิตว่า เจ็บแล้วจําคือคน ถ้าเจ็บแล้วทนคือควาย ผมไม่ใช่ควาย ผมไม่ให้ใครเอาเชือกมาร้อยจมูกเอากระดิ่งมาแขวนคอ” นายสมหวัง กล่าว

นายสมหวัง กล่าวว่า สมัยตนอยู่กับ นปช. ตนไม่เคยขอเงินใครแม้แต่บาทเดียว ดังนั้น อย่ามาพูดว่าทรยศหรือเนรคุณ ชีวิตนี้ไม่เคยทรยศใคร ไม่เคยเนรคุณใคร เมื่อไม่เคยมาช่วยเหลือ แล้วเอาบุญคุณมาจากไหน เพราะสิ่งที่ทำทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ตนไม่เคยมาขอเงิน ไม่ใช่สัมภเวสี ไม่ใช่เหลือบไร ไม่ใช่หมัด ที่จะไปขอเงินใคร ตนเป็นคนมีต้นทุน และต้นทุนสูงด้วย ดังนั้น ถ้าเคารพการตัดสินใจแต่ละฝ่าย ความเป็นเพื่อนก็ยังคงอยู่ แต่ถ้าไม่เคารพการตัดสินใจก็ไม่เป็นไร

'พปชร.' เคาะแล้ว!! รายชื่อ 92 ปาร์ตี้ลิสต์ ชัดเจน!! 'พล.อ.ประวิตร' เบอร์ 1 

(30 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพปชร. 92 คน ดังนี้...

ลำดับที่ 1 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 
ลำดับที่ 2 นายสันติ พร้อมพัฒน์ 
ลำดับที่ 3 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ 
ลำดับที่ 4 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ 
ลำดับที่ 5 นายอุตตม สาวนายน 
ลำดับที่ 6 นายไพบูลย์ นิติตะวัน 
ลำดับที่ 7 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์
ลำดับที่ 8 น.ส.พิม อัศวเหม
ลำดับที่ 9 นายวิรัช รัตนเศรษฐ
ลำดับที่ 10 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

ลำดับที่ 11 นายสกลธี ภัททิยกุล 
ลำดับที่ 12 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ 
ลำดับที่ 13 นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ 
ลำดับที่ 14 นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ 
ลำดับที่ 15 นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ 
ลำดับที่ 16 น.ส.ธนพร ศรีวิราช 
ลำดับที่ 17 นายนิพันธ์ ศิริธร 
ลำดับที่ 18 นายอภิชัย เตชะอุบล 
ลำดับที่ 19 พล.ต.อ.ยงยุทธ เทพจำนงค์ 
ลำดับที่ 20 นายปัญญา จีนาคำ

ลำดับที่ 21 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ 
ลำดับที่ 22 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ 
ลำดับที่ 23 นางสมพร จูมั่น 
ลำดับที่ 24 นายชวน ชูจันทร์ 
ลำดับที่ 25 นายวิเชียร ชวลิต 
ลำดับที่ 26 นายโกมินทร์ ทีฆธนานนท์ 
ลำดับที่ 27 นางวลัยพร รัตนเศรษฐ 
ลำดับที่ 28 นายสุพร ดนัยตั้งตระกูล 
ลำดับที่ 29 นายธนสาร ธรรมสอน 
ลำดับที่ 30 นายสุธี พงษ์เพียรชอบ 

ลำดับที่ 31 นายพิริยะ โตสกุลวงศ์
ลำดับที่ 32 นายไพรัตน์ ตันบรรจง 
ลำดับที่ 33 นายธนากร มณีโชติ 
ลำดับที่ 34 นายคุณปิน ติรณศักดิ์กุล 
ลำดับที่ 35 นายบำรุง สักลอ 
ลำดับที่ 36 นายเกรียงศักดิ์ ภู่พันธ์ตระกูล 
ลำดับที่ 37 นายราม คุรุวาณิชย์ 
ลำดับที่ 38 นายทักษิณ แก้วสามดวง 
ลำดับที่ 39 นายสมพร ดำพริก 
ลำดับที่ 40 นายภัฎ สุริวงษ์

ลำดับที่ 41 นายธีธวัช คำเงิน 
ลำดับที่ 42 นายจาตุรงค์ ถนามกลาง 
ลำดับที่ 43 พ.ต.อ.วีระ สนจุมภะ 
ลำดับที่ 44 นางมลธิชา ไชยบาล 
ลำดับที่ 45 นายปิยทัศน์ พรพินิจพจศ์ 
ลำดับที่ 46 พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร 
ลำดับที่ 47 น.ส.ปุณิกา เศรษฐกุลดี 
ลำดับที่ 48 นางภัทมน เพ็งส้ม 
ลำดับที่ 49 นายพนม ประเสริฐศรี 
ลำดับที่ 50 นายกีรติ เจริญศรี

ลำดับที่ 51 นายประวัติ กองเมืองปัก
ลำดับที่ 52 น.ส.สีตีฮาหยาด ปีไสย 
ลำดับที่ 53 นายไพฑูรย์ ผิวผาง 
ลำดับที่ 54 นายสิทธิพร แช่ม 
ลำดับที่ 55 นายประเสริฐ ขาวกิจไพศาล 
ลำดับที่ 56 นางจิราภรณ์ สุพล 
ลำดับที่ 57 นายสฤษฎ์พัฒน์ ภมรวิสิฐ 
ลำดับที่ 58 นางวิชญาดา บุญฤทธิ์ 
ลำดับที่ 59 นายวัชรพงศ์ ปิโย 
ลำดับที่ 60 นายโนชญ์ ชาญด้วยกิจ 

‘จุรินทร์’ ดีเบตเศรษฐกิจ ชู ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ ขอโอกาส ให้ ‘ปชป.’ ได้เป็นรัฐบาล ช่วยขับเคลื่อนประเทศ

(30 มี.ค. 66) ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ร่วมเสนอนโยบายของพรรคในเวทีตอบข้อซักถาม ‘มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ’ จัดโดย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนทำงานร่วมกับสภาหอการค้า 4 ปีเต็ม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งพรรคการเมืองที่จะพาประเทศไปข้างหน้าหลังเลือกตั้งได้ อย่างน้อยต้องมี 2 ข้อ คือ 1.) หลักคิดในการพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน และ 2.) ต้องมีกลไกขับเคลื่อนประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม

ขณะที่มีหลายพรรคพูดถึงนักการเมือง ระบบราชการ แต่เท่านี้ไม่พอ เพราะภาคประชาชนและเอกชน ก็เป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้า ปชป.ตั้งรัฐบาล กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาประเทศรวมทั้งเศรษฐกิจ คือ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) จะต้องมีบทบาทมากขึ้น และเป็น ‘New กรอ.’ ที่ไม่ใช่ประชุมในห้องแอร์ สั่งการแล้วจบ แต่ กรอ. ต้องขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์จริงในการแก้ปัญหาประเทศ

“ถ้า ปชป.เป็นรัฐบาล นายจุรินทร์เป็นนายกฯ ผมจะเชิญท่านสนั่น (ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) แล้วเข้าไปร่วมกันแก้ปัญหาเหมือนที่เราทำกันใน กรอ.พาณิชย์ ทำจริง เห็นผลจริง” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า หลักคิดของ ปชป.ในการพาประเทศไทยไปข้างหน้า จะต้องอยู่ในกรอบยุทธศาสตร์ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ โดย ‘สร้างเงิน’ นั้น เป็นการสร้างเงินให้ทั้งคนไทยและประเทศ ด้วยการประกันรายได้คนไทยและประกันรายได้ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประกันรายได้จากการส่งออกหรือการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ ปชป.ให้ความสำคัญทั้งเศรษฐกิจฐานราก เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำและโครงสร้างพื้นฐาน

‘ธนาธร’ ปราศรัยร้อยเอ็ด ชู น้ำประปาดื่มได้-รถเมล์ไฟฟ้า ขอโอกาส ปชช. กา ‘ก้าวไกล’ นำพาความเจริญสู่ประเทศ

(30 มี.ค. 66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ลุยหาเสียงเวทีปราศรัยย่อยทั่วจังหวัดร้อยเอ็ด ขอโอกาสเลือกพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล นำพาความเจริญก้าวหน้าสู่สังคมไทย ไปสร้างประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย

โดยในระหว่างการหาเสียง นายธนาธรได้ยกบทเรียนจากไต้หวัน ว่าเมื่อ 45 ปีก่อน รายได้คนไทยกับคนไต้หวันใกล้เคียงกัน แต่ผ่านมา 45 ปี คนไต้หวันรวยกว่าคนไทย 5 เท่า อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น หากเรียนรู้จากไต้หวันหรือญี่ปุ่น จะเห็นคำตอบว่าเทคโนโลยีคือคำตอบ

“ลูกหลานคนอีสานที่ไปทำงานที่ระยอง ทั้งหมดเป็นบริษัทต่างชาติ แต่ไม่มีเทคโนโลยีของคนไทยเลย เมื่อไม่มีเทคโนโลยีของตัวเองก็แข่งขันไม่ได้ ดังนั้น เราต้องลงทุนในเทคโนโลยี อุตสาหกรรม เพื่อสร้างงาน สร้างสินค้า และเอาส่วนแบ่งจากตลาดโลกมาให้คนไทย” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร เสนอบทเรียนจากเทศบาลตำบลอาจสามารถ ในฐานะความสำเร็จในการสร้างน้ำประปาดื่มได้ เพื่อย้ำว่า คณะก้าวหน้าไม่ได้ทำได้แค่น้ำประปาที่ใสสะอาด แต่เป็นน้ำประปาดื่มได้ ทั้งหมด วัดค่าเป็นวิทยาศาสตร์ และการจะควบคุมคุณภาพของน้ำประปาได้ ต้องมีเซนเซอร์และสมาร์ทมิเตอร์ ไม่จำเป็นต้องมีคนจดค่ามิเตอร์ แต่ส่งข้อมูลประมวลผลด้วยระบบดิจิทัล เพื่อให้สามารถสร้างอุตสาหกรรมน้ำประปาสะอาดขึ้นมาได้ ให้คนไทยกว่า 66 ล้านคน ไม่ว่าจะเกิดที่จังหวัดไหน มีสิทธิใช้น้ำประปาสะอาดเท่าเทียมกัน หากสร้างอุตสาหกรรมน้ำประปาดื่มได้ จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 1 แสนล้านบาท

นายธนาธร กล่าวอีกว่า พรรคก้าวไกลยังมีนโยบายสร้างอุตสาหกรรมรถเมล์ไฟฟ้า ที่คิดค้นด้วยวิศวกรคนไทย เพื่อทำให้ขนส่งสาธารณะเป็นทางเลือกของการเดินทางของคนไทยมากขึ้น ลดปัญหารถติด ค่าใช้จ่าย ฝุ่นควัน ฯลฯ ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย หากใช้รถเมล์ไฟฟ้าเชื่อมโยงสถานที่ราชการ สถานที่ท่องเที่ยว จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ทำให้เดินทางเข้าถึงสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และช่วยสร้างงานที่มีคุณภาพให้ลูกหลาน กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

นายธนาธร ทิ้งท้ายด้วยการขอโอกาสจากประชาชนให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล โดยกล่าวว่า หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เชื่อว่าจะนำความก้าวหน้ามาให้สังคมไทย และสิ่งเหล่านี้เป็นภารกิจที่จะส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ในการสร้างสังคมที่ดีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นเวลาของความทะเยอทะยาน ที่ต้องกล้าคิด กล้าทำ เพราะหากทำแบบเดิม ก็ได้เช่นเดิม

‘ก้าวไกล’ ร่วม 3 พรรค ร้อง กกต.ปมเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร แนะ ใช้วิธีเลือกตั้งทางไปรษณีย์-ไม่เลือกตั้งกระทบวันทำงาน

‘ก้าวไกล’ ร่วมอีก 3 พรรคการเมือง ยื่น กกต. ประสานกระทรวงการต่างประเทศ อำนวยความสะดวกเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ‘ชัยธวัช’ ชี้ ตอนนี้ปัญหาเพียบ สร้างความลำบากผู้ใช้สิทธิ สงสัยเอื้อประโยชน์ผู้มีอำนาจกลุ่มใดหรือไม่ เรียกร้องใช้วิธีเลือกตั้งทางไปรษณีย์-ไม่เลือกตั้งวันทำงาน

(31 มี.ค. 66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ร่วมกับตัวแทนอีก 3 พรรคการเมือง ประกอบด้วย นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ตัวแทนพรรคเพื่อไทย, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย ยื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อขอให้แก้ไขวิธีการเลือกตั้งของคนไทยนอกราชอาณาจักร

นายชัยธวัช กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนมีความคาดหวังสูงมาก เพราะมองเป็นโอกาสเปลี่ยนชีวิตและเปลี่ยนประเทศ แต่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเท่าไร ประชาชนกลับยิ่งไม่เชื่อมั่นมากขึ้น ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างเสรีและเป็นธรรมได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร การพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การรายงานผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ วันนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร

ปัญหาของการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร มีทั้งการกำหนดวันหย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นวันทำงาน เช่น เบลเยียม มาเลเซีย การไม่มีการเลือกตั้งทางไปรษณีย์ ประชาชนต้องไปใช้สิทธิด้วยตัวเองที่สถานทูตหรือหน่วยเลือกตั้ง เช่น เนเธอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ หรือต่อให้มีการเลือกตั้งแบบไปรษณีย์ ก็กำหนดวันส่งบัตรเลือกตั้งกลับไปที่สถานทูต เร็วอย่างไม่สมเหตุสมผล ไม่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้สิทธิ เช่น ญี่ปุ่นและนอร์เวย์ กำหนดส่งบัตรกลับถึงสถานทูตวันที่ 28 เมษายน ซึ่งเป็นเวลาที่เหลือมากเกินความจำเป็นในการส่งบัตรกลับประเทศไทย ที่จะต้องส่งถึงเขตเลือกตั้งก่อน 17.00 น. ของวันที่ 14 พฤษภาคม

“การใช้ความสะดวกความสบายของผู้จัดการเลือกตั้งมากำหนดการเลือกตั้ง แทนที่จะมุ่งรักษาสิทธิคนไทยในต่างประเทศ ตั้งคำถามได้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจคนใดคนหนึ่งหรือไม่ เพราะผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ชัดเจนมากว่าคนไทยนอกราชอาณาจักรส่วนใหญ่ ไม่ได้เลือกผู้มีอำนาจในปัจจุบัน จึงเป็นไปได้หรือไม่ ที่มีความพยายามจะลดสัดส่วนคะแนนจากคนกลุ่มนี้ แทนที่จะส่งเสริม” นายชัยธวัช กล่าว

ดังนั้น จึงขอเสนอให้ กกต. ประสานกระทรวงการต่างประเทศ นำวิธีเลือกตั้งทางไปรษณีย์กลับมาเป็นวิธีหลัก ส่วนกรณีเลือกตั้งที่สถานทูต ไม่สมควรจัดการเลือกตั้งในวันธรรมดา และขอให้มีการกำหนดวันส่งบัตรเลือกตั้งกลับมายังสถานทูตไทย โดยมีระยะเวลาที่ไม่เร่งรัดประชาชนมากเกินไป เช่น ให้ส่งกลับมาสถานทูต วันที่ 4 พฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่เพียงพอในการส่งบัตรกลับประเทศไทย อีกทั้งขอให้สถานทูตที่มีความพร้อม สามารถนับคะแนนที่สถานทูตและส่งผลการนับคะแนนที่รับรองกลับประเทศไทย โดยไม่ต้องส่งบัตรกลับมานับในประเทศ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไม่สามารถส่งบัตรเลือกตั้งกลับประเทศทันเวลา

เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องบัตรเลือกตั้งในประเทศ โดยเฉพาะบัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต ที่ระบุแค่หมายเลข ในชั้นกรรมาธิการร่างกฎหมายเลือกตั้ง พรรคร่วมฝ่ายค้านได้พยายามผลักดันให้หมายเลขผู้สมัคร ส.ส.เขต และหมายเลขพรรคการเมือง เป็นเบอร์เดียวกัน เพื่อสะดวกต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และแสดงความยึดโยงระหว่างพรรคกับผู้สมัคร แต่ก็ไม่สำเร็จ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top