Tuesday, 29 April 2025
ElectionTime

‘มณีรัตน์’ ชูนโยบาย "มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า" ตอบโจทย์ลดรายจ่าย ช่วงน้ำมันแพง

ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ภูมิใจไทย “พระโขนง - บางนา” ชูนโยบาย “มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เชื่อ ตอบโจทย์ลดรายจ่ายช่วงน้ำมันแพง – แก้ปัญหามลภาวะทางอากาศ

(29 มี.ค. 66) น.ส.มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตพระโขนง-บางนา พรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า หลังจากลงพื้นที่รับฟังปัญหาพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยมีโอกาสได้พูดคุยกับวินมอเตอร์ไซค์ ไรเดอร์ และผู้ใช้รถจักรยานยนต์ พบว่าเกือบทุกคนประสบปัญหาราคาน้ำมันแพง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เพิ่มต้นทุนของอาชีพวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไรเดอร์ส่งสินค้า ตลอดจนประชาชนทั่วไป 

ประกอบกับปัญหาโลกร้อน และปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่กำลังวิกฤตส่งผลอันตรายต่อสุขภาพอย่างมากในตอนนี้ พรรคภูมิใจไทย เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงมีนโยบาย มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และติดตั้งแผงโซล่าร์ลูฟบนหลังคา เก็บพลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้า เป็นการประหยัดค่าไฟลดค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ทั้งอากาศ และสิ่งแวดล้อมดีขึ้นได้ ตอบโจทย์ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยมลพิษ PM 2.5 และยังช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมัน ลดค่าไฟฟ้า ให้พี่น้องประชาชนอีกด้วย 

น.ส.มณีรัตน์ กล่าวต่อว่า นโยบายนี้หากบ้านไหนติดตั้งแผงโซล่าร์ลูฟบนหลังคา จะให้สิทธิซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าบ้านละ 1 คัน ในราคา 6,000 บาท ด้วยระบบผ่อนชำระเพียงเดือนละ 100 บาท เป็นเวลา นานถึง 60 งวด และสามารถใช้เครดิตพลังงานเติมกระแสไฟฟ้าได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าพลังงานสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดรายจ่ายให้แก่ประชาชน ทั้งการซื้อรถราคาถูก และไม่ต้องเสียเงินค่าพลังงาน ส่วนตัวจึงเชื่อว่า นโยบายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะตอบโจทย์ทั้งลดช่วยต้นทุน เพิ่มรายได้ พร้อมยกระดับชีวิตพี่ๆวินมอเตอร์ไซค์ ไม่ต้องแบกรับภาระหนักซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจ รายรับไม่พอรายจ่ายอีกต่อไป

‘ธรรมรักษ์’ นำทัพลุย ‘อุดรฯ’ ชู บัตรประชารัฐ-ก้าวข้ามความขัดแย้ง ปลื้ม!! ประชาชนเห็นด้วย เผย อยากเห็นคนไทยหยุดแตกแยก

(29 มี.ค. 66) ที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ จังหวัดอุดรธานี พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ลงพื้นที่พบประชาชน จังหวัดอุดรธานี เพื่อรับฟังปัญหาจากในพื้นที่และให้กำลังใจว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคฯ พร้อมเน้นย้ำนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่ในวันนี้ ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี และส่วนใหญ่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรค พปชร. โดยเฉพาะเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะไม่อยากเห็นคนไทยกลับมาทะเลาะกันเหมือนเดิมอีก และนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน ที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนได้

“ผมเชื่อว่า วันนี้ คนไทยรู้ดีว่าประเทศบอบช้ำจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งขั้ว แบ่งสี ทำให้คนไทยต้องมาทะเลาะกันเองยาวนานเป็น 10 ปีแล้ว ทุกคนอยากเห็นสังคมไทยกลับมามีแต่รอยยิ้มอีกครั้ง ดังนั้น หลายคนจึงมองว่า นโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งจะช่วยให้ประเทศชาติเดินหน้าไปสู่ความเจริญ รุ่งเรืองได้อย่างยั่งยืน หากคนในชาติเกิดความสามัคคีขึ้น” พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าว

‘เสี่ยหนู’ นั่ง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 ‘ภูมิใจไทย’ เผย รายชื่อว่าที่ ส.ส.คืบ 90% พบคนเด่น-ดังเพียบ!!

(29 มี.ค. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แถลงถึงการจัดทำไพรมารีโหวตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคในการเลือกตั้ง ทั้งส.ส.แบบระบบเขต และ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ว่าในส่วนของรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต ทั้ง 400 เขต ขณะนี้ดำเนินการไปแล้วกว่า 90% ขั้นตอนต่อจากนี้จะส่งให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณา แล้วสรุปส่งต่อเสนอไปยังคณะกรรมการบริหารพรรค ไม่เกินวันที่ 31 มี.ค.นี้

ส่วนรายชื่อผู้เสนอตัวเป็นผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรค ล่าสุดได้ครบ 100 คนแล้ว โดยลำดับที่ 1 คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ลำดับที่ 2 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ส่วนที่เหลืออีก 98 คน ใช้รูปแบบการเรียงลำดับตัวอักษร หลังจากนี้ก็จะเข้ากระบวนการส่งให้คณะกรรมการสรรหา และคณะกรรมการบริหารพรรคตามลำดับ เพื่อพิจารณาเรียงลำดับผู้สมัครตั้งแต่หมายเลข 3 -100 ต่อไป ซึ่งต้องเสร็จก่อนวันที่ 3 เม.ย.นี้

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า สำหรับวันรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย จะไปยื่นสมัครในวันที่ 3 เม.ย.นี้ ส่วนวันรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จะเป็นในวันที่ 4 เม.ย.นี้ ที่ห้องบางกอก อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม. ซึ่งนายอนุทิน จะนำทีมไปสมัครด้วยตัวเอง และจับสลากหมายเลขผู้สมัคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อผู้เสนอตัวเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคภูมิใจไทย มีบุคคลที่น่าสนใจ อาทิ น.ส.ชนม์ทิดา อัศวเหม, นายศุภชัย ใจสมุทร, นายทรงศักดิ์ ทองศรี, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี, นายสรอรรถ กลิ่นประทุม, นายสวาป เผ่าประทาน, นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร, นายสุพล ฟองงาม, นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์, น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ, นายอารี ไกรนรา, นายภิญโญ นิโรจน์, นายนัจมุดดีน อูมา, นางนันทนา สงฆ์ประภา, นายบุญดำรง ประเสริฐโสภา, น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล, นายสามารถ แก้วมีชัย, นายชลัฐ รัชกิจประการ, นายกิตติชัย เอ่งฉ้วน, นายพิกิฎ ศรีชนะ, นายมารุต มัสยวาณิช, น.ส.เรวดี รัศมิทัต และนายวิรัช พันธุมะผล เป็นต้น

‘ศุภชัย ’ เผย ‘ภท.’ หนุน กม.กัญชาเพื่อการแพทย์ หลัง ‘ภาคประชาชน’ เตรียมล่ารายชื่อทั่วประเทศ

(29 มี.ค. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แถลงว่า จากที่ผลการเสวนาของพรรคภูมิใจไทย เรื่อง ‘ทิศทางกฎหมายกัญชาเพื่อสุขภาพ และการแพทย์หลังการเลือกตั้ง’ เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนที่จะให้มีกฎหมายเฉพาะมาคุ้มครองเพื่อการแพทย์ สุขภาพ และเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องมีการผลักดันกฎหมายต่อไป
.
โดยทางภาคประชาชนจะมีการรณรงค์พร้อมล่ารายชื่อในทุกภาค ทั้งจากในพื้นที่จริง และทางระบบออนไลน์ เพื่อแสดงจุดยืนดังกล่าว นอกจากนี้ ภาคประชาชนจะมีการจัดสัมมนาในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไป  อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ที่มีกลุ่มบุคคลออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านคัดค้านเรื่องกัญชา รวมถึงจะนำกลับไปเป็นยาเสพติด โดยขาดความรู้ และความเข้าใจ ทำให้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนที่ยังเห็นว่า กัญชาสามารถเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการรวมตัวของภาคประชาชนทุกภาคส่วน

#THESTATESTIMES
#ElectionTime
#NewsFeed
#ภูมิใจไทย
#ศุภชัยใจสมุทร
#กัญชา
#กัญการแพทย์

‘กรณ์’ ฉะ 2 รมต. แก้ปัญหา ‘ไฟป่า-ค่าไฟ’ ล้มเหลว ลั่น!! ชพก. มีแผนพร้อมจัดการ 2 ปัญหาเพื่อ ปชช.

(29 มี.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แสดงความอึดอัดต่อท่าที่ของรัฐบาลในการให้สัมภาษณ์ของ 2 รัฐมนตรี ที่รับผิดชอบในการแก้ปัญหา 2 ไฟ ได้แก่ ไฟป่าที่ก่อให้เกิดปัญหา PM2.5 และค่าไฟฟ้าที่รัฐบาลจะประกาศขึ้นราคาในภาคครัวเรือนในเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 

โดยนายกรณ์ ได้กล่าวถึงปัญหาการเผาป่าในไร่ข้าวโพดของประเทศไทย และไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลต่อสภาพอากาศของพี่น้องภาคเหนือ โดยเฉพาะคุณภาพอากาศที่เชียงรายถือว่าสาหัสมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ค่า PM2.5 สูงถึงเกือบ 500 หน่วย ซึ่งเป็นระดับอากาศที่เป็นพิษ หายใจไม่ได้เลย ตามรายงานทราบว่ามีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยายาลอย่างน้อย 3,000 คน ไม่นับรวมคนป่วยที่บ้านอีกเป็นจำนวนมาก รัฐบาลประกาศให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 แต่กลับไม่มีมาตรการใด ๆ ที่จับต้องได้เพื่อให้ประชาชนมีความหวังว่าจะมีสถานการณ์จะดีขึ้น ตรงกันข้ามสถานการณ์กลับเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ตนรู้สึกอึดอัดและโกรธแทนพี่น้องคนไทยทุกคนที่เดือดร้อน

“ผมเห็นท่าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์สื่อที่ถามว่า ถึงเวลาประกาศเป็นภัยพิบัติฉุกเฉินแล้วหรือยัง ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานราชการมีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อพี่น้องประชาชน แต่ ท่านตอบมาพอสรุปได้ว่า ยังประกาศไม่ได้ เพราะไม่รู้ประกาศไปแล้วจะนำไปสู่การมาตรการอะไร เพราะไม่มีมาตรการใด ๆ รองรับ และไม่รู้ด้วยว่าจะประกาศในพื้นที่ไหนบ้าง เนื่องจากไม่มีการกำหนดเกณฑ์ว่าคุณภาพอากาศต้องเลวร้ายระดับไหน ถึงจะประกาศเป็นภัยพิบัติ หรือ ภัยฉุกเฉินได้ ผมเชื่อว่า ใครฟังก็คงตกใจและหดหู่ใจว่า ปัญหาระดับวาระแห่งชาติที่ประกาศมาแล้ว 4 ปี แทนที่จะกระบวนการช่วยเหลือเฉพาะหน้า เช่นอุปกรณ์เครื่องรองรับบรรเทาปัญหา ทั้งหน้ากาก ยา เวชภัณฑ์ เครื่องฟอกอากาศ  หรือแม้แต่การอพยพประชาชนที่อาจมีปัญหาเรื่องภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ ออกจากพื้นที่เสี่ยง ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน เพื่อจะได้มีการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ” นายกรณ์ กล่าว  

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า มีชุดความคิดที่เป็นข้อเสนอมาตรการระยะยาวในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาควันภาคเหนือที่ก่อให้เกิด PM2.5 นั้น เกิดจากการเผาในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา และ สปป.ลาว ที่ส่วนหนึ่งเราเข้าใจว่าเกษตรกรต้องทำมาหากินด้วยการปลูกไร่ข้าวโพดสัตว์เลี้ยง เมื่อถึงเวลาเตรียมการเพาะปลูกในแต่ฤดู ก็ต้องเผาไร่สร้างมลพิษให้กับพี่น้องประชาชน เราจึงต้องแก้ที่ต้นตอด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ คือ ชักจูงให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนที่ไม่ต้องเผา คือ การปลูกป่าเศรษฐกิจจากพืช 58 ชนิด ที่ได้ปลดแอกให้สามารถปลูกได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีการจ่ายเงินเดือนให้กับเกษตรกรในจำนวนที่มากกว่าการปลูกไร่ข้าวโพด และในระยะยาวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ส่วนหนี่งจะเป็นของเกษตรกร และอีกส่วนหนึ่งสามารถผลิตเป็นคาร์บอนเครดิตได้ด้วย สิ่งเหล่านี้เราสามารถระดมทุนผ่านพันธบัตรป่าไม้ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการได้ทันทีที่มีโอกาสเข้าไปทำงาน 

นายกรณ์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการด้านต่างประเทศ เราปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยต้องเร่งประสานไปทางรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ และ สปป.ลาว เพื่อหามาตรการควบคุมการเผา ซึ่งความจริงมีสัญญาในกลุ่มประเทศอาเซียนตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ว่าด้วยเรื่องของการคุ้มครองการสร้างสร้างมลพิษข้ามชายแดน โดยเฉพาะเรื่องการเผา สามารถนำข้อตกลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นมาเป็นข้อประชุมฉุกเฉินของอาเซียนได้ นอกจากนี้เราคงต้องทบทวนข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ต่อการนำเข้าข้าวโพดสัตว์เลี้ยงปลอดภาษีจากประเทศเพื่อนบ้าน ต่อไปต้องกำหนดมาตรการทางภาษี ไม่รับซื้อผลผลิตที่มาจากการเผา ส่งผลให้การนำเข้ายากยิ่งขึ้น และชะลอการเผาลง และสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรของไทย ปลูกอย่างอื่นทดแทนที่มีรายได้มากกว่า ลดพื้นที่การเผาป่าลง 
.
“5-6 ปีที่ผ่านมา การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใน 3 ประเทศ เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่า ซึ่งปริมาณเพาะปลูก เป็นไปในทิศทางเดียวกับปริมาณการเผา อย่างไรก็ตามเราคงหวังการแก้ปัญหาจากฤดูกาลไม่ได้แล้ว เพราะรัฐบาลก็เป็นรัฐบาลรักษาการ ก็ได้แต่หวังว่า รัฐบาลที่จะกำลังจะมีขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า จะเร่งดำเนินการทันที และพรรคชาติพัฒนากล้าก็ขอสัญญาว่า เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เกิดมาตรการที่กล่าวมาแล้วข้างต้นและจะทำทันที ถ้ามีโอกาสเข้าไปทำงาน ตราบใดที่ยังมีการเผาป่า ผมเป็นหนึ่งคนที่จะต่อสู้แทนพวกท่าน” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

‘ณัฐวุฒิ’ ลั่น!! นายกฯ ต้องมาจากแคนดิเดต ‘เพื่อไทย’ เผย พร้อมตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคที่ยึดหลักประชาธิปไตย

(29 มี.ค. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจหลักของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

“ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะลำดับ 1 เพื่อไทยต้องเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีต้องมาจากแคนดิเดตคนใดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย  เราจะตั้งรัฐบาลผสมและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต้องเป็นพรรคที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตย และนโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์สดในรายการเปลี่ยนใหม่หรือไปต่อ ตอน ตัวตึง!!! ดำเนินรายการโดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 3 โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วมอีกรวม 6 พรรค ในช่วงแรก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวตอบคำถามของผู้ดำเนินรายการถึงเหตุผลอะไรที่จะต้องเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลว่า เพราะในช่วง 8 ปีของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นช่วงที่มีแต่ข่าวการทุจริตคอร์รัปชัน โดยสถาบันจัดลำดับการคอร์รัปชั่นทั้งในและต่างประเทศได้รายงานการทุจริตเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะอ้างเสมอว่าตัวเองเป็นคนดี ยึดมั่นสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในส่วนนั้นตนให้ความเคารพ แต่ที่เห็นได้ชัดคือพลเอกประยุทธ์ไม่เคยได้ยึดมั่นในประชาชนเลย เพราะพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจมาจากประชาชน และเขียนกติกาสืบทอดอำนาจให้พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณมาตั้ง ส.ว. และให้ ส.ว.มาเลือกพลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งเหล่านี้มันจึงอธิบายว่าประเทศกำลังเดินผิดทางและผลกระทบจากการเดินผิดทางคือความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน พรรคเพื่อไทย จึงเสนอตัวและเป็นทางเลือกทางเดียวที่จะปฏิเสธการเดินต่อของพลเอกประยุทธ์คือการต้องสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย

ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเป็นลำดับหนึ่ง ต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยจะตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีต้องมาจากแคนดิเดตคนใดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย เราจะตั้งรัฐบาลผสมและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต้องเป็นพรรคที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตย และนโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล

“ผมกล้าเชื่อว่า ถ้าหากว่าเพื่อไทยเสียงนำมาเป็นที่หนึ่ง และจับกับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยตั้งรัฐบาลแล้ว เชื่อว่า ส.ว. 250 เสียงจะไม่ตัดสินใจเหมือนเดิมไม่กล้าโหวตสวน แต่จะมีจำนวนหนึ่งที่ยอมรับการตัดสินใจของประชาชน และหันกลับมาโหวตให้ฝ่ายประชาธิปไตยจัดตั้งรัฐบาล” ณัฐวุฒิ กล่าว


ที่มา : https://www.facebook.com/pheuthaiparty/posts/pfbid0UB8rRebSpurtV7YQ1mA4SswQhKRY8Q8JRiCaYCS31kSyjWPReD5asciAmJv35phPl

‘ดร.เอ้’ ควง ‘ผู้การแต้ม’ ลงพื้นที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กร้าว!! ไม่ทนปัญหาฝุ่น ชู ‘กม.อากาศสะอาด’ ปกป้องคนกรุง

(29 มี.ค.66) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคฯ พร้อมด้วย ‘ผู้การแต้ม’ พล.ต.ต.ดร.วิชัย สังข์ประไพ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม.เขตหลักสี่-จตุจักร พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่บริเวณทางเข้าศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ เพื่อตรวจวัดค่า PM 2.5 ซึ่งเป็นจุดที่มีการจราจรหนาแน่นโดยเฉพาะในช่วงเช้าที่มีการสัญจรไปมา รวมถึงมีการก่อสร้างในบริเวณใกล้เคียง

โดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ย้ำว่าปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ไม่ใช่ปัญหาของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งทุกคนในประเทศต้องพร้อมร่วมมือกันในการแก้ไขรวมถึงภาคประชาชน ที่ต้องตระหนักถึงความสำคัญว่ามีอันตรายต่อชีวิต จึงพร้อมผลักดันให้มี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหา เพราะการมี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ จะช่วยให้หน่วยงานที่ดูแลและแก้ไขปัญหา PM 2.5 มีอำนาจในการบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ในการควบคุมและแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของ PM 2.5 โดยที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ มักจะแก้ปัญหาอย่างเฉพาะหน้า สาเหตุหนึ่งมาจากการไม่มีกฎหมายมารองรับ และสนับสนุนอย่างจริงจัง ทำให้ไม่สามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากแหล่งกำเนิดได้ เลยต้องไปแก้ไขที่ปลายเหตุ สุดท้ายปัญหาคงก็อยู่

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ กล่าวต่อไปว่า ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ ที่ออกมาจะช่วยเป็น ‘เครื่องมือ’ ให้หน่วยงานที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม สามารถนำมาตรการและข้อบังคับไปควบคุมสาเหตุของ PM 2.5 ได้ถึงต้นตอ ไม่ว่าจะเป็น 

- การกำหนดเขตพื้นที่มลพิษต่ำ หรือ Low Emission Zone บริเวณพื้นที่ใจกลางเมือง 16 เขต  
- การควบคุมรถควันดำ ต้นตอสำคัญของ PM 2.5 
- การจัดเก็บภาษีการปล่อยมลพิษยิ่งปล่อยมากยิ่งจ่ายมาก เพื่อเป็นการบังคับให้หาทางลดการปล่อยมลพิษ 
- การลดภาษีพื้นที่สีเขียวเป็นรางวัลให้คนทำดี

“เป็นที่น่าเสียดายว่าวันนี้ประเทศไทยยังไม่มี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ เพื่อคุ้มครองให้คนในชาติได้สูดอากาศบริสุทธิ์แม้แต่ฉบับเดียว ที่ผ่านมาแม้จะมีการผลักดันจากหลายภาคส่วน แต่ก็ยังถูกละเลย ไม่มีการนำมาประกาศบังคับใช้ บางคนอาจมองว่ามีความซ้ำซ้อน เพราะกฎหมายสิ่งแวดล้อมเดิมก็มีอยู่ แต่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์มาแล้วว่าถ้ากฎหมายสิ่งแวดล้อมเดิมใช้ได้จริงพวกเราชาวกรุงเทพฯ คงไม่ต้องมาทนกับปัญหานี้ในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้เป็นทางรอดเพื่อให้พวกเราชาวกรุงเทพฯ ได้กลับมาสูดอากาศบริสุทธิ์กันทุกคน” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว

ในขณะที่ ‘ผู้การแต้ม’ พล.ต.ต.ดร.วิชัย สังข์ประไพ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันจะเดินหน้าต่อเพื่อประกาศสงครามกับปัญหามลพิษทางอากาศ PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ใช่การทำเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่มองประเด็นเรื่องคุณภาพชีวิตของคนไทยเป็นสำคัญ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ต้องเผชิญปัญหาเหล่านี้มาเป็นเวลานานและยังไม่ได้รับการแก้ไขจากผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง

ด้านนางดรุณวรรณ ได้กล่าวด้วยว่าบรรยากาศการลงพื้นที่ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ในวันนี้ได้รับกำลังใจจากประชาชนที่เห็นความมุ่งมั่นในการทำงานของพรรค โดยบางท่านได้มาจอดรถทักทายและส่งเสียงเชียร์ ให้กับ ศ.ดร.สุชัชวีร์ และผู้การแต้ม รวมถึงขอบคุณที่พรรคประชาธิปัตย์มาลงพื้นที่ตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ทำให้ได้ตระหนักถึงอันตรายและอยากให้พรรคได้เข้ามาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

ทั้งนี้ ศ.ดร.สุชัชวีร์ ย้ำว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มันอันตรายกว่าโควิด 19 ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ หากแต่ภัยจาก PM2.5 สามารถซึมเข้าไปในร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายอาจทำให้เกิดภาวะสมองตายได้ นอกจากจะนำเสนอ กฎหมายอากาศสะอาด แล้ว ยังตั้งทีมเพื่อวัดค่าฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอแนวทางการป้องกันและแก้ไขเบื้องต้นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ต่อไป
 

‘อดิศักดิ์’ ประกาศถอนตัวจากว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ‘ก้าวไกล’ พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์

(29 มี.ค. 66) นายอดิศักดิ์ สมบัติคำ หรือ ‘จ่าตา’ อดีตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.มหาสารคาม เขต 1 พรรคก้าวไกล แถลงข่าวถึงกรณีที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตสอบคัดเลือกตำรวจเมื่อวานนี้ (28 มีนาคม 2566) พร้อมขอยุติบทบาทผู้สมัครเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

นายอดิศักดิ์ ระบุว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าของเมื่อวานนี้ ตนได้ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ถือหมายมาที่บ้าน ก็ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนพร้อมหลักทรัพย์ประกันตัว ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่า ข่าวที่นำเสนอออกไป เหตุใดจึงมีความคลาดเคลื่อน เพราะตนไม่ได้ถูกบุกจับกุมแต่เป็นการมอบตัวด้วยตนเอง และได้รับประกันตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว

ตนอยู่กับพรรคก้าวไกลมาตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ และในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 ได้ทำงานให้พรรค นำปัญหาของประชาชนในพื้นที่มาให้ ส.ส.พรรคก้าวไกลเป็นปากเสียงในสภา ส่งต่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแก้ไขปัญหา มีความผูกพัน มีหลายเหตุการณ์ที่เคยถูกคุกคามรังแก เคยถูกฟันคอจนบาดเจ็บสาหัส มาวันนี้ก็ถูกดำเนินคดี ซึ่งตนก็ยืนยันว่ายินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความจริง

แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อสังคมเกิดความสงสัย ตนซึ่งต้องการให้ทุกฝ่ายสบายใจ ทั้งพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุน ตนจึงขอยุติบทบาทในตำแหน่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคก้าวไกล เพื่อเปิดทางให้พรรคทำการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมในเขต 1 จ.มหาสารครามต่อไป ทั้งนี้ ตนต้องขอขอบคุณพรรคก้าวไกลที่ให้โอกาส และขอให้กำลังใจผู้สมัคร เครือข่ายแนวร่วม สมาชิก และผู้ปฏิบัติงาน ได้เดินหน้าต่อสู้ต่อไป ระหว่างนี้ตนขอถอนตัวเพื่อไปพิสูจน์ความจริง และเมื่อได้รับการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมว่าไม่มีความผิดแล้ว ก็จะกลับมาลงสมัครอีกครั้ง โดยในระหว่างนี้จะยังคงช่วยงานพรรคก้าวไกลในการรณรงค์หาเสียงต่อไป

กลุ่มคนรัก "ทักษิณ ชินวัตร" อาจยังรู้สึกตื่นเต้น แต่เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่รู้สึกชาชินไปเสียแล้ว

กลุ่มคนรัก "ทักษิณ ชินวัตร" อาจยังรู้สึกตื่นเต้น แต่เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่รู้สึกชาชินไปเสียแล้ว เมื่อได้ยินเจ้าตัวออกมาสร้างกระแสด้วยการประกาศ จะ "กลับบ้าน"

16 ปีแห่งความหลัง กำลังจะย่างก้าวเข้าปีที่ 17 ที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ต้องระหกระเหิน หลบหนีหลายคดีไปอยู่นอกประเทศหลังเกิดรัฐประหาร 2549 จากนั้นเป็นต้นมา การสร้างกระแส "กลับบ้าน" ก็เกิดขึ้นแทบทุกปี

ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นหมาดๆ เมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมา "ทักษิณ" ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นว่าเขาพร้อมรับโทษจำคุกในประเทศไทยหากแลกกับการได้ใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร

“ผมติดคุกใหญ่มา 16 ปีแล้ว เพราะพวกเขากีดกันไม่ให้ผมอยู่กับครอบครัว ... ถ้าผมต้องทนทุกข์ทรมานอีกครั้งในคุกที่เล็กกว่านั้น ก็ไม่เป็นไร”

ย้อนกลับไปแค่ช่วงต้นปี ปลายเดือนมกราคม เจ้าตัวก็เอ่ยปากจะกลับบ้านแบบไม่ต้องมี "ดีลลับ" ไม่ต้องอาศัยพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องใช้กฎหมาย(นิรโทษ) ไม่ต้องเกี้ยเซียะพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหลายคนก็ตีความเงื่อนไขนี้ ว่าคงเหลืออยู่ทางเดียวที่กลับบ้านได้คือยอมกลับมา "ติดคุก"

ย้อนวิบากกรรมของอดีตนายกฯ "ทักษิณ ชินวัตร" เกิดขึ้นตั้งแต่มีการรัฐประหาร 19 กันยา 49 ขณะนั้นเขาอยู่ระหว่างเตรียมประชุมสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ซึ่ง "ทักษิณ" เปิดเผยผ่านคลับเฮาส์เมื่อปีที่แล้ว ว่าขณะถูกยึดอำนาจ เขาตั้งใจ "กลับบ้าน" แต่ฝ่ายปฏิวัติไม่ให้เครื่องบินขึ้น เพราะกลัวเขากลับเข้าเมืองไทย จึงตัดสินใจเดินทางไปตั้งหลักที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

1 ปีหลังรัฐประหาร ปี 49 พรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ส่วนหนึ่งมาจากประโยคหาเสียง "เลือกสมัคร พาทักษิณกลับบ้าน" และครั้งนั้น ก็เป็นครั้งเดียวที่ "ทักษิณ" ได้กลับบ้านจริงๆ

28 กุมภาพันธ์ 2551 ภาพทักษิณ ก้มลงกราบแผ่นดินทันทีที่เดินทางกลับถึงบ้านเกิด กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ ขณะนั้นอยู่ระหว่างการดำเนินคดีที่ดินรัชดา แต่ผ่านไปเพียงแค่ 5 เดือน ทักษิณก็ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ เพื่อไปบรรยายพิเศษที่ญี่ปุ่น ก่อนเดินทางไปดูไปดูพิธีเปิดโอลิมปิกที่ประเทศจีน และไม่เดินทางกลับไทยอีกเลย หลังจากนั้นเขาถูกศาลตัดสินจำคุกในหลายคดี

แม้ตัวอยู่เมืองนอก แต่ตลอดห้วงเวลาที่มีการชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดง ทักษิณยังสื่อสารผ่านวิดีโอคอล วอนขอให้พาเขากลับบ้านอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงที่สถานการณ์เริ่มร้อน เขาปลุกระดมคนเสื้อแดงว่า ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชนจะกลับมานำประชาชนเดินเข้ากรุงเทพฯ ทันที

แต่สุดท้ายก็ไร้เงา จนกระทั่งผ่านเหตุการณ์สลายการชุมนุมแยกราชประสงค์ ปี 53 คล้อยหลังจากนั้น 2 ปี ทักษิณสื่อสารเรื่องกลับบ้านกับคนเสื้อแดงด้วยท่าทีเปลี่ยนไป จากอ้อนวอนให้พากลับบ้าน เป็นขอขอบคุณคนเสื้อแดงที่แจวเรือส่งถึงฝั่ง ที่เหลือตัวเขาจะขอขับรถขึ้นเขาต่อด้วยตัวเอง และเพียงไม่นานหลังพรรคเพื่อไทยเดินหน้าผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ก็ถูกแรงต้านจนมีอันต้องพับเก็บไปแบบไม่เป็นท่า

 

เส้นทางของ "รัฐบาลประยุทธ์"

ในที่สุด รัฐนาวาภายใต้การนำของ "ลุงตู่" พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็สามารถฝาคลื่มลมทางการเมืองมาเกือบ 4 ปี จนถึงปลายทางที่จบลงด้วยการยุบสภา รอเลือกตั้งอีกครั้งในอีกไม่ถึง 2 เดือนข้างหน้า

เส้นทางของ "รัฐบาลประยุทธ์" ที่ผ่านมาถือว่าไม่ง่าย เพราะต้องผ่านทั้งวิกฤติ โควิด - 19 รวมทั้งบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองทั้งใน และนอกสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อ ที่นำมาสู่การเติบโตของขบวนการข่าวปลอม หรือ "เฟกนิวส์"

ท่ามกลางอุปสรรคขวากหนามที่ว่า มี "หนึ่งคน" ที่มีบทบาทชัดเจน ในการออกหน้า ปะ ฉะ ดะ ปกป้องตอบโต้ ชี้แจง กรณีที่มีการพาดพิง หรือเกิดข่าวปลอม เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีอยู่เสมอ จนได้รับขนานนามเป็น "องครักษ์พิทักษ์ลุงตู่" เดาไม่ยากว่า ใครคนนั้นคือ "ธนกร วังบุญคงชนะ" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั่นเอง

วิถีชีวิตของ รมต. คนนี้ไม่ธรรมดา หากย้อนเวลากลับไป เขามีฝันอยากเป็นนักการเมืองมาตั้งแต่เยาว์วัย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นและแรงขับดันให้ "แด๊ก - ธนกร วังบุญคงชนะ" เด็กหนุ่มจาก อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ก้าวเดินตามฝัน แม้เป็นลูกชาวบ้านธรรมดา แต่เขาได้รับการปลูกฝังความเป็นผู้นำ และหัวจิตหัวใจในการช่วยเหลือผู้อื่นจาก พ่อและแม่มาตั้งแต่ยังเล็ก

"ธนกร" เริ่มเลียบเคียงแวดวงการเมือง ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้จนถึงเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ เริ่มจากการเลือกศึกษาด้านสื่อสารมวลชน จบออกมาเริ่มทำงานเป็นผู้สื่อข่าวสายทำเนียบฯ ประจำหนังสือพิมพ์สยามรัฐในช่วงสั้นๆ ก่อนขยับไปเป็นเลขานุการกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติหรือ ปปช. เกือบ 2 ปี จนได้รับโอกาสเข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัวจากการชักนำของ "สมศักดิ์ - อนงค์วรรณ เทพสุทิน" ซึ่งธนกร ยกให้เป็นครูทางการเมืองของเขา

หลังจากนั้นเขาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งหนแรกกับพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก่อนขยับมาเป็นที่ปรึกษา และเลขานุการรัฐมนตรีหลายกระทรวง จนกระทั่งมีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล "ธนกร" ผ่านการรับบทบาทเป็นโฆษกพรรค เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นโฆษกรัฐบาล ต่อมาได้รับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และได้ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในที่สุด

ด้วยตำแหน่งหน้าที่ ทั้งโฆษกรัฐบาล และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทำให้ธนกรเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำงานใกล้ชิด และมีบทบาทในการดูแล ติดตามสานต่อนโยบายของพลเอกประยุทธ์ แต่ที่ผ่านมา เขาถูกมองว่าทำเกินหน้าที่ หรือ ทำตัวเป็น "องครักษ์พิทักษ์ลุงตู่" จากการออกมาเปิดหน้าชน เป็นปากเป็นเสียง ตอบโต้กรณีที่มีประเด็นให้ร้าย โจมตีหรือพาดพิงนายกรัฐมนตรีอยู่เสมอ

แต่ธนกร มองว่าการออกมาปกป้องพลเอกประยุทธ์ ไม่ใช่หน้าที่ แต่เป็นความเต็มใจ ด้วยความเคารพ และเชื่อมั่นในตัวพลเอกประยุทธ์ จึงต้องออกมาปกป้อง ดูแลเท่าที่จะสามารถทำได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top