Tuesday, 13 May 2025
Econbiz

ภาคตลาดทุนไทย ผสานมือทลายแก๊งต้มตุ๋นตลาดทุน หลังพบเพจอ้างคนดังหลอกลงทุนระบาดหนัก 

ภาคตลาดทุนไทย ร่วมประกาศเจตนารมณ์ ‘ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน’ รณรงค์สร้างภูมิคุ้มกันประชาชน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ หลังพบคดีหลอกลงทุนออนไลน์ระบาดหนักในนี้ ประเมินความเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาท

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหามิจฉาชีพชักชวนลงทุนผ่านสื่อโซเชียลมีเดียมีเป็นจำนวนมาก มีการแอบอ้างองค์กร ชื่อ ภาพ ผู้บริหารของหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หลอกลวงให้มาลงทุน สร้างความเสียหายแก่ประชาชน ส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีความเสียหายสูงถึงกว่า 10,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะแพลตฟอร์มการลงทุนของประเทศ จึงได้ร่วมกับหน่วยงานภาคตลาดทุน จัดทำโครงการ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” โดยในระยะแรก จะร่วมกันสื่อสารข้อเท็จจริง พร้อมชี้เป้าข่าวเท็จ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ผู้ลงทุนและประชาชนไม่ให้เป็นเหยื่อมิจฉาชีพ และในระยะถัดไป จะทำงานร่วมกันทั้งภาคตลาดทุนและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อพัฒนากระบวนการในการจับปลอมหลอกลงทุนได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“เรื่องนี้ เป็นเรื่องสําคัญที่ทุกคนจะต้องตระหนัก ก่อนการตัดสินใจลงทุนกับใครก็ตาม จะต้องตรวจสอบข้อมูลให้ดี ว่าบริษัทดังกล่าวมีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริง ก็ต้องดูต่อไปว่า กลต. ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้กํากับดูแลได้อนุญาตให้มีการชักชวนแบบนี้หรือเปล่า? และหากพบว่าเป็นข่าวปลอม ขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันที เพื่อจะรวบรวมข้อมูลนำไปเปิดเผยให้กับประชาชนได้ทราบต่อไป”

นายภากร ย้ำว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งจะสามารถแก้ไขได้ โดยเฟสแรกสิ่งที่องค์กรพันธมิตรจะร่วมกันทําคือ การสื่อสารการตีแผ่ข้อเท็จจริง ชี้เป้าข่าวเท็จควบคู่ไปกับการเตือน เพื่อตอกย้ำให้ความรู้และ สร้างภูมิคุ้มครองให้กับนักลงทุน ส่วนในในเฟสที่สอง จะบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งภาคตลาดทุนและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อพัฒนากระบวนการจับปลอมหล่อลงทุนให้ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่การรับแจ้งเบาะแส การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน การติดตามการตรวจสอบ การประกาศแจ้งเตือนและการดําเนินการทางกฎหมาย ซึ่งการทํางานในวิธีการป้องกันแบบนี้ เชื่อว่าจะเป็นทั้งการป้องกัน และเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะทําให้ประชาชนปลอดภัยจากการหลอกลวงประเภทนี้ได้มากขึ้นในอนาคต

ด้านดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2565 ถึงปัจจุบัน มีคดีเกี่ยวกับการหลอกลงทุนสูงถึง 20,667 คิดเป็นเม็ดเงินกว่าสองหมื่นล้านบาท ที่ผ่านมาได้ดำเนินการจับกุมคนกระทำผิดมาแล้วหลายราย ล่าสุดอย่างกรณีของคุณวิกรม กรมดิษฐ์ เคยจับไปแล้วก่อนหน้านี้ห้าสิบกว่าคน ครั้งเนี้ยก็จับอีกเกือบสิบคน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่ในประเทศไทย ส่วนคนที่เป็นมาสเตอร์มายด์ หรือหัวโจก ที่เป็นเจ้าของไอเดีย เจ้าของแก๊งตัวจริง ยังหลุดรอดอยู่ เพราะโดยมากจะเป็นชาวต่างชาติ และไม่ได้อยู่ในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะยังไม่สามารถจับตัวการใหญ่ได้ แต่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น โดยหลักการ คือ เน้นเล่นงานบัญชีม้า ใครไปเปิดบัญชีม้าให้คนร้ายะมีโทษหนักขึ้น อาจจะติดคุกถึงห้าปีได้ ส่วนใครที่เป็นนายหน้าโทษก็จะหนักยิ่งขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถจัดการปิดบัญชีม้าได้หมด ชาวต่างชาติจะมาโกง ก็ไม่สามารถจะมาทําได้ง่าย ๆ อีกต่อไป การโอนเงินต่างจะทําได้ยาก สุดท้ายเชื่อว่าจะลดอาชญากรรมได้อย่างแน่นอน

ขณะที่ นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและถูกมิจฉาชีพแอบอ้างมากที่สุดท่านหนึ่ง ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวนี้ ว่า จากการติดตามข้อมูลคิดว่าน่าจะมีคนเสียหายหลายร้อยล้านบาท เพราะฉะนั้นอยากจะขอย้ำเตือนให้นักลงทุนทุกท่านทราบว่า ทางบริษัทอมตะ และตัวผมเองไม่มีนโยบายชวนใครมาลงทุน ทั้งในด้านส่วนตัวหรือบริษัท ส่วนการลงทุนของอมตะฯ มีแค่แหล่งเดียวคือตลาดหลักทรัพย์ฯ ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่านั้น อย่าไปซื้อผ่านที่อื่น

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถ ‘ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน’ โดยช่วยกันตรวจสอบ หากพบเห็นการเชิญชวนลงทุนโดยให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงภายในระยะเวลาอันสั้น หรือแอบอ้างองค์กรและบุคคลที่มีชื่อเสียง อย่าเพิ่งหลงเชื่อร่วมลงทุน และควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ ให้สอบถามไปยังองค์กรที่ถูกอ้างถึงโดยตรง หรือตรวจสอบรายชื่อบุคคล ผู้ประกอบธุรกิจหรือบริการทางการเงินว่าได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล

‘ภูเก็ต สมาร์ท บัส’ นำร่องรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าคันแรก  เชื่อมสนามบินภูเก็ตสู่หาดราไวย์ หนุนนโยบาย Zero Carbon

(26 ก.ค. 66) นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่า บริษัท ภูเก็ต สมาร์ท บัส จำกัด ได้นำรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าของ NEX ไปทดสอบเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นได้สั่งซื้อรถมินิบัส STREAM X EV ขนาด 7.3 เมตร จำนวน 20 ที่นั่ง ผ่านทางบริษัทเอเชีย พลัส อีวี จำกัด ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายของ NEX เพื่อนำร่องในการใช้งานจริงเพราะพบว่าสามารถประหยัดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการได้จริง ทั้งยังช่วยลดมลพิษจากการปล่อยคาร์บอน รวมถึงมลพิษทางอากาศและเสียง สร้างประสบการณ์ที่ดีในการเดินทางให้กับชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยว และเชื่อว่าอีกไม่นานจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100%

ทั้งนี้ NEX พร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการที่ให้บริการรถโดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวได้ปรับเปลี่ยนรถโดยสารสาธารณะ จากรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาเป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า เพราะนอกจากจะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้เมืองของเรามีสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและมอบสุขภาพที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว

ด้านนายภูเก็จ ทองสม กรรมการบริหารบริษัท ภูเก็ต สมาร์ท บัส จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาเรื่องระบบขนส่งมวลชนภายในจังหวัดภูเก็ต และยกระดับระบบขนส่งมวลชนให้มีประสิทธิภาพ จึงได้ตัดสินใจนำรถบัสโดยสารพลังงานไฟฟ้ามาใช้วิ่งรับส่งผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว เพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางบนเกาะด้วยรถโดยสารสาธารณะมากขึ้น เป็นการช่วยลดจำนวนยานพาหนะบนท้องถนน ทั้งยังช่วยลดมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเมืองท่องเที่ยวให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้นำรถบัสโดยสาร EV ของบริษัท เน็กซ์ พอทย์ จำกัด (มหาชน) มาทดสอบเส้นทางการวิ่งและเก็บข้อมูลเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นเส้นทางวิ่งขึ้นเขาซึ่งมีความชันมาก เกรงว่ากำลังของรถ EV จะไม่สามารถขึ้นเขาไหว แต่เมื่อได้ทำการทดสอบพบว่ารถมินิบัสไฟฟ้า รุ่น STREAM X ของเน็กซ์ มีสมรรถภาพสามารถขึ้นเขาได้สบาย ๆ และเมื่อทดสอบไประยะหนึ่งพบว่ายังช่วยประหยัดต้นทุนได้เกินครึ่ง จากเดิมที่บริษัทต้องจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิง 8-9 บาทต่อกิโลเมตร

“ขณะนี้ทางบริษัทฯ ได้นำรถโดยสาร EV มาให้บริการแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีรถโดยสาร EV เพียงคันเดียวจึงต้องนำมาสลับวิ่งกับรถบัสโดยสารเดิมที่มีอยู่ 11 คัน อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มรถโดยสาร EV ภายในปีนี้ จำนวน 7 คัน และในอนาคตมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนเป็นรถโดยสาร EV ทั้ง 100% โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจข้อมูล พร้อมทั้งจะมีการขยายเส้นทางเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อรองรับนโยบายซีโร่คาร์บอนและบริษัทยังมองไปถึงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอนาคตด้วย” นายภูเก็จ กล่าว

สำหรับเส้นทางการให้บริการของ ภูเก็ต สมาร์ท บัส เริ่มจากสนามบินนานาชาติภูเก็ต ระหว่างทางจอดตามจุดสำคัญ ได้แก่ สาธารณสุขถลาง บ้านเคียน เชิงทะเล ลากูน่า หาดสุรินทร์ กมลา ภูเก็ตแฟนตาซี ป่าตอง กะรน กะตะ ใสยวน แหลมพรหมเทพ และสถานีปลายทางหาดราไวย์ เวลารถออกทุกชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 8.00-22.30 น. ให้บริการทุกวัน ค่าบริการอยู่ที่ 100 บาทตลอดสาย

โดยสามารถชำระได้หลากหลายช่องทาง ทั้งเงินสด Scan QR code จ่ายด้วย Rabbit Card รวมไปถึงบัตรเดบิต และบัตรเครดิต ถ้าใครต้องการใช้งานรถบัสทั้งวันก็มีบัตร Day Pass ที่ซื้อได้บนรถทันที โดยจะมีทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ 1 วัน 299 บาท 3 วัน 499 บาท 7 วัน 799 บาท และ 10 วัน 1,000 บาท สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทั้ง wifi ช่องเสียบสายชาร์จ USB ที่วางกระเป๋าขนาดใหญ่ สำหรับผู้เดินทางที่ต้องใช้รถเข็นวีลแชร์ก็มีระบบทางขึ้นแบบยกวีลแชร์ให้ด้วย

All Now เปลี่ยนใช้รถบรรทุกไฟฟ้า กระจายสินค้าเข้า 7-Eleven  เล็งเพิ่มจำนวนรถให้บริการเป็น 100 คัน ภายในสิ้นปี 2567

(26 ก.ค. 66) นายธเนศ พิริย์โยธินกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ออลล์ นาว (ALL NOW) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท ออลล์นาว เป็นกลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ครบวงจรโดยมีโมเดลธุรกิจเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้าแบบครบวงจรให้แก่ธุรกิจทั้งในและนอกเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีผนึกกำลังกับซีพี ออลล์ ในการเป็นพันธมิตรด้านโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าทั้งแบบ off-line และ on-line จากศูนย์กระจายสินค้าไปสู่ร้าน 7-Eleven กว่า 10,000 จุดทั่วประเทศ และเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจแบบยั่งยืน จึงได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำโลจิสติกส์ด้านส่งเสริมการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม โดยประกาศดำเนินโครงการ EV Vision ด้วยการใช้รถบรรทุก 4 ล้อไฟฟ้าขนาดใหญ่ในการขนส่งสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าไปยังร้านสาขา 7-Eleven โดยรถบรรทุกไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระยะทาง 200 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้งนอกจากนี้ ตัวรถยังมีขนาดตู้บรรจุสินค้าที่สามารถบรรจุได้มากถึง 16 คิวบ์

“ธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาจากเชื้อเพลิงที่ใช้กับยานยนต์ได้ จากความตั้งใจอย่างจริงจังของกลุ่มบริษัท ออลล์ นาว ที่ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้า แทนการใช้พลังงานน้ำมัน โดยมุ่งหวังลดปริมาณการสร้างมลพิษทางอากาศเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังช่วยลดต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ ด้วยการขนส่งสินค้าปริมาณที่มากขึ้นต่อเที่ยว ซึ่งโครงการ EV Vision เป็นโอกาสที่ดีที่กลุ่มบริษัท ออลล์ นาว จะตั้งเป้าเป็นผู้นำทางด้านโลจิสติกส์สีเขียว เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายธเนศกล่าว

ปัจจุบัน ออลล์ นาว ได้เริ่มนำร่องขนส่งและกระจายสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าบางบัวทองเป็นแห่งแรก ไปยังสาขา7-Eleven ในกว่า 20 เส้นทาง และวางแผนที่จะขยายเพิ่มเติมไปสู่ศูนย์กระจายสินค้ามหาชัย และ ลาดกระบัง ทำให้สามารถกระจายสินค้าไปได้กว่า 700 สาขา พร้อมกับตั้งเป้าเพิ่มจำนวนรถบรรทุกไฟฟ้าที่จะให้บริการทั้งหมดเป็น 100 คัน ภายในสิ้นปี 2567 พร้อมกันนี้ ออลล์ นาว ยังได้ลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าในพื้นที่ศูนย์กระจายสินค้าแต่ละแห่ง โดยตั้งเป้าขยายการติดตั้งสถานีไปให้ครอบคลุมครบทุกศูนย์กระจายสินค้าในอนาคต นอกจากนี้ ออลล์นาว ยังวางแผนที่จะขยายการขนส่งและกระจายสินค้าด้วยรถขนส่งไฟฟ้าไปในธุรกิจอื่นๆทั้งในและนอกเครือฯ ต่อไปในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์สีเขียวที่ช่วยส่งเสริมการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมภายในปี 2568” นายธเนศกล่าว.-สำนักข่าวไทย

'คาร์บอนเครดิต' ความหวังใหม่ แก้วิกฤต 'ฝุ่นควัน-โลกร้อน' แนวโน้มเริ่มมา หลังภาคเอกชนพากันคิกออฟ ลุ้นรัฐเข็น

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ประจำวันที่ 30 ก.ค.66 ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็นของวิกฤตโลกร้อน โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

วิกฤตโลกร้อน (Global Warming หรือ Climate Change) ที่กำลังเป็นภัยคุกคามโลกและประเทศไทยอยู่ในปัจจุบัน ได้พิสูจน์แล้วว่ามิอาจแก้ไขได้ด้วยวิธีการทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว และกลไกภาครัฐไม่สามารถรับประกันความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนได้ ดังคำพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ กรณีฝุ่น PM 2.5 เมื่อเร็วๆ นี้

อย่างไรก็ตาม โลกได้คิดค้นมาตรการที่อิงกลไกตลาด (Market based Solutions) ขึ้นมาเพื่อช่วยเสริมให้ประเทศต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ได้ตามกำหนด เช่น การใช้ตลาดคาร์บอนเครดิต (Cap and Trade) ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และการปรับส่วนต่างที่พรมแดนของสหภาพยุโรป (Border Adjustment Mechanism) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ตลาดกำหนดราคาและปริมาณคาร์บอน แต่ล้วนก็มีปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะราคาหรือภาษีคาร์บอนจะทำให้ราคาสินค้าและพลังงานสูงขึ้น จึงต้องอาศัยความกล้าหาญและมุ่งมั่นทางการเมือง

ทว่าเป็นที่น่ายินดีที่ภาคเอกชนได้ริเริ่มงานด้านนี้ในหลายเรื่อง ตลาดเงินตลาดทุนได้นำแนวปฏิบัติการลงทุนแบบ ESG (Environmental, Social and Governance) มาใช้ ขณะที่ภาคการธนาคารได้มุ่งเน้นทำธุรกิจธนาคารยั่งยืน (Sustainable Banking) เพื่อให้มีการจัดสรรเงินทุนมากขึ้นไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

"แนวโน้มหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างน่าสังเกต คือ การเกิดธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ที่มุ่งจัดเก็บ/กำจัดคาร์บอน เพื่อนำมาขายต่อแก่ธุรกิจอื่นที่ปล่อยคาร์บอนเกินโควตา หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ธุรกิจจัดเก็บคาร์บอนน่าจะมีอนาคตที่สดใสและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโลกร้อนต่อไป" อาจารย์พงษ์ภาณุกล่าว

รู้จัก 'มาคาเลียส' แพลตฟอร์ม E-Voucher สัญชาติไทย  เสิร์ฟโปรดักส์โดนใจ ตอบโจทย์สายวางแผนเที่ยวเอง

ไม่นานมานี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยรายได้ภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทย ในช่วงเกือบ 7 เดือนของปี 2566 พบตัวเลขทะลุ 1 ล้านล้านบาทแล้ว แบ่งเป็นรายได้จากต่างชาติกว่า 6 แสนล้านบาท และไทยเที่ยวไทย 4 แสนล้านบาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวโดยเฉพาะแพลตฟอร์มการจองที่พัก, ร้านอาหาร และกิจกรรมในการท่องเที่ยวต่าง ๆ เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ด้าน บริษัท มาคาเลียส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์สัญชาติไทย แหล่งรวม E-Voucher ด้านที่พัก, ร้านอาหาร, สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีความครบครันในสินค้าเกี่ยวกับด้านการท่องเที่ยวแบบครบจบ เป็นอีกหนึ่งธุรกิจไทยที่กำลังผงาดจากแรงขับเคลื่อนของตัวเลขภาคท่องเที่ยวไทยที่โดดเด่น

คุณณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการ บริษัท มาคาเลียส (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยว่า "มาคาเลียส เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจจำหน่าย Voucher ท่องเที่ยว ทั้งที่กินที่พักและกิจกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวครบวงจร โดยจำหน่ายในรูปแบบ E-Voucher ส่วนคำว่า 'มาคาเลียส' เป็นภาษาลิทัวเนีย"

สำหรับความเป็นมาก่อนมาเปิดบริษัทฯ นี้ คุณณีรนุช เล่าว่า เธอเคยเป็นนักข่าว และเป็นบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยว และครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปพบเจอบล็อกเกอร์ชาวลิทัวเนีย ที่มีแนวคิดอยากพาคนลิทัวเนียมาเที่ยวเมืองไทย ก็เลยจับมือกันพานักท่องเที่ยวชาวลิทัวเนียมาเที่ยวเมืองไทย โดยเริ่มจำหน่าย Voucher ในรูปแบบของกระดาษก่อน จากนั้นกค่อย ๆ พัฒนาลงทุนด้านไอที จนปัจจุบันกลายเป็น E-Voucher ที่ถูกจับตามอง

นอกจากนี้ มาคาเลียส ยังมีจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ลูกค้าติดใจ 3 เรื่อง ได้แก่...

1.การทำตลาด Voucher มีความยืดหยุ่นให้กับลูกค้ามากกว่าจะใช้เลยก็ได้หรือจะใช้ในอนาคตก็ได้ โดยการันตีราคาเท่าเดิมในวันที่ลูกค้าซื้อวันแรก แต่ถ้าเป็น OTAs (Online Travel Agency หมายถึง ผู้ให้บริการด้านการจองที่พักโรงแรมรวมถึงบริการด้านการท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการให้บริการให้สมาชิก) จะมีการปรับขึ้นปรับลงตามช่วงเวลา 

2.เน้นสร้างความคุ้มค่า โดย Voucher จะมีที่พักพร้อมอาหารและกิจกรรมเพิ่มเติมให้กับลูกค้า

3.มีช่องทางให้ลูกค้าที่ซื้อ Voucher ติดต่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ได้ตลอดเวลาสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้า

เมื่อถามถึงเทรนด์การท่องเที่ยวหลังโควิด-19 จะมีการเปลี่ยนแปลงไป คุณณีรนุช เผยว่า "ลูกค้าส่วนใหญ่มีการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ลดน้อยลง โดยลูกค้าวางแผนการท่องเที่ยวเองมากขึ้น มีอิสระมากขึ้น เที่ยวเองได้ ไม่จำเป็นต้องตื่นพร้อมกันเที่ยวพร้อมกัน คนอยากเที่ยวแบบมีการวางแผนล่วงหน้าและจะใช้วันหยุดให้คุ้มค่ามากที่สุด

"อย่างกลุ่มลูกค้าของมาคาเลียสส่วนใหญ่ ก็จะเป็นกลุ่มคนทำงานและอาศัยในกรุงเทพฯ เป็นหลัก ซึ่งเป้าหมายการเดินทางท่องเที่ยวจะไปจังหวัดใกล้ ๆ กรุงเทพฯ และเที่ยวบ่อยมากขึ้น ในทุกวันเสาร์-อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยการจอง Voucher ที่พัก อันดับหนึ่งคือ พัทยา, ชลบุรี ส่วนบุฟเฟต์ อันดับหนึ่ง คือ บุฟเฟต์ซีฟู้ดปู, อาหารทะเล และรองลงมาคือ บุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น"

เมื่อถามถึงกลยุทธ์สำคัญของมาคาเลียส คุณณีรนุช เผยว่า "เราใช้หลัก Customer Centric ในการยึดโยงลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง, การบริหาร, การพัฒนาแพ็กเกจ, ผลิตภัณฑ์, การบริการ เพื่อที่จะทำอย่างไรให้ถูกใจลูกค้าได้มากที่สุด

"ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบันมาคาเลียสได้พยายามเฟ้นหาและขยายพาร์ตเนอร์อย่างต่อเนื่อง เรามีพันธมิตรทางธุรกิจจากกลุ่มโรงแรมและร้านอาหารมากกว่า 300 ผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ลูกค้าต่อหนึ่งคนที่มีความหลากหลายในไลฟ์สไตล์ได้ครบจบ ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเที่ยวกับเพื่อน, เที่ยวกับครอบครัว, เที่ยวแบบคู่รัก โดยมีรูปแบบของ Voucher ที่สะท้อนต่อความต้องการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวที่มีความแตกต่างกันไป (ระยะเวลาการเปิดให้ใช้ Voucher ส่วนใหญ่จะมีเวลาให้ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน)

ทั้งนี้ในส่วนเป้าหมายรายได้ทางธุรกิจของมาคาเลียส ในปี 2566 ตั้งเป้าอยู่ที่ 120 ล้านบาท ภายใต้โอกาสและความท้าทายของตลาดท่องเที่ยวที่กำลังบูม

ผู้สนใจแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวของคนไทย ที่รู้ใจคนไทยรายนี้ สามารถเข้าไปคลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.makalius.co.th  

รู้จัก ‘ดอนพุด เอ็นเตอร์ไพรซ์' วิสาหกิจชุมชนแห่งสระบุรี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ด้วยพลังของทุกคน

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @ohmmypatcharapatch หรือ ‘นายอำเภอโอม’ นายอำเภอประจำอำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี ได้โพสต์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับ ‘ดอนพุด เอ็นเตอร์ไพรซ์’ โดยระบุว่า…

“ตัวอำเภอเองยังไม่สามารถหาเงินเหมือน นปต. ของเทศบาลได้ เพราะฉะนั้น ทางอำเภอจึงตั้งบริษัทบริษัทนึงขึ้นมา และบริษัทที่เรากำลังจะตั้งคือ ‘บริษัทดอนพุด เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด’ ซึ่งต่อจากนี้ผมจะเรียกย่อๆ ว่า ‘DE’ (Donphut Enterprise) ทั้งนี้ บริษัทฯ จะรับซื้อผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผักโมโรเฮยะ เห็ดมิลค์กี้ ยามาบูชิตาเกะ และข้าวเจ๊กเชยเสาไห้”

และหลังจากนั้นอีก 1 ปี บริษัทฯ จะแปลงร่างไปเป็น ‘บริษัทวิสาหกิจชุมชนเพื่อสังคม’ ลูกบ้านของพวกท่านทุกคนสามารถ ‘ถือหุ้น’ ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย บริษัทฯ นี้ จะกลายเป็นของ ‘คนดอนพุด’ ไม่ใช่แค่ของอำเภออีกต่อไป ใช้เวลาแค่ปีกว่าๆ ถ้าอำเภออยากติดแอร์ในห้องนี้ หรืออยากติดลำโพงใหม่ให้ดูสวยๆ หรืออยากทำเวทีให้มันดีๆ อยากทำโต๊ะประชุมให้มันสวยงาม สามารถขอเงินจาก ‘SE’ ได้เลย  

ร่วมโปรโมต ‘EV Smart Building’ ณ อาคารจอดรถรามาธิบดี-พลังงานบริสุทธิ์

(27 ก.ค. 66) สาวงามผู้เข้าประกวดเวทีนางสาวถิ่นไทยงาม กว่า 23 คน เดินสายร่วมโปรโมต ‘EV Smart Building’ by EA Anywhere อาคารต้นแบบแห่งแรกที่ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เป็นจำนวน 578 เครื่อง เดินหน้าส่งเสริมความยั่งยืนด้านพลังงาน ภายใต้แนวคิด ‘Sustainable Beauty’ พลังแห่งความงามที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมี ศ. นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยผู้บริหารกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ ให้การต้อนรับ ณ อาคารจอดรถรามาธิบดี - พลังงานบริสุทธิ์

อนึ่ง สำหรับประชาชนที่มารับบริการที่โรงพยาบาลรามาธิบดี สามารถนำรถยนต์ (เฉพาะรถยนต์เท่านั้น) เข้าจอดได้ที่อาคารจอดรถรามาธิบดี - พลังงานบริสุทธิ์ ได้ทุกวัน เวลา 05.00 - 21.00 น. โดยไม่สามารถจอดรถยนต์ค้างคืนได้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม www.eaanywhere.com

เดินเครื่องเต็มตัว ‘ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์’ ดวงแรกของไทย ไขความลับพลังงานสะอาด ต่อยอดวิทยาศาสตร์แห่งโลกอนาคต

เมื่อไม่นานนี้ ‘เตาปฏิกรณ์แบบโทคาแมค’ (Tokamak) หรือ ‘ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์’ รุ่นทดลองตัวแรกของไทย ได้เปิดทำงานอย่างเป็นทางการ ภายใต้ความร่วมมือกับจีน เตาปฏิกรณ์ฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันฟิสิกส์พลาสมา สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน (Institute of Plasma Physics of Chinese Academy of sciences : ASIPP) และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) ของไทย

เครื่องโทคาแมคเครื่องแรกของไทย มีชื่อว่า ‘Thailand Tokamak I’ หรือ ‘TT-1’ ถือเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันเครื่องแรกของไทย โดย สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ได้ทําการพัฒนาเครื่องโทคาแมค ชิ้นส่วนของเครื่องโทคาแมค HT-6M ที่ได้รับมอบจากสถาบันฟิสิกส์พลาสมา ประเทศจีน ตามข้อตกลงความร่วมมือที่ลงนามเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 โดย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดําเนินไปเป็นองค์ประธานการรับมอบชิ้นส่วนดังกล่าว เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2561 เพื่อใช้ศึกษาวิจัยพลาสมาอุณหภูมิสูงในการเรียนรู้เทคโนโลยีอวกาศและฟิวชัน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดสําหรับผลิตกระแสไฟฟ้าในอนาคต และนวัตกรรมที่ได้สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในด้านอุตสาหกรรม การเกษตร และด้านการแพทย์ ซึ่งจากการพัฒนาเครื่องโทคาแมคนี้จะทําให้ประเทศมีองค์ความรู้ และสามารถสนับสนุนงานด้านวิศวกรรมระบบรางของไทยในอนาคตได้อีกด้วย

พลังงานฟิวชัน นอกจากจะเป็นพลังงานที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังไม่ก่อให้เกิดฝุ่นควันและมลพิษที่เป็นอันตรายต่อผู้คน รวมถึงไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน อีกทั้งยังเป็นขุมพลังงานที่ยั่งยืน มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดสารกัมมันตภาพรังสีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศ จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติพลังงานและภาวะโลกร้อนในอนาคต ขณะที่เครื่องโทคาแมค เป็นเครื่องควบคุมการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากปฏิกิริยาฟิวชัน เลียนแบบการทำงานของดวงอาทิตย์ เป็นอุปกรณ์กักเก็บพลาสมาพลังงานสูงโดยใช้สนามแม่เหล็ก ซึ่งปลอดภัยและเป็นมิตรกับโลก โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมแก้ปัญหาพลังงานขาดแคลนที่กำลังจะเกิดขึ้น และเพื่ออนาคตของคนไทย

สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ได้เริ่มติดตั้งเครื่องโทคาแมคเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จตามแผน และได้ทดลองเดินเครื่องได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ ก่อนจะมีการเดินเครื่องอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2566 โดยภายใน 10 ปี จะมีการออกแบบและสร้างเครื่องโทคาแมคเครื่องใหม่ขึ้นมาเอง ตั้งเป้าหมายขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีฟิวชันและกำลังคนระดับสูงด้านเทคโนโลยีฟิวชันของอาเซียน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า “ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ดี คนไทยโดยทั่วไปไม่ค่อยตระหนักว่าประเทศไทยพัฒนาตนเองทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เป็นลำดับ ระยะหลังๆ พัฒนาได้เร็วขึ้นๆ เรามีเครื่องฉายแสงซินโครตรอน ที่มีอยู่แห่งเดียวในอาเซียน สิงคโปร์ก็ไม่มี เราเป็นชาติไม่กี่ชาติในเอเชียที่มีเครื่องฉายแสงซินโครตรอน ทำหน้าที่สร้างปฏิกิริยาฟิวชัน เป็นกระบวนการที่สร้างพลังงานมากมายมหาศาลแต่ว่าไม่มีกัมมันตรังสีที่เป็นพิษ หรืออาจจะมีก็น้อยมากๆ ไม่ได้อยู่ในระดับที่เราจะต้องกังวล เป็นปฏิกิริยาที่เกิดบนดวงอาทิตย์ทุกวันทุกคืนตลอดเวลา ดวงอาทิตย์ให้ความร้อนแก่โลกแก่จักรวาลก็เพราะปฏิกิริยาฟิวชันที่เกิดบนดวงอาทิตย์ แต่นั่นเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ มนุษย์พยายามที่จะทำเทคโนโลยีฟิวชัน และสามารถทำได้สำเร็จ ในอนาคตเราสามารถต่อสู้กับ Carbon Footprint ได้เพราะมีแหล่งพลังงานสะอาด ในโลกนี้มีประมาณ 40 กว่าประเทศที่ทำปฏิกิริยาฟิวชันได้ ในเอเชียมีจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี อิหร่าน ประเทศไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ทำฟิวชันได้”

สำหรับเครื่อง Thailand Tokamak I หรือ TT-1 เมื่อเดินเครื่องคาดว่าอุณหภูมิของพลาสมาในระยะแรกจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 องศาเซลเซียส สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ มีแผนพัฒนาระบบให้ความร้อนเสริมแก่พลาสมาด้วยวิธีการให้ความร้อนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อยกระดับอุณหภูมิของพลาสมาไปสู่ระดับ 1,000,000 องศาเซลเซียส และในอนาคตเมื่อเราสามารถออกแบบและสร้างเครื่องโทคาแมคเครื่องใหม่ขึ้นมาเองโดย จะใช้เทคโนโลยี Superconducting magnet เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กที่มีความเข้มสูงขึ้นสำหรับกักพลาสมาและการให้ความร้อนเสริมด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้าง พลาสมาที่มีอุณหภูมิสูงในระดับ 10,000,000 องศาเซลเซียสได้ เพื่อใช้เป็นพลังงานสะอาดในการผลิตกระแสไฟฟ้าในอนาคต และการนำพลาสมาไปใช้ในด้านอุตสาหกรรม การเกษตร การแพทย์ ฯลฯ นอกจากนี้ การพัฒนาเครื่องโทคาแมค-1 จะทำให้ประเทศมีองค์ความรู้และสามารถสนับสนุนงานด้านวิศวกรรมระบบรางของไทยได้ในอนาคตอีกด้วย

‘นายก อบจ.เชียงใหม่’ ชี้ ฝุ่นพิษส่งผลเสียหลายด้าน หวังภาคีเครือข่าย ‘หยุดเผา เรารับซื้อ’ ช่วยแก้ปัญหายั่งยืน

อย่างที่ทราบกันดีว่า ภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และบรรยากาศน่าอยู่ น่าท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แต่กว่าทศวรรษที่ผ่านมา ในช่วงหน้าแล้ง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายนของทุกปี ได้เกิดฝุ่นควันปกคลุม ทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในพื้นที่อย่างมาก

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (อบจ.เชียงใหม่) ยอมรับว่า ปัญหาฝุ่นควัน หรือ PM2.5 เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อจังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบนอย่างมาก ทั้งในด้านสุขภาพของประชาชนและความเสียหายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบด้านการท่องเที่ยว ซึ่งสร้างเม็ดเงินให้กับจังหวัดเชียงใหม่ ปีละหลายหมื่นล้านบาท 

ทั้งนี้ ในส่วนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ได้พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ร่วมมือกับทั้งภาคราชการและเอกชนในพื้นที่ เช่น แจกหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นพิษ และสนับสนุนอุปกรณ์ดับไฟป่า เป็นต้น โดยทาง อบจ.เชียงใหม่ ได้สนับสนุนงบประมาณราว 12 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม นายก อบจ. เชียงใหม่ มองว่า การแก้ปัญหาที่ผ่านมา เป็นการแก้ไขที่ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะฉะนั้น ในอนาคตจะต้องเข้าไปแก้ที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาไฟป่า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการกระทําของมนุษย์ ไม่ใช่เฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น แต่มีหลายจังหวัดรวมถึงต่างประเทศเพื่อนบ้านด้วย

“ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ในจังหวัดเชียงใหม่ในวันนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ด้วยการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานระดับจังหวัดเท่านั้น แต่ต้องได้รับความร่วมมือในระดับนานาชาติ และเป็นที่น่ายินดีว่า ขณะนี้ได้เกิดภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ขจัดฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นความความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน จัดทำโครงการ ‘หยุดเผา เรารับซื้อ’ เพื่อลดการเผาตอซังข้าวโพด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยลดการเผาป่าได้อย่างยั่งยืน”

BullMoon Exclusive เปิดหลักสูตรการลงทุน รุ่น 2 ไขความลับความมั่งคั่งผ่าน Passion โดย ‘วิชัย ทองแตง’

#ประชาสัมพันธ์ #ขยายกำแพงแห่งการลงทุน

#วิชัยทองแตง
หลายคนคุ้นชื่อนักลงทุนหมื่นล้านชื่อดัง ที่ผันตัวจากทนายความสู่นักลงทุน จนได้ฉายาว่า ‘พ่อมดตลาดหุ้น’ ท่านนี้

คุณวิชัย ลงทุนและบริหารบริษัทมหาชนหลายบริษัท ถือเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลและเป็นที่เคารพของคนในวงการมายาวนาน

แต่ในช่วงหลายปีมานี้ งานและการลงทุนของคุณวิชัยได้เปลี่ยนไปด้วย Passion ใหม่ ท่านออกจากงานบริหารในหลายบริษัท เพื่อมาโฟกัสใน Passion ใหม่นี้ 

ในหลักสูตร BullMoon Exclusive รุ่น 2 เราจะได้ฟังวิสัยทัศน์ และแนวคิดในการลงทุนใหม่ๆ ของคุณวิชัย ซึ่งจะมีโอกาสอะไรบ้าง ที่คุณวิชัยเห็น และจะมาแบ่งปันให้เราแบบ Exclusive รอฟังได้เลยในรุ่นนี้เลย

ดูรายละเอียดได้ที่ 👉 https://bit.ly/3Ybxkqn

มาเปิดโลก เปิดโอกาสการลงทุน ในหลักสูตร BullMoon Exclusive 

#รุ่น2เปิดรับสมัครแล้ว
เริ่มเรียน 17 ส.ค.นี้

สอบถามหรือขอความช่วยเหลือ
🟢 Line : @‌stock2morrow
📞 โทร : 09 0980 2196
-----
#BullMoonExclusive #BridgeYourInvestment #หุ้น #อสังหาฯ #digitalassets


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top