Tuesday, 13 May 2025
Econbiz

‘รัฐบาล’ หนุน ‘การท่องเที่ยวเชิงรุก’ เจาะตลาด ‘ยุโรป-สหรัฐฯ-ตะวันออกกลาง’ กระตุ้นรายได้จากตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้า!! 1.62 ล้านล้านบาท ภายในปี 66

(7 ก.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลปรับแผนยุทธศาสตร์การทำงานเพื่อให้เป็นไปตามสถานการณ์ตลาดอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางแผนสนับสนุนตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะ จากยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลางให้เข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น กระตุ้นรายได้ตลาดการท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้ถึงเป้าหมายที่คาดการณ์ มูลค่ารวม 1.62 ล้านล้านบาท ในปี 2566

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น แบ่งเป็นตลาดการท่องเที่ยวระยะใกล้ และ ตลาดการท่องเที่ยวระยะไกล โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 มีนักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางเข้าไทย 2,933,660 คน อเมริกา 620,474 คน ตะวันออกกลาง 231,206 คน ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long haul) จากยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว รวมถึงเวลาที่พำนักอยู่มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ

โดยจากข้อมูลการวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศปี 2566 ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-มีนาคม) พบว่านักท่องเที่ยวจากยุโรป มีวันพักเฉลี่ย 19.40 วัน ใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 71,718 บาทต่อทริป นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง มีวันพักเฉลี่ย 16.17 วัน ใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 99,172 บาทต่อทริป และนักท่องเที่ยวจากอเมริกา มีวันพักเฉลี่ย 15.26 วัน ใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 76,297 บาทต่อทริป ด้วยปัจจัยการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง เมษายน-ตุลาคม ปีนี้ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จึงเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล จำนวนเกิน 7 ล้านคน ในปี 2566 สร้างมูลค่า 6.6 แสนล้านบาท 

นอกจากนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยวางแผนเปิดสำนักงานใหม่ที่ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา เพิ่มเติมจากเดิมที่มีสำนักงานอยู่ที่เมืองนิวยอร์ก และเมืองลอสแอนเจลิส โดยทำการตลาดด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติมในตอนกลางของอเมริกา และพื้นที่ตลาดแคนาดา เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวแบบเช่าเหมาลำมากขึ้น และตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางจะเปิดสำนักงานใหม่ ที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย เพื่อรุกทำตลาดนักท่องเที่ยวซาอุดีฯ อย่างเต็มที่ พร้อมดูแลและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น แอฟริกาตอนเหนือ ซึ่งมีความใกล้เคียงกันในเชิงวัฒนธรรมกับตลาดซาอุดีฯ ทั้งนี้ ตลาดซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยสถิติในช่วงวันที่ 1 มกราคม-10 กรกฎาคม 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสม 75,652 คน มากเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย โดยนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2565

“รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่มาอย่างต่อเนื่อง ประเมินตลาด ปรับเปลี่ยนการทำงาน พร้อมทั้งจัดกิจกรรมและนิทรรศการ ที่รองรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งปี ทั้งนี้ เพื่อให้ไทยอยู่ในกระแสความนิยมของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงพัฒนาแนวทางการท่องเที่ยวอย่างสมดุล และยั่งยืน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ ของประเทศอีกด้วย” น.ส.รัชดาฯ กล่าว

'เซ็นทรัลฯ' ลุยปรับโฉมร้าน Family Mart พลิกโฉมเป็น Tops Daily ยัน!! แม้จะมีการเปลี่ยนชื่อร้านแล้ว แต่ 'โอเด้ง' ยังมีขายตามปกติ

เมื่อไม่นานมานี้ เซ็นทรัล รีเทล หรือ CRC ผู้บริหารเชนร้านสะดวกซื้อ Family Mart เริ่มทยอยปรับโฉมและเปลี่ยนชื่อร้าน Family Mart เป็น Tops Daily แล้ว เช่นสาขาในย่านปิ่นเกล้า ทั้งการเปลี่ยนป้ายหน้าร้าน และประโยคต้อนรับลูกค้าของบรรดาพนักงาน

อย่างไรก็ตาม สำหรับแฟนสินค้าเด่นของ Family Mart อย่าง ‘โอเด้ง’ ยังสบายใจได้ เนื่องจากพนักงานของร้านยืนยันว่า แม้จะมีการเปลี่ยนชื่อร้านแล้ว แต่โอเด้งยังมีขายตามปกติ

การเปลี่ยนแปลงนี้ คาดว่าเป็นไปตามแนวทางที่ CRC ประกาศเมื่อช่วงต้นปี 2566 นี้ ว่าจะปรับกลยุทธ์ของธุรกิจค้าปลีก ด้วยการใช้แบรนด์ Tops เป็นแกนกลาง ขณะเดียวกันความต้องการของผู้บริโภคยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย

โดยนายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล กล่าวในขณะนั้นว่า เทรนด์ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อในไทยเปลี่ยนแปลงไป ตลาดต้องการร้านที่ขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ร้าน Family Mart ซึ่งมีพื้นที่เฉลี่ย 120 ตร.ม. ไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ต่างจากร้านในแบรนด์ Tops ที่มีขนาดพื้นที่ร้านประมาณ 250-300 ตารางเมตร จึงมีความหลากหลายของสินค้ามากกว่า

พร้อมกันนี้ เซ็นทรัล รีเทล ยังปรับยุทธศาสตร์ด้านแบรนด์ด้วยการโฟกัสการใช้แบรนด์ Tops กับธุรกิจต่าง ๆ ในกลุ่มสินค้าอาหารเพื่อสร้างการจดจำ เช่น Tops, Tops Food Hall, Tops Fine Food, Tops Club และ Top Daily

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ร้าน Family Mart ในไทยมีสาขาลดลงต่อเนื่องจากจำนวนประมาณ 1,000 สาขา เมื่อปี 2560-2561 แต่ในช่วงปี 2564 ลดเหลือ 805 สาขา และปัจจุบันข้อมูลบนเว็บไซต์ของเซ็นทรัล รีเทล ระบุว่า บริษัทมีร้านสะดวกซื้อ 409 สาขา

สำหรับเส้นทางธุรกิจร้าน Family Mart ในประเทศไทยนั้น Family Mart เป็นร้านสะดวกซื้อสัญชาติญี่ปุ่น ภายใต้การบริหารของแฟมิลี่มาร์ทกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท อิโตชู จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาเปิดสาขาแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2536 ที่พระโขนง ตามด้วยสาขา 2 ที่สีลม ต่อมาเปิดสาขาแฟรนไชส์แห่งแรกที่เสนานิเวศน์ ก่อนจะมีสาขาครบ 100 สาขา ในธันวาคม 2542 ด้วยการเปิดสาขาลาดพร้าว 35 ตามด้วยสาขาในต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในจังหวัดชลบุรี คือ สาขาพัทยาวงศ์อมาตย์

สำหรับหนึ่งในสินค้าฮิตอย่างโอเด้งนั้น เริ่มขายใน 10 สาขาเมื่อสิงหาคม 2549 จากนั้น Family Mart เดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง โดยมีสาขาครบ 500 สาขาในปี 2551 และครบ 600 สาขา ในปี 2553 จากนั้น ปี 2555 เมษายนจึงเปิดสาขาลำดับที่ 700 และเปิดสาขาลำดับที่ 800 เมื่อปี 2556

ขณะเดียวกันบริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอรร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมเซ็นสัญญาลงนามในสัญญาร่วมทุน กับ บริษัท แฟมิลี่มาร์ท จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2555 และต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัดเมื่อปี 2556

ต่อมาในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด บริษัทย่อยของ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด ในอีก 49.00% ที่เหลืออยู่จาก แฟมิลี่มาร์ท ประเทศญี่ปุ่น ทำให้แฟมิลี่มาร์ทในไทยเหลือสถานะเพียงแฟรนไชส์ของแฟมิลี่มาร์ทญี่ปุ่น

‘เครดิตบูโร’ เปิด ‘หนี้เน่า’ ไตรมาส 2  ตัวเลขทะลุ 1 ล้านล้าน หนี้รถยนต์พุ่ง 18%

เครดิตบูโร เปิดข้อมูลหนี้เสีย ไตรมาส 2 พุ่งทะลุ 1ล้านล้าน จากไตรมาสแรกที่ 9.5 แสนล้าน คาดหนี้เสียเพิ่มต่อตัวต่อเนื่องหลังจากนี้ จากเศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เต็มที่ ห่วงหนี้เสียรถยนต์พุ่ง 2 แสนล้าน เพิ่มขึ้นถึง 18%

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับ หนี้เสีย, หนี้มีปัญหา, หนี้ NPLs, หนี้ปรับโครงสร้าง โดยระบุว่า 

1. ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 จากการประมวลผลจากฐานข้อมูลสถิติที่เอาตัวตนออกไปแล้วของเครดิตบูโรพบข้อเท็จจริงว่า หนี้ครัวเรือนไทยทั้งก้อนหลังการปรับปรุงข้อมูลโดย ธปท. เรามีตัวเลขอยู่ที่ 15.96 ล้านล้านบาทคิดเป็น 90.6% ของ GDP ที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจของเรามีปัญหาในเรื่องนี้ 

“เรามีปัญหาแล้ว เรามีปัญหาอยู่เรามีปัญหาต่อ (อีกซักพัก) เรายังออกจากกับดักตรงนี้ไม่ได้ในเวลานี้”

2. ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทย 13.45 ล้านล้านบาทจัดเก็บอยู่ในระบบของเครดิตบูโรครับ ครอบคลุม 32 ล้านลูกหนี้ที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงินไทยกว่า 135 แห่ง

หนี้เสียไปแล้วรอการแก้ไขในตอนนี้กลับมาแตะระดับ 1 ล้านล้านบาทอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2566 ที่ระดับ 1.03 ล้านล้านบาทคิดเป็น 7.7% เมื่อไตรมาส 1 ปี 2566 มันอยู่ที่ 9.5 แสนล้านบาทครับ คำถามคือมันจะไปต่อหรือไม่ คำตอบคือมันต้องไปต่อแน่ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจแบบยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และทั่วถึง

ประกอบกับจะมีการชักคืนมาตรการช่วยเหลือออกตามแผน แล้วกลับไปใช้มาตรการตามปกติเดิมมารองรับ ตามการคาดการณ์จะไม่ไหลมาแบบรุนแรง แต่มีโอกาสเพิ่มแน่ ๆ ท่านที่สนใจพิจารณาได้จากกราฟสีแดงที่ปรากฏในภาพด้านล่างนะครับ

หนี้ตัวที่สองคือหนี้เสียที่เอาไปปรับโครงสร้าง เอาไปซ่อม เพื่อให้กลับมาเป็นหนี้ดี จ่ายได้ ตรงนี้มีจำนวน 9.8 แสนล้านบาทครับ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่อยู่ที่ระดับ 8 แสนล้านบาท

แน่นอนว่ามาจากการเร่งเข้าไปช่วยเหลือ, ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการที่ออกแบบมาโดย ธปท. 
ทุกท่านที่สนใจดูได้จากเส้นสีดำนะครับ ดูว่ากราฟมันเชิดหัวขึ้น ถ้าปรับแล้วรอดก็เป็นหนี้ดี, ถ้าปรับแล้วทำไม่ได้ ยังจ่ายไม่ได้ก็ต้องปรับอีกหรือปล่อยไหลเป็นหนี้เสีย

3. ไส้ในของหนี้ที่เสียไปแล้วหรือหนี้ NPLs ประกอบด้วย หนี้กู้ซื้อรถยนต์เกือบ 2 แสนล้านบาท หนี้กู้ซื้อบ้าน ที่อยู่อาศัย 1.8 แสนล้านบาท หนี้ Ploan 2.5 แสนล้านบาท บัตรเครดิต 5.6 หมื่นล้านบาท หนี้เกษตร 7.2 หมื่นล้านบาท เป็นต้น ที่น่าสังเกตคือหนี้กู้มาซื้อรถยนต์นั้นมันเพิ่มขึ้นจากกลางปีที่แล้ว มิถุนายน 2565 สูงถึง 18% อันนี้ต้องยอมรับว่ากลิ่นไม่ค่อยดี

แม้ว่าทุก ๆ คนกำลังรอกลิ่นแห่งความเจริญงอกงามทางเศรษฐกิจในอนาคตตามที่แต่ละคนวาดหวังแต่กลิ่นแห่งความเป็นจริงวันนี้และในระยะอันใกล้มันส่งผ่านตัวเลขออกมาแบบทำให้ไม่สบายใจ ไม่สบายเนื้อสบายตัวเอาเสียเลยในเวลานี้

เส้นกราฟสีเหลืองคือหนี้ที่กำลังจะเสีย หนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษ หนี้ SM กราฟปักหัวลงจาก 6 แสนล้านบาท มาเป็น 4.75 แสนล้านบาท พระเอกยังคงเป็นหนี้กู้มาซื้อรถยนต์นะครับ 2 แสนล้านบาท

หนี้เสียต้องเร่งแก้ไข เริ่มต้นได้อย่างไรให้ยั่งยืน มาตรการที่ช่วยให้ยืน จะต้องคืนในปลายปี แล้วชีวีตจะเดินไปอย่างไร

‘บิ๊กป้อม’ ย้ำ ‘ทส.’ ดูแล-ปกป้องสิ่งแวดล้อม คืนอากาศบริสุทธิ์ หนุนยกระดับท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

(9 ส.ค. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ที่ประชุมได้มีการพิจารณา เห็นชอบประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม 3 พื้นที่ (จ.กระบี่, จ.พังงา และ จ.สุราษฎร์ธานี) เพื่อควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม และให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างเท่าเทียม และได้เห็นชอบรายงาน EIA งานก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า จ.กาญจนบุรี ตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 2 รวมทั้งงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้ารองรับนิคมอุตสาหกรรม จ.กาญจนบุรี และเห็นชอบ EIA โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ปาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ลำปาง เพื่อจัดหาแหล่งน้ำให้กับราษฎร บรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตร และอุปโภคบริโภค

นอกจากนั้น ยังได้เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการเฝ้าระวังป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษอันเกิดจาก พีเอ็ม 2.5 ตั้งแต่ระยะเตรียมการ ระยะเผชิญเหตุ และระยะบรรเทา รวมถึงมาตรการตลอดทั้งปี เพื่อให้ทุกหน่วยงานบูรณาการแก้ปัญหาพีเอ็ม 2.5 ในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพในปีต่อไป

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับให้ ทส.และผู้เกี่ยวข้อง กำกับ ติดตามการดำเนินงานของเจ้าของโครงการที่ผ่านความเห็นชอบรายงาน EIA แล้ว โดยให้มีการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด พร้อมได้กล่าวชื่นชม ทส.และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ทุ่มเท เสียสละการทำงานอย่างเต็มที่ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล มีธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษที่เป็นภัยต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้เดินทางมายังประเทศไทยซึ่งมีจำนวนมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ จากรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมากในขณะนี้

‘พาณิชย์’ เล็งส่งสินค้าสูตรโซเดียมต่ำตีตลาดญี่ปุ่น สอดรับนโยบาย รบ.ญี่ปุ่น รณรงค์ลดบริโภครสเค็ม

(10 ส.ค. 66) นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าจากการติดตามสถานการณ์การค้าในต่างประเทศ ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาโดยต่อเนื่องนั้น ล่าสุดได้รับรายงานจากนายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถึงสถานการณ์สินค้าอาหารในญี่ปุ่น

โดยทูตพาณิชย์รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ได้ตั้งเป้าปริมาณการบริโภคเกลือของประชากรอายุ 20 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 7.0 กรัมต่อวัน ในปี 2567 ซึ่งเป็นเป้าหมายภายใต้โครงการ ‘ญี่ปุ่นสุขภาพดี 21’ หลังจากการสำรวจสุขภาพและโภชนาการของประชาชน พบว่า คนญี่ปุ่นบริโภคเกลือเฉลี่ยวันละ 10 กรัม ซึ่งเป็นสองเท่าของปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ โดยร้อยละ 70 ของการบริโภคเกลือของคนญี่ปุ่นมาจากเครื่องปรุง ไม่ว่าจะเป็น ซอสโชยุ เต้าเจี้ยวมิโซะ เกลือ ซุป ซอสต่างๆ ฯลฯ แหล่งการบริโภคเกลือของกลุ่มผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุบริโภคเกลือจากผักดอง กลุ่มคนหนุ่มสาวบริโภคเกลือจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องแกงกะหรี่ ซึ่งเป็นสินค้าอาหารแปรรูป เป็นต้น จึงคาดการณ์ได้ว่า สินค้าอาหารแปรรูปลดเกลือมีแนวโน้มความต้องการของตลาดสูงขึ้นในอนาคต

ซึ่งการบริโภคเกลือปริมาณมากเกินไปยังเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญในด้านความยั่งยืนของระบบประกันสังคม ซึ่งคนญี่ปุ่นช่วงอายุ 40 - 59 ปี 1 ใน 3 คน และคนที่อายุมากกว่า 60 ปี 1 ใน 2 คนเป็นโรคความดันสูง

นอกจากนี้ ในอดีตคนญี่ปุ่นเป็นเส้นเลือดในสมองตีบหรืออุดตันจำนวนมาก โดยมีสาเหตุจากการบริโภคเกลือมากเกินไป ความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย ฯลฯ การแก้ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาล ภาคเอกชน อาทิ ผู้ผลิตอาหาร ร้านอาหาร ฯลฯ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตอาหารของญี่ปุ่นพยายามวิจัยและพัฒนาสินค้าอาหารลดเกลือภายใต้คอนเซปต์ ‘อร่อย สุขภาพดี สะดวก’ สินค้ามีความหลากหลายออกจำหน่ายมากขึ้น ภายในซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งมีชั้นวางสินค้าที่รวบรวมสินค้าเหล่านี้เอาไว้โดยเฉพาะ แสดงให้เห็นถึงความสนใจของผู้บริโภคต่อสินค้าเกลือต่ำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดในการบริโภคเกลือ

“ประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าอาหารสำคัญของญี่ปุ่น หากผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตอาหารแปรรูปหรือวัตถุดิบที่ตรงกับความต้องการและแนวทางการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็อาจได้รับความสนใจจากผู้ซื้อมากยิ่งขึ้นและเป็นโอกาสในการขยายตลาดและมูลค่าการส่งออกสู่ประเทศญี่ปุ่นต่อไป” นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปญี่ปุ่นแล้วมูลค่ากว่า 59,243 ล้านบาท 

‘บิ๊กตู่’ ปลื้มใจ!! อนุมัติลงทุนใน EEC ทะลุ 2 ลลบ. มั่นใจช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สังคม-พัฒนาชีวิต ปชช.

(10 ส.ค. 66) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความสำคัญและความสำเร็จการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีการลงทุนเกินเป้าหมายที่วางไว้ โดยวางเป้าหมายมูลค่าการลงทุนที่ 1.5 ล้านล้านบาท แต่อนุมัติการลงทุนแล้วถึง 2 ล้านล้านบาท และเป็นการลงทุนที่ส่วนใหญ่มาจากเอกชน

ความสำเร็จของ EEC ในช่วงเวลาที่ผ่านมา การลงทุนปี 2561 - ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ในส่วนของมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น มีจำนวนถึง 1,360,349 ล้านบาท โดย 3 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศ/เขตบริหารพิเศษ ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และฮ่องกง

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F

การพัฒนา EEC ให้เป็นต้นแบบพัฒนาเชิงพื้นที่ที่สมบูรณ์แบบเป็นเป้าหมายของนักลงทุน ช่วยผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีกรอบการพัฒนา คือ ‘Ecosystem’ พัฒนาระบบนิเวศรองรับการเติบโตในทุกมิติ ให้เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย การประกอบธุรกิจ รวมถึงการพัฒนาเมือง และการยกระดับชีวิต ความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างยั่งยืน ‘Exclusive’ กำหนดสิทธิประโยชน์และมาตรการพิเศษ ในการชักชวนการลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับจากโครงการการลงทุนนั้น ๆ และ ‘Collaborative’ บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการทำให้การลงทุน เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณการทำงานของรัฐบาล ทุกหน่วยงานที่ร่วมมือกันจนเห็นความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ EEC ไม่ใช่เพียงความสำเร็จด้านโครงสร้างความเชื่อมโยง แต่รวมถึงการลงทุนจำนวนมาก มากกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งเห็นความสำเร็จถึงประโยชน์ที่ส่งตรงถึงคนไทย พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน สร้างงาน พัฒนาการศึกษา นวัตกรรม โดยไม่มองข้ามการพัฒนาอย่างสมดุล ยั่งยืน นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า EEC ที่รัฐบาลภูมิใจ ให้ความสำคัญในการดำเนินการตลอดมานั้น จะเกิดประโยชน์ถึงประชาชนทุกคน

‘รมย์ คอนแวนต์’ เปิดห้องซีรีส์ใหม่ 4 รูปแบบ หลังกวาดยอดขาย 1,400 ลบ. เน้นเรียลดีมานด์ ห้องใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน ชวนสัมผัสประสบการณ์ A Life Retreat Exhibition 8 ส.ค. - 22 ก.ย.นี้

บมจ.พราว เรียล เอสเตท (PROUD) เปิด 'รมย์ คอนแวนต์' เผยโฉมคอนโด Luxury Wellness แห่งแรกใจกลางเมืองบน ถ.คอนแวนต์-สาทร โชว์ห้องซีรีส์ใหม่ “ไซส์ใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน” ฟังก์ชั่นหลากหลาย ตอบรับเรียลดีมานด์ แถมอัดโปรโมชั่นแรงรับตั๋วเครื่องบินเที่ยวยุโรป ส่วนลดมูลค่ารวมกว่า 800,000 บาท หลังกวาดยอดขาย 1,400 ล้านบาท พร้อมจัดงาน A Life Retreat Exhibition นิทรรศการที่จะพาคุณรื่นรมย์ไปกับ 5 สัมผัส และการพักผ่อนเหนือระดับในที่พักอาศัยใจกลางเมือง ตั้งแต่ 8 ส.ค. - 22 ก.ย.นี้

นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  หลังจากเปิดตัวโครงการ รมย์ คอนแวนต์ Luxury Wellness Condominium แห่งแรกใจกลางเมืองบน ถ.คอนแวนต์-สาทร มีกระแสตอบรับดีเกินคาด หลังกวาดยอดขาย 1,400 ล้านบาท โดยเฉพาะห้องขนาดใหญ่อย่าง Sky Villa และห้อง 3 ห้องนอน เราเลยเข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัย ว่าต้องการใช้ชีวิตในห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทางโครงการจึงตอบสนองความต้องการของกลุ่มเรียลดีมานด์ โชว์ห้องซีรีส์ใหม่ 4 รูปแบบ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ เพดานสูงโปร่ง ฟังก์ชั่นหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ถือเป็นห้องรูปแบบ 2 และ  3 ห้องนอนขนาดใหญ่ที่หาได้ยาก และกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากในขณะนี้ ประกอบด้วย 

• LA FORÊT VILLA: ห้องขนาด 128 ตรม. ชั้น 3-11 ถือว่าเป็น Rare item ห้องสวยของโครงการ รับวิว 270 องศาที่เน้นให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ชิดกับธรรมชาติรายล้อมด้วยความเขียวชอุ่มจากยอดไม้ที่ได้จากพื้นที่สวนด้านล่างของโครงการ และสวนโดยรอบฝั่งโบสถ์คริสต์และอุโมงค์ต้นไม้ตลอดซอยคอนแวนต์  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากในราคาคุ้มค่า

• 2 BEDROOM PLUS: ห้องขนาด 119.49 ตร.ม. ชั้น 3-20 เป็นรูปแบบ 2 ห้องนอนและ 1 ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ยืดหยุ่นต่อความต้องการของสมาชิกในครอบครัว 
• JUNIOR PENTHOUSE: ห้องขนาด 181.65 ตร.ม. ชั้น 23-27 ออกแบบสำหรับครอบครัวใหญ่ให้คุณได้สัมผัสความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และความลงตัวของทุกห้องที่สามารถชมวิวได้ในทุก ๆ ห้อง และเพิ่มพื้นที่ด้วยทางเข้าออกห้องแบบ 2 ทางแยกกัน แถมสิทธิจอดรถได้ถึง 3 คัน 
• PENTHOUSE 1-2: ห้องขนาด 418.61 - 469.85 ตร.ม. บนชั้น 28 - 29 จัดมาเพื่อความพิเศษที่สุดของความเหนือระดับ ด้วยพื้นที่การใช้งาน 2 ชั้นและสวนส่วนตัวลอยฟ้ารับวิวได้สุดสายตา แบ่งฟังก์ชั่นใช้งานไว้อย่างลงตัว พร้อมผู้เชี่ยวชาญให้ออกแบบตกแต่งเพิ่มเติมโดย PIA

ช่วง Grand Opening ยังมีโปรโมชั่นพิเศษมอบตั๋วเครื่องบิน กทม.-ยุโรป และส่วนลดสูงถึง 800,000 บาท พร้อมจัดงาน "A Life Retreat Exhibition" นิทรรศการที่จะพาคุณรื่นรมย์ในชีวิตผ่าน 5 สัมผัส SEE SOUND SCENT SENSE TOUCH ในโครงการ 'รมย์ คอนแวนต์' (ROMM Convent) สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ – 22 มิ.ย. 66

'รมย์ คอนแวนต์' เป็นคอนโด Luxury Wellness ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท ด้วยคอนเซปต์ CBD Retreat Residences ที่เน้นเชื่อมโยงให้ผู้อาศัยสัมผัสรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากกว่าได้ไปพร้อมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาว ไปกับการใช้ชีวิตใจกลางเมืองได้อย่างเต็มที่แต่ยังคงสามารถเข้าถึงการพักผ่อนเหนือระดับได้เมื่อเดินทางกลับมาที่รมย์ คอนแวนต์ ด้วยการออกแบบทุกพื้นที่ในห้องพัก Wellness Facilities บนพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2,000 ตร.ม. และบริการดูแลสุขภาพระดับบ VVIP จากโรงพยาบาล BNH, แอปพลิเคชั่น Bedee by BDMS และ Proud Health Butler 

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการรมย์ คอนแวนต์ (ROMM CONVENT) เว็บไซต์: https://bit.ly/RommConvent  , Facebook: https://bit.ly/fbproudrealestate หรือ โทร 02-026-8999

APCO โชว์งบครึ่งปีแรกโตดี รายได้ 151.67 ล้านบาท กำไรโต 80.71% Q3/66 แตกไลน์อาหารเสริมบำรุงสมอง ยอดส่งออกวัฒนชีวาเพิ่ม

APCO เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 151.76 ล้านบาท กำไร 58.42 ล้านบาท โต 80.71% ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์โตตามเป้า ทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2566 แนวโน้มดีต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์เรือธงหนุนยอดขาย แตกไลน์อาหารเสริมบำรุงสมอง ยอดส่งออกวัฒนชีวาเพิ่ม 

ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 151.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 113.91 ล้านบาท จำนวน 37.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.22% และมีกำไรสุทธิ 58.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32.33 ล้านบาท จำนวน 26.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 80.71% 

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 68.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 57.87 ล้านบาท จำนวน 10.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.54 % และมีกำไรสุทธิ 25.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.01 ล้านบาท จำนวน 8.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47.66%

ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะนวัตกรรมวัฒนชีวาย้อนวัยชะลอวัย

สำหรับทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2566 แนวโน้มเติบโตดี จากผลิตภัณฑ์เรือธง ได้แก่ ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง ภูมิคุ้มกัน HIV/AIDS และนวัตกรรมย้อนวัยชะลอวัย รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ที่คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ บริษัทเริ่มทดลองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ MMM เสริมสร้างบำรุงระบบสมอง ในช่องทางที่เหมาะสมที่สุด โดยคาดว่าจะได้กระแสตอบรับที่ดี ซึ่งจากการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายพบว่ามีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ 

อีกทั้ง ได้รับคำสั่งซื้อล็อตแรกกว่า 10,000 ขวด จากผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ย้อนวัย 'วัฒนชีวา' ภายใต้แบรนด์ Youthlocked และ Youthlocked A เพื่อจัดจำหน่ายใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม 

PPS เผยงบครึ่งปีแรกรายได้ 207.36 ล้านบาท โต 1.99% เล็งธุรกิจรักษ์โลกต่อยอดเติบโต เล็งจับมือแบรนด์ดัง ดีไซน์วิลล่าหรูโครงการยามู

PPS เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้ 207.36 ล้านบาท โต 1.99% ทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง เล็งธุรกิจรักษ์โลกเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ยั่งยืน ด้านโครงการยามู วิลล่าหรูอัลตร้าลักซ์ชัวรี่จ. ภูเก็ต จับมือแบรนด์ระดับโลกร่วมออกแบบ

ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 บริษัทมีรายได้รวม 207.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวม 203.31 ล้านบาท จำนวน 4.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.99% และมีขาดทุนสุทธิ 5.27 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.51 ล้านบาท  อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรขั้นต้น 50.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 47.16 ล้านบาท จำนวน 3.14 ล้านบาท จากการควบคุมต้นทุนที่ดี

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2/2566 บริษัทมีรายได้รวม 105.15 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวม 106.04 ล้านบาท จำนวน 0.89 ล้านบาท หรือลดลง 0.84% และมีขาดทุนสุทธิ 6.63 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 8.30 ล้านบาท จำนวน 14.93 ล้านบาท 

ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรับรู้รายได้โครงการควบคุมงานระยะสั้นจากภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทสามารถส่งมอบงานได้เร็ว ขณะที่กำไรสุทธิลดลงเนื่องจาก การตั้งคืนรายได้ของ บริษัท โปรเจคท์ ทรี เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ที่มีการปรับการรับรู้รายได้เงินในงวดสุดท้ายของการส่งมอบงานรับเหมาก่อสร้างบ้าน งวดสุดท้ายของบ้านวิลล่าที่ภูเก็ต

สำหรับทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2566 คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกระแสเงินสดของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัทมีแผนชำระคืนเงินกู้ต่อเนื่อง เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย

ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้าง มีแนวโน้มชะลอตัวจากงบการลงทุนภาครัฐที่ล่าช้า ส่งผลให้ภาคเอกชนชะลอลงทุนตาม อย่างไรก็ตาม บริษัทวางแผนเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ประจำ โดยการเป็นตัวแทนจำหน่ายแอปพลิเคชัน KANNA ที่ใช้ในการบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้างให้กับโครงการของลูกค้าอื่นๆ  รวมถึงนำมาให้บริการลูกค้าของ PPS 

นอกจากนี้ บริษัทวางแผนทำธุรกิจรักษ์โลกเพื่อต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อต่อยอดจากธุรกิจการก่อสร้างอย่างยั่งยืน โดยเพิ่มทุนในบริษัทย่อย เพื่อดำเนินการตรวจวัด และการรับรองคาร์บอนเครดิต รวมไปถึงการวางแผนการลดคาร์บอนและจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ EV charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องเพื่อทำให้เกิดธุรกิจความยั่งยืนที่ครบวงจรอีกด้วย

ด้านโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทอัลตร้าลักซ์ชัวรี่วิลล่าในที่ดินแหลมยามูจ.ภูเก็ต (Headland Cape Yamu) ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 หลัง โดยมีแผนที่จะร่วมออกแบบตกแต่งวิลล่าร่วมกับ หนึ่งในแบรนด์ระดับโลก เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างภาพลักษณ์ของวิลล่า ตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อระดับบน  พร้อมทั้งปรับราคาขายเริ่มต้นที่ 350 ล้านบาท โดยตั้งเป้าปิดการขายปีนี้อย่างน้อย 1 หลัง

‘รัฐบาล’ ประกาศลดขั้นตอนวีซ่า อำนวยความสะดวก แก่ นทท. หลังยอด นทท.6 เดือนแรกพุ่ง โกยรายได้กว่า 6 แสนล้านบาท

(10 ส.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไทยมีมากต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว 31 ก.ค.- 6 ส.ค. เฉลี่ยวันละ กว่า 8 หมื่นคน

โดยยอดนักท่องเที่ยวสะสมแตะ 16 ล้านคนแล้ว พบ 5 ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยจำนวนสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานสนับสนุนนโยบาย อำนวยความสะดวก กระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยว

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา เกิดการสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 663,862 ล้านบาทโดย นักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย 2,513,520 คน จีน 1,935,241 คน เกาหลีใต้ 945,217 คน อินเดีย 913,479 คน และรัสเซีย 869,998 คน

สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากจีน เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด จำนวน 95,581 คน รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย 73,810 คน เกาหลีใต้ 37,754 คน อินเดีย 27,707 คน และเวียดนาม 25,717 คน สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เพิ่มความสะดวกในการขอรับการตรวจลงตรา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งได้มีการลดขั้นตอนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว โดยได้ปรับลดเอกสารประกอบการยื่นขอรับการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวพร้อมกับลดระยะเวลาการพิจารณาการตรวจลงตราเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่

1.) ลดเอกสารประกอบการยื่นขอรับการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวเหลือเพียง 6 รายการ ประกอบด้วย หน้าหนังสือเดินทาง, รูปถ่าย, บัตรโดยสารเครื่องบิน, ที่พัก, เอกสารยืนยันที่อยู่ และหลักฐานทางการเงิน 

2.) ลดระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติการตรวจลงตราจาก 14 วันทำการเหลือ 7 วันทำการ

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำระบบเชื่อมโยงข้อมูลตรวจสอบเอกสารประกอบการขอรับการตรวจลงตรา ซึ่งจะช่วยให้การตรวจสอบและการพิจารณาอนุมัติการตรวจลงตรามีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลอย่างดี จนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้น เป็นไปตามคาดการณ์ และแม้ในช่วงนอกฤดูกาล ก็ยังมีตัวเลขนักท่องเที่ยวที่น่าพอใจ จากการดำเนินนโยบายการจัดกิจกรรมสนับสนุนการท่องเที่ยว ที่สอดรับกับความสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

รวมถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการนำเสนอความงดงามของประเทศ และไมตรีภาพที่มีต่อผู้มาเยือน ซึ่งจากผลการสำรวจของเว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยวชั้นนำ ประเทศไทยอยู่ในความสนใจอันดับต้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง” น.ส.รัชดา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top