Tuesday, 13 May 2025
Econbiz

30 ปี 'เจนิฟู้ด' ยึดหลัก 'คุณธรรมนำการค้า คุณภาพนำการตลาด’ ปรัชญาการทำธุรกิจภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียง

การดูแลสุขภาพยังคงเป็นกระแสอย่างต่อเนื่อง ยิ่งหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งช่วยกระตุ้นให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น 

จากจุดนี้ ได้ส่งผลให้ตลาดของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพอย่าง 'เจนิฟู้ด' ก็ได้อานิสงส์นี้ไปด้วยเต็ม ๆ

โดย 'เจนิฟู้ด' (Enzyme Genufood) ถือเป็นผลิตภัณฑ์ เอนไซม์บำบัด ในรูปแบบของอาหารเสริมที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารมากมายหลายชนิด โดยนำธัญพืชมาผ่านกรรมวิธีการสกัด จนเกิดเป็นอาหารเสริมที่รับประทานง่าย แต่ได้คุณค่ามากมาย อาทิ เอนไซม์กว่า 370 ชนิด สารอาหารต่าง ๆ เกลือแร่ วิตามิน ที่จำเป็นต่อร่างกายของคนเรา ช่วยฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย คืนสู่สภาพปกติ เอนไซม์เจนิฟู้ดยังสามารถนำมาใช้ในการโภชนบำบัด หรือ เอนไซม์บำบัดได้อีกด้วย ได้ผลดีเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

อันที่จริงแล้ว 'เจนิฟู้ด' โดยคุณรุ่งโรจน์ บุญยทรัพยากร ประธานบริษัท เบสไฟว์ อินเตอร์เทรด จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์เจนิฟู้ด ได้เล่าว่า ตัวแบรนด์นั้นอยู่ดูแลสุขภาพคนไทยมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปีแล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณพ่อ และต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน

"ประมาณปี พ.ศ. 2537 คุณพ่อได้เดินทางไปไต้หวัน และไปพบผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งคนไต้หวันในขณะนั้นมีปัญหาสุขภาพ พอใช้แล้วดีขึ้น ก็เลยลองซื้อตัวอย่างมาลองใช้กับคนใกล้ตัว ปรากฏว่าได้ผลเกินคาด ผมจึงได้ทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ก่อนนำเข้ามาเมืองไทย ถึงทราบว่าเป็น เอนไซม์ และมีประโยชน์ในการช่วยเร่งปฏิกิริยาชีวเคมีต่าง ๆ โดยวิธีธรรมชาติให้ร่างกายของเราซ่อมตัวเองได้ดีขึ้น

"พอได้เห็นถึงผลลัพธ์ของตัวผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ จึงตัดสินใจไม่นานที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจเมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งการทำตลาดยากกว่าสมัยนี้มาก ๆ การสื่อสารไปยังคนหมู่มากมีจำกัด และในยุคนั้นเมืองไทยยังไม่ใช่สังคมผู้สูงอายุ อีกทั้งความตื่นตัวในการดูแลสุขภาพยังมีน้อยไม่เหมือนปัจจุบันด้วย"

อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวทางการทำธุรกิจที่เน้นความจริงใจกับผู้บริโภคก็ทำให้ เจนิฟู้ด เริ่มเป็นที่แพร่หลาย

"เมื่อซื้อสินค้าของเราไปแล้วเรารับผิดชอบทั้งหมด ถ้าใช้แล้วไม่พอใจเราคืนเงินให้ เราทำธุรกิจตรงไปตรงมาไม่เอาเปรียบใคร เราเชื่อมั่นว่าสินค้าเราช่วยลูกค้าได้ เรามองว่าผลิตภัณฑ์เจนิฟู้ดเป็นสินค้าที่สามารถช่วยคนได้ในระยะยาว ไม่ใช่สินค้าตามกระแส”

"ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่ได้คิดเรื่องการสร้างแบรนด์ฮือฮา ปีสองปีแล้วหายไป แต่เราทำธุรกิจโดยยึดปรัชญาที่เน้น 'คุณธรรมนำการค้า คุณภาพนำการตลาด' ซึ่งคุณพ่อผมวางแนวทางไว้ ผสานกับมุมมองของผมที่เน้นเลือก Product ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภคได้จริง”

"สังเกตให้ดีว่า ตลาดอาหารเสริมปัจจุบัน เน้นใช้ Social Media ในการขายกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มาแล้วก็ไป อาจรู้จักแบรนด์บางแบรนด์เพียงหนึ่งปีหรือสองปี แต่เรามองว่า เจนิฟู้ด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตั้งใจมาอยู่คู่สุขภาพคนไทยในระยะยาว เราจึงวางตัวเป็นแบรนด์ที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น เพราะผมรู้สึกว่าเราเกิดมา ควรทำประโยชน์ให้กับโลก ให้กับคนอื่นในมุมที่เราพอจะทำได้ งานของเราจึงยึดมั่นอยู่บนหลักการนี้ หลักการที่ทำประโยชน์ให้กับคนอื่น ไม่มองเงินเป็นตัวตั้งหลัก แต่มองผลลัพธ์ที่สุขภาพดีของลูกค้าคืนมาเป็นความสุขให้กับเรา ตอกย้ำแนวทางในการทำธุรกิจแบบ 'คุณธรรมนำการค้า คุณภาพนำการตลาด'"

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปีนี้ รุ่งโรจน์ ตอบอย่างชัดเจนว่า อยากเน้นทำธุรกิจแบบที่พอมีกำไร และประคับประคองธุรกิจให้พอไปได้ ก็พอใจแล้ว 

"จริง ๆ แล้วธุรกิจของเรา ผ่านมาทุกวิกฤต ส่วนหลักที่ทำให้ผ่านมาได้อย่างไรนั้น ผมพูดได้เต็มปากเลยว่า ผมน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาล 9 มาปรับใช้ในการบริหารธุรกิจ คือ ทำงานอย่างมีเหตุมีผล ทำธุรกิจอย่างมีภูมิคุ้มกัน เราไม่คิดว่าฟ้ามันจะสดใสตลอด ถ้าตอนไหนฝนตกฟ้ามืดมนเราก็ต้องรู้ว่าต้องจะต้องพาตัวเองไปจุดไหน เช่น หากเปรียบกับการใช้จ่าย เราก็จะมีการประเมินตัวตลอด ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ธุรกิจก็ไปต่อได้"

ในช่วงท้าย รุ่งโรจน์ กล่าวถึงอีกบริการและผลิตภัณฑ์สำหรับโรคไต โรคที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังเผชิญมากขึ้นอีกด้วย ว่า...

"ถ้าพูดถึงการเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เราต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรคไต ซึ่งในปัจจุบันเป็นโรคที่คุกคามคนไทยเป็นอย่างมาก จำนวนผู้ป่วยโรคไตเพิ่มขึ้น และผู้ป่วยบางท่านก็ไม่รู้วิธีการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง เราก็เลยจัดตั้งศูนย์ข้อมูลฟื้นฟูโรคไตขึ้น เพื่อให้ความรู้กับผู้ป่วยโรคไตว่าควรดูแลตัวเองอย่างไร โดยมีหลักคำแนะนำในการดูแล คือ การชะลอความเสื่อม และเร่งการซ่อมแซมของร่างกาย ซึ่งในเดือนสิงหาคมนี้ ใครที่มีปัญหานี้ สามารถโทรมาปรึกษาได้ที่ศูนย์ข้อมูลฟื้นฟูโรคไตได้ และเราก็จะมีผลิตภัณฑ์มูลค่า 1,200 บาทให้ฟรี (โดยจ่ายเพียงค่าจัดส่งและภาษี 120 บาท) สามารถโทรมาได้ที่ 098-236-4622"

เตือน!! อย่าคาดหวัง นทท. จีน อย่างเดียว ควรกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนอื่นเพิ่ม

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ประจำวันที่ 6 ส.ค.66 ในประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจกับการท่องเที่ยวไทย โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ใหญ่บ้างเล็กบ้าง จำกัดอยู่ในระดับประเทศบ้าง ระดับภูมิภาคบ้าง หรือเป็นวิกฤตระดับโลกบ้าง บางวิกฤตมีต้นเหตุมาจากภาคการเงินการธนาคาร ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคสาธารณสุข หรือจากการก่อการร้ายและสงคราม 

แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ภาคเศรษฐกิจจะเกิดการหดตัว การว่างงานพุ่งสูงขึ้น ภาคการเงินจะเกิดหนี้เสียสูงขึ้นมาก เป็นเหตุให้เศรษฐกิจภาพรวมฟื้นตัวได้ช้า และภาคธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว

นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อกว่า 25 ปีที่แล้ว ภาคการเงินการธนาคารไทยมีความเข้มแข็งและทนทานขึ้นมาก เมื่อเศรษฐกิจไทยหดตัวจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ระบบการเงินจึงไม่ได้รับความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ และไม่เกิดปัญหาหนี้เสียคงค้าง (Debt Overhang) เหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน ๆ จึงเชื่อกันว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้น ขณะที่ไทยก็น่าจะกลับมาเติบโตได้รวดเร็ว

ยิ่งเมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศเมื่อต้นปีนี้ จึงมีความคาดหวังสูงว่าไทยจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะจีนส่งนักท่องเที่ยวมาไทยมากที่สุด ถึงปีละประมาณ 10 ล้านคนก่อนโควิด-19 

แต่เหตุการณ์ต่อไป อาจหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวแรงแค่ไตรมาสแรกไตรมาสเดียว พอเข้าไตรมาสที่สองก็เริ่มชะลอตัวลงอีก จากภาระหนี้สินคงค้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังกลายเป็นตัวถ่วงการฟื้นตัวของการบริโภค 

สังเกตได้ว่านักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าการท่องเที่ยวในปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าที่ทางการกำหนดไว้ที่ 28.5 ล้านคนหรือไม่ ภายใต้การคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนกำลังเตรียมการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal Stimulus) เร็ว ๆ นี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจจีนไม่ให้ชะลอตัวไปกว่านี้ 

"ไทยไม่ควรฝากความหวังไว้ที่การท่องเที่ยวจากจีนเพียงอย่างเดียว ควรจะกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย และอาจเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดไม่ใหญ่นักที่มุ่งสนับสนุนการบริโภคการลงทุนในประเทศ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า" อ.พงษ์ภาณุ ฝากให้คิด

เตรียมพร้อมรับ Digital Nomad นักท่องเที่ยว สายทำงาน เลือก 3 พิกัดในไทยเป็นหมุดหมายในการมาใช้ชีวิต

หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับการพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ไลฟ์สไตล์ในการทำงานของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad ทั่วโลก เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 15.2 ล้านคน ในปี 2562 เป็น 35 ล้านคนในปี 2565 หรือเติบโตขึ้นกว่า 130% และมีโอกาสแตะระดับ 60 ล้านคน ในปี 2573

จุดเด่นของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad คือ การมีระยะเวลาพำนักเฉลี่ยสูงถึง 6 เดือน ส่งผลให้มีการใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวโดยทั่วไปกว่า 56% และไม่ได้มีฤดูกาลท่องเที่ยวที่ชัดเจนแบบนักท่องเที่ยวกลุ่ม Mass ทำให้สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว โปรไฟล์ของกลุ่ม Digital Nomad จะเป็นชาวอเมริกันเป็นหลักโดยมีสัดส่วนสูงถึง 48% ของกลุ่ม Digital Nomad ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ สหราชอาณาจักร (7%) รัสเซีย (5%) แคนาดา (4%) และเยอรมัน (4%)

และส่วนใหญ่จะเป็นชาวมิลเลนเนียล (Millennials) หรือกลุ่ม Gen Y โดยกว่า 83% จะประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งอาชีพที่พบได้มากที่สุด คือ งานด้านคอมพิวเตอร์/ไอที นักการตลาด งานออกแบบ นักเขียน และงานด้าน E-Commerce

โดยสถานที่ที่นิยมใช้เป็นที่ทำงานแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

-กลุ่มที่ต้องการเสียงและบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ เพื่อให้มีสมาธิในการทำงาน จะเลือกทำงานใน Co-working Space เป็นหลัก

-กลุ่มที่ต้องการความเงียบสงบในการทำงานจะเลือกทำงานในที่พักอาศัยเป็นหลัก

ส่วนด้านค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตของกลุ่ม Digital Nomad จะมีงบประมาณในการใช้จ่ายเฉลี่ย 1,875 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือราว 62,000 บาทต่อเดือน โดยมีระยะเวลาพำนักเฉลี่ยประมาณ 6 เดือน ก่อนจะย้ายเมืองหรือประเทศที่ใช้เป็นสถานที่ทำงานใหม่ต่อไป

สำหรับประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad เป็นอย่างมาก เพราะว่า 5 ปัจจัยหลักในการเลือกจุดหมายปลายทางของกลุ่ม Digital Nomad คือ ค่าครองชีพต่ำและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ความปลอดภัย แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ วีซ่าที่เหมาะสม ร้านกาแฟ/Co-working Space โดยเรื่องค่าครองชีพและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุด เนื่องจากมีผลต่อกำลังซื้อและประสิทธิภาพในการทำงานโดยตรง ขณะที่เรื่องความปลอดภัย ทั้งความปลอดภัยด้านอาชญากรรมและสภาพแวดล้อมมีความสำคัญรองลงมา

ซึ่ง ประเทศไทยติดอันดับ Top 10 ถึง 3 แห่ง ได้แก่ 1. เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี (อันดับ 1) 2. กรุงเทพฯ (อันดับ 2) 3. จ.เชียงใหม่ (อันดับ 9) 

ด้วยศักยภาพและของ กลุ่ม Digital Nomad ด้าน Krungthai COMPASS ประเมินว่า การเติบโตของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจหลัก คือ

-ธุรกิจที่พักแรม และร้านอาหาร เช่น ธุรกิจ Co-Living Space, Service Apartment, Hostel, โรงแรม และ ธุรกิจ Co-working Space

-ธุรกิจบริการเช่ารถจักรยานยนต์ เนื่องจากเป็นวิธีการเดินทางหลักของ Digital Nomad

-ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง Community เช่น การจัดกรุ๊ปทัวร์ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินป่า ปีนเขา ดำน้ำ รวมถึงคลาสออกกำลังกาย เช่น โยคะ มวยไทย เป็นต้น

-ธุรกิจโทรคมนาคม เนื่องจากระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและมีประสิทธิภาพมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

นอกจากนี้ ธุรกิจต่อเนื่องหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางอ้อมก็มีโอกาสได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ทั้งในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า / ธุรกิจสถานบันเทิง / ธุรกิจการแพทย์

'อินเดีย' ห้ามส่งออกข้าวกระทบประชากรหลายล้านคน ด้านไทยพร้อม หลังผลผลิตเพียงพอ เหลือพอส่งออกเพิ่ม

ไม่นานมานี้ สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า อินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ได้ห้ามส่งออกข้าวขาว ที่ไม่ใช้พันธุ์บาสมาติ (Basmati) เมื่อวันที่ 20 ก.ค. เสี่ยงสั่นคลอนตลาดข้าวทั่วโลก มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อปากท้องของประชาชนหลายล้านคน โดยเฉพาะเอเชียและแอฟริกา

เหตุผลเพราะรัฐบาลอินเดียต้องการควบคุมราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นภายในประเทศ และรับประกันว่าจะมีปริมาณข้าวราคาเหมาะสมเพียงพอภายในประเทศ 

ทั้งนี้ อินเดียมีสัดส่วนส่งออกข้าว กว่า 40% ของการค้าข้าวทั่วโลก โดยมีมาเลเซีย, สิงคโปร์ เป็นสองประเทศในอาเซียนที่พึ่งพาข้าวจากอินเดียมาก รวมทั้งแอฟริกา, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ (MENA) โดยประเทศจิบูตี, ไลบีเรีย, กาตาร์, แกมเบีย และคูเวต มีความเสี่ยงมากที่สุด ตามรายงานของธนาคารบาร์เคลย์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ ที่ประจำอยู่ในประเทศที่มีการผลิตข้าว ส่งออกข้าว หรือนำเข้าข้าว ให้ติดตามสถานการณ์ข้าวอย่างใกล้ชิด หลังจากที่อินเดียได้ประกาศห้ามส่งออกข้าวขาว ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา เพื่อนำข้อมูลหรือแนวโน้มที่เกิดขึ้น มากำหนดแผนและมาตรการในเรื่องข้าวของไทยต่อไป

ทั้งนี้ ในส่วนของกรมการค้าต่างประเทศ ขอให้ติดตามสถานการณ์การส่งออกว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างไร ประเทศไหนมีความต้องการเพิ่มขึ้น สถานการณ์ด้านราคาส่งออกเป็นอย่างไร กรมการค้าภายใน ให้ติดตามสถานการณ์สต็อกในประเทศ ราคาข้าวเปลือกในประเทศ และทูตพาณิชย์ ให้ติดตามว่าแต่ละประเทศมีมาตรการและนโยบายในเรื่องข้าวอย่างไร มีความต้องการเพิ่มขึ้นหรือไม่

นายกีรติกล่าวว่า เมื่อเห็นภาพชัดเจนแล้วว่าทิศทางข้าว จะเป็นไปอย่างไร กระทรวงพาณิชย์จะมาทำแผนและมาตรการในเรื่องข้าว ซึ่งมีสมมติฐานตั้งแต่เบาไปหาหนัก แล้วแต่ว่าสถานการณ์ข้าวในตลาดโลกว่ามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ถ้ายังคงเป็นปกติ ไม่มีอะไร ก็ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้กลไกตลาดขับเคลื่อนต่อไป แต่ถ้าเริ่มเห็นสัญญาณความต้องการข้าวที่สูงขึ้น ก็จะมาพิจารณาว่าจะใช้มาตรการอะไร ซึ่งมองว่าอาจจะไม่ต้องใช้เลยก็ได้ เพราะไทยเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวรายสำคัญของโลก ผลผลิตมีเพียงพอ และเหลือที่จะส่งออก

"ผมมองว่าน่า 1-2 สัปดาห์ จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าแนวโน้มตลาดข้าวโลกจะเป็นอย่างไร เบื้องต้น ในประเทศไม่มีปัญหาขาดแคลนแน่นอน เพราะไทยเป็นประเทศผู้ผลิตข้าว และเหลือส่งออก แต่จะส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวมากกว่า การส่งออกปีนี้ น่าจะเกิน 8 ล้านตัน จากที่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ และราคาข้าวในประเทศจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อเกษตรกรที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น" นายกีรติกล่าว

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์มีความเป็นห่วงในเรื่องของภัยแล้งที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญมากกว่า โดยมีการประเมินกันว่าจะเกิดต่อเนื่อง 1-3 ปี ซึ่งน่าจะมีผลกระทบต่อการเพาะปลูกข้าวของไทย และทำให้ปริมาณผลผลิตข้าวไทยลดลง โดยล่าสุดได้มีการหารือกับปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว เพื่อร่วมกันทำแผนรับมือ เพื่อป้องกันปัญหาผลผลิตลดลง

บทเรียนราคาแพง!! 12 รายใหญ่เจ๊งยับ!! ซื้อหุ้นเพิ่มทุน STARK 3.72 บ.

🔍ส่อง 12 รายใหญ่ ใครบ้างที่เจ็บหนัก หลังได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน STARK ในราคา 3.72 บาทต่อหุ้น สุดท้ายเจ๊งยับ เหมือนถูกหลอกไปเชือด

'รมว.เฮ้ง' เผยข่าวดี กรมการจัดหางาน รับสมัครไปทำงานมาเก๊า 111 อัตรา เงินเดือนขั้นต่ำ 49,000 'บินไป-กลับฟรี' สวัสดิการตามกฎหมาย

กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รับสมัครพนักงานทำความสะอาด พนักงานเสิร์ฟ  บาร์เทนเดอร์ กัปตัน พนักงานต้อนรับฯ จำนวน 111 อัตรา เงินเดือน 49,000 - 75,000 บาท ฟรีค่าโดยสารเครื่องบินไป - กลับ อาหาร สวัสดิการตามกฎหมาย สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 20 ส.ค. 66 ไม่เว้นวันหยุดราชการ

(4 ก.ค.66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคนไทยไปทำงานในเขตบริหารพิเศษมาเก๊า กับนายจ้าง บริษัท Venetian Cotai Management Limited และ Venetian Macuau Limited ซึ่งประกอบกิจการโรงแรม และคาสิโน จำนวน 5 ตำแหน่ง 111 อัตรา ได้แก่...

- พนักงานดูแลทำความสะอาดพื้นทั่วไป (Public Area Attendant) 80 อัตรา  
- พนักงานเสิร์ฟ (F&B Server) 20 อัตรา พนักงานบาร์เทนเดอร์/ซีเนียร์บาร์เทนเดอร์ (Bartender/Senior Bartender) 5 อัตรา 
- พนักงานต้อนรับแผนกอาหารและเครื่องดื่ม (F&B Ambassador) 3 อัตรา  
- กัปตันแผนกอาหารและเครื่องดื่ม (F&B Captain) 3 อัตรา 

อัตราเงินเดือนอยู่ระหว่าง 49,000 - 75,000 บาท โดยนายจ้างจะจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปมาเก๊า และตั๋วขากลับหากทำงานครบตามสัญญาจ้าง จัดอาหารระหว่างเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ มีประกันสุขภาพและสวัสดิการตามกฎหมายแรงงานมาเก๊า ซึ่งคุณสมบัติเบื้องต้นจะต้อง 'สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีและสื่อสารภาษาจีน' ได้ 

สำหรับผู้สนใจสามารถศึกษาคุณสมบัติของผู้สมัคร รายละเอียดการสมัครสอบ กำหนดการและวิธีการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หัวข้อ 'ข่าวประกาศรับสมัคร' และยื่นใบสมัครทางอีเมล ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2566 ไม่เว้นวันหยุดราชการ 

"กระทรวงแรงงาน สนับสนุนให้คนไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอด เพราะนอกจากทำให้แรงงานไทยมีโอกาสทางอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตตนเองและครอบครัวได้แล้ว เม็ดเงินที่ได้รับยังถูกส่งกลับมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป" รมว.แรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การรับสมัครในครั้งนี้เป็นการจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศ โดยวิธีรัฐจัดส่ง คนหางานไม่เสียค่าสมัครหรือค่าบริการใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นกรณีได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจะมีค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ได้แก่ ค่ารูปถ่าย ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพและค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 5,500 บาท

ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ  0-2245-1034 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ดีเดย์ 16-18 ส.ค.ประชุมรับฟังความคิดเห็น Land Bridge ครั้งที่ 1 เพื่อนำเสนอโครงการ พัฒนาท่าเรือ 2 ฝั่งทะเล ‘ระนอง-ชุมพร’

(5 ส.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์ภาพและข้อความ ระบุว่า...

16-18 สิงหาคม 66 นี้!!! พื้นที่ระนอง และชุมพร เชิญผู้ได้รับผลกระทบ และคนพื้นที่เข้าร่วม เพื่อร่วมลดผลกระทบจากโครงการ พัฒนาท่าเรือ 2 ฝั่งทะเล ‘ระนอง-ชุมพร’ หรือ ‘Land Bridge’ ดังนี้...

ลงทะเบียนเข้าร่วม
*** ท่าเรือระนอง
- วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องราชาวดี ชั้น 3 เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง 

- วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมอุทยานแห่งชาติแหลมสน ตำบลม่วงกลวง อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง

ลิงก์ลงทะเบียน : https://forms.gle/48VhBTPmmsH9Y6J69

*** ท่าเรือชุมพร
- ในวันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้องอวยชัยแกรนด์บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมอวยชัยแกรนด์ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร

โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมประชุมล่วงหน้า จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ได้ที่ : https://forms.gle/BUh6pwDwmazQtqpHA

***รายละเอียดโครงการ
ในโครงการ Land Bridge เป็นหนึ่งโครงการที่ถูกพูดถึงมาตลอด และถูกเปรียบเทียบกับโครงการคลองไทย (ซึ่งคงไม่เกิดแล้ว) 

ซึ่งสุดท้ายเลือกเป็นรูปแบบสะพานบก (Land Bridge) เพื่อเป็นการเชื่อม 2 ฝั่งทะเล อ่าวไทย-อันดามัน

โดยจะมีการก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ 2 ฝั่งทะเล ซึ่งจากการเปรียบเทียบในการศึกษาเบื้องต้น มีการเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดคือ...

- ฝั่งอันดามัน ที่ แหลมอ่าวอ่าง
- ฝั่งอ่าวไทย ที่ แหลมริ่ว

นอกจากนั้นก็จะมีการทำสาธารณูปโภค เชื่อมโยงท่าเรือทั้ง 2 ฝั่งต่อ

โดยในเส้นทาง MR8 ชุมพร-ระยอง นี้จะมีส่วนประกอบที่มากกว่าถนนธรรมดา ซึ่งรวมการขนส่งทุกรูปแบบมารวมกันได้แก่...

- Motorway 
- ทางรถไฟขนาดราง 1 เมตร (เชื่อมต่อรถไฟทางคู่ในประเทศ)
- ทางรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร (เส้นทางพิเศษเพื่อเชื่อมโยงระหว่าง 2 ท่าเรือ รองรับตู้คอนเทนเนอร์ 2 ชั้น ***ในระยะยาว)
- ท่อส่งน้ำมัน และก๊าซ
- ถนนเลียบเลียบทางรถไฟ (local road)

ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องเผื่อเขตทาง 160 เมตร เพื่อรองรับในอนาคตทั้งหมด แต่ในเฟสแรกอาจจะมีแค่บางส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการจริง

โดยเปรียบเทียบเป็น 3 ทางเลือก ได้แก่...
1.) เส้นทางตัดตรง จากท่าเรือแหลมริ่ว-ท่าเรืออ่าวอ่าง มีระยะทาง 80 กิโลเมตร
2.) เส้นทางปรับตามภูมิประเทศ ผ่านอำเภอหลังสวน อำเภอพะโต๊ะ อำเภอเมืองระนอง และ อ้อมลงทางทิศใต้ เข้าสู่ท่าเรืออ่าวอ่าง มีระยะทาง 89 กิโลเมตร
3.) เส้นทางตามเส้นทางที่ 2 แต่มีการตัดข้ามทะเลก่อนเข้าท่าเรืออ่าวอ่าง ตามเส้นทางที่ 1 มีระยะทาง 88.7 กิโลเมตร

ซึ่งจากการเปรียบเทียบ ทั้ง 3 เส้นทาง เส้นทางที่ 2 เป็นเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด

ใครที่สนใจสามารถตามโครงการได้จากเว็บไซต์: 
http://landbridgethai.com

คลิปรายละเอียดโครงการ : https://youtu.be/v6smSg5TtFs

อยากจะฝากว่า ถ้ามีความคิดเห็นอะไร คัดค้านอะไรให้รีบพูดครับ จะได้แก้ หรือมองเห็นถึงปัญหาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ว่าตอนสร้างมาค้านเหมือนบางที่…

‘วิชัย ทองแตง’ นำทัพขับเคลื่อนภาคีเครือข่ายรัฐ-เอกชน ร่วมพลิกฟื้น ‘เชียงใหม่’ ไร้ฝุ่นอย่างสมดุลและยั่งยืน

กว่า 10 ปีที่ชาวเชียงใหม่และจังหวัดในภาคเหนือตอนบน ต้องเผชิญกับปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 แม้ว่าหลายภาคส่วนจะพยายามแก้ปัญหา แต่ทว่าปัญหาดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นทุกปี

ล่าสุดได้มีความพยายามเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษที่สั่งสมมานานอีกครั้ง ผ่านโครงการที่เรียกว่า ‘หยุดเผา เรารับซื้อ’ ซึ่งเป็นความร่วมมือของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนกว่า 50 องค์กร โดยมี ‘วิชัย ทองแตง’ นักธุรกิจชั้นนำของประเทศไทย ที่มีแรงบันดาลใจมุ่งหวังให้เชียงใหม่และภาคเหนือปลอดจากฝุ่น PM2.5 ได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

วิชัย ทองแตง บอกว่า รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยกันช่วยเหลือชาวเชียงใหม่ เพราะทนไม่ได้ที่ต้องเห็นจังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีมลพิษสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียหายต่อภาพพจน์ของประเทศด้วย 

แน่นอนว่า ทุกองค์กรที่ได้ร่วมกันเป็นภาคีเครือข่ายในครั้งนี้ ล้วนตระหนักดีว่า เรื่องปัญหา PM2.5 ที่เกิดขึ้นทุกปีนั้น จะแก้ไขได้จะต้องเกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ 

ดังนั้น หากจะแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ จะรอคอยอีกไม่ได้ เพราะลมหายใจของเชียงใหม่รวยริน และแผ่วเบามากแล้ว 

“แม้ว่าชาวเชียงใหม่จะได้รับข่าวดี หลังศาลได้ตัดสินให้ประชาชนชาวเชียงใหม่ชนะคดี กรณีได้ฟ้องร้องนายกรัฐมนตรีละเลยการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ใส่ใจปัญหาควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิด 2.5 ไมครอน ไม่มีความจริงใจห่วงใยประชาชนในภาคเหนือที่ต้องสูดดมควันหรือฝุ่นละออง เมื่อวัน 10 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา แต่การบังคับใช้กฎหมายและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต้องใช้เวลาอีกนาน ขณะที่ปัญหาหมอกควันนั้นรออีกไม่ได้แล้ว วันนี้เราต้องสร้างแนวทางใหม่ เพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน หวังให้ลมหายใจดแห่งขุนเขาจะพัดกลับมา ให้คนเชียงใหม่จะกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติ ตามวิถีของชาวเชียงใหม่ และวิถีล้านนา ซึ่งเป็นวิถีที่งดงามให้กลับมาเป็นเช่นเดิม”

‘บิ๊กตู่’ หนุน ศึกษาสร้างฐานปล่อยยานอวกาศในไทย หวังพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนแข่งกับนานาประเทศ

(6 ส.ค. 66) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งขับเคลื่อนนโยบายอวกาศของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกิจการอวกาศ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยได้สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ ในการสร้างจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย คือ ฐานสำหรับการส่งและรับยานอวกาศ (spaceport) เนื่องจากหากประเทศไทยมีท่าอวกาศยานของเราเอง จะก่อให้เกิดความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอวกาศ ทั้งยังเกิดการสร้างรายได้ทางตรงจากอุตสาหกรรมอวกาศ

ซึ่งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ หรือ ‘Aerospace Industry’ ถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ส่งผลไปถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ จึงเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ เน้นย้ำให้ศึกษารายละเอียดรอบด้าน อย่างรอบคอบและระมัดระวังที่สุด ทั้งความคุ้มค่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ตั้งแต่ปลายปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาอีกประมาณ 1-2 ปี โดยเบื้องต้นพบว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่มีความเหมาะสมถึง 5 คุณสมบัติ ได้แก่

1.) การอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีผลต่อการนำส่งอวกาศยานที่จะช่วยลดการสิ้นเปลืองของพลังงาน
2.) มีทะเลขนาบ 2 ฝั่งซ้าย-ขวา มีมุมปล่อยอวกาศยานได้หลากหลายแบบ
3.) มีแนวชายฝั่งที่เป็นคาบสมุทร สามารถกำหนดจุดหรือ Drop Zone ที่ไม่กระทบกับพื้นที่บนฝั่ง และยังสามารถออกเก็บกู้วัตถุที่ตกลงมาได้ง่าย
4.) มีระบบโลจิสติกส์ที่เข้าถึงง่าย หลายหลาย มีระบบท่าเรือน้ำลึกและท่าอากาศยาน
5.) ไม่มีภัยพิบัติรุนแรง ซึ่งทำให้ไทยมีโอกาสและแนวโน้มที่จะเกิดโครงการนี้ได้จริง

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า หากท่าอวกาศยานในประเทศไทย จัดตั้งได้สำเร็จจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางอวกาศขนาดใหญ่ นอกจากจะยกระดับวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาสแล้ว ยังส่งเสริมและผลักดัน ธุรกิจอวกาศ อุตสาหกรรมอวกาศ ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ อุตสาหกรรมการผลิตอุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นต้น เกิดอาชีพใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า300-400 อาชีพ อาทิ ช่างประกอบจรวด ช่างประกอบเพย์โหลด ช่างขัดท่อจรวด ช่างอิเล็กทรอนิกส์ระบบจรวด ช่างไฟฟ้าระบบจรวด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการนำเข้าจรวด พนักงานขายตั๋วเที่ยวบินไปอวกาศฯลฯ ซึ่งยังไม่เคยมีเกิดขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัย นำไปสู่ความการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน และยังทำให้ประเทศไทย เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจอวกาศแห่งภูมิภาคเอชีย-แปซิฟิกได้

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ริเริ่มวางรากฐานพัฒนาด้านอวกาศไทยมาโดยตลอด เช่น ผลักดันให้มี ร่างกฎหมายอวกาศหรือพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... และผลักดันให้เกิดแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ พ.ศ.2566 - 2580 (National Space Master Plan 2023 - 2037) ขึ้นเพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกิจการอวกาศเพื่อความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน ของประเทศไทย ให้แข่งขันกับนานาประเทศได้

‘EA’ จับมือ ‘กรมอนามัย’ หนุนการใช้รถยนต์ EV ติดตั้งสถานีชาร์จแห่งแรกในกระทรวงสาธารณสุข

บจก.พลังงานมหานคร บริษัทย่อยในกลุ่ม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) จับมือกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมจัดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นองค์กรภาครัฐต้นแบบในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

เมื่อวันนี้ 4 ส.ค. 66 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า “ในการเป็นประธานลงนามความร่วมมือโครงการสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าระหว่างกรมอนามัย และ บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด ณ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ว่า จากรายงาน Biennial update report ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปี 2565 พบว่า ก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศในประเทศไทยประมาณร้อยละ 70 มาจากภาคพลังงานและภาคขนส่ง โดยเฉพาะ PM2.5 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ทั้งนี้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงให้ความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมของประเทศ พร้อมสนับสนุนการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งนโยบายรถไฟฟ้า (EV : Electric Vehicle) ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่สำคัญของประเทศในภาคพลังงานและขนส่ง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษทางอากาศ และลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว”

“กรมอนามัย จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด วางโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน รวมทั้งจัดตั้งสถานีอัดชาร์จสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกของกระทรวงสาธารณสุข เพื่ออำนวยความสะดวกให้บุคลากรในกระทรวงสาธารณสุข และประชาชนทั่วไป ได้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ก่อนนำไปสู่การขยายผลให้ครอบคลุมพื้นที่อื่น ๆ รองรับการใช้งานของประชาชนในอนาคต ที่จะช่วยกันลดปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างอากาศที่บริสุทธิ์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยต่อไป” กล่าวปิดท้าย

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) กล่าวว่า “กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ ได้มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ ‘Green Product’ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานสะอาด มากกว่า 15 ปี ทั้งด้านพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน และปัจจุบัน EA ซึ่งเป็นบริษัทไทยบริษัทแรกที่มีการเริ่มต้นพัฒนานวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าด้วยฝีมือคนไทย ทั้งธุรกิจแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสถานีชาร์จ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า โดยปัจจุบัน EA เป็นผู้นำด้านการให้บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ภายใต้ชื่อ EA Anywhere มากกว่า 5 ปี เปิดให้บริการแล้วกว่า 490 สถานี รวม 2,460 หัวชาร์จ ทั้งสถานีระบบ Normal Charge และ EA ได้คิดค้นนวัตกรรมการชาร์จที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาเพียง 15 - 20 นาที ด้วยเทคโนโลยี Ultra-Fast Charge เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ ในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น สร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV ECOSYSTEM) ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าระดับสากล

ดังนั้น โครงการดังกล่าว จึงถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญ ที่ EA และ กรมอนามัย หน่วยงานราชการที่มีเจตนารมณ์เดียวกันกับบริษัทฯ ในการร่วมเดินหน้าส่งเสริมสถานีชาร์จสําหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าภายในพื้นที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงานสะอาด  ช่วยลดปัญหามลภาวะทางอากาศ และฝุ่น PM 2.5 ให้กับชุมชนและสังคม สร้างสุขภาพอนามัยที่ดีต่อทุกคน ทั้งยังส่งเสริมให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า อันจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคได้เร็วยิ่งขึ้น สนับสนุนขับเคลื่อนให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพสิ่งแวดล้อมไทยที่ยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top