Monday, 19 May 2025
โดนัลด์ทรัมป์

เปิดแผนลับเพนตากอน แม้ทรัมป์พลาดซื้อกรีนแลนด์ แต่เล็งส่งยามฝั่งคุม หวังปิดทางรัสเซียสู่อาร์กติก

(13 ม.ค. 68) การที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ สร้างความตะลึงไปทั่วโลกด้วยการป่าวประกาศว่าจะซื้อดินแดนกรีนแลนด์จากเดนมาร์กนั้น หากพิจารณาให้ลึกซึ้ง แนวคิดของทรัมป์แทบไม่ได้ต่างอะไรกับกลยุทธ์ของผู้นำสหรัฐคนก่อนหน้านี้ที่ให้ความสนใจในดินแดนกรีนแลนด์อยู่แล้ว

อิรินา สเตรลนิโควา นักวิเคราะห์ด้านการต่างประเทศจากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งมอสโก กล่าวกับ Sputnik ตามแนวทางกลยุทธ์อาร์กติกที่เพนตากอนเผยแพร่กลางปี 2024 ระบุถึงบทบาทสำคัญของกรีนแลนด์ในแผนการของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ โดยการออกมาประกาศความสนใจซื้อดินแดนของทรัมป์ต่างเพียงบางจุดจากแผนการของเพนตากอนเพียงเท่านั้น

“กลยุทธ์ใหม่นี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการขยายศักยภาพของสหรัฐฯ สำหรับการดำเนินการในเขตอาร์กติก โดยเฉพาะด้านการสื่อสาร การข่าว การสอดแนม และความร่วมมือกับพันธมิตรและหุ้นส่วน” เธอกล่าว  

สำหรับแผนของทรัมป์นั้น “ถ้าพิจารณาว่าแผนนี้เป็นอะไรที่ใหม่หรือไม่คาดคิด คำตอบคือไม่ นี่เป็นเพียงวิธีการแสดงออกที่มีเอกลักษณ์ในแแบบเฉพาะตัวของทรัมป์เท่านั้น” สเตรลนิโควาอธิบาย  
 
นักเคราะห์จากมอสโกยังกล่าวว่า เหตุผลหลักเนื่องจากกรีนแลนด์เป็นที่ตั้งของฐานทัพสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับการโจมตีด้วยขีปนาวุธ ซึ่งเป็นไปตามที่ระบุในแผนกลยุทธ์แอตแลนติกเหนือที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐเผยแพร่เมื่อช่วงกลางปี 2024 โดยเพนตากอนมีแผนจะปรับปรุงยกระดับฐานทัพ Thule Air Base อย่างครอบคลุม

อย่างไรก็ตาม รัสเซียรับรู้ถึงแผนของสหรัฐฯ ล่วงหน้าก่อนที่ทรัมป์จะมีบทบาท ซึ่งมอสโกได้เตรียมมาตรการเพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว

สเตรลนิโควาเชื่อว่าทรัมป์ไม่น่าจะประสบความสำเร็จในการซื้อกรีนแลนด์ แต่หากสำเร็จ สิ่งที่รัสเซียต้องกังวลอย่างยิ่งคือการลาดตระเวนของหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ ในพื้นที่ใกล้เคียงกรีนแลนด์ซึ่งจะทวีความถี่บ่อยขึ้น

“การส่งกำลังของสหรัฐฯ เพิ่มเติมในกรีนแลนด์จะลดศักยภาพการปฏิบัติการของกองเรือเหนือของรัสเซีย (Northern Fleet) และทำให้ฐานทัพเรือในเขตอาร์กติกของรัสเซียมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธ แต่เราพร้อมรับมือ อย่างไรก็ตามที่สำคัญคือ จะไม่มีใครยอมขายกรีนแลนด์” เธอกล่าว  

สเตรลนิโควาชี้ว่า “หากสหรัฐไม่สามารถซื้อกรีนแลนด์ได้สำเร็จ สหรัฐจะใช่วิธีการส่งหน่วยยามฝั่ง (United States Coast Guard) เข้ามาลาดตระเวนในพื้นที่่แทน ซึ่งการกระทำนี้จะเป็นตัวกระตุ้นความตึงเครียดหลัก เพราะจากประสบการณ์และการกระทำของสหรัฐฯ ในทะเลจีนใต้และเอเชียตะวันออก หน่วยยามฝั่งเป็นเครื่องมือกดดันที่ถูกใช้งานบ่อยกว่ากองทัพเรือสหรัฐฯ และมีความก้าวร้าวในการสร้าง ‘พื้นที่สีเทาทางทะเล’ มากกว่า เนื่องจากมีต่อการเผชิญหน้าน้อยกว่า 

หน้าที่หลักของรัสเซียคือป้องกันไม่ให้หน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นความตึงเครียดหลัก เข้าใกล้กรีนแลนด์ 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ จะมีศักยภาพในการเข้ามาในพื้นที่อาร์กติกได้เมื่อใด เนื่องจากโครงการต่อเรือตัดน้ำแข็งของหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ นั้นประสบปัญหาล่าช้ามาตลอด จึงทำให้หน่วยยามฝั่งฯ ยังไม่มีเรือที่พร้อมจะเข้ามายังพื้นที่ตอนในของกรีนแลนด์ได้

พีท เฮกเซธ ว่าที่รมว.กลาโหมสหรัฐ ถูกจี้กลางสภา ปมขาดความรู้เรื่องอาเซียน

(16 ม.ค.68) วุฒิสภาสหรัฐได้จัดประชุมพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่เตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยหนึ่งในผู้เข้ารับการพิจารณาคือ พีท เฮกเซธ อดีตทหารผ่านศึกและผู้ประกาศข่าวจากช่อง Fox วัย 44 ปี ซึ่งถูกเสนอชื่อเป็นว่าที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ  

ในการประชุม แทมมี ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครตได้สอบถามถึงความรู้ด้านยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศของเฮกเซธ โดยถามว่าเขาสามารถระบุชื่อประเทศสมาชิกอาเซียนได้หรือไม่ พร้อมอธิบายถึงความสัมพันธ์และข้อตกลงของสหรัฐกับประเทศเหล่านั้น  

เฮกเซธตอบกลับอย่างไม่ตรงคำถาม โดยระบุว่าเขาไม่ทราบจำนวนประเทศในอาเซียน แต่กล่าวถึงพันธมิตรของสหรัฐในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น รวมถึงข้อตกลง AUKUS ระหว่างออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ  

คำตอบดังกล่าวทำให้แทมมีสวนกลับทันทีว่า “ทั้งสามประเทศที่คุณกล่าวมาไม่ได้อยู่ในอาเซียน” และยังแนะนำให้เฮกเซธศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูมิภาคนี้  "ฉันแนะนำให้คุณทำการบ้านเพิ่มเติม"

รายงานระบุว่า คำถามของแทมมีเกิดขึ้นหลังจากเฮกเซธกล่าวถึงความสำคัญของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จีนกำลังแผ่อิทธิพลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ที่มีข้อพิพาทกับประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบรูไน อินโดนีเซียเองก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยจีน  

ที่ผ่านมาสหรัฐมีพันธมิตรตามสนธิสัญญากับไทยและฟิลิปปินส์ และพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์ในภูมิภาคเพื่อถ่วงดุลอำนาจจีน โดยทำเนียบขาวเน้นย้ำถึงการสร้างภูมิภาคที่ "เปิดกว้าง เจริญรุ่งเรือง ปลอดภัย และยืดหยุ่น"  

ประธานาธิบดีโจ ไบเดนย้ำว่า อาเซียนเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก โดยนอกจากจีนและสหรัฐ อาเซียนยังมีความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซีย อินเดีย ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงการประชุมอาเซียน+3 และอาเซียน+6 ที่มีผู้นำจากทั่วโลกเข้าร่วม  

นอกจากนี้ อาเซียนยังเป็นศูนย์กลางของข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ลงนามในปี 2563 และถือเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

เทียบภาพถ่ายเป็นทางการของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' วาระแรก vs สมัยสอง ปธน.สหรัฐคนที่ 47

(16 ม.ค.68) โลกโซเชียลต่างฮือฮา เมื่อสำนักประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เปิดเผยภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 47 ที่จะใช้ในโอกาสสถาปนารับตำแหน่งวันที่ 20 มกราคมนี้ ซึ่งทรัมป์มีท่าทางขึงขังอย่างชัดเจน แตกต่างกับภาพถ่ายอย่างเป็นทางการช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรกช่วงปี 2017-2021 ซึ่งเป็นภาพที่ทรัมป์แสดงรอยยิ้มอย่างชัดเจน

จากข้อมูลของทำเนียบขาวระบุว่า ภาพถ่ายของทรัมป์ ในสมัยแรกเมื่อปี 2017 ถูกถ่ายโดย Shealah Craighead หัวหน้าช่างภาพประจำทำเนียบขาวช่วงปี 2017 – 2021 ขณะที่ภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของทรัมป์ที่ใช้ในปี 2025 นี้นั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผยว่าช่างภาพคนใดเป็นผู้ถ่าย

อย่างไรก็ตาม หลังมีการเปิดเผยภาพถ่ายสมัยที่ 47 บรรดาชาวเน็ตอเมริกันหลายคนต่างแสดงความเห็นว่า การวางใบหน้าของทรัมป์คล้ายคลึงอย่างมากกับรูปถ่ายของทรัมป์เมื่อเดือนสิงหาคม 2023 ที่เรือนจำฟุลตันเคาน์ตี้ในแอตแลนตาหลังจากที่เขายอมมอบตัวในคดีกรรโชกทรัพย์เพื่อการเลือกตั้ง

ศึกษาพบชาวอเมริกันเลือก ‘ทำหมัน’ เพิ่มขึ้น ขณะเข้าสู่ ‘ยุคทรัมป์’ สมัยสอง

เมื่อวันพุธ (15 ม.ค. 68) เดอะวอชิงตันโพสต์รายงานแนวโน้มประชาชนในสหรัฐฯ จะเลือกทำหมันเพิ่มขึ้นเพราะหวั่นเกรงการถูกจำกัดการเข้าถึงการบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ระหว่างการบริหารประเทศสมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เตรียมเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

การวิจัยพบการผ่าตัดทำหมันชายและการผ่าตัดทำหมันหญิงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่เดือนก่อนและหลังจากศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ตัดสินคดีด็อบส์ เวอร์เซิส องค์กรสุขภาพสตรีแจ็กสัน (Dobbs vs. Jackson Women’s Health Organization) ซึ่งมีคำวินิจฉัยในปี 2022 ที่ยุติสิทธิทำแท้งตามรัฐธรรมนูญที่มีมาเกือบครึ่งศตวรรษ

การศึกษาจากวารสารเฮลธ์ แอฟแฟร์ส (Health Affairs) พบว่าช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2022 มีการทำหมันชายเพิ่มขึ้นร้อยละ 95 และการทำหมันหญิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 ในกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 19-26 ปี โดยคณะนักวิจัยใช้เวชระเบียนมาวิเคราะห์และพบว่ารัฐที่มีแนวโน้มห้ามทำแท้งหลังจากคำตัดสินคดีด็อบส์ฯ มีการทำหัตถการคุมกำเนิดถาวรเพิ่มขึ้นมากกว่า

การวิจัยจากวารสารเจเอเอ็มเอ เฮลธ์ ฟอรัม (JAMA Health Forum) ที่เผยแพร่ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2024 ชี้ว่าการทำหัตถการคุมกำเนิดถาวรในกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 18-30 ปี เพิ่มขึ้นหลังจากคำตัดสินคดีด็อบส์ฯ เช่นเดียวกัน

‘ทรัมป์ – สีจิ้นผิง’ ต่อสายพูดคุย!! เดินหน้าความสัมพันธ์ เพื่อ 'จีน – สหรัฐฯ – โลก’ บนเส้นทาง การพัฒนาการค้า

(18 ม.ค. 68) ‘สำนักข่าวซินหัว’ รายงานว่า ‘สีจิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ตามคำเชิญของทรัมป์ โดยสีจิ้นผิงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแสดงความยินดีกับทรัมป์ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง

สีจิ้นผิงชี้ว่าทั้งเขาและทรัมป์ต่างให้ความสำคัญกับการรักษาปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่ายอย่างยิ่ง หวังว่าสายสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ จะมีจุดเริ่มต้นที่ดีในวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ และพร้อมผลักดันความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นจากจุดเริ่มต้นใหม่

สีจิ้นผิงเน้นย้ำว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ กำลังไล่ตามความฝันของตัวเองและมุ่งมั่นทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ดียิ่งขึ้น โดยจีนและสหรัฐฯ มีผลประโยชน์ร่วมกันมากมายและพื้นที่กว้างขวางสำหรับความร่วมมือ ทั้งสองประเทศสามารถเป็นหุ้นส่วนและมิตรสหาย มีส่วนส่งเสริมความสำเร็จของอีกฝ่าย และประสบความเจริญรุ่งเรืองอันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและโลกทั้งใบ

สีจิ้นผิงกล่าวว่าสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงคือจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสองประเทศใหญ่ที่มีสภาพการณ์แตกต่างกัน ย่อมต้องมีข้อแตกต่างไม่ตรงกันบางประการ ทว่ากุญแจสำคัญคือการเคารพผลประโยชน์หลักและข้อวิตกกังวลของอีกฝ่าย และแสวงหาหนทางอันเหมาะสมต่อการแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ

สีจิ้นผิงเสริมว่าปัญหาไต้หวันเกี่ยวข้องกับอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน ซึ่งจีนหวังว่าฝ่ายสหรัฐฯ จะดำเนินการด้วยความระมัดระวัง 

สีจิ้นผิงกล่าวว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-สหรัฐฯ มีลักษณะของการได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ดังนั้นการปะทะคะคานและความขัดแย้งมิควรเป็นตัวเลือกของสองประเทศ

สีจิ้นผิงเรียกร้องทั้งสองฝ่ายยกระดับความร่วมมือ รวมถึงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นรูปธรรม และดีงามยิ่งขึ้น ซึ่งเกื้อหนุนสองประเทศและโลกบนหลักการเคารพซึ่งกันและกัน การดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ เพื่อรักษาทิศทางของเรือลำยักษ์ทั้งสองอย่างจีนและสหรัฐฯ แล่นไปข้างหน้าบนเส้นทางการพัฒนาที่มีเสถียรภาพอันดีและยั่งยืน

ด้านทรัมป์ขอบคุณสีจิ้นผิงสำหรับการแสดงความยินดี กล่าวว่าเขาเชิดชูความสัมพันธ์อันดีของเขากับสีจิ้นผิง คาดหวังว่าจะเดินหน้าการพูดคุยสื่อสารต่อไป และรอคอยจะได้พบสีจิ้นผิงโดยเร็ววัน พร้อมเสริมว่าสหรัฐฯ และจีนเป็นกลุ่มประเทศสำคัญที่สุดในโลกวันนี้ ซึ่งควรรักษามิตรภาพอันยืนยาวและทำงานร่วมกันเพื่อคุ้มครองสันติภาพของโลก

ทั้งนี้ สีจิ้นผิงและทรัมป์ได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับประเด็นสำคัญอันเป็นที่วิตกกังวลร่วมกันในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น วิกฤตยูเครน และความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ รวมถึงเห็นพ้องจะจัดตั้งช่องทางการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์และพูดคุยสื่อสารประเด็นสำคัญอันเป็นที่วิตกกังวลร่วมกันเป็นประจำ

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เตรียมเสนอชื่อ ‘ฌอน เคอร์แรน’ ตำรวจลับที่ปกป้องตน เป็น!! ‘ผู้อำนวยการซีเคร็ตเซอร์วิส’ ชี้!! มีความเหมาะสม เป็นผู้รักชาติ

(18 ม.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ เตรียมคัดเลือกหนึ่งในทีมตำรวจลับที่ปกป้องตนในวันที่ถูกคนร้ายลอบยิงระหว่างปราศรัยหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย เป็นหัวหน้าหน่วยซีเคร็ตเซอร์วิส (Secret Service)

โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ระบุว่า บิดาของเขาจะเสนอชื่อ ฌอน เคอร์แรน (Sean Curran) ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยอารักขา ทรัมป์ ในวันนั้นขึ้นเป็นผู้อำนวยการซีเคร็ตเซอร์วิสคนใหม่

“ฌอน เป็นผู้รักชาติที่ยอดเยี่ยม และจะเข้ามาหยุดความบ้าคลั่งทุกอย่างเอาไว้ ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากไปกว่าเขา!!”

ทรัมป์ จูเนียร์ โพสต์ X เมื่อวันศุกร์ (17 ม.ค.)ซีเคร็ตเซอร์วิส ถูกเพ่งเล็งและกดดันอย่างหนักเรื่องการทำงานที่หละหลวม หลัง ทรัมป์ ได้รับบาดเจ็บถูกกระสุนถากเข้าที่ใบหูจากความพยายามลอบสังหารเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ปีที่แล้ว ณ เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย นอกจากนี้ ยังมาถูกคนร้ายพยายามปลิดชีพครั้งที่ 2 ที่สนามกอล์ฟในรัฐฟลอริดาเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ซึ่งครั้งหลังนี้โชคดีที่ ทรัมป์ ไม่ได้รับอันตราย

สิ่งที่คนพูดกันมากก็คือ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจากส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นไม่มีการประสานงานที่ดีพอ ทำให้คนร้ายมีโอกาสปีนขึ้นไปบนหลังคาอาคารและยิงใส่ ทรัมป์ ระหว่างหาเสียง ก่อนจะถูกมือปืนสไนเปอร์ยิงปลิดชีพ

หลังถูกยิงที่บัตเลอร์ ทรัมป์ เอามือจับไปที่หูข้างขวาซึ่งมีเลือดอาบก่อนจะหมอบลงโดยมี เคอร์แรน และเจ้าหน้าที่ซีเคร็ตเซอร์วิสคนอื่นๆ เข้ามาช่วยป้องกัน จากนั้น ทรัมป์ ได้ยืนขึ้นอีกครั้งโดยมีตำรวจลับคุ้มกันรอบตัว พร้อมกับชูกำปั้นขึ้นฟ้าประกาศ “สู้! สู้! สู้!” ก่อนถูกนำตัวลงจากเวที

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เผยกับ ‘เอ็นบีซี’ อาจเลื่อนกำหนด ‘แบนติ๊กต็อก’ ไปอีก 90 วัน หลังรับตำแหน่งในวันจันทร์ จากที่ต้องหยุดให้บริการในสหรัฐ วันอาทิตย์นี้

(19 ม.ค. 68) “เป็นไปได้มากที่จะยืดเวลาออกไป 90 วันเพราะมีความเหมาะสม ถ้าผมตัดสินใจแบบนั้น ผมอาจจะประกาศในวันจันทร์” ทรัมป์ กล่าวกับเอ็นบีซีเมื่อวันเสาร์ (18 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น

แอปติ๊กต็อกของจีนมีผู้ใช้ชาวอเมริกัน 170 ล้านคนหรือเกือบครึ่งหนึ่ง แอปช่วยเสริมพลังธุรกิจและสร้างวัฒนธรรมออนไลน์รูปแบบใหม่

เมื่อวันศุกร์ (17 ม.ค.) ติ๊กต็อกประกาศว่าต้องจอดำที่สหรัฐในวันอาทิตย์จนกว่ารัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะรับประกันว่า บริษัทอย่างแอปเปิ้ลและกูเกิล จะไม่ถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติตามเมื่อคำสั่งห้ามมีผลบังคับใช้

กฎหมายแบนติ๊กต็อกออกมาเมื่อปีก่อน ศาลฎีกามีมติเอกฉันท์พิพากษายืนเมื่อวันศุกร์ ให้เวลาตัดขาดกับไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ที่มีฐานปฏิบัติการในจีนก่อนวันอาทิตย์ ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกห้ามใช้ในสหรัฐ เพื่อแก้ไขข้อกังวลติ๊กต็อกเสี่ยงเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงแห่งชาติ

ด้านทำเนียบขาวเมินความเห็นของติ๊กต็อกเมื่อวันศุกร์ มองว่าเป็นมุกและย้ำในวันเสาร์ว่า ขึ้นอยู่กับรัฐบาลทรัมป์ที่กำลังจะเข้ามาว่าจะทำอย่างไร จึงยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ว่าติ๊กต็อกต้องถึงคราวจอดำในวันอาทิตย์

“เราไม่เห็นเหตุผลสำหรับติ๊กต็อกหรือบริษัทอื่นๆ ที่จะทำอะไรไม่กี่วันก่อนรัฐบาลทรัมป์รับตำแหน่งในวันจันทร์” แครีน ฌ็อง ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวแถลง

หากไบเดนไม่ตัดสินใจอย่างเป็นทางการที่จะเลื่อนกำหนดเส้นตายออกไป 90 วัน บริษัทที่ให้บริการแก่ TikTok หรือโฮสต์แอปอาจต้องเผชิญกับภาระทางการเงินมหาศาล

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ทรัมป์อาจสั่งการโดยตรงให้กระทรวงยุติธรรม “ไม่ให้ความสำคัญ” หรือไม่บังคับใช้กฎหมาย แต่ไม่แน่ชัดว่าการทำเช่นนั้นจะให้ความคุ้มครองทางกฎหมายได้เพียงพอแก่เจ้าของแอปสโตร์อย่างแอปเปิ้ลและกูเกิล รวมถึงบริษัทให้ข้อมูลสำคัญอย่างออราเคิล และบริการอื่นๆ ในติ๊กต็อก

เมื่อปี 2020 ทรัมป์เคยพยายามบีบให้ติ๊กต็กขายกิจการมาแล้ว และลั่นวาจาว่าจะแบนแต่ถูกศาลสหรัฐขวาง

TikTok กลับมาแล้ว ขอบคุณทรัมป์ พร้อมตั้งบริษัทร่วมทุนถือหุ้น 50%

(20 ม.ค. 68) TikTok ออกแถลงการณ์ว่า กำลังอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูการให้บริการในสหรัฐอเมริกา ตามข้อตกลงกับผู้ให้บริการ หลังจากถูกคำสั่งแบนมีผลบังคับใช้ราว 12 ชั่วโมง พร้อมแสดงความขอบคุณต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มอบความชัดเจนและการรับรองที่จำเป็น เพื่อช่วยให้ TikTok สามารถให้บริการแก่ชาวอเมริกันกว่า 170 ล้านคนได้โดยไม่มีอุปสรรค รวมถึงสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็กกว่า 7 ล้านแห่งในประเทศ  

TikTok ระบุเพิ่มเติมว่านี่เป็นการปกป้องสิทธิตามบทบัญญัติการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 (First Amendment) และเป็นการยืนหยัดต่อต้านการเซนเซอร์ที่ไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประธานาธิบดีทรัมป์ในการหาทางออกระยะยาว เพื่อให้ TikTok สามารถดำเนินธุรกิจในสหรัฐอเมริกาได้อย่างยั่งยืน  

หนึ่งในแนวทางที่ถูกเสนอเพื่อรักษาการดำเนินงานของ TikTok ในสหรัฐฯ คือการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ ซึ่งจะมีบริษัทสัญชาติอเมริกันถือหุ้นไม่น้อยกว่า 50% โดยขณะนี้มีรายงานว่า ผู้ที่แสดงความสนใจถือหุ้นใน TikTok อาจรวมถึงบุคคลและองค์กรชื่อดัง เช่น อีลอน มัสก์ และบริษัท Amazon  

ทั้งนี้ TikTok ยังคงเดินหน้าหารือและแสวงหาทางเลือกที่จะช่วยรักษาการให้บริการแก่ผู้ใช้งานในสหรัฐฯ และสนับสนุนการเติบโตของชุมชนธุรกิจต่อไป

ทูตเยอรมนีปูดแผนทรัมป์สมัยสอง สั่นคลอนประชาธิปไตย-ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีร่วมกุมอำนาจ

(20 ม.ค. 68) แอนเดรียส มิคาเอลิส เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำสหรัฐฯ  ออกคำเตือนว่า รัฐบาลใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอิสระของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและสื่อมวลชนในสหรัฐฯ โดยมีแนวโน้มที่จะให้อำนาจกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ร่วมกำหนดทิศทางการปกครองประเทศ รายละเอียดดังกล่าวถูกเปิดเผยในเอกสารลับที่สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รับการตรวจสอบ

เอกสารลับฉบับนี้ลงวันที่ 14 มกราคม พร้อมลายมือชื่อของแอนเดรียส โดยเนื้อหาในเอกสารระบุว่า วาระซ่อนเร้นของทรัมป์ในสมัยที่สองจะสร้าง "การสั่นคลอนระบบครั้งใหญ่" และนำไปสู่ "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐธรรมนูญ" ซึ่งจะรวบอำนาจไว้ที่ตำแหน่งประธานาธิบดี ขณะเดียวกันลดบทบาทของรัฐสภาและรัฐบาลมลรัฐ

เอกสารยังชี้ให้เห็นว่า หลักการประชาธิปไตยและกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลจะถูกลดทอนจนแทบไม่มีความหมาย หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย สื่อมวลชน และฝ่ายนิติบัญญัติจะถูกควบคุมให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายของประเทศ

เมื่อวันที่ 19 มกราคม อันนาเลนา แบร์บ็อค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี ยืนยันว่า เยอรมนีจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ แต่จะยืนหยัดปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน เมื่อถูกถามถึงจุดยืนของเอกอัครราชทูตมิคาเอลิสต่อทรัมป์ แบร์บ็อคกล่าวว่า ท่านทูตเพียงปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบ
บทบาทสำคัญของฝ่ายตุลาการ

เอกสารลับยังระบุว่า ฝ่ายตุลาการ โดยเฉพาะศาลฎีกา จะมีบทบาทสำคัญต่อความพยายามของทรัมป์ในการผลักดันวาระต่าง ๆ แม้ว่าศาลฎีกาจะมีแนวโน้มสนับสนุนการขยายอำนาจของประธานาธิบดี แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายยังเชื่อว่า ศาลจะสามารถยับยั้งสถานการณ์เลวร้ายที่สุดได้

เอกสารยังกล่าวถึงความพยายามของทรัมป์ที่จะควบคุมกระทรวงยุติธรรมและ FBI เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง เช่น การกวาดล้างผู้อพยพ การล้างแค้นศัตรูทางการเมือง และการสร้างความคุ้มกันทางกฎหมายให้ตนเอง

แอนเดรียส มิคาเอลิส คาดการณ์ว่า ทรัมป์และอีลอน มัสก์ เจ้าของแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์เดิม) อาจมีบทบาทในการปราบปรามผู้วิพากษ์วิจารณ์ โดยใช้วิธีข่มขู่และบิดเบือนอัลกอริทึมบนแพลตฟอร์มออนไลน์

การสนับสนุนพรรคฝ่ายขวาจัดในเยอรมนีของมัสก์ก่อนการเลือกตั้งระดับชาติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เกิดความไม่พอใจในรัฐบาลเยอรมนี แม้ว่าจะยังไม่มีการถอนตัวจากแพลตฟอร์มดังกล่าว

ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและสหรัฐฯ เต็มไปด้วยความตึงเครียดจากนโยบายการค้าของทรัมป์ รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์เยอรมนีที่ไม่สามารถจัดสรรงบประมาณด้านการทหารให้เป็นไปตามเป้าหมายของนาโต

แม้การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในสหรัฐฯ อาจไม่ส่งผลให้เอกอัครราชทูตต้องพ้นตำแหน่งโดยอัตโนมัติ เอกสารลับฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่ชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเยอรมนีต่อความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ

ทรัมป์ลงนามคำสั่ง เลื่อนแบน TikTok อีก 75 วัน

(21 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อขยายระยะเวลาบังคับใช้คำสั่งแบนแอปพลิเคชัน TikTok ออกไปอีก 75 วัน จากกำหนดเดิมที่จะมีผลในวันที่ 19 มกราคม  

ตามรายงานจากรอยเตอร์ ทรัมป์ระบุว่า คำสั่งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝ่ายบริหารของเขามีเวลาเพิ่มเติมในการตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการที่เหมาะสมสำหรับจัดการกับ TikTok โดยเขากล่าวว่า “เราต้องใช้เวลาพิจารณาแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้”  

นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวยังสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมส่งหนังสือถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น แอปเปิ้ล (Apple) กูเกิล (Google) และออราเคิล (Oracle) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับ TikTok เพื่อยืนยันว่า การดำเนินการของพวกเขาในช่วงเวลานี้จะไม่ถือว่าละเมิดกฎหมายหรือมีความผิดใด ๆ  

ทรัมป์ยังเสริมว่า การเลื่อนเวลาครั้งนี้ทำให้เขามีสิทธิ์ในการตัดสินใจว่าจะขายกิจการ TikTok ให้กับบริษัทอื่นหรือดำเนินการปิดตัวแอปพลิเคชันนี้ในอนาคต โดยเขาย้ำว่า “ผมต้องเป็นคนตัดสินใจในเรื่องนี้เอง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top