Monday, 29 April 2024
เลือกตั้ง66

‘นฤมล’ ควง ‘ไปป์ ภูวกร’ ลงพื้นที่หาเสียงเอกมัย 19 ชู ‘บ้านประชารัฐ 360 องศา’ เปลี่ยนเงินเช่าเป็นเงินผ่อน

(18 เม.ย.66) ชุมชนลีลานุช เอกมัย 19 กรุงเทพฯ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม. เขตวัฒนา-คลองเตย หมายเลข 8 พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ชุมชนลีลานุช เอกมัย 19 พร้อมเปิดตัวพื้นที่ต้นแบบ ‘บ้านประชารัฐ 360 องศา’ โครงการต้นแบบจากนโยบายบ้านประชารัฐ 360 องศา ‘เข้าถึง เข้าใจ ทำได้จริง’ โดยได้ร่วมพูดคุยและรับฟังความคิดเห็น รวมถึงข้อเสนอแนะจากพี่น้องประชาชนในชุมชน

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า วันนี้เรามาดูแลนโยบายเพื่อที่จะทำให้กับเขตคลองเตยวัฒนา โดยผู้สมัครของพรรคนายภูวกร หรือไปป์ ได้มีการเสนอกับผู้บริหารพรรคให้แก้ไขในเรื่องของที่อยู่อาศัยให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งทันทีที่ได้เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส.ในสภา จะต้องมีการผลักดันผ่านหน่วยงานต่าง ๆ และ กทม.รวมถึงภาคเอกชนที่จะต้องเข้ามาช่วยในเรื่องของการออกแบบก่อสร้าง ตกแต่ง ให้ถูกใจผู้อยู่อาศัย และบริเวณภายนอกก็ควรจะเหมาะสมกับพื้นที่นั้น ๆ นอกจากนี้จะต้องมีการประสานกับธนาคารของรัฐ ที่จะเข้ามาช่วยในด้านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำด้วย

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐจะผลักดันให้เป็นสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ซึ่งอยู่ในโครงการบ้านประชารัฐ และเป็นบ้านหลังแรก โดยพี่น้องประชาชนก็จะได้มีบ้านที่สวยงาม มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และสามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้ เช่น เมื่อเรามีการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ หรือร้านค้าอื่นๆ ก็จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา รายได้ก็จะตามมา 

"พื้นที่บริเวณนี้จะต้องได้รับการพัฒนาเหมือนเช่น คอนโดตึกใหญ่รอบข้างที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ชุมชนตรงนี้ก็จะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้ได้ วันนี้ต่อให้เราจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ได้เป็น เราก็จะผลักดันโครงการนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะ ความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เราจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งนโยบายนี้เราจะทำให้เกิดขึ้นในทุกเขต เพื่อให้ชาว กทม.ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้ เพราะคน กทม.ยังมีอีกหลายชุมชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง" ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ด้านนายภูวกร กล่าวว่า ตนเป็นคนเกิดที่นี่ และต้องการจะผลักดันโครงการบ้านประชารัฐ วันนี้ตนได้รับข่าวจากประธานชุมชนว่าในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามชุมชน ได้โดนไล่รื้อถอนบ้านที่อยู่อาศัยไปแล้ว ตนจึงไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีกในชุมชนนี้ ตนต้องการให้ชุมชนลีลานุชแห่งนี้ เป็นชุมชนแรกที่ได้ริเริ่มโครงการบ้านประชารัฐ ที่ผ่านมาเราเคยมีบ้านลักษณะเช่นนี้จากภาครัฐแล้วก็เช่นนี้มาแล้วแต่วันนี้จะทำให้ดีขึ้นอีก

‘อุ๊งอิ๊ง’ ปลุกประชาชน เข้าคูหากาเลือก ‘เพื่อไทย’ ชี้!! ต้องเลือกทั้งคนทั้งพรรค ให้แลนด์สไลด์เกิดขึ้นจริง

(18 เม.ย.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย แถลงถึงยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้งโค้งสุดท้ายพรรคเพื่อไทยว่า ขณะนี้มีกระแสต่าง ๆ มากมายถาโถมใส่พรรค ล่าสุดมีเสียงสะท้อนจากประชาชนถึงกระแสวิจารณ์ผู้สมัครส.ส.เขต พรรคเพื่อไทย ไม่ลงพื้นที่หาเสียง ชาวบ้านหาตัวผู้สมัครพรรคไม่เจอ และไม่ค่อยเห็นป้ายหาเสียงของพรรคนั้น ตนและพรรคเพื่อไทยไม่นิ่งนอนใจ ส่งทีมงานไปตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่ต่างๆ พบว่าส.ส.เขตลงพื้นที่สม่ำเสมอ อาจมีส่วนน้อยลงพื้นที่ไม่มากพอ แต่นโยบายต่างๆ ของพรรคที่ไปสู่ประชาชน อาทิ ค่าแรง 600 บาท กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ก็เป็นผลมาจากการที่ส.ส.ลงพื้นที่พบประชาชน เชื่อว่า ผู้สมัครทุกคนอยากเข้าสภา ก็ต้องพบปะประชาชน ส่วนเรื่องป้ายหาเสียงในบางพื้นที่ที่ไม่ค่อยพบเห็นมากนั้น เนื่องจากต้องทำกฎคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ยอมรับเป็นข้อจำกัด พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ ถูกเพ่งเล็งตลอด จำเป็นต้องทำตามกฎ แต่อีกไม่กี่วันจะมีป้ายหาเสียงชุดใหม่ออกมาอธิบายนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล และการเติมเงินให้ครอบครัวละ 20,000 บาทต่อเดือน 

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยหนักแน่น เลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์จะเลือกพรรค ไม่เลือกคนไม่ได้ ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลง พรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่ตอบโจทย์ให้ได้ ประชาชนอย่าเพิ่งแผ่ว ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งคน และพรรค ให้แลนด์สไลด์

‘ธนาธร’ แจงปมดีเบตที่เชียงใหม่ดุเดือด ชี้!! กองเชียร์-บรรยากาศ-ประเด็นมันพาไป

(18 เม.ย.66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ทวิตข้อความผ่านบัญชีทวิตเตอร์ Thanathorn Juangroongruangkit @Thanathorn_FWP ว่า หลายคนถามว่าทำไมเมื่อคืนดีเบตเชียงใหม่ ผมดุดันเหลือเกิน ต้องบอกว่าบรรยากาศและประเด็นมันพาไป บวกกองเชียร์ก็ดุดันไม่แพ้กัน ขอบคุณชาวก้าวไกลทุกคนที่มาเชียร์ที่เวทีกันหนาแน่น ถ่ายรูปไม่ครบขออภัยด้วยครับ กลัวตกเครื่อง

เลือกตั้ง 66 ตัวกำหนดจุดยืนไทย ในขณะ 'จีน-สหรัฐฯ' ขับเคี่ยวกัน หากได้ผู้นำอ่อนประสบการณ์ อาจเป็นการชักศึกเข้าบ้าน

                  

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เรื่องที่สำคัญมาก ๆ เรื่องหนึ่งที่คนไทยไม่ได้ใส่ใจ ด้วยคิดว่า เป็นเรื่องไกลตัวคือ “ตอนนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในเกมช้างชนกัน (ระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน) ในบริบทของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวคนไทยมาก ๆ เพราะที่ตั้งของประเทศไทยอยู่ตำแหน่งที่ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ดีที่สุดในทวีปเอเชีย

                          

การเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลถึงผู้ที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งต้องมีความรู้ ความสามารถ เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และมีแนวคิดตลอดจนวิธีที่จะทำให้ประเทศชาติ บ้านเมือง รอดพ้นจากผลกระทบจากเกมช้างชนกันครั้งนี้ไปได้อย่างดีที่สุด กล่าวคือ ประเทศชาติ บ้านเมือง และคนไทยทั้งหมดทั้งมวลจะเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้อย่างน้อยที่สุด... เพราะการเจรจา ไม่สามารถใช้ที่ปรึกษาแทนได้ ต้องเป็นระดับ ผู้นำต่อผู้นำ…ซึ่งต้องเป็นผู้นำที่มีประสบการณ์ชีวิตสูง เพราะเดิมพันหนนี้สูงมากด้วยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากเกิดความผิดพลาดจะร้ายแรงและรุนแรงมาก จนไม่อาจจะคาดคิดได้

                       

ในอดีตไม่กี่สิบปีก่อน ประเทศไทยเกือบจะเต็มไปด้วยซากปรักหักพังเหมือนเช่นประเทศยูเครนในปัจจุบัน เพราะในช่วงสงครามเวียดนาม ไทยได้ส่งทหารไปร่วมรบกับสหรัฐ ยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา ตาคลี อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา ฯลฯ รวมทั้งที่ดอนเมือง เพื่อให้สหรัฐฯได้ขนระเบิดไปทิ้งที่เวียดนาม กัมพูชา และลาว จนทำให้ลาวเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลก (โดยเครื่องบินของสหรัฐฯนำระเบิดมาทิ้งในดินแดนลาว ระหว่างปี ค.ศ. 1964-1973 กว่า 5.8 แสนเที่ยว หนักรวมกว่า 2 ล้านตัน)

                   

เมื่อสหรัฐฯ พ่ายแพ้ในการทำสงครามเวียดนาม ต้องขนทหารสหรัฐฯ กลับ โดยทิ้งให้ประเทศไทยต้องปากกัดตีนถีบในการช่วยเหลือตัวเองเพื่อป้องกันประเทศ ในช่วงนั้นไทยเราไม่สามารถหนีภาพการเป็นสาวกประเทศที่สวามิภักดิ์สหรัฐฯ อย่างที่สุดไม่ได้ และเวียดนามก็ประกาศบุกไทยเพื่อเป็นการแก้แค้นที่ไทยยอมให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในประเทศ

                 

เมื่อสหรัฐฯ ขนทหารออกจากประเทศไทยไป รัฐบาลไทยก็ต้องช่วยตัวเองในการป้องกันประเทศ แต่ก็ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เพียงพอต่อการต้านกองทัพเวียดนาม (ซึ่งขณะนั้นถูกจัดให้มีความแข็งแกร่งอันดับที่ 4 ของโลก ในขณะที่กองทัพไทยในยุคนั้นยังไม่ติด 20 อันดับแรกเลย) รัฐบาลไทยจึงร้องขอต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ขอใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่สหรัฐขนกลับไม่หมด แต่คำตอบจากรัฐบาลสหรัฐฯ คือ ไม่อนุญาตให้รัฐบาลไทย นำอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ไปใช้ในการป้องกันประเทศ พร้อมทั้งจัดการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ตกค้างในไทยกลับประเทศจนหมด

‘3 คำสำคัญ’ ใช้วัดนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมือง

เมื่อวันที่ 16 เม.ย.66 ‘ดร.วิรไท สันติประภพ’ อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองไหนบ้าง โดยระบุว่า…คำถามที่ผมถูกถามมากเป็นพิเศษในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้ คือชอบนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองไหนบ้าง

คำตอบ คือ ยังตัดสินใจไม่ได้ เพราะไม่ค่อยเห็นข้อเสนอนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองต่างๆ แบบภาพรวม จะเห็นแต่การนำเสนอมาตรการประเภทสัญญาว่าจะให้ เพื่อเอาใจฐานเสียงกลุ่มต่างๆ หรือไม่ก็มีลักษณะเป็น wish list แบบเบี้ยหัวแตกมากกว่าที่จะบอกว่าเป้าหมาย หรือทิศทางของเศรษฐกิจไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร และจะทำอย่างไรให้เกิดผลได้จริง

ข้อเสนอนโยบายเศรษฐกิจควรต้องผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี ผ่านการจัดลำดับความสำคัญ ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียและผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น เพราะปัญหาแต่ละเรื่องมีความเร่งด่วนและความรุนแรงไม่เท่ากัน และเรามีทรัพยากรทุกอย่างจำกัด ไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง หลายเรื่องที่ถูกต้องและจำเป็นสำหรับอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องที่จะถูกใจฐานเสียงเสมอไป

ท่ามกลางหลากหลายปัญหาที่ระบบเศรษฐกิจไทยเผชิญอยู่ในเวลานี้และที่จะเผชิญในอนาคต ผมคิดว่านโยบายเศรษฐกิจจะต้องให้ความสำคัญกับคำสามคำ คือ productivity (ผลิตภาพ) immunity (การสร้างภูมิคุ้มกัน) และ inclusivity (การกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึง) เพราะทั้งสามเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทย และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น และแก้ไขยากขึ้นมากถ้าเราปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ไหลลงไปเรื่อยๆ โดยไม่รีบจัดการ (อันที่จริง เราพูดเรื่องเหล่านี้กันมากว่า 10 ปีแล้ว แต่หลายเรื่องมักถูกลืม หรือถูกแกล้งลืม จนทำให้ปัญหาสะสมมากขึ้น)

              

คำแรก productivity หรือ ผลิตภาพ ถ้าแปลง่ายๆ คือคนไทยต้องเก่งขึ้น ธุรกิจไทยต้องเก่งขึ้น และต้นทุนการใช้ชีวิต การทำธุรกิจของคนไทยต้องลดลง สังคมไทยกำลังจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในขณะที่จำนวนคนไทยวัยทำงานลดลงเรื่อยๆ มาสองสามปีแล้ว และหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นมาก ในอนาคตคนไทยวัยทำงานแต่ละคนจะต้องหาเงินดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทั้งดูแลทางตรง(ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและตัวเองในวัยชรา) และทางอ้อม(ผ่านการเสียภาษีให้รัฐบาลเพื่อเอาไปดูแลคนชรา) ตลาดในประเทศก็มีแนวโน้มเล็กลงตามจำนวนประชากรและโครงสร้างประชากร ในอนาคตงบประมาณของภาครัฐที่จะไปลงทุนเรื่องใหม่ๆ ให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกก็มีแนวโน้มน้อยลง เพราะงบรายจ่ายสวัสดิการเพิ่มสูงขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันกับประเทศอื่นที่เข้มข้นมากขึ้น หลายประเทศคู่แข่งของเรามีโครงสร้างประชากรที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว และกำลังเพิ่มผลิตภาพหลายด้านอย่างก้าวกระโดด

นโยบายด้าน productivity ต้องทำหลากหลายเรื่อง ที่สำคัญต้องเร่งพลิกโฉม (transform) ภาคเศรษฐกิจที่มี productivity ต่ำแต่มี impact สูงกับคนส่วนใหญ่ของประเทศก่อน โดยให้ความสำคัญกับอย่างน้อยสามภาค คือ ภาคเกษตร ภาคการศึกษา และภาครัฐ ที่ต้องพลิกโฉมอย่างจริงจัง ต้องทำนโยบายและมาตรการด้านอุปทาน (supply side) และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็น Agri-tech, Edu-tech, หรือ Gov-tech ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลได้จริงในระยะยาว

ภาคเกษตร ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลผลิตต่อไร่ของทุกพืชหลักของเราแทบไม่ดีขึ้นเลย และอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น นอกจากนี้ แรงงานในภาคเกษตรเป็นแรงงานสูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ วิธีการทำเกษตรแบบดั้งเดิมใช้น้ำมาก ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาในปริมาณสูง และสร้าง PM2.5 ทำให้คนไทยตายผ่อนส่งและสร้างภาระรายจ่ายด้านสุขภาพสูงมาก ภาคเกษตรจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศรุนแรงในอนาคต ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่เพราะครัวเรือนกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศไทยพึ่งพิงรายได้จากภาคเกษตร การเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตรจะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ไม่ติดอยู่กับนโยบายให้เงินอุดหนุน ประกันรายได้ หรือเน้นสร้างแรงจูงใจที่มีผลบิดเบือนระยะสั้นเหมือนที่ผ่านมา

ภาคการศึกษา ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลิตภาพการศึกษาของเราอยู่ในระดับต่ำ และยังผลิตคนที่มีทักษะและความรู้ไม่ตรงกับความต้องการของโลกปัจจุบันและอนาคต เรามีโรงเรียนรัฐบาลขนาดเล็กที่ขาดคุณภาพจำนวนมาก และกำลังเผชิญปัญหาเด็กเกิดใหม่น้อยลงเรื่อยๆ สถาบันการศึกษาเอกชนหลายแห่งต้องทยอยปิดตัวลง สถาบันอุดมศึกษาต้องเร่งปรับตัวจากการมุ่งสอนนิสิตนักศึกษาไปสู่การวิจัยที่สร้างนวัตกรรม และเพิ่มบทบาทการ upskill และ reskill แรงงานจำนวนมากที่ต้องยกระดับทักษะของตัวเอง การศึกษาเคยเป็นบันไดทางสังคม (social ladder) ที่สำคัญของไทย แต่บทบาทนี้จะยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่องว่างในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพถ่างขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะดี กับคนทั่วไป

ภาครัฐ ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณในอนาคต ภาครัฐจะต้องมีขนาดเล็กลง ซึ่งหมายความว่าต้องทำงานเก่งขึ้น นอกจากนี้ภาครัฐเป็นต้นทุนแฝงของการใช้ชีวิต และการทำธุรกิจของเราทุกคน เพราะเราต้องจ่ายภาษีและจ่ายค่าบริการสาธารณูปโภคต่างๆ ให้กับรัฐวิสาหกิจ (ที่หลายแห่งมีปัญหาด้านคุณภาพและรั่วไหลต่อเนื่อง) การยกระดับผลิตภาพของภาครัฐจะต้องปฏิรูปกระบวนการทำงานของระบบราชการและรัฐวิสาหกิจอย่างจริงจัง ต้องรักษาคนเก่งจำนวนมากให้อยู่ในภาครัฐให้ได้ ให้ได้ผลตอบแทนที่ดีและให้ทำงานที่มีคุณค่าสูง ต้องลดการรวมศูนย์จากส่วนกลาง กระจายอำนาจลงไปสู่ท้องถิ่นเร็วขึ้นและมากขึ้น นอกจากนี้ ต้องเร่งปรับปรุงกฎหมาย ยกเลิกกฎเกณฑ์กติกาที่ล้าสมัย ซึ่งเป็นต้นทุนและอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตและทำธุรกิจของคนไทย และที่สำคัญที่สุดต้องเน้นการสร้างความโปร่งใส และเอาจริงกับการปราบปรามคอร์รัปชัน เพราะการคอร์รัปชันทำลายผลิตภาพโดยรวมของเศรษฐกิจไทย ที่ใดก็ตามที่มีการคอรัปชั่นเป็นวัฒนธรรม การแข่งขันจะไม่ได้อยู่บนความเก่งหรือความสามารถ แต่จะขึ้นอยู่กับว่ารู้จักใคร หรือรู้จักวิธีที่จะจ่ายกับใคร
 

'ก้าวไกล' แย้ม!! แผน 5 ขั้น ปีแรกชนนายทุนลดค่าไฟ 70 สตางค์ ใน 4 ปีเปลี่ยนแดดเป็นเงิน เปิดเสรีโซลาร์รูฟทั้งประเทศ

(18 เม.ย.66) ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลฝ่ายนโยบาย และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก้าวไกล ให้สัมภาษณ์พิเศษกับผู้สื่อข่าวถึงประเด็นค่าไฟหลายๆ บ้านที่แพงขึ้น โดยเปิดเผยถึงแผนบันได 5 ขั้น ที่พรรคก้าวไกลเตรียมเข้าไปผลักดัน หากหลังการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ซึ่งศิริกัญญาเชื่อว่าถ้าทำได้ทั้งหมดนี้ ค่าไฟประชาชนจะลดลงได้อย่างน้อยหน่วยละ 1 บาท พร้อมฝันเห็นภูมิทัศน์ใหม่ของธุรกิจไฟฟ้าของประเทศไทยที่มีการเปิดเสรี ประชาชนไม่ถูกมัดมือชกให้ซื้อไฟฟ้าจากนายทุน

ศิริกัญญาเปิดเผยว่า บันไดขั้นที่ 1 พรรคก้าวไกลมีนโยบายเปลี่ยนนโยบายจัดสรรก๊าซธรรมชาติ จากเอื้อกลุ่มทุนเป็นเอื้อประชาชน โดยใช้กลไกคณะกรรมการกำกับดูแลนโยบายพลังงาน (กกพ.) กำหนดนโยบาย ซึ่งตัวนโยบายสามารถเปลี่ยนได้เลยใน 100 วัน และเห็นผลในบิลค่าไฟ ลดได้ทันที 70 สตางค์ต่อหน่วยในปีแรก พร้อมกันนั้น ต้องเร่งเจรจาสัมปทานก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทยเพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากการนำเข้า

ขั้นที่ 2 พรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนแดดเป็นเงิน ด้วยการปลดล็อกระบบขายไฟมิเตอร์หมุนกลับจากหลังคาบ้านเรือน (Net Metering) เพื่อให้ทุกบ้านเรือนที่ต้องการติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านสามารถทำได้อย่างถูกต้อง และเกิดการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านประชาชนเพื่อลดค่าใช้จ่ายได้เอง เชื่อว่าภายใน 4 ปี จะเห็นการติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านของประชาชนเพิ่มขึ้นทั้งประเทศ

‘กกต.’ เผย ‘บัตรเลือกตั้ง’ มีรหัสลับอย่างน้อย 3 ชั้น ทุกกระบวนการพิมพ์-ขนส่ง มีระบบดูแลความปลอดภัย

(18 เม.ย.66) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (ประธาน กกต.) กล่าวถึงตัวอย่างบัตรเลือกตั้ง ว่า ตัวอย่างบัตรเลือกตั้งมีแนบท้ายในระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มี 2 ประเภท คือ บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตสีม่วง ส่วนบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเป็นสีเขียว และรูปแบบบัตรเป็นไปตามมาตรา 84 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยส.ส. เพื่อไม่สร้างความสับสนให้ประชาชนในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเลือกตั้ง

“ส่วนความปลอดภัยนั้นต้องบอกว่าทุกบัตรเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นบัตรเลือกตั้งประเภทไหนในการจัดพิมพ์จะต้องจัดพิมพ์แบบมีระดับความมั่นคงปลอดภัย มีรหัสลับอย่างน้อย 3 อย่าง หากเป็นบัตรปลอมจะไม่เหมือนเราก็สามารถตรวจและทราบได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์” ประธาน กกต. กล่าว

'พีระพันธุ์' ย้ำ!! บัตรสวัสดิการพลัส ได้รวม 12,000 บาท มากกว่าเงินดิจิทัล 2,000 เป็นเงินจริงที่ถูกดึงมาใช้อย่างมีระบบ

'พีระพันธุ์' เผย รทสช.ชูนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องคนไทยหลายด้าน เล็งเปิดนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลง ช่วยคนมีรายได้น้อย-เกษตรกรใช้ไฟฟ้าแค่ยูนิตละ 3.90 บาท หวังช่วยลดต้นทุนค่าครองชีพ พร้อมแจงบัตรสวัสดิการพลัสทำได้จริงถูกกฎหมายประชาชนได้ประโยชน์เต็มร้อย ภายใต้การคำนึงถึงระบบการเงินการคลังของประเทศอย่างเคร่งครัด 

(18 เม.ย.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงนโยบายการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยเฉพาะเรื่องการทำมาหากิน และเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นความสำคัญเรื่องความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกัน จะต้องมีการวางรากฐานเพื่อให้คนกลุ่มต่างๆ สามารถอยู่ต่อได้ในภาวะค่าครองชีพปัจจุบัน โดยหาแนวทางว่าทำอย่างไรจะสามารถลดค่าครองชีพให้กับประชาชนแบบเป็นไปได้ 

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า กรณีของพลังงานที่มีราคาแพง เรื่องราคาน้ำมัน พรรคมีแนวคิดว่าจะให้มีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปแบบเสรีได้ จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลงได้ เนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้าคอมมูนิตี้ หากนำเข้ามาเท่าไหร่ ก็เพียงดูว่าจะขายเท่าไหร่ หากพรรครวมไทยสร้างชาติได้เป็นรัฐบาล หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรือไฟฟ้า ก็จะต้องทำตามนโยบายของรัฐอยู่แล้ว เช่น ค่าไฟฟ้า จะมีการกำหนดราคาให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร ที่ใช้ไฟในการดำเนินชีวิต หรือทำมาหากินเพื่อแบ่งเบาภาระ และช่วยลดต้นทุนให้ โดยมีการคำนวณมาแล้วจะอยู่ที่ประมาณ ยูนิตละ 3.90 บาท เป็นนโยบายของรัฐบาลพรรครวมไทยสร้างชาติ

‘ปิยบุตร’ ร่วมปราศรัย จ.หนองบัวลำภู ย้ำ ต้องเร่งแก้รัฐธรรมนูญ ลั่น!! ถ้า ‘ก้าวไกล’ ได้เป็น รบ.พร้อมดันประชามติทั้งประเทศทันที

‘ปิยบุตร’ ช่วยผู้สมัคร ส.ส.หนองบัวลำภูหาเสียง ประชาชนร่วมเวทีอบอุ่นคับคั่ง ปราศรัยย้ำความจำเป็นเร่งแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อถ้าเปลี่ยนขั้วอำนาจหลังเลือกตั้งแล้วไม่รีบแก้ เกิดการใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญล้มรัฐบาลแน่ ชี้ ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ภายใน 100 วัน พร้อมดันประชามติถามประชาชนอยากได้รัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ทันที

(18 เม.ย.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีปราศรัยของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู ในหลายเขต พร้อมกับ นายอภิชาติ ศิริสุนทร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ‘ครูใหญ่’ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล

โดยเริ่มต้นกิจกรรมช่วงเช้าที่ วัดสุวรรณาราม อำเภอสุวรรณคูหา ช่วยหาเสียงให้กับนายสมเกียรติ เชษฐสุมน ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู เขต 3 (เบอร์ 8) ก่อนที่ช่วงบ่ายจะเดินทางต่อไปยัง วัดศรีชมชื่น อำเภอนาวัง ช่วยหาเสียงให้กับ นายทรงเดช มหาเสนา ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู เขต 2 (เบอร์ 7) ซึ่งในทั้งสองเวที ต่างได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่ร่วมการรับฟังและส่งเสียงตอบรับชื่นชอบตลอดการปราศรัย

‘ปชป.’ ลุยดอนเมือง อ้อน ปชช.หนุน ‘ธัญญ์นิธิ’ เข้าสภาฯ เผย พรรคทำงานหนักต่อเนื่อง เชื่อ ทุกคนเห็นความตั้งใจ

ทีม ปชป. กทม. ลุยหาเสียงเขตดอนเมือง ช่วย ‘ธัญญ์นิธิ’ ด้าน ‘องอาจ’ วิงวอน ปชช.หันกลับมาเลือกประชาธิปัตย์ ขณะที่ ‘มาดามเดียร์’ ยืนยัน เดินหน้าลงพื้นที่-จัดเวทีปราศรัย หลังคะแนนนิยมพรรคยังเป็นรอง

(18 เม.ย. 66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง และ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม.ลงพื้นที่เขตดอนเมือง ช่วยหาเสียงให้ นายธัญญ์นิธิ ชวรัตน์นิธิโชติ ผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง หมายเลข 7 โดยเริ่มต้นด้วยการขึ้นรถแห่รอบถนนสรงประภา และพื้นที่ใกล้เคียง ก่อนจะลงเดินทักทายรับฟังปัญหา และแนะนำผู้สมัคร ส.ส.ที่บริเวณตลาดโกสุม

นายองอาจ กล่าวว่า ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนเดิมตั้งแต่ปี 2562 และอยู่ในพื้นที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชนมาโดยตลอด เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนเห็นว่านายธัญญ์นิธิ เป็นที่ไว้วางใจและเป็นตัวเลือกเข้ามารับใช้ประชาชนในพื้นที่ต่อไป ซึ่งปกติแล้วทุกพื้นที่ก็จะมีอดีต ส.ส.ที่มีฐานเสียงเดิมอยู่แล้ว คนใหม่ก็ต้องทำงานหนักขึ้น

เมื่อถามว่าเขตดอนเมือง ถือเป็นเขตที่ยากสำหรับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง อยู่ที่ช่วงจังหวะเวลาการเมืองในขณะนั้นมีหลายเงื่อนไข หลายปัจจัย ที่จะมีส่วนในการตัดสินใจของประชาชน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทีมงานพรรคประชาธิปัตย์และผู้สมัคร ทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนเห็นความตั้งใจจริง และจากการลงพื้นที่มาตลอดเชื่อว่าประชาชนจะให้โอกาส ผู้สมัครเขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์

นายองอาจ ยังกล่าวถึงภาพรวมของพรรคจากการลงพื้นที่ว่า ประชาชนให้การตอบรับดี และมีประชาชนหลายคนเข้ามาพูดว่าขอโทษที่ครั้งที่แล้วไม่ได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์และจะกลับมาเลือกซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ว่าประชาชนที่คอยสนุบสนุนพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะใน กทม.ที่พรรคประชาธิปัตย์มีมากกว่า 1,000,000 เสียงมาโดยตลอด แต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เหลือคะแนนเพียง 390,000 เสียง

เพราะฉะนั้น คราวนี้ขอร้องวิงวอนพี่น้องประชาชน ที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ขอให้กลับมาเลือกผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเชื่อว่าเสียงที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ กทม.แล้วไปเลือกพรรคอื่นในการเลือกตั้งปี 62 หากกลับมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ ส.ส.ใน กทม.อย่างแน่นอน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top