Wednesday, 15 May 2024
เลือกตั้ง66

‘รัชดา’ ชู นโยบายดูแลปากท้องควบคู่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เผย ‘ปชป.’ เห็นความสำคัญ พร้อมดัน กม.คุ้มครองสิทธิ์ ปชช.

(21 เม.ย. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เปิดเผยว่า ตนได้มีโอกาสนำเสนอนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในหลายเรื่องที่ส่งเสริมและสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชนในด้านต่าง ๆ ผ่านการร่วมเวทีดีเบตพรรคการเมือง ‘เลือกตั้ง 66: วาทะผู้นำ วาระสิทธิมนุษยชน’ ที่ลานคนเมือง เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยได้ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน เพราะมีความเกี่ยวข้องกับปากท้องและความมั่นคงในชีวิตของประชาชน ทั้งเรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่การจ้างงานที่ต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ

โดยเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยยังเป็นสิ่งที่ประชาชนจำนวนมากกำลังประสบปัญหาอยู่ พรรคประชาธิปัตย์จึงกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและทำได้จริงมาแก้ปัญหา ทั้งการออกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลง ใน 4 ปีแรก และการออกเอกสารสิทธิ์รับรองการใช้ที่ดินของรัฐ โดยรัฐยังคงความเป็นเจ้าของที่ดิน ส่วนประชาชนมีที่อยู่ มีที่ทำกิน และช่วยทำให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้ อีกทั้ง พรรคฯ ยังมีนโยบายในการดูแลผู้มีรายได้น้อยและผู้ถูกไล่รื้อที่จากโครงการของรัฐ โดยจะใช้กองทุนสวัสดิการชุมชนของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ในการจัดที่อยู่อาศัยร่วมกับการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เพื่อให้คนเหล่านี้ได้มีที่อยู่อาศัยพร้อมด้วยสิ่งสาธารณูปโภค

น.ส.รัชดา กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าแก้ปัญหาบุคคลไร้สถานะ ด้วยการขับเคลื่อนการรับรองสถานะบุคคลที่เกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีบัตรประชาชน ให้ได้เข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ การศึกษา การรักษาพยาบาล ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ที่ยังคงประสบปัญหาในหลาย ๆ ด้าน เราจึงมีนโยบายผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อดูแลสิทธิ์กลุ่มชาติพันธุ์ควบคู่กับส่งเสริมการเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม

‘กรณ์’ จี้ รัฐฯ ยกเลิกค่าเอฟที ช่วง 3 เดือนที่ร้อนที่สุดทันที ชี้ ทำได้ เพราะต้นทุนก๊าซลดลง ลั่น!! ต้องรื้อโครงสร้างอตุฯ ไฟฟ้า

(21 เม.ย. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า การแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง คือ รัฐบาลต้องยกเลิกค่าเอฟที ในช่วง 3 เดือนนี้ทันที ทำได้เลย เพราะต้นทุน กฟผ. ลดลงมากจากราคาก๊าซ LNG ที่ถูกลงมาตลอด โดยพรรคชาติพัฒนากล้าเสนอว่า ต้องรื้อโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้า เนื่องจากเวลานี้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของบ้านเราใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่เป็นฟอสซิล ในปริมาณที่สูงเกินกว่า 50% นอกจากนั้น ยังมีถ่านหิน และน้ำมัน ซึ่งมีต้นทุนราว 5 บาท ส่วนที่เป็นพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์เราใช้ไม่ถึง 10% ทั้งที่ปัจจุบันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 2 บาท กลับเลือกใช้น้อยที่สุด

ต่อข้อถามที่ว่าเรื่องนี้ขัดประโยชน์ของใคร นายกรณ์ กล่าวว่า นั่นเป็นประเด็นสำคัญว่า การจะแก้ปัญหาจะต้องมีความกล้าทางการเมือง ที่จะรื้อโครงสร้างไฟฟ้า โดยต้องเปิดเสรีให้กับประชาชนมีสิทธิเป็นผู้ลงทุน ซึ่งมีความแตกต่างกับปัจจุบันคือเราไม่ต้องพึ่งทุนใหญ่กับรัฐวิสาหกิจ เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่

“วันนี้การลงทุนครั้งใหญ่ในการสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าให้ต้นทุนถูกลง คือเราต้องปลดแอกให้ประชาชนทุกคนที่มีหลังคาเรือน สามารถเข้าถึงเงินทุนที่จะเข้าถึงแผงโซล่า และให้สิทธิในการขายไฟส่วนเกินคืนให้กับรัฐ ในราคาเดียวกันกับราคาค่าไฟที่ซื้อจากรัฐฯ ซื้อ 5 บาท แต่ปัจจุบันขายคืนในราคา 2.20 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การลงทุน โดยภาคประชาชน ภาคเอกชน มันไม่เกิด” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว

นายกรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนในแง่ของโอกาสซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของทุนใหญ่ เราควรเปิดเสรีเพื่อให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเป็นผู้ลงทุนในส่วนนี้ได้ เพราะเทคโนโลยีไปถึงจุดนั้นแล้ว แต่อุปสรรคสำคัญคือ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของนโยบาย แต่อีกส่วนคือเรื่องของแหล่งทุน เพราะฉะนั้น เราจึงเสนอแหล่งทุนเพื่อให้ ทุกครัวเรือนสามารถติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เองได้โดยปลอดดอกเบี้ย ส่วนต้นทุนคือเงินที่ต้องใช้ในการติดตั้ง สามารถผ่อนจ่ายด้วยเม็ดเงินที่ประหยัดจากค่าไฟ ซึ่งคำนวณมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็คืนทุน หลังจากนั้น ประชาชนจะได้ใช้ไฟฟ้าฟรีเลย ซึ่งตรงนี้เราสามารถทำได้ทันทีหลายล้านครัวเรือน และการติดตั้งก็ใช้เวลาไม่นานด้วย

‘มิ่งขวัญ’ โชว์กึ๋น!! พิชิต 'ทุนสีเทา' พร้อมเปลี่ยนให้เป็นรายได้ ถามจี้ใจดำ พท. แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น มีแผนรัดกุมดีหรือไม่?

เมื่อวานนี้ (20 เม.ย.66) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาทุนจีนสีเทา พร้อมทั้งแปลงให้เป็นการหารายได้เข้าประเทศ และระบบตรวจสอบทหาร ตำรวจ เมื่อกระทำความผิดของพรรคพลังประชารัฐ ไว้ที่เวทีดีเบตของช่อง MCOT ในรายการ เจาะลึกเลือกตั้ง 66 โดยระบุว่า…

มูลเหตุของปัญหานี้ ต้องย้อนกลับไปดูที่ตัวแปรก่อน อย่างแรกคือ ปัจจุบันคนหนุ่มคนสาวในไทยมีน้อย เนื่องจากอัตราการเกิดลดลง จึงจำเป็นต้องมีการดึงแรงงานต่างด้าวเข้ามาช่วยในจุดนี้

อย่างที่สองคือ ประเทศที่มีประชากรมากระดับพันล้านคน ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ประเทศจีน คนจีนเข้ามาในประเทศไทยมากมาย ซึ่งมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ซึ่งในส่วนของ 'ทุนจีนสีเทา' ก็ปฏิเสธได้ยากที่จะไหลเข้ามาในประเทศไทยพอสมควร ซึ่งจากนี้ไทยต้องเข้มงวด เด็ดขาด กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ตรวจหมดทุกอย่าง ทั้งที่มาของเงิน แหล่งเงิน หากชี้แจงไม่ได้จะยึดเป็นรายได้ของรัฐทั้งหมด

“ผมบอกเลยนะครับว่า ผมจะสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาลจากทุนจีนสีเทา หรือทุนไหนก็ตามที่เป็นสีเทา ขออำนาจศาลพิพากษา ขอให้มีหน่วยงานพิเศษตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ เพราะที่มีอยู่ปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอ และผมบอกเลยว่าต้องทำอย่างรวดเร็ว นี่คือเคล็ดลับในการหารายได้เข้าประเทศที่ดีที่สุด” นายมิ่งขวัญกล่าว 

ต่อมานายมิ่งขวัญได้พูดถึงเรื่องการกลืนชาติ โดยระบุว่า "เมื่อคนจีนเข้ามาในประเทศไทยแล้ว เราไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามาทำอะไร แต่สิ่งที่เรายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้คือการกลืนชาติ เพราะประเทศไทยต้องเป็นประเทศไทย เราจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาครอบงำ แม้เราจะเป็นเมืองเล็กๆ มีประชากรแค่ 60-70 ล้านคน แต่ยังไงผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด" พร้อมย้ำด้วยว่า "บอกเลยนะครับว่ากรีดเลือดผมออกมา เลือดรักชาติเข้มข้น"

หลังจากนั้นนายมิ่งขวัญได้กล่าวถึงประเด็นบุคลากรด้านความมั่นคง โดยระบุว่า "ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่ผมคิดว่าได้เวลาที่จะต้องปลุกทุกคนแล้วว่า ทุกคนต้องทำงาน ผมอาจจะคิดต่างจากคนอื่น เช่น ผมคิดว่าเราต้องมีหน่วยงานตำรวจเพิ่มขึ้นมาอีก เพื่อเข้มงวดต่อเข้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ใช่ตำรวจกลายเป็นโจรเสียเอง พอมีความผิดก็มานั่งพิจารณาและไล่ออก วนไปแบบนี้ไม่ได้ 

‘มิ่งขวัญ’ ย้ำ!! จุดยืนชัดเจน ไม่แตะต้อง-ไม่ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวในรายการ เจาะลึกเลือกตั้ง 66 หัวข้อ ‘ชูจุดขาย เสนอจุดแข็ง’ ทางช่อง 9 MCOT HD เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 66 โดยแสดงจุดยืน ไม่ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ย้ำชัดเจน ว่า “ผมไม่ให้ยุ่งครับ ชัดเจน ไม่เอา”

‘บิ๊กป้อม’ ยัน!! ไม่ได้เป็นเผด็จการจำแลง มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย ชี้ การแก้รัฐธรรมนูญ ใช้บัตรสองใบ เป็นผลงานก้าวข้ามความขัดแย้ง

(21 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรางงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

ตอนนี้การหาเสียงเริ่มที่จะแสดงออกด้วยการโจมตีกันรุนแรงมากขึ้นอีกแล้ว จะเห็นว่า ระดับผู้นำของพรรคการเมืองกลับมาเล่นงานคนที่มีความคิดแตกต่างกับตัวด้วยท่าทีก้าวร้าว ขนาดขับไล่ไสส่งให้ ไปเสียให้พ้นจากแผ่นดินไทย

ขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่ประกาศกร้าวตัดขาดที่จะร่วมมือกับฝ่ายกีดกันไว้เป็นฝ่ายตรงกันข้าม เป็นบรรยากาศที่แบบ ชี้หน้าคนเห็นต่างว่าเป็นศัตรู ด้วยท่าที่ของการปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นไปที่มีแนวโน้มเช่นนี้ ย่อมถือว่าอันตรายอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันเป็นชาติที่ประชาชนมีความร่วมมือร่วมใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ผมจึงต้องมาย้ำอีกครั้งว่า ประเทศไม่มีทางออกอื่น นอกจากต้องร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้ง และขอให้รู้ว่า ที่ผมมาพูดเรื่องนี้ และขอให้ทุกคน ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผมมาพูดเอาเท่ หรือสร้างจุดขายที่แตกต่างของการเป็นผู้นำการเมืองอย่างที่หลาย ๆ คนพยายามคิดและพูดกันไป ไม่ได้ตั้งใจสร้างภาพให้เกิดความต่างเพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ หรืออะไรอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกและเกิดเป็นความคิดจริง ๆ ว่า การเมืองเดินหน้าต่อไปไม่ได้หากไม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง และผมขอบอกว่า เป็นความรู้สึกและความคิดที่เกิดจากประสบการณ์ อันหมายถึงการได้เห็น ได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสรับรู้มา จากคนในทุกกลุ่ม ทุกวงการ ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ชินกับการจัดการด้วยอำนาจ และฝ่ายเสรีนิยม ที่มีธรรมชาติของการเปิดรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากกว่า ผมเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายที่ไม่มีทางจะทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามพ่ายแพ้อย่างราบคาบ โดยฝ่ายตัวได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด

พล.อ.ประวิตร ยังระบุอีกว่า เพราะเห็นเช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจใช้เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ หาทางทำให้ประเทศมีทางออกจาก ‘วงจรอันสิ้นหวังของการร่วมกันอย่างสุขสงบ’ นี้ให้ได้เสียที

มีคำถามว่า “ผมจะทำอะไร” ผมอยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงนั้น ผมทำเรื่อง ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ มาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นการทำอย่างเงียบ ๆ และโดยใช้ ‘ความเป็นผม’ ทั้งหมดเพื่อให้เกิดความสำเร็จ คำตอบในเรื่องนี้ เห็นได้ไม่ยากหากย้อนไปทบทวนช่วง ‘รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ’ จาก ‘เลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียว’ มาเป็น ‘สองใบ’ และแก้ตัวหารคะแนน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จาก 500 มาเป็น 100 ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งรุนแรง พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเห็นไปทางเดียวกับสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เอาด้วยกับแนวทางนั้น ต้องการให้เลือกด้วยบัตรใบเดียว ปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 เหมือนเดิม เพราะมองไม่เห็นว่า แก้ไขแล้วพรรครัฐบาลจะมีโอกาสชนะพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ มีสมาชิกและเครือข่ายฐานเสียงมากกว่าได้อย่างไร

ขณะที่พรรคการเมือง บางพรรคโจมตี ส.ว.อย่างรุนแรง ทำนองว่าเป็นส่วนเกินที่ให้ผลในทางเลวร้ายต่อประชาธิปไตย ไม่ควรจะออกมาใช้สิทธิแสดงความคิด ออกเสียง สร้างความเกลียดชังต่อกันรุนแรง ตอนนั้นผมเป็นผู้นำ ‘พลังประชารัฐ’ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีแรงกดดันมากมายทั้งในพรรคและนอกพรรค อย่างที่รู้ ๆ กันว่าแม้แต่ ‘ผู้นำในทำเนียบรัฐบาล’ ก็ส่งสัญญาณผ่านคนใกล้ชิดว่า “ต้องกลับเป็นบัตรใบเดียว และปาร์ตี้ลิสต์หาร 500” เพื่อความได้เปรียบของพรรคร่วมรัฐบาล ตัดโอกาสที่จะชนะของพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ เป็นผมเองที่เห็นว่า “จะใช้อำนาจทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงเวลาที่จะต้องจัดการให้การเมืองเดินหน้าไปโดยยึดหลักการประชาธิปไตย” แต่ความยากอยู่ที่จะคุยอย่างไร ให้เสียงส่วนใหญ่ทำตามอย่างที่ผมเห็น ยากตรงที่มีการโจมตี ส.ว.ด้วยถ้อยคำรุนแรงมากมาย จนมองไม่เห็นว่าจะดึงอารมณ์ให้กลับมาพูดดี ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจกันได้อย่างไร

‘พิธา’ ขอยกเครื่องกฎหมายต่อต้านผูกขาด ปิดช่องโหว่ กสทช. เปลี่ยนจาก ‘รบ.เกรงใจกลุ่มทุน’ เป็น ‘รบ.ที่เกรงใจประชาชน’

‘พิธา’ ชี้ ค่ามือถือ-เน็ตบ้านเสี่ยงแพงขึ้น จากบรรทัดฐานที่เลวร้ายของ กสทช. เผย ‘ก้าวไกล’ เป็นรัฐบาล พร้อมยกเครื่องกฎหมายต่อต้านผูกขาด ปิดช่องโหว่ กสทช. ปฏิเสธอำนาจตัวเอง เปลี่ยน ‘รัฐบาลเกรงใจกลุ่มทุน’ เป็น ‘รัฐบาลเกรงใจประชาชน’

(21 เม.ย.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นกรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เห็นชอบหลักการกรณี AIS เข้าซื้อหุ้น JAS และ 3BB ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ TRUE-DTAC ว่า ในข่าวไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดมากนัก ยิ่งทำให้ประชาชนเป็นกังวลว่า ‘หลักการ’ ทิศทางเดียวกับ TRUE-DTAC หมายความว่า กสทช.จะยอมให้ควบรวมแบบไม่ต้องขออนุญาตเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะ กสทช. ได้สร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายว่าการควบรวมธุรกิจโทรคมนาคม มีช่องโหว่ให้สามารถรวมกันได้ โดยไม่มีหน่วยงานใดในประเทศนี้สามารถยับยั้งได้ และกำลังจะใช้บรรทัดฐานนี้กับการควบรวมครั้งใหม่ของ AIS และ 3BB หรือไม่

นายพิธากล่าวว่า การควบรวมครั้งใหม่นี้จะส่งผลต่อค่าอินเทอร์เน็ตบ้านอย่างไร อธิบายง่ายๆ ก็คือการที่บริษัท AIS ที่ขาหนึ่งทำธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน จะเข้าซื้อบริษัท 3BB ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านอีกราย ทำให้ AIS จะกลายเป็นบริษัทที่ครอบครองส่วนแบ่งตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านเป็นอันดับหนึ่งของประเทศจนอาจมีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งในระยะยาวจะลดการแข่งขันลงและทำให้ค่าเน็ตบ้านที่ประชาชนต้องจ่ายแพงขึ้น

อธิบายให้ละเอียดกว่านั้น คือในขณะนี้ตลาดของอินเทอร์เน็ตบ้าน มีผู้แข่งขันอยู่ 4 ราย ได้แก่ TRUE ครอบครองส่วนแบ่งตลาด 36%, 3BB ครองส่วนแบ่งตลาด 28%, NT (TOT เดิม) ครองส่วนแบ่งตลาด 20% และ AIS ครองส่วนแบ่งตลาด 13% การที่ AIS จะเข้าซื้อ 3BB จะทำให้ AIS+3BB ครองส่วนแบ่งตลาด 41% มากเป็นอันดับหนึ่ง แทนที่ TRUE ถ้าเรายังจำกันได้ ก่อนที่จะมี AIS Fiber และมีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านแค่ 3 ราย ค่าบริการสูงกว่าในปัจจุบัน และคุณภาพการให้บริการก็แย่กว่าในปัจจุบัน

นายพิธากล่าวต่อว่า เราคงต้องจับตากันว่ากรณีนี้ กสทช. จะมีมติออกมาเร็ว ๆ นี้หรือไม่ แต่หลังเลือกตั้งหากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะต้องมีการยกเครื่องกฎหมายต่อต้านการผูกขาดใหม่ทั้งหมด ให้มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อปิดช่องโหว่ที่ กสทช.จะปฏิเสธอำนาจตัวเอง แล้วปล่อยปละละเลยหน้าที่การกำกับดูแลของตัวเอง ให้เกิดการควบรวมที่จะลดการแข่งขัน สร้างภาระค่าครองชีพให้ประชาชนด้วยราคาสินค้าค่าบริการที่แพงขึ้น

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. นครพนม ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 4 เขตของจังหวัดนครพนม ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

>>เขต 1 อำเภอศรีสงคราม อำเภอนาหว้า อำเภอบ้านแพง อำเภอนาทม

>>เขต 2 อำเภอเมืองนครพนม (เฉพาะเทศบาลเมืองนครพนม, ตำบลท่าค้อ, ตำบลนาราชควาย,  ตำบลหนองญาติ และตำบลอาจสามารถ) อำเภอท่าอุเทน อำเภอโพนสวรรค์

>>เขต 3 อำเภอเมืองนครพนม (เฉพาะตำบลขามเฒ่า, ตำบลคำเตย, ตำบลนาทราย, ตำบลดงขวาง, ตำบลบ้านกลาง และตำบลโพธิ์ตาก) อำเภอธาตุพนม อำเภอเรณูนคร

>>เขต 4 อำเภอเมืองนครพนม (เฉพาะตำบลกุรุคุ, ตำบลบ้านผึ้ง และตำบลวังตามัว) อำเภอนาแก อำเภอปลาปาก อำเภอวังยาง

‘โรม’ ลั่น!! ทุกพื้นที่ในไทย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ชี้!! อำนาจเลือกผู้แทนเข้าสภาฯ อยู่ในมือ ปชช.

(21 เม.ย.66) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล เดินทางไปที่จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมลงพื้นที่หาเสียงกับผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคก้าวไกล ได้แก่ ต่อพงษ์ จีนใจน้ำ ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 10 (เบอร์ 6) และ ภูวดล ศรีหามาตย์ ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 6 (เบอร์ 5)

โดยช่วงเช้า จัดกิจกรรมขึ้นแห่ปราศรัยที่ อ.ประโคนชัย มีพี่น้องประชาชนโบกมือทักทายตลอดทาง รวมถึงผู้ที่สัญจรไปมาก็พร้อมใจกันยกมือทักทายขอฝากความหวังในการเปลี่ยนแปลงไว้กับพรรคก้าวไกล 

จากนั้นเดินทางไปวนอุทยานเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พูดคุยกับประชาชนที่มาท่องเที่ยวและเดินดูพื้นที่จากกรณีพิพาทเขากระโดง โดยรังสิมันต์ฝากให้หน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวดและตรงไปตรงมา

รังสิมันต์ยังกล่าวถึงกรณีศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ระบุบนเวทีดีเบตว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคก้าวไกลจะไม่มี ส.ส.บุรีรัมย์ แม้แต่คนเดียว ว่าที่ผ่านมามีนักการเมืองหลายคนมักเข้าใจผิดว่าพื้นที่ต่างๆ จังหวัดต่างๆ มีเจ้าของแล้ว แต่พวกเราพรรคก้าวไกลยึดมั่นในความเชื่อว่าประชาชนคือผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศนี้ ดังนั้น พรรคก้าวไกลจะมี ส.ส.บุรีรัมย์หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับศุภชัย แต่ขึ้นอยู่กับประชาชน ที่จะกำหนดว่าผู้สมัครคนใดจะได้รับความไว้วางใจผ่านการเลือกตั้ง ศุภชัยจึงไม่อยู่ในจุดที่จะมาคิดแทนประชาชนได้

“กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงมาถึงบุรีรัมย์แล้ว ผมเชื่อว่าผลงานการสอยรัฐมนตรีคมนาคมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน ทำให้ประชาชนเห็นแล้วว่าการเมืองแบบที่ผ่านมาเป็นอย่างไร การเลือกตั้งครั้งนี้ที่จังหวัดบุรีรัมย์ พรรคก้าวไกลหมายมั่นปั้นมือที่จะเอาชนะให้ได้ ซึ่งจากผลตอบรับของการลงพื้นที่วันนี้ ผมเชื่อว่าพี่น้องชาวบุรีรัมย์พร้อมที่จะเลือกพรรคก้าวไกลทั้งสองใบ ให้ก้าวไกลเข้าสภาฯ ให้พิธาเป็นนายกฯ รัฐบาลก้าวไกลจะเปลี่ยนประเทศไทยให้ไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” รังสิมันต์กล่าว

‘ธนาธร’ กร้าว!! ทุกพรรคเคยเป็น รบ. แต่พาไทยมาได้เท่านี้ ขอให้โอกาสให้ ‘ก้าวไกล’ เชื่อ!! 4 ปี ทำได้ดีกว่าแน่นอน

(21 เม.ย.66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เดินสายช่วยผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล หาเสียงที่ จ.ชลบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา พบปะประชาชนพร้อมกับผู้สมัคร ส.ส. ประกอบด้วย วรรณิดา นพสิทธิ์ ผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 2 (เบอร์ 3), เอกราช เนตรดี ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 3 (เบอร์ 1), นพรัตน์ มุริกะ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 2 (เบอร์ 2) และ จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 4 (เบอร์ 2)

การปราศรัยวันนี้ ธนาธรได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเลือกตั้งเพื่อให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม โดยระบุว่าแม้จะมีหลายคนที่เห็นว่าเลือกตั้งกี่ครั้งก็เหมือนเดิม บ้านเมืองไม่เปลี่ยน ชีวิตไม่เปลี่ยน แต่ตนย้ำว่านั่นเป็นเพราะปัญหาของประเทศไทยฝังลึกเป็นเรื่องโครงสร้าง โดยที่ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลต่างก็พากันแก้ปัญหาแบบขอไปที ปะผุ ทำให้การแก้ปัญหาของประเทศจบไม่ได้เสียที

ปัญหาของประเทศจำนวนมากคือปัญหาที่เกิดจากต้นตอโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ยกตัวอย่างได้มากมาย เช่น เรื่องของน้ำประปาที่คนเกินกว่าครึ่งของประเทศนี้ยังเข้าไม่ถึงน้ำประปาที่ไหลสะอาด เพียงพอใช้ 24 ชั่วโมงต่อวัน 365 วันต่อปี ในประเทศไทยปี 2566 เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำและเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดของบริการสาธารณะที่ทุกคนไม่ว่าจะเกิดที่ไหนควรจะเข้าถึง หรือเรื่องของถนนทั่วประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาไม่เท่ากันทั่วประเทศ บางแห่งผุพังทรุดโทรมมาหลายสิบปีก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่เกิดจากโครงสร้าง คืองบประมาณที่กระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง จะซ่อมถนนครั้งหนึ่งต้องเดินเอกสารไปถึงหน่วยงานที่กรุงเทพ กว่าหน่วยงานจะตั้งงบประมาณมาเริ่มดำเนินการได้ก็ต้องรอเป็นเดือนเป็นปี งบประมาณที่ท้องถิ่นมีอยู่ไม่พอให้แก้ปัญหาพื้นฐานเหล่านี้ได้ และนั่นคือเหตุผลที่พรรคก้าวไกล ย้ำว่าการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องปฏิรูประบบราชการ กระจายอำนาจ เอางบประมาณและอำนาจมาให้ประชาชนแก้ปัญหาในพื้นที่ของตัวเอง กำหนดอนาคตของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์วิ่งเต้นเส้นสายเพื่อให้ได้งบประมาณมาพัฒนาบ้านตัวเอง

นี่คือรูปธรรมของคำว่ากาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม นโยบายพรรคก้าวไกลมาจากฐานคิดแบบนี้ เพราะพรรคก้าวไกลไม่เคยสัญญาว่าจะมาสร้างถนนให้ หรือทำน้ำประปาให้ที่ไหนเป็นแห่งๆ ไปแบบปะผุ แต่ต้องทำในระดับโครงสร้าง ที่ผ่านมาพรรคอื่นต่างก็เคยเป็นรัฐบาลบริหารประเทศมาหมดแล้ว ครั้งนี้ตนอยากขอโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล ขอเพียงครั้งเดียวเท่านั้นประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีก ด้วยการแก้ปัญหาที่ต้นตอที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริงได้

‘ปชป.’ เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ กทม.ครั้งที่ 2 อ้อน ปชช.กาเบอร์ 26 ด้าน ‘ชวน’ ลั่น!! ต้องมีศักดิ์ศรี พร้อมเป็นได้ทั้ง ‘ฝ่ายค้าน-รัฐบาล’

เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 66 ที่ลานอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดปราศรัยใหญ่ครั้งที่ 2 ใน กทม.ให้กับผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 33 เขต

นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ปราศรัยว่า เราอย่าไปคิดว่าเข้าไปในสภาฯ แล้วจะเป็นรัฐบาลอย่างเดียว ถ้าเราไม่สามารถร่วมรัฐบาลหรือเป็นรัฐบาลได้ ก็ต้องพร้อมเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่ว่าพระมาชวนเป็นรัฐบาลก็ไปร่วมเป็นกับพระ โจรมาชวนร่วมรัฐบาลก็ร่วมกับโจรไม่ใช่อย่างนั้น ต้องมีเกียรติมีศักดิ์ศรีดำรงตนอยู่ในกระบวนการประชาธิปไตย

นายชวน กล่าว่า มีคนดีอยู่ในพรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ไปประณามใคร แต่ก็มีคนร้ายอยู่ทั่ว ๆ ไป เราในฐานะประชาชนในระบบนี้มีสิทธิเลือกรัฐบาลที่ดี โดยเลือกคนดีเข้าไปเป็นผู้แทน เพราะระบบนี้ผู้แทนเสียงข้างมากได้ตั้งรัฐบาล ถ้าผู้แทนเสียงข้างมากมาจากการโกง ซื้อเสียง ทุจริต เราก็จะได้รัฐบาลโกง รัฐบาลทุจริต เป็นสูตรว่ามาอย่างไรต้องไปอย่างนั้น เห็นเหตุผลที่ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้เลย เราจึงต้องช่วยกันรณรงค์ และขอให้ประชาชนเชื่อมั่นพรรคที่เป็นหลัก ยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเราไม่อยู่มาได้ทุกวันนี้ 77 ปี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top