Wednesday, 3 July 2024
เพื่อไทย

‘ณัฐวุฒิ’ ลั่น!! นายกฯ ต้องมาจากแคนดิเดต ‘เพื่อไทย’ เผย พร้อมตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคที่ยึดหลักประชาธิปไตย

(29 มี.ค. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจหลักของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

“ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะลำดับ 1 เพื่อไทยต้องเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีต้องมาจากแคนดิเดตคนใดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย  เราจะตั้งรัฐบาลผสมและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต้องเป็นพรรคที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตย และนโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์สดในรายการเปลี่ยนใหม่หรือไปต่อ ตอน ตัวตึง!!! ดำเนินรายการโดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 3 โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วมอีกรวม 6 พรรค ในช่วงแรก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวตอบคำถามของผู้ดำเนินรายการถึงเหตุผลอะไรที่จะต้องเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลว่า เพราะในช่วง 8 ปีของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นช่วงที่มีแต่ข่าวการทุจริตคอร์รัปชัน โดยสถาบันจัดลำดับการคอร์รัปชั่นทั้งในและต่างประเทศได้รายงานการทุจริตเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะอ้างเสมอว่าตัวเองเป็นคนดี ยึดมั่นสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในส่วนนั้นตนให้ความเคารพ แต่ที่เห็นได้ชัดคือพลเอกประยุทธ์ไม่เคยได้ยึดมั่นในประชาชนเลย เพราะพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจมาจากประชาชน และเขียนกติกาสืบทอดอำนาจให้พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณมาตั้ง ส.ว. และให้ ส.ว.มาเลือกพลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งเหล่านี้มันจึงอธิบายว่าประเทศกำลังเดินผิดทางและผลกระทบจากการเดินผิดทางคือความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน พรรคเพื่อไทย จึงเสนอตัวและเป็นทางเลือกทางเดียวที่จะปฏิเสธการเดินต่อของพลเอกประยุทธ์คือการต้องสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย

ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเป็นลำดับหนึ่ง ต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยจะตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีต้องมาจากแคนดิเดตคนใดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย เราจะตั้งรัฐบาลผสมและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต้องเป็นพรรคที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตย และนโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล

“ผมกล้าเชื่อว่า ถ้าหากว่าเพื่อไทยเสียงนำมาเป็นที่หนึ่ง และจับกับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยตั้งรัฐบาลแล้ว เชื่อว่า ส.ว. 250 เสียงจะไม่ตัดสินใจเหมือนเดิมไม่กล้าโหวตสวน แต่จะมีจำนวนหนึ่งที่ยอมรับการตัดสินใจของประชาชน และหันกลับมาโหวตให้ฝ่ายประชาธิปไตยจัดตั้งรัฐบาล” ณัฐวุฒิ กล่าว


ที่มา : https://www.facebook.com/pheuthaiparty/posts/pfbid0UB8rRebSpurtV7YQ1mA4SswQhKRY8Q8JRiCaYCS31kSyjWPReD5asciAmJv35phPl

‘เพื่อไทย’ ต้อนรับ ‘พ่อมดดำ’ กลับบ้านชื่นมื่น มั่นใจแลนด์สไลด์ จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

(29 มี.ค.66) พรรคเพื่อไทย นำโดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย กรรมการบริหารพรรค และว่าที่ผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง จังหวัดฉะเชิงเทรา ร่วมแถลงข่าวต้อนรับ สุชาติ ตันเจริญ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และอดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวต้อนรับ สุชาติ ตันเจริญ และคณะกลับพรรคเพื่อไทย ถือเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองที่ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่น วันนี้ได้ตัดสินใจมาร่วมอุดมการณ์ทำงานกับพรรคเพื่อไทย เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นสถาบันการเมืองของพี่น้องประชาชน ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในระบอบรัฐสภา

พรรคเพื่อไทยเชื่อในอำนาจพี่น้องประชาชน การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโอกาสไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเชื่อว่านายสุชาติมีศักยภาพ รวมไปถึงจังหวัดภาคตะวันออก น่าจะพาพรรคเพื่อไทยเข้าสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ได้แน่นอน” หัวหน้าพรรค กล่าว

สุชาติ ตันเจริญ สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าการกลับเข้ามาสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทยเป็นการกลับมาบ้านเก่าที่เคยทำให้ตนสามารถทำงานการเมืองมาอีก 10 กว่าปี จากเดิมเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ถูกตัดสิทธิ์การเมืองเว้นวรรค 2 สมัย และดิ้นรนมาหลายปี จนกลับมาบ้านในวันนี้ ส่วนเหตุผลที่กลับมาพรรคเพื่อไทย คือ…

1. มดดำ - คชาภา บุตรชาย อยากให้กลับมาที่พรรคเพื่อไทย
2. สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อยากให้กลับมา
3. เป็นความต้องการของพี่น้องประชาชน ที่ต้องการพรรคการเมืองที่ทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ 

เมื่อ ‘เพื่อไทย’ เลือก ‘หมอมิ้ง’ แคนดิเดต ชู ‘แลนด์สไลด์’ ทรมานใจติ่งพรรคส้ม

ในวันที่ 4 เม.ย.2566 ก็จะได้เวลากรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยเคาะชื่อ “บุคคลซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง...” หรือที่เรียกกันสั้น ว่าแคนดิเดตนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 88

แต่เนื่องด้วยยังมีบทเฉพาะกาลมาตรา 272  คนโหวตเลือกนายกฯ จะมีสมาชิกวุฒิสภามาร่วมแจมด้วย

พรรคเพื่อไทยประกาศชัดว่าจะจัดเต็มคาราเบล 3 รายชื่อ...เปิดหน้าเปิดตามาแล้วสองคน...’อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร และ ‘เสี่ยนิด’ เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งคนแดนไกลอย่างโทนี วู้ดซัม บอกว่าเก่ง (คนละด้าน) ทั้งคู่...คนที่สามที่กำลังจะเปิดตัวก็คงเก่งไปอีกทาง…

โทนี่ วู้ดซัม ยังได้พูดแบบไม่สนใจมาตรา 28, 29 ของพรป.พรรคการเมือง คือ พูดอย่างกะเป็นเจ้าของพรรคว่า...ไม่ว่าคนที่สามเป็นใครแต่ทั้งสามคนตกลงกันแล้วว่า คนหนึ่งเป็น (นายกฯ) อีกสองคนจะร่วมด้วยช่วยกัน...

จาก ม.ค.-มี.ค.ปีนี้  ชื่อแคนดิเดตนายกฯ คนที่สามทยอยโผล่มาด้วยที่มาต่างกัน...ประกอบด้วย สมชัย เลิศสุทธิวงศ์  ลูกหม้อเก่าเครือชินคอร์ป, ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย ที่ว่ากันว่าเป็น ส.เสือตัวใหญ่…‘หมอมิ้ง’ หรือ ‘สหายจำรัส’ หรือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองนายกฯและรมต.ของพรรค และล่าสุด นสพ.มติชน รายวัน บอกว่าอาจปัดฝุ่นเอาชื่อ ‘ชัยเกษม นิติศิริ’ ที่เคยเป็นหนึ่งในแคนดิเดตเมื่อปี 2562มาใช้บริการอีกครั้ง…

ขณะที่รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ยังไม่จบ...รายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน ของพรรคก็ออกมา เป็นรายชื่อเรียงตามตัวอักษรยังไม่มีการจัดอันดับจริง

น่าสนใจว่าไม่พบชื่อ แพทองธาร และ เศรษฐา แต่พบรายชื่อ ‘ชัยเกษม นิติศิริ’ ซึ่งอีกด้านหนึ่งพรรคเพิ่งแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการด้านประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรมและความเสมอภาคเท่าเทียม...

จะให้ถอดรหัสก็น่าจะอนุมานได้ว่าทางพรรคอยากดูแล ‘ชัยเกษม’ ให้เป็น ส.ส.หรือเป็นรัฐมนตรีในอนาคต  ยังไม่น่าจะเอามาปัดฝุ่นเป็นนายกฯ

‘เศรษฐา’ โชว์วิสัยทัศน์ ขับเคลื่อน ‘เศรษฐกิจ-เกษตร’ ไทย ชี้!! ต้องยกระดับ ก.ต่างประเทศ เน้นค้าขายกับต่างชาติ

(30 มี.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin’ โดยระบุว่า 

ทาง Maybank Kim Eng ได้ให้เกียรติและเปิดโอกาสให้ผมและทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนักลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจในนโยบายเศรฐกิจของพรรคครับ

ผมได้พูดถึงนโยบายภาคการเกษตรที่พรรคให้ความสำคัญมาตลอด เพราะหากการเกษตรดีก็จะสร้างรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรง และส่งผลต่อ GDP ของประเทศอย่างมหาศาล

เรื่องการต่างประเทศที่ผมเน้นย้ำอยู่บ่อยครั้ง ที่เราต้องยกระดับกระทรวงการต่างประเทศ และออกไปเจรจาค้าขายกับทั่วโลก เราต้องกล้าที่จะต่อรอง เพราะเรามีศักยภาพ มีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้ครบทุกด้าน 

ปัจจัยที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือการสร้างสังคมที่แข็งแรง มีสิทธิ มีความเท่าเทียม และมีสวัสดิการที่ดี เราต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เราต้องเร่งพัฒนาสังคมพื้นฐาน เพื่อให้ผู้คนสบายใจที่จะอาศัยอยู่ในประเทศ ไม่ย้ายออกไปไหน และอยากมีลูก เพราะเห็นความหวังในการอยู่ในสังคม

ผมมองว่าทุกเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราต้องแก้ไขไปพร้อม ๆ กัน สิ่งใดที่ทำได้ก่อน เราต้องทำ เพื่อพี่น้องประชาชน และด้วยศักยภาพของพรรคเพื่อไทย ผมเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำได้ เพราะมีผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่พร้อมจะแก้ไขปัญหา พัฒนาประเทศ สร้างความอยู่ดี กินดีให้กับพี่น้องประชาชนชนได้อย่างรวดเร็วที่สุดครับ

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid07jLHNKKeRmu3U6Q7whTBgA7Ji4fCC2q9xdfgCtcekaHDL5MprTSZ823NKrNjSLw8l&id=100090705406699&mibextid=Nif5oz

'ปลอดประสพ' แนะรัฐ หยุดไฟป่า หยุด PM2.5 ควรเร่งตั้ง 'สำนักดับไฟป่า' และลงมือทำทันที

(30 มี.ค.66) ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจากสถานการณ์ไฟป่าขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ คือพื้นที่จังหวัดนครนายก และจังหวัดเชียงราย รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พรรคเพื่อไทยมีความเป็นห่วงต่อความปลอดภัยของประชาชนอย่างสูงสุด และได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจติดตามสถานการณ์ โดยที่ประชุมเห็นควรให้ข้อมูลประชาชนถึงข้อเท็จจริงของสถานการณ์ และข้อเสนอแนะต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการรับมือสถานการณ์ทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว ดังนี้...

1. ข้อเท็จจริง ขณะนี้  สถานการณ์ไฟป่าขณะนี้ รุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปี (สาเหตุเพราะเชื้อเพลิงถูกสะสมมานาน ไม่มีการจัดการ) ซึ่งไฟป่าขนาดใหญ่ อุณหภูมิจะสูงถึง 1,000 องศาเซลเซียล อากาศจะระเบิด และไฟจะไปไกลถึงเมือง หากปล่อยไป จะดับไฟไม่ได้เลย ต้องรอฝนเท่านั้น และสถานการณ์ไฟป่านี้ เป็นเหตุให้ PM2.5 เพิ่มขึ้นเท่าตัว

2. ข้อเสนอแนะ ภาครัฐจะต้องเร่งจัดตั้งสถาปนา สำนักดับไฟป่า ในกรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้ จะต้องมีการจัดตั้ง อาสาสมัครไฟป่าประจำหมู่บ้านริมเขา มีงบประมาณหรือกองทุนไฟป่าสนับสนุน มีการทำประกันชีวิตให้เจ้าหน้าที่ไฟป่า มีการจัดตั้งคลังเครื่องมือ (Depo) ในพื้นที่เสี่ยงภัย สร้างถังน้ำสำรองในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยในส่วนของกำลังพลนั้น สามารถใช้กำลังทหารเข้าเผชิญไฟป่าช่วย และควรจัดทำที่จอดเฮลิคอปเตอร์ในพื้นที่สูง เพื่อใช้ในการเข้าถึงพื้นที่ไฟ และในอนาคต ต้องจัดทำ Green Belt (ป่าไม่ผลัดใบ) เป็นแนวกันไฟ 

ในสถานการณ์ดังกล่าวนี้ ควรให้ผู้ตรวจราชการสำนักงานนายกรัฐมนตรี (C11) ไปประจำพื้นที่ไฟ เพื่อการประสานงานบัญชาการแก้ไขปัญหา 

พรรคเพื่อไทยให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้แก้ไขปัญหาได้อย่างลุล่วงปลอดภัยทุกคน


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0h42NrvsDnS1X3gVRkpxYYwn3EPwMjou7SoeAMJq8RBiGEUWZsaotWrMGs86uP6uUl&id=100044569743646&mibextid=Nif5oz 

วิเคราะห์นโยบายพรรคการเมืองในเวทีเลือกตั้ง 66 เป็นไปได้ไหม? ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวันของเพื่อไทย

วิเคราะห์นโยบายของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๖

เชื่อว่า เศรษฐกิจของประเทศน่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน เมื่อมีพรรคการเมืองหาเสียงด้วยการกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนโดยไม่ได้คำนวณจาก ‘ดัชนีราคาผู้บริโภค’ (Consumer Price Index : CPI)

เมื่อพรรคเพื่อไทย ชูนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำสูงกว่าปัจจุบันเกือบสองเท่าภายใน ๔ ปี แต่ตอนที่เรียนปริญญาโทผู้เขียนเคยเรียนวิชาที่มีการสอนเกี่ยวกับการคำนวณอัตราค่าจ้างเงินเดือนมา จึงมีข้อสงสัยสงสัยว่า วิธีคิดค่าจ้างขั้นต่ำของพรรคการเมืองพรรคนั้น ใช้ฐานคิดคำนวณจากอะไร ‘หลักการหรือหลักกู’

ศาสตราจารย์ สมพงษ์ จุ้ยศิริ

ด้วยความที่เป็นลูกศิษย์ของ ศาสตราจารย์ สมพงษ์ จุ้ยศิริ ปรมาจารย์ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ท่านหนึ่งของประเทศ จำได้ว่า ท่านสอนเรื่องการคำนวณอัตราค่าจ้างเงินเดือนว่า ต้องคำนวณจาก ‘ดัชนีราคาผู้บริโภค’ (Consumer Price Index : CPI)

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) คือ เครื่องมือทางสถิติที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกของสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยที่ผู้บริโภคจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการจำนวนหนึ่ง ณ เวลาหนึ่งเทียบกับปีฐาน (Base Year) โดยดัชนีราคาผู้บริโภคกำหนดขึ้นจากความต้องการศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวและการวัดระดับการครองชีพของประชากร เพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชากรให้ดียิ่งขึ้น

แนวคิดพื้นฐานของดัชนีราคาผู้บริโภค พัฒนามาจากแนวคิดของดัชนีค่าครองชีพ (Cost of living index) ซึ่งต้องการวัดค่าใช้จ่ายในการบริโภคของผู้บริโภคในเดือนหนึ่งๆ โดยยังรักษามาตรฐานการครองชีพตามระดับที่กำหนดไว้ได้ ซึ่งเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ เนื่องจากมาตรฐานการครองชีพยังขึ้นกับปัจจัยอื่น ได้แก่ รายได้ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน ภาษี คุณภาพสินค้า เทคโนโลยี และราคาสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไป

ดังนั้น จึงได้มีการนำดัชนีราคาผู้บริโภคมาใช้แทนโดยให้มีปริมาณและลักษณะของสินค้าที่คงที่แต่เปลี่ยนแปลงเฉพาะราคาสินค้าเท่านั้น แม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคจะไม่สามารถแทนดัชนีราคาค่าครองชีพได้อย่างสมบูรณ์ แต่อาจกล่าวได้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคเป็นตัวประมาณค่าดัชนีค่าครองชีพได้ดีในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการบริโภค 

‘เพื่อไทย’ พบปะ-หารือ ผู้ประกอบการอัญมณี ยัน!! พร้อมผลักดันอุตฯ อัญมณีไทย เป็นศูนย์กลางของโลก

‘ปานปรีย์ พหิทธานุกร’ นำทีมเพื่อไทยพบผู้ประกอบการอัญมณีฯ ยืนยัน ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ พร้อมสร้างงาน-สร้างตลาด-สร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมอัญมณี ขณะที่ผู้ประกอบการฝากความหวัง ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางอัญมณีโลกให้ได้

(31 มี.ค. 66) พรรคเพื่อไทย นำโดย ปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคเพื่อไทย เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กทม. นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ กรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย นิกร ซัจเดว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย วิพุธ ศรีวะอุไร ส.ก. เขตบางรัก พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ได้แก่ กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ อรรฆรัตน์ นิติพน นวธันย์ ธวัชวงศ์เดชากุล ศิลปวิชญ์ น้อยสมมิตร เข้าพบปะหารือผู้ประกอบการอัญมณี สมาพันธ์อัญมณีเครื่องประดับและโลหะมีค่า (ประเทศไทย) ที่อาคาร Jewely Trade Center ถ.สีลม

สมชาย พรจินดารักษ์ ประธานสมาพันธ์อัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่า (ประเทศไทย) กล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ได้ด้วยการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60-70% สินค้ากลุ่มอัญมณีสร้างรายได้เข้าประเทศนับแสนล้านบาท สร้างการจ้างงานนับล้านตำแหน่ง แต่ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่ทรมานผู้ประกอบการอัญมณีเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้นำเสนอทางออกข้อเสนอแนะ แต่รัฐบาลไม่รับฟัง เพราะไม่มีการกระจายอำนาจ การตัดสินใจรวมศูนย์ที่คนเดียว หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล อยากเสนอให้ผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีของโลก 

“ความหวังของผู้ประกอบการ การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเปลี่ยนประเทศไทย เป็นโอกาสของภาคประชาชนที่จะได้รู้ว่าปากกามีราคาอย่างไร ผมมั่นใจหากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ การค้า จากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมอยากเห็นผู้นำที่สร้างความเชื่อมั่นในระดับโลก อยากให้ดูรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา ยืนยันทุกรัฐบาล ทั้งรัฐบาล ดร.ทักษิณ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ รับฟังเรา วันนี้เราถูกบีบจนหายใจไม่ออก” สมชาย กล่าว 

ปานปรีย์ พหิทธานุกร กล่าวว่าอัญมณีเป็นสินค้าสำคัญของไทย เป็นสินค้าที่สร้างชื่อเสียง สร้างหน้าตาให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก เวลานี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้ซื้อนิยมมาซื้ออัญมณีในไทยมากขึ้น หากจีนและอินเดียเติบโต จะทำให้อาเซียนเติบโตตามไปด้วย อยากให้ภาคเอกชนร่วมกันทำงาน หากเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล พร้อมเข้าไปสนับสนุนเต็มที่ ทั้งอุตสาหกรรมอัญมณี และคนทำงานทุกด้าน รวมทั้งช่างฝีมือที่ยังรายได้น้อย อยากให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จะเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนมากขึ้น

'ปลอดประสพ' แนะแนวทางแก้ปัญหา 'ขยะ-กากอุตสาหกรรม' ลั่น!! ถ้าได้เป็น รบ. พร้อมเดินสายกำจัดขยะรอบ กทม.

(1 เม.ย.66) ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวทีทางออกปัญหามลพิษขยะอุตสาหกรรม ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา ถึงปัญหาขยะและกากขยะจากโรงงานอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก โดยมุ่งใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในการควบคุม ใช้เทคโนโลยีในการติดตามตรวจสอบการจัดเก็บขยะกากอุตสาหกรรม และเน้นย้ำว่าส่วนมากการกำจัดขยะเหล่านี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของบ้านใหญ่รอบๆ กรุงเทพมหานครทั้งนั้น เพราะเกี่ยวพันการเมืองจึงแก้ไขไม่ได้ ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะขอจองเดือนแรกเดินสายกำจัดขยะรอบกรุงเทพมหานครให้หมดสิ้น

ปลอดประสพ สุรัสวดี กล่าวว่า โรงงานอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกมีมากกว่า 70,000 โรงงาน ซึ่งผลิตขยะอุตสาหกรรมทุกวัน แต่เรามีโรงบำบัดหรือกำจัดแค่ 2,000 โรงเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอ จึงเกิดปัญหาตามข่าวคือแอบเอาขยะไปทิ้ง เอาน้ำเสียสารมีพิษไปปล่อยกระจัดกระจายไปหมด แต่ก่อนเรายังมีกฎหมายผังเมืองคอยควบคุมขอบเขตการจัดตั้งโรงงานแต่เพราะมีคำสั่งของ คสช. ไปยกเลิกจึงทำให้กลุ่มโรงงานกระจัดกระจายออกไป ดังนั้น ต้องไปแก้คำสั่ง คสช. เป็นเบื้องแรก

นโยบายพรรคเพื่อไทย ยืนบนหลักชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนสิ่งอื่น ดังนั้นอุตสาหกรรมต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงให้เป็น เซอร์คูลาร์อีโคโนมี (Circular Economy) หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน หลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนคือการมุ่งใช้ทรัพยากรให้เกิดคุณค่าสูงสุด ลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุด และสามารถบริหารจัดขยะ รีไซเคิลขยะนำกลับมาใช้ให้ได้มากที่สุด ต้องสามารถตรวจสอบขยะอันตรายย้อนหลังได้ว่าแหล่งที่มาจากไหน เคลื่อนย้ายไปเก็บพักกำจัดไว้ที่ใด และใครคือผู้รับผิดชอบ

‘เพื่อไทย’ ชู การเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่าน ‘Learn to Earn’ หนุนเด็กไทยมีความรู้ มีรายได้ เข้าถึงการศึกษาได้ทุกช่วงวัย

(2 เม.ย. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจหลักของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

“ทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ทุกช่วงวัย หางานทำสร้างรายได้ทุกช่วงชีวิต พรรคเพื่อไทยส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านขั้นตอน Learn to Earn เรียนรู้มีรายได้ เรียนรู้ง่ายตลอดชีวิต”

ณหทัย ทิวไผ่งาม กรรมการบริหารพรรค และผู้ดูแลนโยบายการศึกษา พรรคเพื่อไทย ร่วมตอบคำถามสดในรายการตอบโจทย์ ศึกประชันวิสัยทัศน์นโยบายด้านการศึกษา สถานีโทรทัศน์ Thai PBS โดยได้กล่าวโดยรวมถึงระบบการศึกษาในปัจจุบันว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาให้รองรับต่อความเปลี่ยนแปลง ความแตกต่างหลากหลาย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนแต่ละช่วงวัย แต่ละช่วงชั้นที่แตกต่างกัน โดยส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ต้องเป็นการศึกษาที่กินได้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเสมอภาคด้านการศึกษา

ณหทัย ทิวไผ่งาม กล่าวว่า ด้วยเพราะสังคมทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว การส่งเสริมการเรียนรู้ เด็กเข้าโรงเรียนผ่านไป 4 ปี กลับออกมาปรากฏว่าสิ่งที่เรียนไปล้าสมัยแล้ว เราจึงต้องส่งเสริมให้ทุกคนไม่ใช่แค่เด็กนักเรียน “ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านขั้นตอน Learn to Earn” หมายถึงว่า ต้องเรียนด้วยและนำความรู้มาสร้างรายได้ด้วย และสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ เข้าถึงความรู้ได้ทุกช่วงวัย เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองตลอดเวลา แม้แต่ในวัยทำงานแล้วหากต้องการเพิ่มความรู้ก็จะมีสถาบันการศึกษา สถาบันวิชาชีพที่จะเสริมสร้างทักษะความรู้เฉพาะทางให้ศึกษาได้ และยิ่งทุกวันนี้เทคโนโลยีเจริญขึ้น สามารถเรียนได้โดยไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยแต่เรียนผ่านคอร์สออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันนี้มีหลายหมื่นหลักสูตรของแทบทุกสถาบันที่รองรับ ตรงนี้จะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์แก่การเรียนรู้ตลอดชีวิต

ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เราเห็นความเหลื่อมล้ำได้ชัดเจนเพราะเด็กนักเรียนต้องเรียนออนไลน์ เด็กที่พ่อแม่มีกำลังทรัพย์ ก็พอมีเงินซื้อโน๊ตบุ๊ก มือถือ เพื่อใช้เรียนออนไลน์ได้ แต่สำหรับเด็กยากจนก็ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ เราจะลดความเหลื่อมล้ำให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างไร สมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เราเคยมีโครงการ One Tablet per Child ซึ่งตอนนั้นน่าเสียดายที่เราทำยังไม่สำเร็จดี ก็ถูกยกเลิกไป ทั้งที่ต่อมาจะเห็นว่า เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด Tablet ที่เราเคยแจกไปได้นำกลับมาใช้ประโยชน์ รวมถึงทั้งปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดครู Tablet นี้ก็จะช่วยให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดแคลนครู สามารถเข้าถึงความรู้ เชื่อมการเรียนการสอนและหลักสูตรกับโรงเรียนหรือสถานศึกษาอื่นในเมืองได้โดยไม่ขาดโอกาสอีกต่อไป ดังนั้น พรรคเพื่อไทย จะนำโครงการนี้กลับมา ไม่ใช่ให้ Tablet แค่เด็กนักเรียน แต่จะต้องให้คุณครูได้ด้วยเพื่อใช้สอนเด็ก พร้อมกับสัญญาณอินเทอร์เนตฟรี เพื่อให้ทั้งเด็กนักเรียนและครูได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากสื่อการเรียนการสอนชิ้นนี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top