Saturday, 4 May 2024
กาฬสินธุ์

กาฬสินธุ์ - ป่วยโควิดเพิ่ม3 ฝีมือขาเลาะ-กินข้าวร่วมกันคลัสเตอร์จาก กทม.ยอดพุ่ง 40 ราย

จังหวัดกาฬสินธุ์พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 3 ราย สาเหตุเกิดจากกลับจากกรุงเทพฯ กินข้าวร่วมกันแพร่เชื้อให้คนในครอบครัวและติดจากเพื่อนที่ทำงานในกรุงเทพแล้วกลับบ้าน ส่งผลให้ยอดสะสมพุ่ง 40 ราย ขณะที่ สสจ.กาฬสินธุ์ปรับแผนเปิดไทม์ไลน์ละเอียดยิบ เพื่อให้ประชาชนช่วยกันป้องกันตัวเอง

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ศูนย์อำนวยการต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จ.กาฬสินธุ์ ศาลากลาง จ.กาฬสินธุ์ ชั้น 2 นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผอ.โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ นพ.ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ รองผอ.โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ร่วมกันแถลงสถานการณ์โรคโควิด-19 และการเตรียมความพร้อมโรงพยาบาลสนามหลังพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดวันนี้พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 3 ราย ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19สะสมในระลอกเดือนเมษายน 2564 รวม 40 ราย

นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ล่าสุดวันนี้ 23 เมษายน 2564 พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีก 3 ราย ทำให้ในช่วงระลอกเดือนเมษายน 2564 มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 40 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 1 ราย ส่วนอีก 39 รายกำลังรักษาที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์จำนวน 22 ราย โรงพยาบาลฆ้องชัย 17 ราย  โดยผู้ป่วยเดิมรายที่ 1-37 ได้มีการแถลงไปแล้ว ส่วนผู้ป่วยเพิ่มรายใหม่ประกอบด้วย

รายที่ 38 เพศหญิง อายุ 51 ปี อาชีพเกษตรกร ภูมิลำเนาบ้านสร้างมิ่ง ม.12 ต.โนนสูง อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เริ่มเจ็บป่วยวันที่ 20 เมษายน 2564 ด้วยอาการเจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายที่ 29  (ลูกสาว) และรายที่ 36 ปี (ลูกเขย) ซึ่งผู้ป่วยรายนี้จากการสอบสวนโรคของผู้ป่วยรายที่ 29  พบมีผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงจำนวน 12 คน เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน 4 ราย และญาติพี่น้องอีก 8 ราย ทุกรายเจ้าหน้าที่ได้ติดตามกักกันตัวในสถานที่พักได้ทั้งหมดแล้ว และเข้ารับการตรวจ พบว่าติดเชื้อ 1 ราย คือรายที่ 39 กำลังรอผลอีก 3 ราย และอยู่ระหว่างการเข้ารับการตรวจอีก 8 ราย

รายที่ 39 เพศหญิง อายุ 33 ปี ว่างงาน ภูมิลำเนาหมู่บ้านเดียวกันและเริ่มป่วยพร้อมกันกับรายที่ 38 ในวันที่ 20 เมษายน 2564 ด้วยอาการไอ เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายที่ 29 (น้องสาว)  และรายที่ 36 (น้องเขย)

รายที่ 40 เพศหญิง 41 ปี อาชีพรับจ้าง ภูมิลำเนาบ้านค้อ ม.1 ต.หนองช้าง อ.สามชัย จ.กาฬสินธุ์ เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 ด้วยอาการลิ้นไม่รับรส เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยัน ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่ร้านเฮลท์แลนด์ เอกมัย กรุงเทพฯ จากการสอบสวนโรคพบผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูง 4 ราย  ทุกรายสามารถติดตามกักตัวในสถานที่พัก และนัดตรวจเชื้อในวันที่ 23 เมษายน 2564 ทั้ง 4 ราย 

นายทรงพล กล่าวอีกว่า  จากการสอบสวนโรคของเจ้าหน้าที่พบว่าช่วงระยะหลังนี้ โดยเฉพาะผู้ป่วยรายที่ 38 และรายที่ 39 มีความเกี่ยวเนื่องติดเชื้อมาจากรายที่ 29 และรายที่ 36 คือเป็นผู้ป่วยในครอบครัวเดียวกันที่กลับมาจากพื้นที่เสี่ยงกรุงเทพฯ แล้วอาศัยด้วยกัน รับประทานอาหารร่วมกัน และทำกิจกรรมหลายอย่างร่วมกัน ซึ่งกลุ่มนี้ค่อนข้างพบผู้ป่วย และกลุ่มเสี่ยงหลายราย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเข้าไปติดตามดูภายในหมู่บ้าน เพื่อตรวจคัดกรอง และประเมินสถานการณ์ ซึ่งหากจำเป็นจะมีการมาตรการเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ถือว่าอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค ทางจังหวัดนอกจากจะกำชับให้ทั้ง 18 อำเภอ ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดแล้ว ยังได้กำชับไปในพื้นที่เข้มงวดเกี่ยวกับพฤติกรรมในการเสี่ยงแพร่ระบาด โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมรวมคนจำนวนมาก และการลักลอบเล่นการพนันในพื้นที่  เช่น บ่อนการพนัน บ่อนวิ่ง บ่อนชนไก่ การลักลอบการพนันไก่ชน ซึ่งห้ามไม่ให้มีอย่างเด็ดขาด และทางจังหวัดเอาจริงมาตลอด ทั้งนี้หากพบมีการกระทำในลักษณะดังกล่าวพื้นที่ต้องรับผิดชอบ เพราะกรณีดังกล่าวนั้นเป็นสาเหตุการของการแพร่ระบาด ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วเป็นตัวอย่างในหลายพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ

ด้าน นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานสาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ได้ทำการสอบสวนโรค และเผยแพร่ไทม์ไลน์เฉพาะพื้นที่และช่วงเวลาเสี่ยง เพราะส่วนใหญ่สามารถควบคุมโรคและติดตามตัวกลุ่มเสี่ยงได้ แต่เพื่อความสบายใจและให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังมากขึ้น จะมีการปรับเปลี่ยนเผยแพร่ไทม์ไลน์ให้ละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้จากการสอบสวนโรคผู้ป่วยทั้ง 40 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงสามารถตรวจสอบค้นหาได้ว่าติดมาจากไหนและจากใคร ไปถึงไหน ซึ่งขณะนี้ยังไม่เป็นวงกว้าง เพราะติดเชื้อที่บ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังคงเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์  ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

กาฬสินธุ์ – ชาวบ้านพลิกวิกฤตโควิดระบาด ไม่ประมาทหาอาหารป่า งมหอยขาย

จากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ผลยืนยันล่าสุดพบผู้ป่วยติดเชื้อพุ่งสูงถึง 50 คน โดยไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้อแต่ละคน เดินทางไปหลายพื้นที่ ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่กักกันตัวเองในบ้าน เพื่อความไม่ประมาทและลดอัตราเสี่ยงได้รับเชื้อทำให้ชาวบ้านหลายรายพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ทั้งเข้าป่าหาแหย่ไข่มดแดง และลงเขื่อนหางมหอยเป็นอาหารในครัวเรือน พร้อมจำหน่ายในชุมชนสร้างรายได้เสริมเป็นอย่างดี

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ โดยล่าสุดคณะกรรมการโรคติดต่อ ได้ประกาศยืนยันผลพบได้รับเชื้อระลอก 3 จำนวน 50 ราย ทั้งนี้ ทางจังหวัดได้ออกมาตรการหลายด้านอย่างเข้มงวด ให้ประชาชนปฏิบัติตาม เพื่อความไม่ประมาทและเป็นการป้องกันการได้รับเชื้อ

ขณะเดียวกัน ในส่วนการดำเนินชีวิตของประชาชนในรูปแบบนิวนอร์มอล ก็ได้เพิ่มความระมัดตนเองมากขึ้น โดยปฏิบัติตามมาตรการของคณะกรรมการโรคติดต่ออย่างเคร่งครัด โยเฉพาะการสวมหน้ากากผ้า ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รักษาระยะห่างทางสังคม ไม่เข้าไปในสถานที่แออัด ผู้คนพลุกพล่าน รวมทั้งสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมชุมชน เช่น ตลาด ร้านค้า โดยเฉพาะในการหาอาหาร ได้พบว่ามีการปรับตัว เพื่อความปลอดภัยจากโควิด-19 โดยมีชาวบ้านหลายรายเข้าไปหาอาหารป่า ทั้งแหย่ไข่มดแดง และหางมหอยตามแหล่งน้ำสาธารณะ รวมทั้งบริเวณท้ายเขื่อนลำปาว ที่น้ำกำลังลดลงจากภาวะภัยแล้ง

นายเฉลิมชาติ บุญใหญ่ อายุ 40 ปี บ้านเลขที่ 97 หมู่ 5 บ้านหนองสอ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ดังกล่าว เพื่อความไม่ประมาท การ์ดไม่ตก ตนและทุกคนในครอบครัว รวมทั้งเพื่อนบ้าน ต่างตื่นตัวในการระมัดระวัง ป้องกันตนเองและคนใกล้ชิดอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตประจำวัน และการอาหารเลี้ยงครอบครัว ทั้งนี้ ได้อาศัยช่วงว่างเว้นจากการทำงาน และเป็นช่วงฤดูแล้ง มาหางมหอยทราย หอยขม ที่บริเวณท้ายเขื่อนลำปาว ซึ่งระดับน้ำกำลังลดลง

นายเฉลิมชาติกล่าวีกว่า ตนและเพื่อนบ้านหลายคน จะมาหางมหอยในช่วงเช้าถึงเที่ยงวัน ที่อากาศกำลังพอดี โดยจะได้วันละประมาณ 10-20 ก.ก. หอยที่ได้นอกจากจะนำไปประกอบอาการทานในครัวเรือนแล้ว ยังแบ่งขายในชุมชนในราคา ก.ก.ละ 25-30 บาท เป็นการหารายได้เสริมเข้าครัวเรือน และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเพื่อนบ้าน ที่ระมัดระวังตัวกลัวติดเชื้อโควิด-19 อีกด้วย ทั้งนี้ ถึงแม้จะเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่เป็นฤดูแล้งและน้ำลด จึงหางมหอยได้ง่าย และพอจะมีทางออกในการหาอาหารหล่อเลี้ยงคนในครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามบรรยากาศการหาอาหารของชาวบ้านในช่วงนี้ พบว่ามีชาวบ้านหลายราย ไม่กล้าที่จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับการได้รับเชื้อโควิด-19 จากการเข้าไปหาซื้ออาหารในท้องตลาด ดังนั้น จึงพบว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าชุมชนและป่าสงวนแห่งชาติดงระแนง ก็จะพากันหาอุปกรณ์ไปแหย่ไข่มดแดง ที่ทำรังบนยอดไม้สูงๆ ซึ่งไข่มดแดงถือเป็นอาหารตามฤดูกาลที่หายาก และคนนิยมรับประทานมาก โดยจะมีเฉพาะในฤดูแล้งเท่านั้น จึงเป็นอาหารป่าที่มีราคาแพง หากหาแหย่ไข่มดแดงได้จำนวนมาก ก็จะนำไปแบ่งขาย สร้างรายได้ในช่วงนี้อย่างงาม โดยราคาซื้อขายกันสูงถึง ก.ก.ละ 500 บาททีเดียว

 

กาฬสินธุ์ – รองผู้ว่าฯ มอบประกาศนียบัตรจิตอาสาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและสังคม ให้กับนักเรียน โรงเรียนหนองสอพิทยาคม จำนวน 8 ราย เพื่อยกย่อง และเป็นตัวอย่างแก่เพื่อนนักเรียน

วันที่ 27 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมฟ้าแดดสงยาง ศาลากลาง จ.กาฬสินธุ์ นายสนั่น  พงษ์อักษร  รอง ผวจ.กาฬสินธุ์  มอบประกาศนียบัตรจิตอาสาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและสังคม ให้กับนักเรียนชุมชนพุทธจิตอาสา โรงเรียนหนองสอพิทยาคม อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์  จำนวน 8 ราย คือ นายนครินทร์ สินทร , นายสุระเพชร  วรรณมล , นายธนากร  ไกยบุตร , นายณัฐพล  ชุมทวียศ , นางสาวกัญญาลักษณ์  อัครินทร์ , นางสาวกุลวรรณ  เกตุกุล , นางสาววนิดา  ผลาผล  และนางสาวชุติมา  อิ่มฤทธิ์  ซึ่งเป็นจิตอาสาช่วยเหลืองานของ  โรงเรียน วัด และชุมชน มาเป็นระยะเวลา 3 ปี  โดยมีนายบัญชายุทธ  นาคมุจลินท์  ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.กาฬสินธุ์ นางกมนรัตน์  สิมมาคำ วัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์  ร่วมแสดงความยินดี

ทั้งนี้ โรงเรียนหนองสอพิทยาคม ต.ลำปาว อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ได้จัดกิจกรรมชุมนุมเพื่อให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมเพื่อพัฒนา ความถนัด ความสนใจ ตามความต้องการของนักเรียน มุ่งเน้นการเติมเต็มความรู้ ความชำนาญและประสบการณ์ให้กับนักเรียน ตลอดจนปลูกฝังจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 ได้มีการจัดตั้งชุมนุมพุทธจิตอาสา โดยมีพระอาจารย์วัฒน์ชรินทร์  อรุโณ (ผาลาโห) เป็นพระอาจารย์ที่ปรึกษาชุมนุม ซึ่งจะออกบริการทางชุมชนและวัดตามวาระโอกาส วันสำคัญต่าง ๆ และประเพณีที่สำคัญ  ส่วนหนึ่งก็เพื่อปลูกผังจิตสำนึกด้านจิตสาธารณะให้กับนักเรียน รู้จักการเสียสละ ทำประโยชน์เพื่อสังคม


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์  ประชากูล

กาฬสินธุ์ – นก อพยพปักหลักขยายพันธุ์ กินหอยเชอรี่ศัตรูข้าว ชาวนาเผยเป็นผลดี พื้นที่ท้องนาสวยงาม และมีความชุ่มชื้น ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าวเย็นลง

ฝูงนกธรรมชาตินานาชนิดหลายพันตัว บินอพยพจากต่างถิ่น เข้ามาปักหลักหากินในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ และเกิดการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ชาวนาเผยเป็นผลดีช่วยกินหอยเชอรี่ศัตรูข้าว และมองดูเหมือนสวนสัตว์นกดูเพลิดเพลินสวยงามเต็มท้องทุ่ง ขณะที่ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ ทสจ.กาฬสินธุ์ขอความร่วมมือประชาชนร่วมอนุรักษ์ ไม่ควรจับมาทำอาหารเพราะอาจจะติดเชื้อพยาธิได้

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามสภาพอากาศในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ 18 อำเภอ ซึ่งอยู่ในช่วงของฤดูแล้งและบางวันมีฝนหลงฤดูตกลงมา ทำให้เกิดความชุ่มชื้น บางแห่งมีน้ำขัง ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าวเย็นลงบ้าง ขณะที่พื้นที่ใช้น้ำจากคลองชลประทานลำปาวหรือเขื่อนลำปาว กำลังอยู่ในระหว่างเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปรัง จึงพบว่าในช่วงนี้ จะมีฝูงนกธรรมชาตินานาชนิด โดยเฉพาะนกกระยางและนกปากห่าง โบยบินอยู่รอบ ๆ รถเกี่ยวข้าว และโผบินขึ้นบนท้องฟ้า แล้วโฉบลงมาจิกกินหอย กบ เขียด ปู ปลา ตามท้องนา ทำให้เกิดสีสัน สวยงาม

นายนาคินทร์ ภูจ่าพล ผู้ใหญ่บ้านดอนยานาง หมู่ 9 ต.ดอนสมบูรณ์ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ฝูงนกกระยางและนกปากห่างดังกล่าว เห็นเข้ามาในพื้นที่ครั้งแรกประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเห็นประปราย ไม่กี่ตัว ก่อนที่ระยะหลังต่อมาจะเห็นเพิ่มจำนวนมาก คาดว่าจะมีจำนวนหลายพันตัว กระจายอยู่หลายพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่ทำนาปรัง ทั้งในเขต ต.ดอนสมบูรณ์ ต.บัวบาน ต.ยางตลาด อ.ยางตลาด, ต.เหนือ ต.หลุบ ต.ลำพาน อ.เมืองกาฬสินธุ์ โดยจะเห็นอยู่กันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละประมาณ 20-100 ตัว

นายนาคินทร์ กล่าวอีกว่า ช่วงที่ฝูงนกดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับข้าวในนาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากนัก จะมีเพียงเหยียบต้นข้าวเท่านั้น เนื่องจากอาหารหลักของนกเหล่านี้คือหอยเชอรี่ รวมทั้งกบ เขียด ปู ปลาที่อยู่ในนาข้าว ซึ่งหอยเชอรี่ถือเป็นศัตรูข้าว โดยจะกัดกินต้นข้าวเป็นอาหารและมีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเสียหายต่อต้นข้าว ชาวนาต้องไปหาซื้อสารเคมีที่ราคาแพงมากำจัดหอยเชอรี่ ทำให้เกิดสารพิษตกค้าง ส่งผลเสียต่อคุณภาพข้าวและสุขภาพของชาวนา ทั้งนี้ พอมีนกกระยางและนกปากห่างเข้ามาในพื้นที่ จึงเป็นการช่วยกำจัดหอยเชอรี่ศัตรูข้าวได้เป็นอย่างดี และผลดีของนกเหล่านี้ ยังทำให้แลดูเพลินตาเพลินใจ มองดูเหมือนเป็นสวนสัตว์นกธรรมชาติ ที่สร้างความสวยงามอยู่ตามท้องทุ่งนา

ขณะที่นายนิยม กิตติวงศ์ตระกูล ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์กล่าวว่า ฝูงนกธรรมชาติดังกล่าว สันนิษฐานว่าบินอพยพมาจากต่างประเทศ และในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง อาหารขาดแคลน โดยจับกลุ่มบินเข้ามาในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ พบกับสภาพอากาศที่ชุ่มชื้น มีแหล่งน้ำ มีอาหาร ให้หากินตลอดปี โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตใช้น้ำชลประทานลำปาว ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ จึงปักหลักหากินและเกิดการขยายพันธุ์ดังกล่าว

นายนิยมกล่าวอีกว่า อาหารของนกเหล่านี้คือ กุ้ง หอย ปูปลา และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอื่น ๆ ช่วงแรกที่นกธรรมชาติเหล่านี้เข้ามาในพื้นที่ ได้รับการร้องเรียนจากชาวนาบ้าง ว่าลงเหยียบย่ำต้นข้าวเสียหาย และลงหากินตามบ่อกุ้งบ่อปลา  ซึ่งก็ได้ให้คำแนะนำให้หาวิธีการป้องกันความเสียหาย โดยทำนาดำเพื่อจะได้ต้นข้าวที่แข็งแรง ขณะที่ผู้เลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลาเอง ก็ให้ทำอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ใช้ภูมิปัญญาไล่นกด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งบรรเทาความเสียหายลงได้ ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ชาวนาและประชาชนทั่วไป ไม่ทำร้ายและไม่นิยมจับนกเหล่านี้มาทำอาหาร อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นนกธรรมชาติ ที่ช่วยกำจัดหอยเชอรี่ที่เป็นศัตรูข้าว และยังสร้างสีสัน มองดูสวยงาม จึงขอความร่วมมือจากประชาชน ช่วยกันอนุรักษ์เป็นสัตว์ประจำถิ่น เพราะฝูงนกเหล่านี้ให้คุณมากกว่าโทษ และไม่ควรจับมาทำอาหาร เพราะอาจจะติดเชื้อพยาธิได้

(เสียงสัมภาษณ์ นายนาคินทร์ ภูจ่าพล ผู้ใหญ่บ้านดอนยานาง หมู่ 9 ต.ดอนสมบูรณ์และนายนิยม กิตติวงศ์ตระกูล ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์)

กาฬสินธุ์ - เข้ม 9 อำเภอ กันไข่แตก !! ปรบมือส่งกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโควิด

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์นำหัวหน้าส่วนราชการและกรมการจังหวัดลุกขึ้นยืนปรบมือ เพื่อเป็นการขอบคุณ  และสร้างขวัญกำลังใจให้กับทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 พร้อมกำชับทุกพื้นที่เข้มงวดตามมาตรการ โดยเฉพาะพื้นที่อีก 9 อำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วย

เมื่อวันที่ 29 เมษายน  2564 นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์เป็นประธานการประชุมคณะกรมการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการ ครั้งที่ 4/2564 ซึ่งเป็นการประชุมแบบ New Normal โดยเชิญเฉพาะผู้แทนกระทรวงเข้าร่วมประชุม  โดยมีนายเลิศบุศย์ กองทอง นายสนั่น พงษ์อักษร รองผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ พล.ต.ต.สมนึก มิควาฬ ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.อ.เรืองพงษ์ วงศรีสุข รองผอ.รมน.กาฬสินธุ์ นายพิชัย ส่งสุขเลิศสันติ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วมประชุม

โดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ได้กล่าวเชิญชวนให้คณะกรมการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการ ลุกขึ้นยืน พร้อมปรบมือ เพื่อเป็นการขอบคุณ สร้างขวัญและกำลังใจให้กับทีมแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ อสม.รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 พร้อมทั้งกำชับให้ทุกคนร่วมมือกันในการป้องกันตนเอง ด้วยการงดหรือชะลอการเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่อีก 9 อำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 ให้เข้มงวดและเร่งสร้างความความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ส่วนพื้นที่ 9 อำเภอที่พบผู้ป่วยแล้วก็ได้เข้มงวดปฏิบัติตามมาตรการของสาธารสุขเช่นกัน เพื่อที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดในรอบนี้ให้ได้ 

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดวันที่ 29 เมษายน 2564 ไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มเติม โดยขณะนี้มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 61 ราย และรักษาหายสามารถกลับบ้านได้แล้ว 12 ราย  อยู่ระหว่างการรักษา 49 ราย โดยรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ 25 ราย โรงพยาบาลฆ้องชัย 14 ราย และพักฟื้นเพื่อรอกลับบ้าน ที่โรงพยาบาลสนามกาฬสินธุ์แห่งที่ 1 จำนวน 10 ราย ทั้งนี้พื้นที่ที่พบผู้ป่วยโควิด-19 มีจำนวน 9 อำเภอ ประกอบด้วย อ.ยางตลาด 24 ราย, อ.เมือง 10 ราย, อ.กมลาไสย 8 ราย, อ.สมเด็จ 5 ราย, อ.สหัสขันธ์ 5 ราย, อ.สามชัย 4 ราย,อ.กุฉินารายณ์ 3 ราย, อ.ดอนจาน 1 ราย และ อ.นาคู 1 ราย ส่วนพื้นที่อีก 9 อำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วยประกอบด้วย อ.ฆ้องชัย อ.ร่องคำ อ.ห้วยเม็ก อ.หนองกุงศรี อ.ท่าคันโท อ.เขาวง อ.ห้วยผึ้ง  อ.คำม่วง และ อ.นามน

นอกจากนี้ทางจังหวัดยังได้ออกประกาศขอความร่วมมือให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออกจากเคหสถาน 100 % หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมขอให้ประชาชนทุกคนเคร่งครัดในการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร ไม่เข้าไปในสถานที่แออัดอากาศไม่ถ่ายเท ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สแกนไทยชนะหรือหมอชนะ หากท่านใดที่สัมผัสใกล้ชิดกับสมาชิกในครอบครัวที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงในช่วงที่ผ่านมา ควรสังเกตอาการตนเองที่บ้าน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หากมีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ถ่ายเหลว ตาแดง ผื่นขึ้น หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก โปรดแจ้งประวัติการสัมผัสกับผู้เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงให้บุคลากรการแพทย์ทราบเพื่อคัดกรองความเสี่ยงด้วย

อย่างไรก็ตามในการประชุมยังได้มีพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นประจําปี 2563  จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 4 ราย พิธีมอบเกียรติบัตรยกย่องชุมชนองค์กรอำเภอและจังหวัดคุณธรรมประจำปีงบประมาณ 2562 พิธีมอบเกียรติบัตรปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ระดับจังหวัด ประจำปี 2564  พิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณให้กับบุคคลผู้ได้รับการพิจารณาเป็น "คนดี ศรีกาฬสินธุ์" ตามค่านิยม "มีมารยาทแบบไทย"  พิธีมอบทุนการศึกษาของสมาคมแม่บ้านมหาดไทยประจำปี 2564 และการมอบระบบบริหาร ครัวเรือนยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ KHM - V.2 โดยมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นข้อมูลในการติดตามครัวเรือนตามโครงการ  Kalasin Happiness Model อีกด้วย

กาฬสินธุ์ – ผลกระทบโควิดฮิต !! ใช้แพข้ามฟากเขื่อนลำปาว รัดเข็มขัด ประหยัดน้ำมัน

จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชน เผชิญกับภาวะเสี่ยงได้รับเชื้อ สถานบริการหลายแห่งปิดกิจการ หลายคนขาดรายได้ จึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายทุกด้าน รวมทั้งการเดินทางที่ต้องประหยัดค่าน้ำมัน ทำให้บรรยากาศการบริการแพข้ามฟากข้ามอ่างเก็บน้ำลำปาว ที่คลองเชื่อมระหว่างอำเภอเมืองกาฬสินธุ์และอำเภอหนองกุงศรี กลับมาคึกคักอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงาน จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยล่าสุดยอดผู้ป่วยสะสมสูงถึง 71 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ส่งผลให้ประชาชน ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง และป้องกันตนเองไม่ให้รับเชื้อ โดยปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันโควิด-19 D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด ทั้งการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร ไม่เข้าไปในสถานที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สแกนไทยชนะหรือหมอชนะ เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ในส่วนของการเดินทาง และการประกอบอาชีพของประชาชน ยังต้องรัดเข็มขัด ประหยัดกิน ประหยัดใช้ เนื่องจากสถานบริการ หรือสถานประกอบการหลายแห่งต้องหยุดกิจการ ส่งให้หลายคนว่างงาน ขาดรายได้ ขณะที่ในส่วนผู้ที่ยังทำงาน และประกอบอาชีพ จึงต้องประหยัดทุกวิถีทาง เพื่อที่จะลดรายจ่าย และเลี้ยงดูสมาชิกในครัวเรือนที่ว่างงาน  เช่น ประหยัดน้ำมันในการเดินทางข้ามอำเภอ หรือข้ามจังหวัด รวมทั้งลดระยะทางในการเดินทางค้าขาย รับจ้างและหาจับสัตว์น้ำ

จากสาเหตุดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้พบว่า บรรยากาศการบริการที่แพข้ามฟาก บริเวณคลองเชื่อมเขื่อนลำปาว ตรงข้ามกับบ้านสะอาดนาทม ต.ลำคลอง อ.เมืองกาฬสินธุ์ กับ ต.เสาเล้า อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์  ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งแต่ละวันจะมีผู้ใช้รถเดินทางมาใช้บริการขึ้นแพ โดยใช้แรงคนชักลากเพื่อข้ามคลองเชื่อม ซึ่งมีความกว้างประมาณ 30 เมตร

สอบถามนายชาติ กุลพลเมือง อายุ 50 ปี ชาวบ้านสะอาดนาทม ต.ลำคลอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ผู้ประกอบการแพลากข้ามฟาก กล่าวว่า ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ในการให้บริการแพลากกับผู้ใช้รถ ที่จะเดินทางข้ามไป-มา ระหว่าง 2 อำเภอนี้ ซึ่งจะให้บริการในช่วงฤดูแล้งที่น้ำลด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่จะเดินทางระหว่าง 2 อำเภอได้รับความสะดวก คือใกล้กว่าที่จะขับไปขึ้นสะพานเทพสุดา ระหว่างแหลมโนนวิเศษ ต.โนนบุรี อ .สหัสขันธ์ กับเกาะมหาราช ต.หนองบัว อ.หนองกุงศรี โดยสามารถร่นระยะเดินทางได้กว่าเส้นทางถนนประมาณ 30-50 กม.ทีเดียว

นายชาติกล่าวอีกว่า ในช่วงฤดูแล้งนี้ และประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 พบว่ามีผู้ใช้รถมาใช้บริการเป็นจำนวนมากขึ้น เฉลี่ยวันละ 20-30 คัน สำหรับค่าบริการแพข้ามฟาก รถจักรยานยนต์คันละ 20 บาท รถกระบะและรถไถคันละ 40 บาท รถบรรทุก 6 ล้อคันละ 60 บาท เป็นต้น สำหรับชาวบ้าน ที่ข้ามฝั่งไปหาอาหาร หรือหาหอย ปู หาปลา ในเขื่อน ก็จะไม่เก็บค่าบริการ เนื่องจากเห็นอกเห็นใจกัน และบรรเทาความเดือดร้อน ที่ประสบปัญหาเรื่องปากท้อง ในช่วงสถานการณ์โควิด-19

กาฬสินธุ์ – สภาพอากาศวิปริต น้ำเสียจากสารเคมีที่ไหลลงเขื่อน ทำปลาตาย ประชาชนหากินลำบาก

ชาวประมงรอบเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่หาจับปลาเพื่อบริโภคในครัวเรือนและจำหน่ายในชุมชน กำลังประสบปัญหาจับปลาได้ยากมากขึ้น ระบุเป็นผลพวงมาจากสภาพอากาศวิปริต และน้ำเสียจากสารเคมีที่ไหลลงเขื่อน เป็นสาเหตุของปลาตาย จึงหาจับปลาได้น้อยลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า ที่สั่งจองไปประกอบอาหารรับประทานในครัวเรือนช่วงสถานการณ์โควิด-19

เมื่อวันที่  3 พฤษภาคม 2564 จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพของประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ ในช่วงรอยต่อฤดูแล้งกับฤดูฝน โดยเฉพาะชุมชนรอบเขื่อนลำปาว ซึ่งมีการใช้อุปกรณ์ลงเรือ เพื่อหาจับสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ทั้งนี้ หากมองในภาพรวม เหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มากนัก เนื่องจากอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่โล่งแจ้ง ปลอดโปร่ง ไม่แออัด โดยเฉพาะถือว่าอยู่ในทำเลที่ได้เปรียบกว่าชุมชนเมือง หรือชุมชนที่อยู่นอกเขตชลทาน เพราะมีแหล่งน้ำให้หาจับสัตว์น้ำ เพื่อบริโภคในครัวเรือน และจำหน่ายเป็นรายได้เสริมในครัวเรือนอีกทางหนึ่ง

นายถวัลย์ ชารี อายุ 55 ปี บ้านเลขที่ 30 บ้านหนองม่วง หมู่ 7 ต.ลำคลอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนกับเพื่อนบ้านที่มีความชำนาญในการหาปลา บริเวณรอบเขื่อนลำปาว บางคนใช้แห ลอบ เบ็ด และตาข่ายดักปลา เคยจับปลาได้วันละหลายสิบ ก.ก. มีรายได้จากการขายปลาวันละ 500-1,000บาท ซึ่งปลาที่จับได้ เช่น ปลาสร้อย ปลากราย ปลาสวาย ปลานิล โดยจะนำไปประกอบอาหารทานในครัวเรือนและเพื่อการจำหน่าย ทั้งในรูปแบบปลาสด หรือแปรรูปเป็นปลาส้ม ปลาแดดเดียว ปลาร้า ซึ่งหากรวมยอดในแต่ละสัปดาห์ จะได้คนละ 500-800 ก.ก.หรือถึง 1 ตันเลยทีเดียว อาชีพจับปลาจึงเป็นอาชีพหลักของชาวประมงหลายราย ขณะที่ตนมาหาปลาเป็นอาชีพเสริมจากการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามและทำนา

นายถวัลย์ กล่าวอีกว่า  ในระยะหลังมานี้การหาจับปลาบริเวณรอบเขื่อนลำปาวจะหายากมากขึ้น ทั้งนี้ปัญหามาจากน้ำเสียที่เกิดจากเกษตรกรพื้นที่เหนือเขื่อนลำปาวปลูกมัน ปลูกอ้อย เมื่อมีฝนตกลงมาได้ชะล้างสารเคมีที่ตกค้างในแปลงเกษตรลงสู่เขื่อนลำปาว ส่งผลกระทบต่อน้ำและทำให้ปลาตาย นอกจากนี้ในฤดูแล้ง และเริ่มต้นฤดูฝนที่สภาพอากาศวิปริต บางวันร้อน บางวันฝนตก ประกอบกับน้ำในเขื่อนเหลือน้อย จึงทำให้ปลาบางชนิดปรับตัวไม่ทัน จึงเกิดการน็อคตาย ส่วนที่เหลือก็อพยพลงไปอาศัยอยู่ในบริเวณร่องน้ำลึก ซึ่งเป็นเขตอันตราย รวมทั้งห้ามล่าและห้ามเข้าไปจับปลา จึงทำให้ช่วงนี้หาจับปลาได้น้อยลง

นายถวัลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อช่วงนี้หาจับปลาได้น้อยลง หรือได้วันละ 10-20 ก.ก.เท่านั้น บางวันได้เพียงบริโภคในครัวเรือน ไม่เพียงพอที่จะนำไปขายให้ลูกค้า โดยเฉพาะพ่อค้าคนกลางที่สั่งซื้อจอง เพื่อนำไปขายต่อตามตลาดชุมชนและเพื่อแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม  จึงเป็นการเสียโอกาสอย่างน่าเสียดาย ในการสร้างรายได้จากการจำหน่ายปลา ให้กับลูกค้าและประชาชนในชุมชน ที่หลายคนกักกันตัวเองอยู่บ้าน ต้องการปลาไปประกอบอาหาร และกำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

กาฬสินธุ์ – เกษตรกรทำนาแล้ง หว่านข้าวรอฝน ลดความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อโควิด-19 ไปในตัว

สภาพอากาศที่จังหวัดกาฬสินธุ์ยังร้อนแล้ง ชาวนาในพื้นที่นอกเขตชลประทาน ไม่ได้ใช้น้ำคลองและไม่ได้ทำนาปรัง ประกอบกับเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ชาวนาหลายรายจึงเริ่มออกไปทำนา โดยทำนาแล้งหว่านข้าวรอฝน เป็นการลดความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อโควิด-19 ไปในตัว

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามสภาพอากาศและความเป็นอยู่ของประชาชน ในช่วงเริ่มต้นฤดูฝน และอยู่ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ โดยภาพรวมทั่วไปยังแห้งแล้ง เนื่องจากภาวะฝนทิ้งช่วง ในขณะที่สถานการณ์ของโรคติดเชื้อโควิด-19 ยังพุ่งสูงต่อเนื่อง ล่าสุดพบผู้ป่วยยืนยันในรอบ 3 จำนวน 77 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.กาฬสินธุ์ โดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ และบุคลากรหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้จัดประชุมและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับให้ประชาชน สถานประกอบการ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเข้มข้น

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประชาชนเอง ก็ได้มีการป้องกันและปรับตัว เพื่อให้การดำรงชีวิตดำเนินไปอย่างปกติ ทั้งในส่วนของการประกอบอาชีพ และการปฏิบัติตนตามมาตรการทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผู้ประกอบการร้านค้า เกษตรกร ประชาชนทั่วไป เพื่อให้ก้าวข้ามสถานการณ์โควิด-19

นางมนูญ ชาวไร่ อายุ 52 ปี บ้านเลขที่ 35 หมู่ 1 ชาวนาบ้านโคกใหญ่ ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ถึงแม้ในพื้นที่และชุมชนใกล้เคียง มีผู้ได้รับเชื้อโควิด-19 รวมทั้งมีกลุ่มเสี่ยงหลายคน แต่ตนและเพื่อนบ้านก็ไม่ได้ตระหนก เนื่องจากทุกคนได้ปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ถือเป็นช่วงเฝ้าระวัง ประกอบกับที่ผ่านมาตนไม่ได้ทำนาปรัง เนื่องจากน้ำไม่เพียงพอ จึงได้เริ่มลงมือทำนา โดยจ้างรถไถพรวน และทำนาหว่าน เพื่อประหยัดค่าจ้างแรงงาน และสะดวกกว่าการทำนาดำ ที่ต้องอาศัยน้ำขังและแรงงานหลายคน ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก

นางมนูญกล่าวอีกว่าที่นาตนมีเพียง 4 ไร่ และขอเช่าจากญาติอีก รวม 15 ไร่ น้ำจากคลองชลประทานไม่เพียงพอ เพราะอยู่บนพื้นที่สูง จึงอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ปีที่แล้วผลผลิตตกต่ำเนื่องจากฝนแล้ง ปีนี้จึงขอแก้ตัวทำนาหว่านอีกครั้ง ทั้งนี้ ในการเริ่มต้นฤดูนี้ ถึงแม้ฝนจะทิ้งช่วงและว่างงาน ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการประกอบอาชีพ และลดความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อโควิด-19 ดังกล่าว จึงลงมือหว่านข้าวนาแล้งเพื่อรอฝน  โดยคาดการณ์ไว้ว่าหว่านเมล็ดพันธุ์ไปสักระยะหนึ่ง หากมีฝนตกลงมาเมล็ดข้าวก็จะงอกตามธรรมชาติเอง

กาฬสินธุ์ – สอบสวนแพอาหาร หลังไฟช็อตหนุ่มสวยไอดอลดับ ขณะไปเที่ยวแพอาหารบริเวณสะพานเทพสุดา

นายอำเภอสหัสขันธ์ พร้อมด้วยผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่ตรวจสอบแพวรรณา บริเวณสะพานเทพสุดา เขื่อนลำปาว อ.สหัสขันธ์ จุดเกิดเหตุนายสุทธิชัย ศรีอ่อน หรือน้องทีม อายุ 27 ปี หนุ่มสวยไอดอลนักเดินสายประกวดสาวประเภทสอง ที่เสียชีวิต ระบุอยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานสาเหตุการเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กกลุ่มเพื่อนของนายสุทธิชัย ศรีอ่อน หรือน้องทีม อายุ 27 ปี ชาวบ้านนิคมพัฒนา ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด หนุ่มสวยไอดอลนักเดินสายประกวดสาวประเภทสอง ที่เสียชีวิตจากการถูกไฟช็อตขณะไปเที่ยวแพอาหารบริเวณสะพานเทพสุดา เขื่อนลำปาว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้โพสต์ภาพและข้อความไว้อาลัย พร้อมข้อความในลักษณะขอความเป็นธรรม ระบุว่า “เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับเพื่อนผมด้วยครับทางแพสถานที่เกิดเหตุยังไม่ออกมาแสดงการรับผิดชอบแต่อย่างใด” ซึ่งหลังจากมีการโพสต์ภาพและข้อความออกไปในการแชร์และแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนของน้องทีม

 ล่าสุดนายตระกูล หนูนิล นายอำเภอสหัสขันธ์ พ.ต.อ.วิชัย ทองคำ ผกก.สภ.สหัสขันธ์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณแพอาหารแหล่งท่องเที่ยวอยู่ใกล้กับสะพานเทพสุดาข้ามเขื่อนลำปาว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วย พบว่าแพอาหารส่วนใหญ่ปิดให้บริการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่วนแพวรรณา ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุนั้นได้ปิดบริการเช่นกัน

นายตระกูล หนูนิล นายอำเภอสหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า อ.สหัสขันธ์มีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง  โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ บริเวณสะพานเทพสุดา เขื่อนลำปาว จึงมีผู้ประกอบการขออนุญาต เปิดสถานบริการด้านการท่องเที่ยว และร้านอาหารริมเขื่อนลำปาว ทั้งนี้ ทางอำเภอเข้าจะดูแลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รวมทั้งมาตรฐานของแพหรือผู้ประกอบการ ที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยว และมีอุปกรณ์คือเสื้อชูชีพให้บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งแพที่ให้บริการจะมี 2 ลักษณะ คือแพที่เทียบท่าจะเป็นแพที่ให้บริการเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งจอดอยู่กับที่ อยู่ในการดูแลของชลประทาน ขณะที่แพที่มีเรือยนต์ลาก เพื่อนำนักท่องเที่ยวล่องไปในน่านน้ำกลางเขื่อนลำปาว จะสามารถเคลื่อนออกไปนอกฝั่งได้ อยู่ในการดูแลของกรมเจ้าท่า

 นายตระกูล กล่าวอีกว่า สำหรับแพวรรณาซึ่งเป็นที่เกิดเหตุนายสุทธิชัย ศรีอ่อน หรือน้องทีม อายุ 27 ปี หนุ่มสวยไอดอลนักเดินสายประกวดสาวประเภทสอง ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตในเวลาต่อมานั้น ก่อนหน้านี้ทางอำเภอได้ประกาศให้หยุดกิจการชั่วคราว เฉพาะแพลากเพื่อให้มีการปรับปรุงมาตรฐานการบริการเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา โดยได้จอดเทียบท่าอยู่กับแพที่ให้บริการอาหารกับนักท่องเที่ยว ส่วนแพที่เกิดเหตุนั้นเป็นแพจอดกับที่ ซึ่งสาเหตุการบาดเจ็บและเสียชีวิตของนายสุทธิชัย ที่มีผู้ระบุว่าไฟช็อตหรือเกิดจากอุบัติเหตุหรือไม่อย่างไรนั้น เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และฝ่ายปกครอง ได้ร่วมกันตรวจสอบ และกำลังอยู่ในระหว่างรวบรวมพยามหลักฐานก่อนว่าเป็นการเกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากความประมาท

ด้าน พ.ต.อ.วิชัย ทองคำ ผก.สภ.สหัสขันธ์กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งว่ามีคนถูกไฟฟ้าช๊อตได้รับบาดเจ็บสาหัสภายในแพอาหารท่องเที่ยวใกล้กับสะพานเทพสุดาข้ามเขื่อนลำปาว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์  จึงออกตรวจสอบพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยและทีมกู้ชีพโรงพยาบาลสหัสขันธ์

โดยที่เกิดเหตุนั้น พบผู้ได้รับบาดเจ็บหมดสติอยู่บนแพอาหารวรรณา เจ้าหน้าที่จึงช่วยกันปฐมพยาบาลตามขั้นตอนการช่วยเหลือคนถูกไฟฟ้าช๊อต พร้อมกับช่วยกันปั้มหัวใจ และนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่านายสุทธิชัย ผู้เสียชีวิต พร้อมเพื่อนๆมาเที่ยวและรับประทานอาหารที่แพดังกล่าว โดยช่วงเกิดเหตุขณะกำลังรออาหาร ผู้เสียชีวิตกำลังจะกระโดดลงไปเล่นน้ำ แต่มือไปจับราวเหล็กบนแพ ซึ่งมีสายไฟวางพาดเป็นแนวยาว และอาจจะเกิดไฟรั่วและช๊อต ซึ่งเพื่อนๆพากันช่วยออกมาได้ และเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ แต่ก็มาเสียชีวิตดังกล่าว

 สำหรับในเรื่องของคดีหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.สหัสขันธ์ ได้ส่งศพไปชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต ก่อนจะมอบศพให้ญาตินำกลับไปบำเพ็ญกุศลทางศาสนา ที่บ้านนิคมพัฒนา ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด และทราบว่ามีพิธีฌาปนกิจวันนี้แล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบปากคำพยานแวดล้อมที่เห็นเหตุการณ์เบื้องต้นไปแล้ว 3 ปาก ส่วนผู้เกี่ยวข้องรายอื่น รวมถึงเจ้าของแพพนักงานสอบสวนจะเร่งเรียกมาสอบปากคำให้ครบ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อหากับใคร เนื่องจากยังรอผลการชันสูตรจากแพทย์ก่อนว่าจากสาเหตุใด


ภาพ/ข่าว ณัฐพงษ์ ประชากูล  

กาฬสินธุ์ – เจ้าของแพอาหารยัน พร้อมเยียวยาหนุ่มสวยหากถูกไฟช็อตเสียชีวิตจริง

ตำรวจ สภ.สหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สอบปากคำพยานเพิ่มเติม เหตุหนุ่มสวยไอดอลนักเดินสายประกวดสาวประเภทสองเสียชีวิตขณะเที่ยวแพอาหาร ด้านน้องสาวพาตำรวจเข้าชี้จุดเกิดเหตุ มั่นใจพี่ชายถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิต  ขณะที่เจ้าของแพอาหารยันพร้อมเยียวยา หากผลการผ่าพิสูจน์ศพพบว่าถูกไฟฟ้าช็อตจริง วอนโซเชียลฟังความสองด้าน

จากกรณีนายสุทธิชัย ศรีอ่อน หรือน้องทีม อายุ 27 ปี ชาวบ้านนิคมพัฒนา ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด หนุ่มสวยไอดอลนักเดินสายประกวดสาวประเภทสอง เสียชีวิตขณะไปเที่ยวแพอาหารบริเวณสะพานเทพสุดาข้ามเขื่อนลำปาว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา  เบื้องต้นคาดว่าอาจถูกไฟบนแพอาหารช็อต โดยหลังเกิดเหตุกลุ่มเพื่อนๆได้โพสต์ภาพและข้อความเพื่อขอความเป็นธรรม

 ล่าสุดเมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 พ.ต.อ.วิชัย ทองคำ ผกก.สภ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ มอบหมาย พ.ต.ท.โด่งศักดิ์ นนทวงศ์ รอง ผกก. (สอบสวน) และ ร.ต..อ.ชินดนัย เศรษฐรักษา พนักงานสอบสวน สภ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เจ้าของคดีได้เรียกนางสาวภานุมาศ ประเสริฐสังข์ อายุ 20 ปี น้องสาวนายสุทธิชัย และนายเอกรินทร์ บุญรอด เพื่อนนักท่องเที่ยวที่ไปด้วยกัน ซึ่งเป็นพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่นายสุทธิชัยกำลังลงเล่นน้ำและถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิตมาสอบปากคำ จากนั้นพาไปชี้จุดที่เกิดเหตุ ที่บริเวณแพอาหารวรรณาจุดที่พี่ชายเสียชีวิต

ขณะที่นางวรรณะ มูลตรีบุตร อายุ 48 ปี เจ้าแพอาหารวรรณา ได้เดินทางมาพบกับพนักงานสอบสวน สภ.สหัสขันธ์ แต่ยังไม่ได้เข้าให้ปากคำกับตำรวจ เนื่องจากพนักงานสอบสวนต้องสอบพยานที่เห็นการณ์ และพยานแวดล้อมให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะนัดเจ้าของแพมามาสอบปากคำต่อไป

ทั้งนี้นางวรรณะ เจ้าของแพยืนยันว่า หากนายสุทธิชัยถูกไฟฟ้าช็อตจริง ก็พร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง และอยากจะวิงวอนไปถึงคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียลด้วยว่าให้ฟังความทั้งสองด้านด้วย โดยเฉพาะกรณีหลายคนบอกว่าเจ้าของแพไม่รับผิดชอบนั้นไม่เป็นความจริง  ซึ่งตนขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างแน่นอน และพร้อมเยียวยา ได้คุยกับญาติบ้างแล้ว แต่ต้องรอผลการผ่าพิสูจน์ศพ และขั้นตอนการสรุปสาเหตุของการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่เสียก่อน

ด้านนางสาวภานุมาศ ประเสริฐสังข์ อายุ 20 ปี น้องสาวนายสุทธิชัย กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าสาเหตุพี่ชายเสียชีวิตนั้นถูกไฟฟ้าช็อตแน่นอน เพราะขณะที่ตนพยายามจะเข้าไปช่วยชีวิตพี่ชาย โดยกระโดดถีบและแกะมือพี่ชายออกจากราวเหล็กนั้น มีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านเข้ามาที่ร่างกายของตนจนรู้สึกชา ซึ่งหลังจากร่างพี่ชายล้มลงไปบนแพไม้ไผ่ที่ผูกติดกับแพวรรณาที่ยื่นลงไปในน้ำ ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่ง ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ ร.ต.ต.เสถียร  มาตอำพร รอง สว. (ป.) สอบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ช่วยปฐมพยาบาลโดยการปั้มหัวใจ ก่อนที่จะรู้สึกตัวขึ้นมาระยะหนึ่ง และมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาทำการปฐมพยาบาลช่วยกัน จากนั้นนำร่างพี่ชายส่งโรงพยาบาลสหัสขันธ์ สุดท้ายเสียชีวิตดังกล่าว จึงขอยืนยันว่าสาเหตุพี่ชายเสียชีวิตนั้นถูกไฟฟ้าช็อตแน่นอน

ด้าน ร.ต.ต.เสถียร มาตอำพร รองสว.(ป.) สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์และเป็นคนเข้าไปช่วยปั้มหัวใจ กล่าวว่า วันเกิดเหตุได้นั่งรับประทานอาหารที่แพข้างเคียง ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกให้ช่วยเหลือว่าคนถูกไฟฟ้าช็อต จึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ เห็นร่างนายสุทธิชัย ขึ้นมาไว้บนแพไม้ไผ่ที่อยู่ติดกับแพใหญ่ ซึ่งขณะนั้นผู้บาดเจ็บยังไม่หมดสติ แต่ไม่สามารถขยับร่างกายและไม่สามารถพูดได้ ตนจึงเข้าไปปั้มหัวใจรอเจ้าหน้าที่ กระทั่งหน่วยกู้ภัยและเจ้าหน้าที่กู้ชีพโรงพยาบาลมาถึง และเข้ามาช่วยเหลือก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล

ขณะที่ พ.ต.ท.โด่งศักดิ์ นนทวงศ์ รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.สหัสขันธ์ กล่าวว่า ในทางคดีพนักงานสอบสวนได้เชิญพยานที่เห็นเหตุการณ์เพิ่มเติม คือนางสาวภานุมาศ ประเสริฐสังข์ น้องสาวนายสุทธิชัย และนายเอกรินทร์ บุญรอด เพื่อนนักท่องเที่ยวที่ไปด้วยกัน รวมทั้ง ร.ต.ต.เสถียร  มาตอำพร รอง สว. (ป.) สอบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ที่เข้าไปช่วยปฐมพยาบาลคนแรก ขณะที่ในส่วนของเจ้าของแพนั้น จะได้เรียกมาสอบปากคำในวันถัดไป เพราะต้องสอบพยานที่เห็นเหตุการณ์ให้เรียบร้อยก่อน และยังรอผลการผ่าชันสูตรอย่างเป็นทางการ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้แจ้งข้อหากับใคร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top