Saturday, 17 May 2025
ค้นหา พบ 48160 ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ประสานงานตำรวจมาเลเซีย ส่งตัวผู้ต้องหาค้ามนุษย์ 4 ราย ตามสัญญาผู้ร้ายข้ามแดน

จากกรณีเมื่อประมาณเดือน พ.ค.58 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพบศพผู้เสียชีวิตและศพที่ถูกฝังไว้ 

รวมกันกว่า 30 ศพ บริเวณแคมป์คนงานกลางป่าบนเขาแก้ว ในพื้นที่หมู่ 8 บ้านตะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา

จ.สงขลา และยังขยายผลพบหลุมศพในพื้นที่รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซียอีกจำนวน 180 ศพ จากการสืบสวนทราบว่า

 ทั้งหมดเป็นศพของชาวโรฮินจา ที่ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักร และหลบซ่อนบริเวณค่ายกักกันดังกล่าว เพื่อรอส่ง ต่อไปยังประเทศที่สาม ซึ่งมีการจับกุมและดำเนินคดีผู้ต้องหาซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการทั้งทหาร ตำรวจ และนักการเมือง ท้องถิ่นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีการดำเนินคดีค้ามนุษย์ที่สหพันธรัฐมาเลเซียอีกด้วย

ซึ่งทางการมาเลเซียได้มีการออก หมายจับและหมายแดงตำรวจสากล รวมทั้งประสานงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหา ตามที่ สื่อมวลชนและสื่อโซเชียลนำเสนอแล้วนั้น กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ซึ่งดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.ศพดส.ตร. ในช่วงปี 65 ที่ผ่านมา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุด ศพดส.ตร. ติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามที่ได้รับการประสานความร่วมมือจากทางการมาเลเซียจากจำนวนทั้งหมด 9 ราย

สามารถติดตามจับกุมได้จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย 
1. นายสมพล อาดำ สัญชาติไทย 
2. นายบุญเย็น นีซาละห์ สัญชาติไทย 
3. นายอรุณ แก้วฟ้านอก สัญชาติไทย 
4. นายเจ๊ะปา ลาปีอี สัญชาติไทย

หลังจากเจ้าหน้าที่ ศพดส.ตร. สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้วนั้น ทางการมาเลเซียได้ขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

ตามกฎหมาย และศาลได้มีคำสั่งให้ส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ไปดำเนินคดีที่ประเทศมาเลเซียตามคำร้องขอ ต่อมาเมื่อ

วันที่ 22 มิ.ย. 66 ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ได้เดินทางมายังสนามบินดอนเมือง เพื่อมารับตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย โดยมี พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการส่งมอบตัวในครั้งนี้

ซึ่งเป็นไปตามสนธิสัญญาผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งไทยและมาเลเซียได้มีพันธสัญญากัน โดยประเทศไทยนั้นมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนประเทศอื่นๆ มากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน เกาหลีใต้ เป็นต้น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า หลังจากที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับการประสานงานจากทางการมาเลเซีย ให้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ ซึ่งได้กระทำผิดตั้งแต่ช่วงปี 58 ต่อเนื่องทั้งในมาเลเซียและประเทศไทย

ซึ่งต่อมาสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาสัญชาติไทยได้จำนวน 4 ราย ทางการมาเลเซียจึงได้ทำเรื่องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน วันนี้ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ได้เดินทางมารับตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 รายกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศมาเลเซียแล้ว นับเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในระดับชาติที่สำคัญอีกครั้งระหว่างไทยกับมาเลเซีย

ซึ่งได้ประสานความร่วมมือกันมาอย่างยาวนานและจะสาน 
ต่อความร่วมมือนี้ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพต่อไป

‘ไททานิก’ บรรทุกโลงศพมัมมี่เจ้าหญิงอียิปต์ เป็นเหตุให้เรืออับปาง จมสู่มหาสมุทรแอตแลนติก

วันที่ (23 มิ.ย. 66) จากกรณีข่าวโด่งดังทั่วโลกกับเรือดำน้ำที่มีชื่อว่า ‘ไททัน’ ของ ‘บริษัทโอเชียนเกต’ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเรือนำเที่ยวพาชมซากเรือสำราญแห่งตำนานอย่าง ‘ไททานิก’ ที่ต้องใช้เงินมหาศาลถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.7 ล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 21 มิ.ย. 23) เพื่อแลกกับ 1 ที่นั่งที่แสนจะคับแคบและอึดอัด (เรือดำน้ำไททัน มีความยาวประมาณ 6.4 เมตร) ได้ขาดการติดต่อกับเรือพี่เลี้ยงที่อยู่บนผิวน้ำ ซึ่งลอยลำอยู่ห่างจากอ่าว Cape Cod รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปทางตะวันออกประมาณ 900 ไมล์ (1,448 กิโลเมตร) หลังพาคณะทัวร์รวม 5 คน ดำดิ่งลงสู่ใต้น้ำได้ประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที! ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 18 มิ.ย. 23

ล่าสุด นิปปอน นวนันท์ บำรุงพฤกษ์ ผู้ประกาศคนดัง ได้มาออกรายการแฉ พร้อมเล่าเรื่องราวอาถรรพ์ของ ‘ไททานิก’ โดยนิปปอน เล่าว่าในสมัยนั้น เรือไททานิก ถือว่าเป็นเรือที่ใหญ่มากคนมีเงินเท่านั้นถึงจะได้ขึ้น โดยเรือไททานิกล่มวันที่ 15 เมษายน ปี 1912 ออกจากอังกฤษเพื่อไปนิวยอร์ก ออกไปได้แค่ 3 วัน เรือล่มชนภูเขาน้ำแข็ง หายไปกว่า 70 ปี กว่าคนจะหาเจอซากใต้มหาสมุทรแอตแลนติก

ซึ่งก็ยังไม่มีใครเคยเห็นภาพเรือไททานิก ที่จมอยู่ข้างใต้ด้วย จนสุดท้ายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีบริษัทที่ทำแผนที่ใต้ทะเลลงทุนไปถ่ายสแกนภาพ 3 มิติ สรุปแล้วเรือไททานิกนั้นจมในสภาพหักครึ่งอยู่ห่างกัน 800 เมตร โดยคนสมัยนั้นเชื่อว่าอาจเป็นอาถรรถพ์เล่าลือกันว่าในเรือไททานิกมีโลงศพมัมมี่ ของเจ้าหญิงอียิปต์อยู่บนนั้น

ในสมัยหนึ่งมีคนเชื่อว่าใครที่ได้ครอบครองมัมมี่อียิปต์จะหายสาปสูญไปทันที ก่อนหน้านั้นมีเศรษฐอียิปต์ได้ไปครอบครองก็หายตัวไปในทะเลทรายเฉย ๆ จนกระทั่งมีเศรษฐีซื้อไป ก็ทำให้บ้านไฟไหม้เจอแต่เคราะห์ร้าย เศรษฐีจึงให้มัมมี่กับพิพิธภัณฑ์อังกฤษ จนกระทั่งปี 1912 มีนักโบราณคดีสหรัฐฯ คนหนึ่งซึ่งไม่เชื่ออาถรรพ์ต้องการจะให้โลงมัมมี่กลับมาอยู่ที่นิวยอร์กก็เลยใส่มาบนเรือไททานิก

นอกจากนี้มดดำได้กล่าวเสริมอีกหนึ่งอาถรรพ์ที่เกิดขึ้นปี 2533 เป็นเรือประมงของประเทศนอร์เวย์ บังเอิญไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งว่ายน้ำมาขอความช่วยเหลือ พอช่วยขึ้นมาหญิงคนนั้นบอกว่าตนอายุ 29 มาจากเรือไทนานิก ซึ่งปีที่เรือไททานิคล่มอยู่ในปี 2455 ห่างกัน 100 กว่าปี ซึ่งสิ่งที่แปลกประหลาดหลังจากพาหญิงสาวรายนี้ไปรักษาโรงพยาบาลได้ประมาณ 6 เดือน เธอก็แก่ลงอย่างรวดเร็วและเสียชีวิตไปอย่างปริศนา

ล่าสุด (23 มิ.ย. 66) บีบีซีรายงานความคืบหน้าปฏิบัติการค้นหาเรือดำน้ำไททันของบริษัทโอเชียนเกต เอ็กซ์พิดิชั่น ที่หายสาบสูญไปพร้อมลูกเรือ 5 คน ระหว่างดำดิ่งลงไปทัวร์ซากเรือไททานิก ว่าพบเศษชิ้นส่วนปริศนากระจายเต็มพื้นทะเล โดยมีชิ้นส่วนของเรือไททันรวมอยู่

การเปิดเผยล่าสุดมาจากนายเดวิด เมิร์นส์ เพื่อนของหนึ่งในผู้โดยสารบนเรือดำน้ำไททัน กล่าวว่า ชิ้นส่วนที่พบนั้นมีส่วนของขาตั้งและฝาครอบด้านหลังของเรือรวมอยู่ด้วย

ความคืบหน้านี้ต่อเนื่องจากการเปิดเผยจากหน่วยบัญชาการกลางภารกิจค้นหาโดยหน่วยยามฝั่งของสหรัฐอเมริกา ว่าผู้เชี่ยวชาญกำลังเร่งวิเคราะห์เศษชิ้นส่วนที่พบอย่างละเอียด และเตรียมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 23 มิ.ย. ตามเวลาประเทศไทย

‘ชัยเสรี’ ร่อนหนังสือแจงสื่อ ยันไม่มีนายพล ช.เรียกเงิน ขู่ฟ้องเพจดัง สร้างความเสียหายให้บริษัท-ทร.

เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2566 นางนพรัตน์ กุลหิรัญ รองประธาน บริษัท ชัยเสรีเม็ททอลแอนด์รับเบอร์ จำกัด ได้ทำหนังสือชี้แจงสื่อมวลชนจากกรณีที่มีเพจใน Social Media โพสต์ข้อมูลกล่าวอ้างว่า "นายพล ช. เรียกเงินจากบริษัท ชัยเสรีของมาดามรถถัง 15% บริษัทฯ ขอเรียนให้ทราบว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่มีมูลความจริง การกระทำดังกล่าวถือเป็นการ ดิสเครดิตและสร้างความเสียหายต่อ บริษัทฯ และกองทัพเรืออย่างมาก และเป็นความพยายามปลูกฝังความเชื่อด้านการทุจริตคอรัปชั่น ต่อภาคอุตสาหกรรม ผู้ผลิตอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในภาพรวม บริษัทฯ ขอให้ประชาชนผู้ติดตามข่าวมีวิจารณญาณในการรับฟัง และตั้งข้อสังเกตจากเจตนารมณ์ผู้สร้างข่าวว่ามีวัตถุประสงค์ใด และผู้ใดได้รับประโยชน์จากข่าวนี้ และขอเรียกร้องให้เพจดังกล่าวเปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้สังคมได้รับทราบกันอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ขอความกรุณาสื่อต่างๆ ตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง ของการดำเนินการก่อนที่จะแชร์ข่าวต่อ หากมีความเสียหายเกิดขึ้น บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิในการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของบริษัทฯ ต่อไป

บริษัท ชัยเสรีเม็ททอลแอนด์รับเบอร์ ประกอบกิจการโดยยึดหลักธรรมาภิบาลและโปร่งใสในผลิตยานเกราะล้อยาง และยานกรสายพาน และรับซ่อมสร้างปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพยุทโธปกรในราชการทหาร อาทิเช่น รถสายพานลำเลียงพล M1 13, รถเกราะคอมมานโด V-150, รถยนต์บรรทุก ขนาด 2 1/2M35 A2, รถยนต์กู้ซ่อม M816, รถกู้ซ่อม M543 ขนาด 5 ตัน เป็นต้น และผลิตยาง Run-lat , ล้อกดสายพานและข้อสายพานรถถัง มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของคนไทย ดำเนินการโดยใช้แรงงาน และสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนการใช้ฐานการผลิตภายในประเทศ เพื่อสนับสนุนเหล่าทัพ หน่วยงานความมั่นคงของประเทศไทย และส่งออกในภารกิจเพื่อสันติภาพ สหประชาชาติ (UN Missionกองทัพประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 40 ประเทศ

‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ว่าที่ รมว.ดีอีเอส ประกาศลั่น 100 วันแรกทำทันที ยุบศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม Fake News

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (เท้ง) ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ประกาศวิสัยทัศน์ในฐานะแคนดิเดต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ผ่านคลิปความยาวกว่า 8 นาทีบนเพจ เฟซบุ๊กก้าวไกล อารัมภบทวิสัยทัศน์และสิ่งที่อยากทำที่กระทรวงดีอีเอส โดยมีคำพูดขุดรากถอนโคนอย่าง “100 วันแรกทำทันที ยุบศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti–Fake News Center)” 

เมื่อผู้สื่อข่าว นำประเด็นนี้ไปพูดคุยกับ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ในฐานะผู้ที่ลุยทำงาน ปราบปรามเว็บไซต์ สื่อออนไลน์ ที่หลอกลวงพี่น้องประชาชน โดยนายชัยวุฒิ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า   “จะยุบทำไม รัฐบาลมีหน้าที่ตรวจสอบและแจ้งให้ประชาชนทราบ ศูนย์เฟกนิวส์มีประโยชน์และอยู่มาได้ถึง 3 ปีแล้ว เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้ยุบ คนที่อยากยุบ คุณคิดว่าเป็นใครล่ะ ก็คนที่ปล่อยเฟกนิวส์ละมั้ง 5555” นายชัยวุฒิกล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยท่าทีสุขุม

รู้จัก ‘Stüssy’ พี่ใหญ่แห่งวงการสตรีตแวร์ แบรนด์เก่าแก่แต่ครองใจศิลปิน-คนรุ่นใหม่

ธุรกิจเสื้อผ้าแฟชัน นับว่าเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งสูง เนื่องจากมีผู้เล่นในตลาดค่อนข้างสูง ตั้งแต่เสื้อผ้าแฟชันราคาถูกจับต้องได้ ไปจนถึงเสื้อผ้าหรู แบรนด์เนม… งานหนักจึงมาตกอยู่ที่บรรดาเจ้าของแบรนด์ที่ต้องตาม ‘เทรนด์’ การแต่งตัวของผู้คนที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หรือบางครั้งก็ต้องเทิร์นตัวไปเป็นผู้นำแฟชันเองซะเลยก็มี

อย่างไรก็ตาม แม้ในตลาดเสื้อผ้าแฟชันจะมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังโชคดีที่แบรนด์ต่าง ๆ ที่มีคาแรคเตอร์เฉพาะ ก็มักจะเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นของตัวเองได้ไม่ยาก เฉกเช่นเดียวกับแบรนด์ ‘Stüssy’ (อ่านว่า สตูซี) แบรนด์สตรีตแวร์สุดเก๋า ที่ถือกำเนิดมาแล้วกว่า 44 ปี หรืออาจเรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าเป็น ‘พี่ใหญ่แห่งวงการสตรีตแวร์’ นั้น...ยังยืนตระหง่านในเวทีนี้ได้แบบไม่ตกยุค

… และแน่นอนว่า เหตุผลที่อยากหยิบยก Stüssy แบรนด์สตรีตสัญชาติอเมริกามาเล่า เพราะล่าสุดเขาได้มาเปิดสาขาเป็นของตัวเองเป็นแห่งแรกในไทยแล้ว โดยมีพิกัดอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ชั้น 2 ซึ่งบอกเลยว่า วันเปิดขายวันแรกนี่ทำเอาห้างแตก ลูกค้าต่อคิวยาวล้นออกมานอกห้าง เพราะลูกค้าจำนวนมากต้องการเข้าไปซื้อสินค้าราคาป้ายไทย รวมถึงเสื้อยืดลายพิเศษ ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่สาขา Bangkok Chapter เท่านั้น

เอาล่ะ!! พักเรื่องคามร้อนแรงของ ‘Stüssy’ ในไทยไปก่อน และขอย้อนพาไปดูเส้นทางสู่ความร้อนแรงแห่งสตรีตแฟชันรายนี้ ที่ THE STATES TIMES จะลองขยายประวัติและต้นกำเนิดของแบรนด์นี้ให้ทราบกันพอสังเขป… ซึ่งขอบอกเลยว่าแบรนด์นี้ไม่ได้ขายเสื้อผ้าตั้งแต่แรก… แต่จะขายอะไรมาก่อน เชิญติดตาม!!

ย้อนกลับไปในปี 1979 แบรนด์ Stüssy ถือกำเนิดขึ้นจากชายที่ชื่อว่า ‘Shawn Stussy’ ผู้ที่หลงใหลในการเล่นกระดานโต้คลื่น หรือเซิร์ฟบอร์ด จึงตัดสินใจเปิดธุรกิจผลิตและออกแบบเซิร์ฟบอร์ดเป็นของตนเอง อยู่แถวชายหาดลากูนาบีช ที่แคลิฟอร์เนีย โดยเขาได้นำลายเซ็นนามสกุลของเขามาเป็นโลโก้ประจำแบรนด์ เพื่อเพิ่มความโดดเด่นและจดจำง่าย

ทั้งนี้ ดีไซน์โลโก้ของเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้อความกราฟิตี ศิลปะการพ่นลวดลายบนกำแพง ตามสไตล์ชาวพังก์ร็อกและฮิปฮอปที่เขาชื่นชอบ และสื่อถึงจิตวิญญาณความเป็นศิลปินอันแสนขบถ ในช่วงแรก คุณ Stussy เน้นขายสินค้าเฉพาะเซิร์ฟบอร์ดเท่านั้น 

แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิดปิ๊งไอเดีย โดยลองนำโลโก้ Stüssy มาสกรีนลงบนเสื้อยืด และนำไปขายควบคู่กับเซิร์ฟบอร์ด ที่งาน Action Sports Retailer ในปี 1982 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ เจตนาแรกเขาแค่ต้องการใช้เสื้อยืดสกรีนมาเป็นตัวกระตุ้นยอดขายให้กับเซิร์ฟบอร์ดเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าเสื้อยืดเป็นสินค้าที่ขายดีแทน โดยเพียงแค่ 3 วัน เขาสามารถขายเสื้อยืดไปมากกว่า 1,000 ตัว

เมื่อกระแสตอบรับเสื้อยืดดีเกินที่คาดไว้ คุณ Stussy จึงเพิ่มไลน์เสื้อผ้าแนวสตรีตแวร์ในร้านของเขา เป็นการขยายธุรกิจและสินค้าให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
.
แม้ยอดขายเสื้อยืดจะดีเลิศ แต่ในความเป็นจริง คุณ Stussy ไม่ได้มีความรู้เรื่องการทำการตลาดมากนัก ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจชวน Frank Sinatra เพื่อนสนิทที่เล่นเซิร์ฟด้วยกัน มาเป็นหุ้นส่วนของร้าน การร่วมมือของพวกเขาทั้งสอง ทำให้แบรนด์ Stüssy ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทและเป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่าเดิม หลังจากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ ลดการขายเซิร์ฟบอร์ดลง และหันมาพัฒนาเสื้อผ้าแทน

เวลาผ่านพ้นไปจนกระทั่งปี 1991 พวกเขาก็ได้เปิด Flagship Store แห่งแรกของแบรนด์ในเมืองนิวยอร์ก โดยได้ James Jebbia มาเป็นผู้จัดการร้าน แต่ภายหลังเขาลาออกไปสร้างแบรนด์ของตัวเองชื่อ ‘Supreme’

แต่หลังจากนั้นประมาณ 5 ปี คุณ Shawn Stussy ก็ได้ตัดสินใจวางมือจากแบรนด์ Stüssy เพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัว โดยได้ขายหุ้นของบริษัทให้กับคนตระกูล Sinatra ทำให้จวบจนถึงปัจจุบัน แบรนด์ Stüssy อยู่ภายใต้การบริหารงานของครอบครัว Sinatra

แม้ผู้ก่อตั้งแบรนด์คนแรกจะไม่ได้เป็นผู้บริหารแบรนด์เองแล้ว แต่โลโก้แบรนด์ Stüssy ที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่ และได้รับความสนใจจากผู้มากมาย โดยมีร้านแบบ Stand Alone และตัวแทนจำหน่ายอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้แตกไลน์สินค้ามากขึ้น เช่น หมวก เสื้อแจ๊กเก็ต กระเป๋า ถุงเท้า แว่นตา และอื่นๆ ด้วย

อ่านมาถึงจุดนี้ ก็อาจจะพอรู้แล้วว่าสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Stüssy คือความเป็นพังก์ร็อก และฮิปฮอป เนื่องจากผู้ก่อตั้งอย่าง Shawn Stussy หลงใหลในวัฒนธรรมเหล่านี้ และเขารู้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีสไตล์การแต่งตัวแบบไหน หรือเทรนด์กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นแบบใด ส่งผลให้สินค้าของแบรนด์ Stüssy ที่ออกมาถูกใจคนกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งการรู้ใจผู้บริโภคและมีสินค้าตอบโจทย์ความต้องการ ทำให้แบรนด์ประสบความสำเสร็จและครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฐานลูกค้ายังชื่นชอบและเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ Stüssy ก็คือการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงในการผลิต อีกทั้งยังคงใส่ใจรายละเอียดการตัดเย็บ การดีไซน์ที่คงอัตลักษณ์ของแบรนด์ไว้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ แบรนด์ Stüssy ยังได้ออกสินค้ารุ่นลิมิติดอิดิชันร่วมกับแบรนด์ชื่อดังอื่นๆ ด้วย เช่น Nike Supreme, VANS, CONVERSE, Levi's®, New Balance, G-Shock, COMME des GARÇONS หรือแบรนด์หรูอย่าง Dior ซึ่งการร่วมมือกับแบรนด์อื่นออกสินค้า เสมือนเป็นการพาแบรนด์ออกแนะนำตัวสู่สาธารณะ เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ทำความรู้จักแบรนด์ และสร้างประสบการณ์ ไอเดียใหม่ๆ ให้กับแบรนด์

เท่านั้นยังไม่พอ เหล่าศิลปินไอดอล และคนดังระดับโลก เช่น ลิซ่า BLACKPINK, IU, Kendall Jenner, Travis Scott และ ศิลปินวง BTS ต่างก็เลือกสวมใส่เสื้อผ้าจากแบรนด์ Stüssy ด้วยเช่นกัน ยิ่งเป็นแรงเสริมให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

ในโลกธุรกิจ โอกาสคือสิ่งสำคัญ เพราะในบางครั้ง Passion ที่หวังไว้ อาจจะไม่ได้พาเราไปถึงปลายทางที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ ฉะนั้นการคว้าโอกาสและต่อยอดโอกาสอย่างจริงจัง ในบางครั้งก็มีความจำเป็น เหมือนกับ ‘Stüssy’ ที่ใครจะคิดว่า ไอเดียจากการนำโลโก้เซิร์ฟบอร์ด ที่มาเพ้นต์ลงเสื้อยืดเพื่อสร้างแรงกระตุ้นยอดขายเซิร์ฟบอร์ด จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นตำนานสตรีตแฟชันแห่งยุคได้อย่างลงตัว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top